โปรแกรมข้างล่างนี้แสดง * กี่ตัว
(อนุญาตให้ตอบคลาดเคลื่อนได้ บวกลบ 1)
i,j = 10, 2010
while i < j:
print('*')
i += 13
j -= 7
ceil((2010-10)/(13+7)) = 100
โปรแกรมข้างล่างนี้แสดง * กี่ตัว
(อนุญาตให้ตอบคลาดเคลื่อนได้ บวกลบ 1)
i,j = 25, 1225
while i < j:
print('*')
i += 5
j -= 25
ceil((1225-25)/(5+25)) = 40
โปรแกรมข้างล่างนี้แสดง * กี่ตัว
(อนุญาตให้ตอบคลาดเคลื่อนได้ บวกลบ 1)
i,j = 500, 1750
while i < j:
print('*')
i += 2
j -= 3
ceil((1750-500)/(2+3)) = 250
-------------------------------
โปรแกรมข้างล่างนี้แสดง * กี่ตัว
for i in range(3):
print('*')
for j in range(4):
print('*')
for k in range(5):
print('*')
3 + 3*4 + 3*4*5 = 75
โปรแกรมข้างล่างนี้แสดง * กี่ตัว
for i in range(5):
print('*')
for j in range(4):
print('*')
for k in range(3):
print('*')
5 + 5*4 + 5*4*3 = 85
โปรแกรมข้างล่างนี้แสดง * กี่ตัว
for i in range(4):
print('*')
for j in range(5):
print('*')
for k in range(3):
print('*')
4 + 4*5 + 5*4*3 = 84
โปรแกรมข้างล่างนี้แสดง * กี่ตัว
for i in range(3):
print('*')
for j in range(5):
print('*')
for k in range(4):
print('*')
3 + 3*5 + 5*4*3 = 78
-------------------------------
ให้ x เก็บจำนวนเต็ม จงเขียนคำสั่งแสดงเลขหลักสิบใน x
ถ้าไม่มีเลขที่หลักนี้ ก็แสดง 0
print(x//10%10)
ให้ x เก็บจำนวนเต็ม จงเขียนคำสั่งแสดงเลขหลักร้อยใน x
ถ้าไม่มีเลขที่หลักนี้ ก็แสดง 0
print(x//100%10)
ให้ x เก็บจำนวนเต็ม จงเขียนคำสั่งแสดงเลขหลักพันใน x
ถ้าไม่มีเลขที่หลักนี้ ก็แสดง 0
print(x//1000%10)
ให้ x เก็บจำนวนเต็ม จงเขียนคำสั่งแสดงเลขหลักหมื่นใน x
ถ้าไม่มีเลขที่หลักนี้ ก็แสดง 0
print(x//10000%10)
ให้ x เก็บจำนวนเต็ม จงเขียนคำสั่งแสดงเลขหลักแสนใน x
ถ้าไม่มีเลขที่หลักนี้ ก็แสดง 0
print(x//100000%10)
-------------------------------
จงเขียนคำสั่งที่ทำงานตาม flowchart ข้างล่างนี้
<
><>
if a==1:
b = a+1
elif a==3:
b = a+3
if b>2:
a = a+5
จงเขียนคำสั่งที่ทำงานตาม flowchart ข้างล่างนี้
<
><>
if x==1:
a = 2*x
elif x==3:
a = x/2
if a>2:
a = x+1
จงเขียนคำสั่งที่ทำงานตาม flowchart ข้างล่างนี้
<
><>
if z>10:
y = z/3
elif z>5:
y = 5*z
if y>2:
z = z+1
จงเขียนคำสั่งที่ทำงานตาม flowchart ข้างล่างนี้
<
><>
if z<10:
y = z/2
elif z<50:
y = 4*z
if y<2:
z = z+2
จงเขียนคำสั่งที่ทำงานตาม flowchart ข้างล่างนี้
<
><>
if x==a:
a = 2*x
elif x==b:
a = x/2
if x>2:
c = x+1
จงเขียนคำสั่งที่ทำงานตาม flowchart ข้างล่างนี้
<
><>
if a==b:
b = a+1
elif a==c:
c = a+3
if b>x:
a = a+b
-------------------------------
จงเขียนคำสั่งที่ทำงานตาม flowchart ข้างล่างนี้
<
><>
b = 1831
a = 3751
while a>1:
b += a+1
if b%a == 7: break
a //= 2
print(a,b)
จงเขียนคำสั่งที่ทำงานตาม flowchart ข้างล่างนี้
<
><>
a = 1832
b = 3751
while a>0:
b *= a+1
if a%b == 0: break
a -=17
print(a,b)
จงเขียนคำสั่งที่ทำงานตาม flowchart ข้างล่างนี้
<
><>
a = 1383
b = 3715
while a>0:
b *= a+1
if not(b%a == 3): break
a -= 29
print(a,b)
จงเขียนคำสั่งที่ทำงานตาม flowchart ข้างล่างนี้
<
><>
b = 1834
a = 3751
while not(a>1):
b += a+3
if b%a == 9: break
a //= 2
print(a,b)
จงเขียนคำสั่งที่ทำงานตาม flowchart ข้างล่างนี้
<
><>
a = 1835
b = 3751
while not(a>0):
b *= a+1
if a%b == 0: break
a -= 17
print(a,b)
จงเขียนคำสั่งที่ทำงานตาม flowchart ข้างล่างนี้
<
><>
b = 1836
a = 3751
while a>1:
b += a+1
if not(b%a == 7): break
a //= 2
print(a,b)
-------------------------------
จาก flowchart ถ้าเริ่มต้น a,b และ c มีค่า 3,11,15 ตามลำดับ
พอทำงานจนถึงวงกลมเลข 1 ด้านล่าง
a,b และ c จะมีค่าเท่าไร
<
><>
3,17,15
จาก flowchart ถ้าเริ่มต้น a,b และ c มีค่า 4,11,18 ตามลำดับ
พอทำงานจนถึงวงกลมเลข 1 ด้านล่าง
a,b และ c จะมีค่าเท่าไร
<
><>
4,19,18
จาก flowchart ถ้าเริ่มต้น a,b และ c มีค่า 30,40,300 ตามลำดับ
พอทำงานจนถึงวงกลมเลข 1 ด้านล่าง
a,b และ c จะมีค่าเท่าไร
<
><>
30,130,300
จาก flowchart ถ้าเริ่มต้น a,b และ c มีค่า 20,50,200 ตามลำดับ
พอทำงานจนถึงวงกลมเลข 1 ด้านล่าง
a,b และ c จะมีค่าเท่าไร
<
><>
20,110,200
-------------------------------
จาก flowchart ถ้าเริ่มต้น a,b และ c มีค่า 5,1,6 ตามลำดับ
พอทำงานจนถึงวงกลมเลข 1 ด้านล่าง
a,b และ c จะมีค่าเท่าไร
<
><>
5,7,18
จาก flowchart ถ้าเริ่มต้น a,b และ c มีค่า 4,2,8 ตามลำดับ
พอทำงานจนถึงวงกลมเลข 1 ด้านล่าง
a,b และ c จะมีค่าเท่าไร
<
><>
4,10,22
จาก flowchart ถ้าเริ่มต้น a,b และ c มีค่า 5,1,3 ตามลำดับ
พอทำงานจนถึงวงกลมเลข 1 ด้านล่าง
a,b และ c จะมีค่าเท่าไร
<
><>
8,1,12
จาก flowchart ถ้าเริ่มต้น a,b และ c มีค่า 4,2,3 ตามลำดับ
พอทำงานจนถึงวงกลมเลข 1 ด้านล่าง
a,b และ c จะมีค่าเท่าไร
<
><>
7,2,12
จาก flowchart ถ้าเริ่มต้น a,b และ c มีค่า 5,3,1 ตามลำดับ
พอทำงานจนถึงวงกลมเลข 1 ด้านล่าง
a,b และ c จะมีค่าเท่าไร
<
><>
5,3,9
จาก flowchart ถ้าเริ่มต้น a,b และ c มีค่า 6,4,2 ตามลำดับ
พอทำงานจนถึงวงกลมเลข 1 ด้านล่าง
a,b และ c จะมีค่าเท่าไร
<
><>
6,4,12
-------------------------------
จงเขียนคำสั่งที่คำนวณสูตรข้างล่างนี้
(ใช้ตัวแปร a, x, y และ z ได้เลย)
<
><>
จงเขียนคำสั่งที่คำนวณสูตรข้างล่างนี้
(ใช้ตัวแปร a, x, y และ z ได้เลย)
<
><>
จงเขียนคำสั่งที่คำนวณสูตรข้างล่างนี้
(ใช้ตัวแปร a, x, y และ z ได้เลย)
<
><>
จงเขียนคำสั่งที่คำนวณสูตรข้างล่างนี้
(ใช้ตัวแปร a, x, y และ z ได้เลย)
<
><>
จงเขียนคำสั่งที่คำนวณสูตรข้างล่างนี้
(ใช้ตัวแปร a, x, y และ z ได้เลย)
<
><>
จงเขียนคำสั่งที่คำนวณสูตรข้างล่างนี้
(ใช้ตัวแปร a, x, y และ z ได้เลย)
<
><>
-------------------------------
จงเขียนคำสั่งที่คำนวณสูตรข้างล่างนี้
(ใช้ตัวแปร s, k, j และ n ได้เลย)
<
><>
จงเขียนคำสั่งที่คำนวณสูตรข้างล่างนี้
(ใช้ตัวแปร s, k, j และ n ได้เลย)
<
><>
จงเขียนคำสั่งที่คำนวณสูตรข้างล่างนี้
(ใช้ตัวแปร s, k, j และ n ได้เลย)
<
><>
จงเขียนคำสั่งที่คำนวณสูตรข้างล่างนี้
(ใช้ตัวแปร s, k, j และ n ได้เลย)
<
><>
จงเขียนคำสั่งที่คำนวณสูตรข้างล่างนี้
(ใช้ตัวแปร s, k, j และ n ได้เลย)
<
><>
จงเขียนคำสั่งที่คำนวณสูตรข้างล่างนี้
(ใช้ตัวแปร s, k, j และ n ได้เลย)
<
><>
-------------------------------
ฟังก์ชัน f(x) ข้างล่างนี้
รับ x เป็นจำนวนเต็มบวก
คืนลิสต์ของจำนวนเฉพาะต่าง ๆ ที่เป็นตัวประกอบของ x
เช่น f(63) คืน [3,3,7]
จงเติมคำสั่งแทนที่เครื่องหมาย **** และ ????
เพื่อให้ f ทำงานถูกต้อง
def f(x):
fac = []
k = 2
while **** : # <------
while ???? : # <------
x = x//k
fac.append(k)
k += 1
return fac
**** คือ k <= x
???? คือ x%k == 0
-------------------------------
จงเขียนฟังก์ชัน f(x) ที่
คืนจริง ถ้าไม่มีตัวอังกฤษตัวพิมพ์เล็กใน x เลย
ไม่เช่นนั้นคืนเท็จ
โดยให้เขียนเพียงบรรทัดเดียวในฟังก์ชัน
ไม่มีการใช้เครื่องหมาย ; (semicolon)
def f(x):
return x.upper() == x
# return sum([1 for e in x if 'a'<=e<='z']) == 0
จงเขียนฟังก์ชัน f(x) ที่
คืนจริง ถ้าไม่มีตัวอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ใน x เลย
ไม่เช่นนั้นคืนเท็จ
โดยให้เขียนเพียงบรรทัดเดียวในฟังก์ชัน
ไม่มีการใช้เครื่องหมาย ; (semicolon)
def f(x):
return x.lower() == x
# return sum([1 for e in x if 'A'<=e<='Z']) == 0
-------------------------------
จงเขียนฟังก์ชัน f(x, y)
- x และ y เป็น numpy array หนึ่งมิติเก็บจำนวนจริง
- ค่าใน x ไม่เท่ากันเลย และค่าใน y ก็ไม่เท่ากันเลย
- f(x,y) คืนจำนวนคู่ข้อมูลของ x กับ y
ที่มีค่าต่างกันไม่เกิน 1
- ห้ามใช้คำสั่ง for, while, comprehension, map, reduce
เช่น f(np.array([1.1, 2.1]),np.array([1, 2.0, 3.2]))
คืน 3 (คือคู่ 1.1 กับ 1, 1.1 กับ 2.0 และ 2.1 กับ 2.0)
def f(x,y):
z = x - y.reshape((y.shape[0],1))
return np.sum(np.abs(z) <= 1)
จงเขียนฟังก์ชัน f(x, y)
- x และ y เป็น numpy array หนึ่งมิติเก็บจำนวนเต็ม
- ค่าใน x ไม่เท่ากันเลย และค่าใน y ก็ไม่เท่ากันเลย
- f(x,y) คืนจำนวนคู่ข้อมูลของ x กับ y
ที่มีค่าต่างกันไม่เกิน 2
- ห้ามใช้คำสั่ง for, while, comprehension, map, reduce
เช่น f(np.array([2,4]),np.array([3,9,6]))
คืน 3 (คือคู่ 2 กับ 3, 4 กับ 3 และ 4 กับ 6)
def f(x,y):
z = x - y.reshape((y.shape[0],1))
return np.sum(np.abs(z) <= 2)
จงเขียนฟังก์ชัน f(x, y)
- x และ y เป็น numpy array หนึ่งมิติเก็บจำนวนเต็ม
- ค่าใน x ไม่เท่ากันเลย และค่าใน y ก็ไม่เท่ากันเลย
- f(x,y) คืนจำนวนคู่ข้อมูลของ x กับ y
ที่ค่าใน x น้อยกว่าค่าใน y
- ห้ามใช้คำสั่ง for, while, comprehension, map, reduce
เช่น f(np.array([5,8]),np.array([3,9,6]))
คืน 3 (คือคู่ 5 กับ 9, 5 กับ 6 และ 8 กับ 9)
def f(x,y):
z = x < y.reshape((y.shape[0],1))
return np.sum(z)
จงเขียนฟังก์ชัน f(x, y)
- x และ y เป็น numpy array หนึ่งมิติเก็บจำนวนเต็ม
- ค่าใน x ไม่เท่ากันเลย และค่าใน y ก็ไม่เท่ากันเลย
- f(x,y) คืนจำนวนคู่ข้อมูลของ x กับ y
ที่ค่าใน x มากกว่าค่าใน y
- ห้ามใช้คำสั่ง for, while, comprehension, map, reduce
เช่น f(np.array([5,8]),np.array([3,9,6]))
คืน 3 (คือคู่ 5 กับ 3, 8 กับ 3 และ 8 กับ 6)
def f(x,y):
z = x > y.reshape((y.shape[0],1))
return np.sum(z)
-------------------------------
ให้ x เป็นลิสต์ของจำนวนเต็ม
ฟังก์ชัน f(x) ข้างล่างนี้ทำอะไร อธิบายสั้น ๆ ไม่เกิน 30 คำ
def f(x):
if len(x)==0: return 0
y = sorted(x)
c = y[0]
k = 1
m = 1
for e in y[1:]:
if e == c:
k += 1
else:
m = max(m, k)
c = e
k = 1
return m
x มีตัวซ้ำกันมากสุดกี่ตัว
f([1,3,1,1,2,1,1]) -> 5
ให้ x เป็นลิสต์ของจำนวนเต็ม
ฟังก์ชัน f(x) ข้างล่างนี้ทำอะไร อธิบายสั้น ๆ ไม่เกิน 30 คำ
def f(x):
if len(x)==0: return 0
c = x[0]
k = 1
m = 1
for e in x[1:]:
if c < e:
k += 1
if k > m: m = k
else:
k = 1
c = e
return m
x มีตัวที่ติดกันมีค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มากสุดกี่ตัว
f([1,2,3,3,4,5,9,1]) --> 4
ให้ x เป็นลิสต์ของจำนวนเต็ม
ฟังก์ชัน f(x) ข้างล่างนี้ทำอะไร อธิบายสั้น ๆ ไม่เกิน 30 คำ
def f(x):
if len(x)==0: return 0
c = x[0]
k = 1
m = 1
for e in x[1:]:
if c > e:
k += 1
if k < m: m = k
else:
k = 1
c = e
return m
x มีตัวที่ติดกันมีค่าลดลงเรื่อย ๆ มากสุดกี่ตัว
f([9,4,3,8,6,5,4,1,9]) -> 5
ให้ x เป็นลิสต์ของจำนวนเต็ม
ฟังก์ชัน f(x) ข้างล่างนี้ทำอะไร อธิบายสั้น ๆ ไม่เกิน 30 คำ
def f(x):
if len(x)==0: return 0
c = x[0]
k = 1
m = 1
for e in x[1:]:
if c == e:
k += 1
if k > m: m = k
else:
k = 1
c = e
return m
x มีตัวที่ติดกันเท่ากันมากสุดกี่ตัว
f([2,3,1,1,1,2,2,2,2,1,3,1]) -> 4
-----------------------------------
จากคลาส A ข้างล่างนี้
class A:
def __init__(self, x, y):
self.a = x
self.b = y
self.c = x+y
ต้องทำอย่างไรกับคลาส A
เพื่อทำให้การทำงานคำสั่งข้างล่างนี้
a = A(2, 7)
b = A(3, 4)
print(a, b)
จะแสดงข้างล่างนี้ทางจอภาพ
[2, 9] [3, 7]
def __str__(self):
return '['+str(self.a)+', '+str(self.c)+']'
จากคลาส A ข้างล่างนี้
class A:
def __init__(self, x, y):
self.a = x
self.b = y
self.c = x+y
ต้องทำอย่างไรกับคลาส A
เพื่อทำให้การทำงานคำสั่งข้างล่างนี้
a = A(2, 7)
b = A(3, 4)
print(a, b)
จะแสดงข้างล่างนี้ทางจอภาพ
[7, 9] [4, 7]
def __str__(self):
return '['+str(self.b)+', '+str(self.c)+']'
จากคลาส A ข้างล่างนี้
class A:
def __init__(self, x, y):
self.a = x
self.b = y
self.c = x+y
ต้องทำอย่างไรกับคลาส A
เพื่อทำให้การทำงานคำสั่งข้างล่างนี้
a = A(2, 7)
b = A(3, 4)
print(a, b)
จะแสดงข้างล่างนี้ทางจอภาพ
[7, 2] [4, 3]
def __str__(self):
return '['+str(self.b)+', '+str(self.a)+']'
จากคลาส A ข้างล่างนี้
class A:
def __init__(self, x, y):
self.a = x
self.b = y
self.c = x+y
ต้องทำอย่างไรกับคลาส A
เพื่อทำให้การทำงานคำสั่งข้างล่างนี้
a = A(2, 7)
b = A(3, 4)
print(a, b)
จะแสดงข้างล่างนี้ทางจอภาพ
[9, 2] [7, 3]
def __str__(self):
return '['+str(self.c)+', '+str(self.a)+']'
-----------------------------------
จากคลาส A ข้างล่างนี้
class A:
def __init__(self, x, y):
self.a = x
self.b = y
ต้องทำอย่างไรกับคลาส A
เพื่อทำให้การทำงานคำสั่งข้างล่างนี้
a = A(2, 7)
a.action()
print(a.a, a.b)
จะแสดงข้างล่างนี้ทางจอภาพ
0 0
def action(self):
self.a = self.b = 0
จากคลาส A ข้างล่างนี้
class A:
def __init__(self, x, y):
self.a = x
self.b = y
ต้องทำอย่างไรกับคลาส A
เพื่อทำให้การทำงานคำสั่งข้างล่างนี้
a = A(2, 7)
a.action()
print(a.a, a.b)
จะแสดงข้างล่างนี้ทางจอภาพ
-1 0
def action(self):
self.a = -1
self.b = 0
จากคลาส A ข้างล่างนี้
class A:
def __init__(self, x, y):
self.a = x
self.b = y
ต้องทำอย่างไรกับคลาส A
เพื่อทำให้การทำงานคำสั่งข้างล่างนี้
a = A(2, 7)
a.action()
print(a.a, a.b)
จะแสดงข้างล่างนี้ทางจอภาพ
5 5
def action(self):
self.a = 5
self.b = 5
จากคลาส A ข้างล่างนี้
class A:
def __init__(self, x, y):
self.a = x
self.b = y
ต้องทำอย่างไรกับคลาส A
เพื่อทำให้การทำงานคำสั่งข้างล่างนี้
a = A(2, 7)
a.action()
print(a.a, a.b)
จะแสดงข้างล่างนี้ทางจอภาพ
3 4
def action(self):
self.a = 3
self.b = 4