บทที่ห้า พระสงฆ์เถรวาททำปริญญาทางโลก
วิจารณ์จริยธรรมพุทธ
ได้มีโอกาสคุยกับพระเถรวาทชาวเอเซียรูปหนึ่งซึ่งกำลังทำปริญญาโททางด้านพุทธศาสนาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ท่านได้เขียนเรียงความ essay เรื่องระบบจริยธรรมของพุทธโดยต้องพูดคลุมทั้งแง่บวกและลบ
ท่านเขียนแล้วเห็นแต่สิ่งที่เป็นแง่บวก แต่หาแง่ลบไม่พบ
เมื่อส่งเรียงความให้อาจารย์ชาวอังกฤษอ่านแล้ว อาจารย์ไม่ยอมให้ผ่าน
บอกว่าจะต้องสามารถเขียนแง่ลบของจริยธรรมพุทธให้ได้ก่อนจึงจะพิจารณาให้ผ่านได้
พระท่านบอกว่าเจอทางตัน ไม่ทราบว่าจะเขียนอย่างไร เพราะคิดอย่างไรก็หาผลลบของจริยธรรมพุทธไม่พบ
จึงเขียนไม่ออก ขอความเห็นจากเราให้ช่วยวิจารณ์หาผลลบของจริยธรรมพุทธให้ด้วย
เราฟังแล้วก็รู้สึกหนักใจแทนพระท่าน ถ้าท่านหาไม่เจอแล้ว เราจะหาเจอได้อย่างไร
จริยธรรมพุทธมีเป้าหมายที่พระนิพพาน
จึงบอกท่านว่า
การหาแง่ลบของจริยธรรมพุทธไม่พบนั้น ที่จริงเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
เพราะระบบจริยธรรมหรือศีลธรรมของพุทธนั้น
มิใช่เป็นเรื่องปรัชญาที่เกิดขึ้นมาอย่างลอย ๆ เหมือนจริยธรรมของฝ่ายตะวันตก
ศีลธรรมของพุทธเป็นผลของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่เข้าไปพบสัจธรรมอันสูงสุดคือพระนิพพาน
หมายความว่า พระพุทธเจ้าพบสิ่งหนึ่งที่ท่านทรงรู้ชัดว่ามันเป็นเป้าหมายของชีวิตทุกชีวิตอย่างแน่นอน
เมื่อพบเป้าหมาย end แล้ว
ท่านจึงค่อยออกมากำหนดมรรคหรือการเดินทาง means เพื่อให้ถึงเป้าหมายที่แน่ชัดนั้น The end justifies the means.
ฉะนั้น อริยสัจสี่จึงวางนิโรธมาก่อนมรรค
คือรู้เรื่องนิโรธก่อน และมรรคจึงตามมาได้ มรรคนั้นคือ เรื่อง ศีลหรือจริยธรรม
สมาธิ และปัญญา จึงเห็นได้ว่า
จริยธรรมของพุทธเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นอย่างมีเป้าหมายแน่ชัด
เพื่อช่วยคนให้เข้าถึงพระนิพพานได้ในที่สุด
เมื่อถามชาวพุทธว่า ทำไมต้องรักษาศีล ๕
และทำแต่ความดี คนสามารถตอบได้สารพัดอย่างตั้งแต่ ทำดีเพื่อไปสวรรค์
เพื่อเกิดเป็นเทวดา ทำดีแล้วก็สุขใจ ไปจนถึงทำดีเพราะมันถูกต้อง
แต่คำตอบสุดท้ายควรเป็นว่า
การรักษาศีลอย่างไม่ด่างพร้อยนั้นจะเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้คนเข้าถึงเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิตหรือพระนิพพานนั่นเอง
ซึ่งเป็นหลักการที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้อย่างแน่ชัด
ไม่คลอนแคลนเหมือนกับจริยธรรมของตะวันตก
เหมือนบอกให้สงสัยในพระบรมศาสดา
ทีนี้
หันกลับมาพูดเรื่องเรียงความของพระที่กำลังทำปริญญาอยู่
อาจารย์สอนศาสนาของพระบอกว่า
หากจะเขียนให้ผ่านต้องสามารถวิจารณ์จริยธรรมพุทธในแง่ลบให้ได้เสียก่อน
ก็ไม่รู้ว่าคนจะดูออกหรือไม่
การขอเช่นนั้นที่จริงเป็นเรื่องเดียวกับการบอกให้สงสัยในตัวพระพุทธเจ้า
ให้บอกว่าศีลธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นยังมีข้อบกพร่อง มีแง่ลบ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝรั่งทำได้ แต่พระโดยเฉพาะพระฝ่ายเถรวาทแล้ว จะทำเช่นนั้นไม่ได้
ถ้าทำก็เท่ากับทรยศต่อพระศาสดาของตนเอง เป็นอนันตริยกรรมอย่างหนึ่ง
ไม่ได้เป็นสมมุติสงฆ์อีกแล้ว
ทำให้สงสัยในเจตนาของอาจารย์ชาวอังกฤษผู้นี้เป็นอย่างมาก
และสงสัยว่าอาจารย์คนนี้เข้าใจศาสนาพุทธแค่ไหนถึงจะให้พระเถรวาทมาวิจารณ์จริยธรรมพุทธในแง่ลบ
เพราะคนที่เข้าใจศาสนาพุทธอย่างแท้จริงแล้วจะไม่เดินสายความคิดเช่นนั้นเป็นอันขาด
คนที่คิด แสดงว่ายังไม่ได้เข้าใจพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
มีหน้าที่ต่อพระพุทธเจ้าก่อน
จึงถามพระท่านว่า อาจารย์คนนั้นคือใคร
ปรากฏว่าเป็นคน ๆ เดียวกับที่เราได้โต้คารมกับเขามาแล้วเมื่อปีก่อน ในที่ประชุมสัมนาในหัวข้อเรื่องพระพุทธกับพระคริสต์ที่เราได้ไปร่วมนั้น
อาจารย์คนเดียวกันนี้บอกว่า พระนิพพานกับพระเจ้าไม่มี
เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลที่คิดเอาตามใจชอบ เราจึงโต้กลับไปว่า ที่เขาพูดเช่นนั้น
เพราะเขาไม่เคยปฏิบัติวิปัสสนาแบบชาวพุทธ
เขาจึงไม่เห็นพระนิพพาน จึงไม่เห็นพระเจ้า แต่เราเห็น
เราจึงพูดได้ว่านิพพานมี และอยู่ตรงหน้าเขานั่นเอง ไม่ได้อยู่ไกลเลย พูดแถมไปว่า
เขาพูดอย่างนี้จะทำให้คนเข้าใจผิดและอันตรายมาก ทำเอาเขาหน้าหงายไป พูดไม่ออก
เรื่องนี้เราได้เอามาเขียนไว้ในบทสุดท้ายของคู่มือชีวิตแล้ว
โลกนี้ช่างแคบเสียจริง
นึกไม่ถึงว่าต้องกลับมาเอ่ยถึงคน ๆ นี้อีก
แต่ก็ทำให้สามารถให้คำแนะนำแก่พระองค์นี้ได้ชัดขึ้นว่า ท่านเป็นพระ
หน้าที่ของท่านควรมีต่อพระพุทธเจ้าเป็นหลักใหญ่
แต่ท่านเลือกมาเรียนปริญญาโทสาขาศาสนาเปรียบเทียบในโลกของสมมุติ
และท่านกำลังถูกกดดันจากอาจารย์ฝรั่งที่ไม่รู้เรื่องศาสนาพุทธเลย
แถมมาบอกให้ท่านวิจารณ์จริยธรรมพุทธซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับการบอกให้สงสัยในองค์พระพุทธเจ้า
เพราะเขาไม่รู้จักศาสนาพุทธ เขาจึงสอนไปตามตำรา
และใช้วิธีการสอนแบบนักการศึกษาของโลกตะวันตก
จึงมาบอกให้ท่านวิจารณ์จริยธรรมพุทธในแง่ลบซึ่งที่จริงมันไม่มี
ท่านจึงวิจารณ์ไม่ได้ เพราะหลักการสอนของพระพุทธเจ้านั้นรัดกุมมากที่สุดแล้ว
แต่คนไม่เคยปฏิบัติก็จะไม่เข้าใจ
ต้องเลือกระหว่างปริญญาทางโลกกับทางธรรม
ไป ๆ มา ๆ
จำเป็นต้องพูดเรื่องส่วนตัวหน่อยว่า
การได้ปริญญาโทมานั้นสำคัญกับพระท่านมากสักแค่ไหน คือถ้าสำคัญมาก
และจำเป็นต้องให้ผ่านละก็
ท่านก็ไม่มีทางเลือกนอกจากการเขียนเพื่อเอาใจอาจารย์คนนั้น
เพียงให้เขาอ่านแล้วพอใจเขาก็ให้ผ่าน
ซึ่งที่จริงก็ไม่มีมาตรฐานพิเศษอะไรมากไปกว่าการทำให้อัตตาตัวตนของอาจารย์พองโตขึ้นเท่านั้นเอง
เพราะเรียงความทางศาสนาเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นคณิตศาสตร์ที่มีคำตอบแน่นอนอันจะเอามาเป็นมาตรฐานให้คนผ่านหรือตกได้
จะผ่านหรือตกก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของอาจารย์ผู้อ่านเสียมากกว่าว่า
ขณะนั้นอารมณ์เขาดีแค่ไหน ก่อนออกจากบ้านได้ทะเลาะกับภรรยาหรือเปล่า
เขาให้เกียรติคนเอเซียเรามากแค่ไหน ถ้าพระท่านคิดจะเขียนเอาใจอาจารย์เพื่อให้ผ่านแล้วละก็
การเขียนเช่นนั้น ก็เท่ากับหักหลังพระพุทธเจ้า
แต่ถ้าท่านคิดว่า ปริญญาโทนั้นไม่สำคัญ
จะผ่านหรือไม่ผ่านไม่สำคัญ
ท่านก็ควรถือโอกาสนี้พิสูจน์ให้อาจารย์ฝรั่งคนนั้นรู้ว่าท่านเข้าใจศาสนาพุทธมากกว่าเขา
และปฏิเสธที่จะวิจารณ์จริยธรรมพุทธในแง่ลบ เพราะไม่มีอะไรจะเขียนจริง ๆ
เป็นการแสดงออกถึงความกล้าหาญทางจริยธรรม เป็นสิ่งที่ชาวเอเซียเราต้องทำ
ต้องยืนขึ้นมาคัดค้านฝรั่งบ้าง มิเช่นนั้น ก็จะถูกเขากดไว้โดยที่พวกเขาก็ไม่รู้ตัว
ปัญญาชนฝรั่งมักคิดว่าตนเองเก่งกว่าคนชาติอื่นเสมอ
นี่จึงเป็นสิ่งที่พระท่านต้องไปคิดใคร่ครวญและตัดสินใจเอาเองว่าจะเลือกอยู่ฝ่ายพระพุทธเจ้า
หรือ จะเอาปริญญาทางโลก เพราะทางสองทางนี้จะประนีประนอมกันไม่ได้เด็ดขาด
และท่านต้องไม่ให้การศึกษาทางโลกมาทำให้ท่านเสียหลักทางธรรมด้วย
เรารู้ว่า นี่เป็นคำพูดที่รุนแรงมาก
เพราะรู้ว่าท่านไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการยืนอยู่ฝ่ายพระพุทธเจ้าเท่านั้น
หากท่านไม่ได้เป็นพระ
แต่เป็นนักศึกษาชาวเอเซียทั่วไปที่มาทำปริญญาเพื่อนำไปประกอบอาชีพภายหลังละก็
เราก็คงไม่พูดรุนแรงเช่นนั้น เพราะรู้ว่า
ปริญญาจากเมืองนอกสำคัญมากแค่ไหนสำหรับคนที่ต้องกลับไปประกอบอาชีพ ทำมาหากินเพื่อเลี้ยงครอบครัว
อาจจำเป็นต้องพูดเอาใจอาจารย์ฝรั่งเพื่อได้คะแนนดี จะได้สอบผ่าน
เราได้ยินนักศึกษาชาวเอเซียของมหาวิทยาลัยเบอร์มิ่งแฮมบ่นเรื่องความไม่ยุติธรรมของอาจารย์ชาวอังกฤษไม่น้อยทีเดียว
รายล่าสุดเป็นนักศึกษาหญิงชาวจีนแผ่นดินใหญ่มาทำปริญญาเอกทางแพทย์
และมาเรียนไท้เก็กกับเรา
มาระบายความคับแค้นใจของเรื่องการเมืองสกปรกที่เกิดขึ้นในแวดวงปัญญาชนชาวอังกฤษ
จากบ้านมาไกล จึงอาศัยชั้นของเราเป็นศาลาพักใจ ผ่อนคลายความเครียด
ระบบการศึกษาตะวันตกคือการหัดคิดแบบฝรั่ง
สิ่งที่น่าสังเกตคือ
เดี๋ยวนี้ระบบการศึกษาของตะวันตกมีอิทธิพลแผ่ขยายไปทั่วโลก
ประเทศในเอเซียเราต้องยอมรับระบบการศึกษาตะวันตกอย่างโงหัวไม่ขึ้น
การยอมรับระบบการศึกษาของตะวันตกก็หมายความว่ายอมรับวิธีการคิดและแนวความคิดของฝรั่งซึ่งเป็นผู้ปกครองโลกทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจที่แท้จริง
ถ้าเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี่แล้ว การยอมรับเขานั้นก็ควรอยู่หรอก
เพราะเขาเก่งกว่าคนเอเซียจริง
แต่เมื่อมาถึงเรื่องการเรียนศาสนาพุทธเพื่อเอาปริญญาแล้ว ฝรั่งจะรู้อะไร
เขาสอนศาสนาได้เพราะเขาอ่านพูดภาษาอังกฤษได้เก่งกว่าคนเอเซียเราเท่านั้น
แต่แก่นศาสนาพุทธนั้นเขาไม่รู้เรื่องเลย และที่จริง
เขาควรต้องมาเรียนจากพระที่เก่งวิปัสสนาจากทางเอเซียเรามากกว่า
เพราะคนทั้งโลกต้องโค้งหัวให้กับระบบการศึกษาตะวันตก
ฉะนั้นแม้แต่พระฝ่ายเถรวาทซึ่งควรจะเป็นผู้นำในการสอนเรื่องพุทธศาสนาและวิปัสสนา
กลับลดตัวลงมาทำปริญญาศาสนาเพียงเพื่อให้โลกสมมุติยอมรับ ซึ่งเราไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
พระท่านอาจจะมีเหตุผลส่วนตัวอะไรของท่านถึงมาเรียนเพื่อเอาปริญญาทางศาสนา
เราก็ไม่รู้ ก็คงเป็นสิทธิส่วนตัวของท่านที่ต้องให้ความเคารพ รู้แต่ว่า
พระที่ปฏิบัติวิปัสสนาจนได้ปัญญาทางธรรมจริง ๆ แล้ว
จะไม่มาเสียเวลานั่งเรียนเพื่อเอาปริญญาทางโลก
ถ้าไม่รีบถอนตัวก็จะทำให้เสียหลักทางธรรมได้