บทที่ ๖ ระบบจริยธรรมของตะวันตก

 

นักปรัชญาไม่ใช่ผู้รู้ 

จริยธรรมของตะวันตกแตกต่างจากจริยธรรมของพุทธมากทีเดียว เพราะเกิดจากบรรดานักปรัชญาที่มีชื่อเสียงของกรีกอย่าง เพลโต้ โสคราตีส คิดระบบจริยธรรมขึ้นมาอย่างเลื่อนลอย คือ อยู่เฉย ๆ ไม่มีอะไรทำ ก็ตั้งคำถามขึ้นมาอย่างเช่น ความดีคืออะไร จริยธรรมคืออะไร แล้วก็มานั่งตีความเพื่อให้ความหมายแก่มัน นั่งถกเถียง symposium คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย ยิ่งนักปรัชญายุคหลัง ๆ อย่างซิกมันด์ ฟรอยด์ นี่ต้องเรียกว่า คิดฟุ้งซ่านมากกว่าที่จะคิดอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน   นักปรัชญาเหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้รู้ ไม่ได้ตรัสรู้เองเหมือนพระพุทธเจ้า จึงไม่มีความรู้ในเรื่องสัจธรรมสูงสุดของธรรมชาติหรือพระนิพพาน หรือพระเจ้าในความหมายที่เราตีความใหม่ให้ชาวคริสต์ จึงคิดเรื่อยเปื่อย แตกซ่าน ปราศจากแก่นสารที่แท้จริง

 การคิดนั้น ใครจะคิดอะไร คิดอย่างไรก็ได้ เหมือนการแจวเรืออยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ใครจะแจวไปทางไหนก็ได้ นักปรัชญาคิดเก่งเพราะหากินอยู่บนการคิดเก่งของตัวเอง แต่ตราบใดที่ผู้คิดยังไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตหรือไม่รู้สัจธรรมอันสูงสุดแล้วไซร้ การคิดนั้นจะเลื่อนลอย เหมือนการแจวเรือในมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง ตราบใดที่แจวเรือได้ก็แจวไปเรื่อยโดยไม่มีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน นี่คือระบบการศึกษาของโลกสมมุติ

การศึกษาในสาขาวิชาความรู้ต่าง ๆ ของโลกสมมุติ  ก็คือการหัดนักศึกษาให้เดินลึกเข้าไปในท่อหรืออุโมงค์แห่งความรู้ที่ตนเรียน แต่ละสาขามีอุโมงค์หรือท่อความรู้ของตน เปรียบเทียบเหมือนการแจวเรือไปในทิศทางต่าง ๆ นั่นเอง แจวกันไปคนละทิศคนละทาง แต่ถามว่าแจวไปไหน เขาไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องแจวเท่านั้น ความรู้ทางโลกเหล่านี้จึงแตกซ่าน เพราะเป้าหมายร่วมมีเพียงการออกมาหางานทำเท่านั้น ไม่มีเป้าหมายอันสูงสุดร่วมกัน นี่คือระบบการศึกษาของโลกสมมุติ จึงเป็นระบบการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์

ถ้ามองจากภาพใหญ่ของสังสารวัฏแล้ว ระบบการศึกษาของโลกตะวันตกที่เรียนกันในสาขาต่าง ๆ นั้น คือการแจวเรืออยู่ในหนองน้ำหรือทะเลสาปอันกว้างใหญ่ไพศาลนั่นเอง นักการศึกษาอาจคิดว่าไปไกลแล้ว แต่ที่จริงเป็นการแจวเรือที่วนไปเวียนมาอยู่แถวนั้นแหละ เพราะยังมืดบอดอยู่ จึงไม่รู้ว่ากำลังแจวเรือวนอยู่ในหนองน้ำ เพราะถูกความมืดแห่งปัญญาหลอกเอาว่าแจวเรือไปได้ไกลมากแล้ว น่าสงสาร

 ความรู้ทางธรรมคือการเน้นที่จุดหมายปลายทางให้ชัดเจนเท่านั้น ถ้านักการศึกษารู้ว่าเป้าหมายของชีวิตคือ การบรรลุพระนิพพานแล้วไซร้ ก็หมายความว่า วิชาการสาขาต่าง ๆ ที่เรียนนั้นต้องมุ่งไปที่จุดหมายปลายทางเหมือนกันหมด เปรียบได้ว่าทะเลสาปที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้มีทางออกแคบ ๆ อยู่ทางเดียวเท่านั้น ฉะนั้น แม้จะแจวเรือจากคนละทิศคนละทางก็ตาม แต่ทุกคนล้วนมุ่งไปที่ทางออกนั้นเหมือนกันหมด หรือแจวเรือไปขึ้นที่ฝั่งพระนิพพานนั่นเอง

 

จริยธรรมคริสต์ควรมีเป้าหมายถ้าพระเจ้าคือพระนิพพาน

 ที่จริงแล้ว คำภีร์ไบเบิลเต็มไปด้วยระบบจริยธรรมที่สูงส่งที่พระคริสต์สอนให้คนทำตามเพื่อไปให้ถึงดินแดนแห่งพระเจ้า The Kingdom of God ถ้าคำว่า “พระเจ้า” ของพระคริสต์หมายถึงสัจธรรมอันสูงสุดหรือพระนิพพานแล้วไซร้ จริยธรรมของคริสต์ก็เหมือนกับของพุทธในแง่ที่ว่าเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้คนไปถึงเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต หรือพระเจ้า นี่เป็นสิ่งที่เราสรุปให้ชาวคริสต์เพื่อต้องการช่วยชาวคริสต์เห็นโครงสร้างของชีวิตอย่างชัดเจน คือ เห็นว่าชีวิตเกิดมาเพื่อการเดินทางไปให้ถึงเป้าหมายที่สูงสุด คือถึงพระเจ้า ฉะนั้น การทำความดีก็เพื่อพาตนเองไปอยู่กับพระเจ้า เพราะถ้าไม่เห็นโครงสร้างชัดเจนแล้วจะงงมาก สับสน เริ่มถามว่าคนเราทำดีไปทำไม เพราะทำดีแล้วไม่เห็นได้ดี 

 

เมื่อพระเจ้าถูกทำลาย ก็ไม่จำเป็นต้องทำความดี

ในอดีตที่ศาสนาคริสต์ยังมีอิทธิพลต่อจิตใจคนอยู่นั้น คนก็ยังเข้าโบสถ์ ยังมีความเชื่อมั่นในพระเจ้าอยู่มาก แม้จะทุกข์มากอย่างไร ก็ยังมีความหวังในพระเจ้า พยายามทำความดี ทำสิ่งที่ถูกต้องต่อพระเจ้า สังคมจึงไม่ยุ่งมาก ไม่สับสนและซับซ้อน

 แต่เดี๋ยวนี้ วิทยาศาสตร์เจริญขึ้นมาก การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ทำให้คนเลิกเชื่อพระเจ้าไปมาก การเชื่อวิทยาศาสตร์อย่างโงหัวไม่ขึ้น เชื่อว่า ชีวิตนี้คือก้อนพลังงานและสสาร จิตใจมีศูนย์กลางอยู่ที่สมองอันเป็นก้อนสสารเท่านั้น เมื่อสมองหยุดทำงาน ชีวิตก็ตาย เมื่อตายแล้วก็แล้วกัน เป็นศูนย์ ไม่มีบุญบาป นรกสวรรค์คอยอยู่ข้างหน้า ไม่มีพระเจ้าซึ่งเป็นพระผู้สร้างและผู้ทำลายมาลงโทษคนทำบาปอย่างที่พูดสอนกันในโบสถ์ ฉะนั้น ความคิดเรื่องการทำความดีเพื่อจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าเริ่มถูกท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคนส่วนมากที่มีกิเลสอยู่เห็นว่าทำดีแล้วก็ไม่เห็นได้ดีตอบแทน จึงไม่รู้ว่าต้องทำดีไปทำไม เพื่ออะไร คนเริ่มให้อิสระแก่ตนในการทำชั่วมากขึ้น เพราะเห็นโต้ง ๆ ว่า คนทำชั่วไม่น้อยกลับได้ดี ระบบจริยธรรมในปัจจุบันนี้จึงถูกสั่นคลอนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติของมนุษยชาติ

ทุกวันนี้ นอกจากเจ้าหน้าที่ทางศาสนาเช่น พระ หรือ บาทหลวง แล้ว ใครจะเปิดปากสอนศีลธรรมกับใครนี่ต้องระวังมาก จะเป็นหัวข้อที่คนเลี่ยงไม่พูด แม้พ่อแม่เอง เมื่อลูกโตเป็นหนุ่มสาวแล้ว จะมานั่งสอนลูกเรื่องศีลธรรมนั้นอาจจะถูกลูกตอกกลับเอาจนหน้าแตกได้ เพราะพ่อแม่เองทำไม่ได้ และพ่อแม่ก็คือบุคคลที่ประกอบอาชีพต่าง ๆ ในสังคม เช่น หมอ ครู ตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษา นักการเมือง นักธุรกิจ เป็นต้น ซึ่งบุคคลที่มีอาชีพสูงส่งเหล่านี้ควรเป็นพ่อแบบ แม่แบบ อันดีงามของสังคม แต่เมื่อคนเหล่านี้ทำตัวไม่ดีเสียเอง  จึงมาถึงจุดที่ไม่มีใครเตือนใครได้เพราะแต่ละคนก็ไม่ใช่ผ้าขาว ล้วนเป็นผ้าขาวที่เปื้อนโคลนไม่มากก็น้อยทั้งสิ้น เมื่อไม่มีใครเตือนใครได้ ระบบศีลธรรมจึงถูกเหยียบย่ำจนป่นปี้ จะเอากลับมาอีกนั้นยากมาก ระบบศีลธรรมจึงหายไปเหมือนการหายไปของพระเจ้า

 

การไม่เชื่อพระเจ้าเป็นความโง่ ไม่ใช่ความเท่ห์

อย่างน้อยคนเชื่อพระเจ้ายังรู้สึกละอายต่อการทำบาปบ้าง  คนสมัยนี้คิดว่าการไม่เชื่อพระเจ้าเป็นเรื่องเท่ห์ แสดงออกถึงความไม่งมงาย จึงกลายเป็นแฟชั่น ที่จริงเป็นเรื่องโง่มากกว่าจะเป็นเรื่องเท่ห์  เพราะเปิดโอกาสให้เชื่ออะไรก็ได้ จนเดี๋ยวนี้หนุ่มสาวกลับเอาพวกนักร้อง ดารา นักกีฬา หรือแม้ตัวการ์ตูนมาบูชาเหมือนพระเจ้า สถิติบอกว่าเด็กอเมริกันยุคนี้รู้จัก โฮเมอร์ ซิมสัน Homer Simpson มากกว่าประธานาธิบดีจ๊อรช วอชิงตัน เสียแล้ว

ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาโทรทัศน์อังกฤษมีรายการชื่อ pop idol โดยมีหนุ่มสาวเป็นพันมาร้องเพลงต่อหน้ากรรมการ ๔ คน ถึงจำนวนหนึ่งก็เปิดโอกาสให้คนดูทั่วประเทศลงคะแนนเสียงว่าจะเลือกคนไหนเป็นราชาเพลงป๊อบ จนกระทั่งเหลือหนุ่มสาว ๑๐ คนสุดท้าย  ทั้งหนังสือพิมพ์และใครต่อใครก็พูดกันจนหนาหู ทุกอาทิตย์จะมีคนโทรไปลงคะแนนให้ไม่น้อยกว่าสี่หรือห้าล้านคนในช่วงเวลาสองชั่วโมงเศษ เมื่อมาถึงสองคนสุดท้ายเป็นชายทั้งคู่ คนหนึ่งอายุ ๑๗ อีกคนอายุ ๒๑ ความคลั่งของคนก็ยิ่งมีมากขึ้นระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนของทั้งสองฝ่ายโดยเฉพาะในกรุงลอนดอน มีการหาเสียงอย่างทั่วถึงเหมือนนักการเมือง วันที่ตัดสินเป็นวันเดียวกับวันตายของเจ้าหญิงมากาแร๊ต น้องสาวของราชินีอังกฤษ ข่าวของราชวังแทบจะถูกกลบ ไม่มีใครสนใจ ปรากฏว่าคืนที่ตัดสินนั้นมีคนโทรเข้าไปออกเสียงจำนวน ๘ ล้านคนทั่วประเทศภายในเวลาไม่ถึงสามชั่วโมง นักการเมืองเขินมาก เพราะสถิติของคนหนุ่มสาวที่ไปออกเสียงให้กับราชาเพลงป๊อบคืนนั้นมีมากกว่าวันไปออกเสียงเลือกตั้งของรัฐบาลชุดนี้อย่างหลุดลุ่ย คนที่โทรเข้าไปออกเสียงไม่ใช่แค่หนุ่มสาวเท่านั้น แต่คลุมไปถึงคนมีอายุ ๓๐, ๔๐ ขึ้นไปก็มีไม่น้อย

นี่เป็นสภาพสังคมที่ต้องเรียกว่า “บ้ากันใหญ่” แล้ว เมื่อไม่มีพระเจ้าให้บูชา คนเดี๋ยวนี้จึงบูชาเงิน หรือมาบูชาเด็กอายุ ๑๗ กับ ๒๐ ที่มีชื่อเสียงขึ้นมาเพราะร้องเพลงได้เท่านั้น นี่เป็นสังคมที่น่าเศร้ามากเพราะเต็มไปด้วยคนโง่ เป็นสังคมที่เมื่อมองไปรอบข้างแล้ว หาสิ่งที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงมาเป็นที่พึ่งทางใจไม่ได้เลย นักการเมืองก็พึ่งไม่ได้ สมัยที่เจ้าหญิงไดอาน่าอยู่ ก็ยังเหมือนมีบุคคลที่คนรัก เป็นที่พึ่งของคนได้ เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครในราชวังที่คนรักมากอย่างที่รักไดอาน่า นักบุญสมัยนี้ก็ยิ่งไม่มีใหญ่ นักบุญที่ดังที่สุดของโลกตอนนี้ก็คือ ท่านดาไลลามะเท่านั้น แต่ก็เป็นที่พึ่งทางใจของชาวพุทธฝ่ายมหายานเท่านั้น ฝรั่งทั่วไปก็ไม่ได้คิดว่าท่านเป็นที่พึ่งทางใจให้ตนได้ นี่จึงเป็นสังคมที่แสดงออกถึงจิตใจที่หลงทางอยู่สุดเหวี่ยง จึงต้องมานั่งบูชาเด็กเกิดเมื่อวานซืนอย่างนักร้อง นักกีฬา และดาราทั้งหลาย

 

จะรักษาวัฒนธรรมไทยได้เมื่อลูกหลานไทยเข้าใจโครงสร้างชีวิต

เมื่อเปรียบเทียบกับสังคมไทยเราแล้ว อย่างน้อยบ้านเมืองเรายังมีพระพุทธศาสนาให้เป็นที่พึ่งของคนไทย แม้สถาบันพุทธศาสนาจะเสื่อมไปมากอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยคนไทยกลุ่มหนึ่งก็ยังพึ่งพาสถาบันนี้ได้อยู่ สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากสำหรับสังคมไทยเรายุคนี้คือ เด็กหนุ่มสาวไทยที่เป็นอนาคตของชาติถูกวัฒนธรรมฝรั่งกลืนเข้าไปมิดแล้ว ถอนตัวยากมากแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ผู้นำไทยต้องปกป้องลูกหลานไทย และวัฒนธรรมย่าทวดของไทยเรา มิเช่นนั้น ในอีก ๒๐ ปีข้างหน้าสังคมไทยก็จะเหมือนสังคมตะวันตกขณะนี้ จะไม่มีสิ่งที่มีคุณค่าเหลืออยู่เลย

นี่เป็นเหตุผลใหญ่ที่เราต้องการให้หนังสือใบไม้กำมือเดียวและคู่มือชีวิตเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรในระดับมัธยมปลาย การช่วยกันรักษาวัฒนธรรมไทยจะเกิดได้ ก็ต่อเมื่อลูกหลานไทยเข้าใจพุทธศาสนาและโครงสร้างของชีวิต ไม่ใช่เกิดจากการประโคมข่าวโฆษณาเรียกร้องให้มาช่วยกันรักษาวัฒนธรรมไทย ใช้ของที่ผลิตในเมืองไทย โดยไม่รู้คุณค่าที่แท้จริงของวัฒนธรรมไทย สิ่งที่น่าเศร้าคือ วัฒนธรรมไทยในยุคนี้ได้กลายเป็นตู้โชว์ show case กลายเป็นสินค้าขายให้นักท่องเที่ยวต่างชาติดูเล่นตามโรงแรมและร้านอาหาร โดยที่หนุ่มสาวไทยจริง ๆ ไม่ได้แยแสต่อสิ่งเหล่านั้นเลย  

 ความเชื่อในวิธีการทางวิทยาศาสตร์ทำให้คนไม่น้อยในยุคนี้เชื่อว่าชีวิตคือชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น  จึงเสพวัตถุกามอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ถูกต้องของคนโง่ เพราะเขาไม่รู้อะไรมากกว่านี้ กามสุขจึงกลายเป็นเป้าหมายของชีวิตมนุษย์ที่คิดว่าเกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียว ฉะนั้น วัฒนธรรมตะวันตกในขณะนี้จึงเป็นเรื่องการหาวิธีการใหม่ ๆ means เพื่อช่วยมนุษย์เสพกามสุขได้เต็มที่ทั้งสิ้น ผลเป็นอย่างไร ก็คือสิ่งที่เห็น ๆ กันอยู่ ปัญหาเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้าตั้งแต่เรื่องเล็กภายในครอบครัวจนถึงสงครามที่ฆ่ากันตายอยู่ทุกวัน

 

เมื่อรู้จุดคงที่ (นิพพาน) ก็แก้ปัญหาได้

 นักการศึกษาตะวันตกมองไม่ออกว่า ถ้าไม่มีความรู้เรื่องนิพพานหรือสัจธรรมอันสูงสุดแล้ว โลกนี้ไปไม่รอดแน่ เพราะโลกนี้เป็นโลกของสมมุติ การสมมุตินั้นไม่มีจุดจบในตัวมันเอง การสมมุติคือเนื้อหาของทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมไอน์ไสตน์จึงต้องการหาจุดคงที่ของจักรวาล the absolute point of the universe เพราะถ้าได้จุดคงที่แล้ว ก็สามารถเอาจุดคงที่นั้นเป็นเกณฑ์แน่นอนของการวัดสิ่งต่าง ๆ ได้ ถ้าไม่มีจุดคงที่ ก็วัดอะไรไม่ได้ ต้องสมมุติจุดหนึ่งให้คงที่และวัดจากจุดสมมุตินั้น ซึ่งผลออกมาก็เป็นสมมุติทั้งสิ้น ไม่มีอะไรแน่นอน

แม้ระบบศีลธรรมในยุคนี้ ก็คิดอย่างเทียบเคียงเปรียบเทียบกันอันเป็นผลโดยตรงของการไม่รู้จุดคงที่ของจักรวาล เมื่อไม่มีใครรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิต จึงไม่สามารถวัดได้ว่าทำอะไรอย่างไร แค่ไหน จึงเรียกว่าดี ดีกว่า ดีมาก และดีที่สุด เมื่อคนดีน้อยนำตนเองไปเปรียบเทียบกับการกระทำของคนที่เลวกว่า ก็เห็นตนเองเป็นคนดีกว่าในสายตาของคนเลวกว่า (เรื่องนี้ได้พูดไว้แล้วในเรื่องใบไม้กำมือเดียว) เมื่อมีผู้นำที่ตาบอดทางจิตวิญญาณด้วยแล้ว ปัญหาสังคมก็ยิ่งไปกันใหญ่ เช่น รัฐบาลอังกฤษเพิ่งออกกฏหมายให้คนสูบกัญชา cannabis ได้โดยไม่ผิดกฏหมาย สมัยก่อนมีการจับ แต่เพราะคนใช้ยาเสพติดชนิดนี้มีมากจนเกินไป จับไม่ไหวแล้ว จึงปล่อยให้เป็นเรื่องถูกกฏหมายไปเสียเลย ฉะนั้น ใครที่ทำผิดในข้อนี้เพียงไม่กี่เดือนก่อน มาเดี๋ยวนี้กลับกลายเป็นเรื่องถูกต้อง ปัญหาอยู่ที่ว่า แม้ยาเสพติดชนิดนี้จะเรียกว่าเป็นชนิดอ่อน soft drugs ก็ตาม แต่มันก็มีผลทำให้คนสูบแล้วคุมสติตนเองไม่อยู่ ขับรถชนคนตายอันปรากฏเป็นข่าวมาแล้ว และยังส่งเสริมอาชญกรรมในระดับต่าง ๆ ใครไม่มีเงินซื้อยาเสพติดก็ต้องไปจี้ปล้นเพื่อหาเงินมาซื้อ นอกจากนั้นการเปิดไฟเขียวให้คนใช้ยาเสพติดชนิดอ่อนนี้ยังเป็นบันไดขั้นสำคัญที่จะนำคนไปสู่ยาเสพติดชนิดที่แรงกว่าเช่น โคเคน และ เฮโรอิน การกระทำที่มืดบอดเหล่านี้ล้วนเป็นผลของสังคมสมมุติที่ไม่รู้จุดคงที่ของจักรวาลหรือพระนิพพานทั้งสิ้น

สิ่งที่ชาวโลกโดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ไม่รู้คือ เขาไม่รู้ว่าที่จริงแล้วพระพุทธเจ้าได้ค้นพบจุดคงที่ของจักรวาล พระนิพพานคือจุดคงที่นั้น แต่เป็นจุดคงที่ที่ไม่คงที่ดังที่ได้เปรียบเทียบกับการเคลื่อนที่ของรถไฟสองขบวน  ที่พูดได้เช่นนี้ จะต้องเห็นพระนิพพานและต้องรู้วิธีการคิดของนักการศึกษาตะวันตกโดยเฉพาะของนักวิทยาศาตร์ หากไม่มีความรู้ทางโลกแล้ว แม้จะเห็นพระนิพพาน ก็พูดโยงให้นักการศึกษารุ่นใหม่ฟังไม่ได้ว่าพระนิพพาน สัจธรรมสูงสุด และจุดคงที่ของจักรวาลคือสิ่งเดียวกัน เราพูดได้ เพราะเราเห็นพระนิพพานและรู้ว่านักการศึกษารุ่นใหม่และนักวิทยาศาสตร์คิดอย่างไร จึงพยายามโยงคำสำคัญต่าง ๆ เหล่านี้ให้มาอยู่เคียงข้างพระนิพพานเพื่อช่วยให้คนเข้าใจโครงสร้างของชีวิตได้ดีขึ้น เช่น คำว่า พระเจ้า เต๋า ต้นไม้แห่งชีวิต the tree of life สัจธรรมอันสูงสุด ultimate truth จุดคงที่ the absolute point in nature

ฉะนั้น ถ้าคนทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นชาวพุทธ คริสต์ อิสลาม หรือ คนไม่มีศาสนาเชื่อแต่วิทยาศาสตร์และต้องการหาจุดคงที่ของจักรวาล หากพวกเขาเข้าใจได้ว่าชีวิตเกิดมาเพื่อการเดินทางให้ถึงเป้าหมายอันเป็นคำต่าง ๆ เหล่านั้นละก็ ชีวิตของเขาจะมีความหมายขึ้นมาทันที และจะเดินทางอย่างไรนั้น คำตอบอยู่ที่อริยมรรคมีองค์แปดประการเท่านั้น คือ เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ถ้าพูดให้รัดกุมมากขึ้นคือเรื่องสติปัฏฐานสี่ที่เราพยายามโฆษณาให้ชาวโลกรับรู้นั่นเอง นอกจากพระพุทธเจ้าแล้ว ยังไม่มีศาสดาท่านใดที่สามารถพูดสอนอย่างรัดกุมได้เท่าพระพุทธเจ้า 

หากชาวคริสต์ยอมรับการตีความหมายเรื่องพระเจ้าของเราแล้ว คือ นำพระเจ้ามาอยู่เสมอเหมือนกับพระนิพพานแล้ว เขาสามารถเอาหลักการเรื่ององค์มรรคของพุทธไปปรับเข้ากับวัฒนธรรมทางคริสต์ศาสนาของเขาได้อย่างง่ายดาย จะก่อให้เกิดการปฏิบัติที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งการปฏิบัติที่ชัดเจนเช่นเรื่องสติปัฏฐานสี่นั้นยังไม่มีในคริสตศาสนา แม้คนที่อยากทำดี แต่ถ้าใจไม่แข็งแกร่งพอ เมื่อเผชิญปัญหาทางใจ ก็ไม่มีแรงต้าน เพราะขาดทั้งพลังสมาธิและปัญญา จึงเหลือแต่การหลับหูหลับตาเกาะเกี่ยวอยู่กับพระเจ้าที่แม้ตนเองก็ไม่รู้ว่าหน้าตาพระเจ้าเป็นอย่างไร ศรัทธาของคนเชื่อในพระเจ้าจึงคลอนแคลนง่าย  

 

พระเจ้าช่วยไม่ได้ แต่กฏแห่งกรรมช่วยได้

มีเพื่อนเล่าให้ฟังว่า ได้รู้จักภรรยาของบาทหลวงที่อยู่โบสถ์ใกล้บ้าน เธออยู่ในวัยสี่สิบเศษเท่านั้น แต่ถูกโรคไขข้อคุกคามมากจนทำงานไม่ได้ เจ็บปวดมาก เธอเล่าให้ฟังว่า มีบางครั้งที่ภรรยาของบาทหลวงผู้นี้เริ่มตั้งคำถามสงสัยในพระเจ้าที่เธอได้เทิอดทูนบูชาอย่างสูงสุดมาตลอดชีวิต เพราะเธอไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าจึงยอมปล่อยให้เธอต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับโรคภัยไข้เจ็บมากมายเพียงนี้ทั้ง ๆ ที่เธอกับสามีก็ได้ทุ่มเทชีวิตทั้งหมดให้กับการรับใช้พระเจ้าแล้ว

อีกรายหนึ่งเกิดที่โบสถ์ใกล้บ้านที่ลูกเราไปกับคุณย่ามาตั้งแต่เล็ก ไม่นานมานี้ คุณย่ามาเล่าให้ฟังว่าสามีภรรยาคู่ที่ทุกคนรู้จักกันดีมากเพราะอุปถัมส์โบสถ์มาตลอดและไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ไม่เคยขาดมากว่ายี่สิบปี แต่มาบัดนี้เลิกไปเสียเฉย ๆ แล้ว เพราะลูกชายคนโตที่เข้าโบสถ์มาตลอดกับพ่อแม่ตั้งแต่เล็ก ๆ มาบัดนี้เป็นโรคจิตชนิดหนึ่งจนทำงานอะไรไม่ได้เลย ต้องอยู่กับบ้านเฉย ๆ กลายเป็นภาระที่พ่อแม่ต้องแบก การหยุดไปโบสถ์ของสามีภรรยาคู่นี้ก็เป็นผลของศรัทธาที่ง่อนแง่นคลอนแคลน ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมพระเจ้าจึงลงโทษตนเองเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่ได้ทุมเทชีวิตจิตใจให้พระเจ้ามามากต่อมาก

ชาวคริสต์ที่ไปโบสถ์อย่างต่อเนื่องไม่น้อยเลยที่ศรัทธาเริ่มคลอนแคลนเมื่อมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นกับตนเองหรือคนที่ตนรัก จนทำให้ต้องเลิกเชื่อพระเจ้าไปในที่สุด

นี่เป็นผลโดยตรงของความไม่ชัดเจนในหน้าตาของพระเจ้าหรือสภาวะของสัจธรรมอันสูงสุดนั่นเอง เมื่อเป้าหมายไม่ชัด ภาคปฏิบัติหรือองค์มรรคจึงไม่ชัดเช่นกัน ในขณะที่ศาสนาพุทธเรามีความชัดเจนทั้งเป้าหมายและองค์มรรค ตัวอย่างสองเรื่องที่เล่ามานั้น พุทธศาสนาเราสามารถอธิบายด้วยเรื่องกฏแห่งกรรมอย่างง่ายดาย เมื่อเข้าใจเรื่องการทำงานของกรรมอย่างถูกต้องแล้ว แม้จะถูกมรสุมชีวิตคุกคามมากเพียงใดก็ตาม ศรัทธาก็ไม่ถอย จะยิ่งทำให้มีแรงบันดาลใจในการทำความดีมากขึ้นเพื่อความดียิ่งขึ้นในอนาคต หรือจะเลือกทางออกที่ดีที่สุดโดยการไปนิพพานก็ยังได้ ซึ่งเรื่องกรรมเป็นสิ่งที่ศาสนาคริสต์ไม่มี ชาวคริสต์จึงมีปัญหามากเมื่อถูกชีวิตทดสอบเอา

  

ทุกคนรักตัวเองมากที่สุด

คนเรานั้นเมื่อปราศจากสัมมาทิฏฐิและไม่รู้เรื่องการบังคับควบคุมความคิดและความรู้สึกแล้ว จะยกโทษหรือให้อภัยคนที่ทำเราเจ็บปวดอย่างง่าย ๆ นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ จะให้ทำตามคำสอนของพระคริสต์ที่ว่าเมื่อใครมาตบแก้มขวาแล้ว ยื่นแก้มซ้ายให้เขาตบแถมไปด้วย หรือใครมาขโมยเสื้อก็แถมกางเกงให้เขาด้วย หรือ รักศัตรูให้เหมือนรักตัวเอง  นั้นเป็นอุดมคติที่ทำไม่ได้ง่ายนัก คนทำได้จริง ๆ คงมีบ้างเป็นส่วนน้อย และก็ขึ้นอยู่ว่าใครมาทำร้ายเรามากน้อยแค่ไหนด้วย ถ้าถูกทำน้อย ๆ ก็คงให้อภัยได้ แต่ถ้าถูกทำมากถึงขนาดทำร้ายชีวิตของคนที่เรารัก ก็คงให้อภัยกันยากมาก โลกจึงปั่นป่วนและเดินมาถึงจุดวิกฤตการณ์เช่นนี้

พระพุทธเจ้าเราไม่ตรัสคำพูดที่เป็นอุดมคติอย่างพระเยซูเลย ท่านกลับพูดผ่าหัวใจเข้าไปถึงข้อเท็จจริงที่คนทุกคนต้องการกลบเกลื่อนโดยบอกว่า  คนทุกคนรักตัวเองมากที่สุด มีใครมาบอกว่า รักลูกมากที่สุดนั้น ก็ยังไม่จริงเท่ากับการรักตัวเอง เพราะคนเรารักตัวเองมากที่สุด ความสุขของเราก็คือการได้อยู่กับคนที่เรารัก เช่น พ่อแม่ พี่น้อง ลูก ๆ หลาน ๆ ญาติ ๆ และเพื่อนที่เรารักสนิทชิดชอบ เราจึงรักคนเหล่านี้มาก เพราะคนเหล่านี้ทำให้เรามีความสุข ทำให้ชีวิตเราสมบูรณ์ เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นกับคนที่เรารัก เราย่อมเจ็บปวดไปกับเขาด้วย และถ้าคนที่เรารักมาถูกคนอื่นฆ่าตายอย่างทารุณแล้ว ชีวิตเราย่อมแตกสลายไปด้วย สงครามก็คือ ภาวะที่คนสองฝ่ายทะเลาะเบาะแว้งจนถึงขั้นเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน การฆ่ากันเกิดขึ้นเมื่อใด ความโกรธ ความเคียดแค้น ความอยากโต้ตอบให้หายแค้นย่อมเกิดตามมา นี่เป็นสายโซ่ของปฏิจสมุปบาทที่เกิดขึ้นในจิตใจของคนแต่ละคน เป็นเหมือนเชื้อเพลิงคอยเติมให้ภาวะสงครามดำเนินไปได้เรื่อย ๆ

ทำไมปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนยิวกับชาวปาเลสไตน์จึงแก้ไม่ได้สักที ไม่ต้องไปดูอื่นไกล เพียงแค่ดูสีหน้าของคนเหล่านั้นว่ามีความจงเกลียดจงชังต่อกันและกันมากสักแค่ไหน สายโซ่ปฏิจจสมุปบาทได้หมุนอยู่ในจิตใจของคนเหล่านี้อย่างสุดเหวี่ยงแล้ว หยุดมันไม่ได้แล้ว ภาวะสงครามจึงแก้ไม่ได้ เรื่องสันติภาพในตะวันออกกลางนั้นไม่ต้องพูดเลย เป็นไปไม่ได้ แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในคำสอนของพระคริสต์ว่า ไม่สามารถนำมาปฏิบัติได้อย่างแท้จริง

 

ชาวพุทธทำตามคำสอนของพระคริสต์ได้ดีกว่าชาวคริสต์

เรื่องวิปัสสนาของพระพุทธเจ้านั้นสามารถช่วยให้คนปฏิบัติทำตามคำสอนของพระคริสต์ได้ง่ายขึ้น คนที่ปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาจนใจสงบ ไม่หวั่นไหวแล้วนั้น จะสามารถปฏิบัติธรรมข้อรักศัตรูเหมือนรักตนเองได้ ภาคปฏิบัติจริง ๆ ไม่ใช่ต้องไปเป่าประกาศให้ชาวบ้านรู้ว่า นี่ฉันรักเธอนะ ฉันไม่เกลียดเธอนะ หรือการแสดงออกโดยการกอดรัด หรือหอมแก้มอย่างฝรั่งชอบทำกันโดยเฉพาะชาวคริสต์ที่ไปโบสถ์ในวันอาทิตย์

เราเคยไปโบสถ์กับลูก ๆ เมื่อเขาเล็กอยู่ เมื่อบาทหลวงเทศน์และทำพิธีเสร็จแล้ว ทุกคนที่นั่งใกล้กันต้องหันหน้าเข้าหากันและจับมือกันหรือไม่ก็จุ๊บที่แก้มกันบ้าง ต้องทำต่อ ๆ กัน แม้กับคนแปลกหน้าที่เราไม่รู้จักหรือคนที่ไม่ถูกโฉลกมาก่อน ก็ต้องทำหากเขานั่งอยู่ใกล้ในรัศมีที่แตะกันได้ ต้องจับมือกันหมดอย่างทั่วถึงคนแล้วคนเล่า ก็ไม่รู้ว่าโบสถ์อื่นทำเช่นนี้หรือไม่ เป็นการปฏิบัติที่สามีเราไม่ชอบที่สุด เขาว่ามันเสแสร้งมากเกินไป เขาทำไม่ได้ เขาจึงไม่ชอบไปโบสถ์ แต่นี่คือการปฏิบัติที่ต้องการแสดงออกว่าฉันรักเธอนะตามคำสอนของพระคริสต์ ซึ่งเป็นจริงอย่างที่สามีพูด เป็นเรื่องเสแสร้งไม่น้อย เป็นการแสดงออกทางกายที่จิตใจไม่ได้รู้สึกตามก็มี เพราะเมื่ออยู่นอกโบสถ์แล้ว อาจนินทาลับหลังกันป่นปี้ก็ได้

เรื่องการรักเพื่อนบ้านและศัตรูเหมือนรักตนเองนั้น คนที่ฝึกวิปัสสนาจนใจไม่หวั่นไหวก็เริ่มทำตามคำสอนของพระคริตส์ในข้อนี้ได้แล้ว ไม่ใช่โดยการแสดงออกแบบจับไม้จับมืออย่างชาวคริสต์ แต่โดยการอยู่เฉย ๆ นี่แหละ ในขณะที่ใจสงบและอยู่เฉย ๆ นั้น ก็ไม่ได้ไปเกลียดชังใครแม้คนที่ไม่ชอบเราและตั้งตัวเป็นศัตรูด้วย คนที่ใจสงบแล้วจะเกลียดคนอื่นไม่เป็น โดยเฉพาะคนที่ปฏิบัติจนถึงขั้นอัตโนมัติแล้ว ทุกครั้งที่คิดมิดีมิร้าย วิปัสสนาญาณจะเข้ามาจัดการของมันเอง แมวจะเขมือบหนูทิ้งทันที ทำเองอย่างเป็นอัตโนมัติ  ไม่มีโอกาสจะเกลียดคนอื่นได้ จึงยกตัวอย่างเรื่องอยู่ที่น้ำตกคลองลานให้ดู ใจที่สงบและเป็นอิสระนั้น นอกจากไม่กลัวอันตรายแล้ว ยังไม่สามารถคิดเกลียดหรือทำร้ายคนอื่นได้ ยังคิดจะชงกาแฟ ต้มมาม่าเลี้ยงคนที่คิดจะมาทำร้ายตนเองได้

ฉะนั้น คนที่ปฏิบัติวิปัสสนาจะทำตามคำสอนของพระคริสต์ได้ง่ายมาก ศาสนาพุทธต้องสาบสูญจากอินเดียเมื่ออิสลามมาบุกนาลันทาและฆ่าพระสงฆ์ตายมากมาย เพราะพระสงฆ์ไม่สามารถฆ่าคนได้ ยอมถูกฆ่าดีกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ธิเบตก็เช่นกัน ท่านดาไลลามะจึงต้องระเหเร่ร่อนอยู่ทุกวันนี้ การกระทำของพระสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็นการปฏิบัติตามข้อธรรมของพระคริสต์ที่สอนให้รักศรัตรูเหมือนรักตนเองทั้งสิ้น ซึ่งชาวพุทธเราทำได้ดีกว่าชาวคริสต์เพราะเรามีเรื่องวิปัสสนาอันเป็นภาคปฏิบัติที่ชัดเจนกว่าของคริสต์ศาสนามาก

นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราพยายามจะช่วยชาวคริสต์โดยการเอาเรื่องวิปัสสนาหรือสติปัฏฐาน ๔ ให้เขานำไปใช้ปรับปรุงเข้ากับความเชื่อในเรื่องพระเจ้าของตน น่าจะทำได้มาก หากเจ้าหน้าที่ทางศาสนาของเขายอมรับฟัง ถ้าชาวคริสต์ไม่มีเรื่องวิปัสสนาแล้ว ไปไม่รอดแน่ สงครามระหว่างศาสนาซึ่งถ้าไม่ใช่ระหว่างคริสต์กับคริสต์ ก็คริสต์กับอิสลาม จะต้องสู้กันอยู่เช่นนี้เรื่อยไปจนโลกอาจแตกสลายไปสักวัน นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องพูดทิ้งไว้ให้คนข้างหลังรับรู้