บทที่ ๗ ต้องฟังผู้รู้จึงจะเลี้ยวถูกทาง

 

เมื่อตั้งคำถามผิดก็หลงเข้าป่าลึก

เมื่อคืนนี้นั่งดูสารคดีเรื่อง ทดสอบพระเจ้า Testing God มีเนื้อเรื่องว่า ฝรั่งพยายามจะหาจุดเริ่มต้นของจักรวาล นักวิทยาศาสตร์มาสรุปลงที่ทฤษฎี big bang ว่า หลังจากการระเบิดครั้งใหญ่นั้นแล้ว ทุกอย่างในจักรวาลก็ค่อย ๆ วิวัฒนาการขึ้นมาจนกระทั่งเกิดมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณ human consciousness แต่นักวิทยาศาตร์ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า หากทุกอย่างในจักรวาลสามารถอธิบายด้วยวิธีการทางคณิตศาสตร์ ด้วยตัวเลขแล้ว ทำไมปรากฎการณ์ต่าง ๆ จึงบังเอิญเหลือเกินว่ามาลงที่ตัวเลขอันเฉพาะเจาะจงนั้น ๆ เพราะถ้าตัวเลขนั้นเคลื่อนไปแม้เพียงนิดเดียวเท่านั้น ปรากฏการณ์นั้น ๆ ก็จะไม่เกิด เช่น หากตำแหน่งของโลกเปลี่ยนไปแม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ย่อมมีผลกระทบต่อแรงโน้มถ่วงและบรรยากาศของโลกทั้งหมด น้ำอาจไม่ก่อตัวภายใต้สถานการณ์นั้น ๆ  เมื่อไม่มีน้ำ สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ย่อมไม่มี และมนุษย์ก็จะไม่เกิด

เมื่อคิดถึงจุดนี้แล้ว นักวิทยาศาสตร์บางคนจึงตั้งคำถามว่า ทำไมทุกอย่างที่เกิดขึ้นช่างเป็นเรื่องบังเอิญมากจนน่าใจหาย จนอยากคิดว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นพระเจ้า A divined creator เป็นผู้บันดาลให้ทุกอย่างเกิดขึ้นและเป็นไปตามที่มันได้เป็นไปแล้วและกำลังเป็นอยู่ แต่เมื่อเอ่ยถึงพระเจ้าแล้ว เขาก็มาพบทางตันเช่นกัน เพราะไม่สามารถอธิบายสภาวะของพระเจ้าอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ได้ เช่น ใครเป็นคนสร้างพระเจ้าที่มาสร้างโลก พระเจ้ามาได้อย่างไรและมีหน้าตาอย่างไร ไม่มีใครตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ จึงยอมรับพระเจ้าไม่ได้เช่นกัน

 

เถียงเรื่องอจินไตย ไปไม่ได้ไกล

เราพยายามดูรายการนี้อย่างตั้งอกตั้งใจ ดูแล้วก็รู้สึกสงสารฝรั่งทั้งฝ่ายนักวิทยาศาสตร์และฝ่ายนักการศาสนาว่า เขากำลังพูดอะไรกันหนอ ทำไมจึงมาเสียเวลาทั้งชาติหาคำตอบที่หาไม่ได้เช่นนี้ เพราะเรื่องที่เขากำลังนั่งถกเถียงกันอยู่นี้เป็นเรื่องที่ไม่มีคำตอบ เรื่องความเป็นไปและเป็นมาของโลก จักรวาล และสังสารวัฏ หรือธรรมชาติทั้งหมด นั้นเป็นเรื่องลึกลับที่ไม่มีใครรู้อย่างแท้จริงว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ไม่มีใครรู้ว่าทำไมปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ จึงดำเนินไปอย่างถูกต้องเหมาะเจาะจนมนุษย์และสัตว์ได้รับประโยชน์จากมันอย่างเอนกอนันต์ เช่น ทำไมอ๊อกซิเจนหนึ่งส่วนกับไฮโดรเจนสองส่วนจึงเกิดเป็นน้ำได้ พอ ๆ กับที่ไม่รู้ว่าทำไมมันจึงดำเนินไปอย่างผิดพลาดจนเกิดหายนะภัยอย่างรุนแรง เช่น นักธรณีวิทยาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ แผ่นดินจึงไหวได้จนทำลายชีวิตทั้งคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อมอย่างมากมาย We don’t know what goes right as much as we don’t know what goes wrong.

สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์คิดว่าเข้าใจดีแล้วนั้น เมื่อมองอย่างลึกซึ้งแล้วเขายังไม่เข้าใจอะไรเลย เพียงรู้ว่ามันเกิดได้อย่างไร how เท่านั้น  ยังไม่สามารถตอบคำถามว่า ทำไม why ได้จริง ๆ นี่จึงเป็นคำถามที่มนุษย์ถกกันมาหลายร้อยปีแล้วก็ยังหาคำตอบอะไรไม่ได้ ทุกวันนี้ก็ยังนั่งถกนั่งเถียงกันอยู่นั่นแหละ ไม่จบไม่สิ้น

 แม้พระพุทธเจ้าก็ตอบไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้มาเสียเวลาถกปัญหาเรื่องการกำเนิดของโลกและจักรวาลซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับสังสารวัฏนั่นเอง ท่านยกให้เป็นเรื่องอจินไตย คือรู้ไม่ได้ และไม่จำเป็นต้องไปรู้มัน คนส่วนมากมองไม่ออกว่า ที่จริง โลกและจักรวาลนี้ก็คือเสี้ยวหนึ่งของถนนวงแหวนแห่งสังสารวัฏที่ใหญ่ยิ่งนัก แต่ฝรั่งมองเรื่องนี้ไม่ออก ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนว่าอย่าถามว่าสังสารวัฏมาอย่างไร ไปอย่างไร ถามมากแล้วจะบ้า เพราะไม่มีคำตอบ แต่นี่คือสิ่งที่ปัญญาชนฝรั่งกำลังทำอยู่ ทุ่มเททั้งชีวิตและทรัพยากรมากมายเพื่อหาคำตอบที่หาไม่ได้

 

พระพุทธเจ้าอธิบายจักรวาลด้วยทฤษฎีอิทัปปัจยตา

แม้พระพุทธเจ้าจะไม่มีคำตอบเรื่องจุดเริ่มต้นและปลายสุดของจักรวาลก็ตาม ท่านก็อธิบายจักรวาลตามทฤษฎีของท่านคือ ทฤษฎีอิทัปปัจจยตาที่ว่า ถ้ามีสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ ก็จะเกิดขึ้น เป็นการยอมรับทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่แล้วว่าทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน ซึ่งฟังดูแล้วก็ไม่ได้อธิบายอะไรใหม่เลย นักวิทยาศาสตร์เขาก็รู้แล้วว่าทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน cause and effect มิหนำซ้ำ เขายังสามารถเจาะลึกเข้าไปได้อีกว่าเนื้อหาสาเหตุเป็นอย่างไรจึงเกิดผลเช่นนี้ ๆ เขาสามารถอธิบายได้เป็นวรรคเป็นเวรมากกว่าพระพุทธเจ้าเสียอีก

แต่ทำไมพระพุทธเจ้าจึงพิเศษกว่าฝรั่งตรงไหน คำตอบคือ ในขณะที่ฝรั่งกำลังเจาะลึกเข้าไปสู่เรื่องเหตุผลของธรรมชาติรอบตัวเรานั้น พระพุทธเจ้าเจาะเข้าไปอธิบายในตัวมนุษย์เสียเอง ท่านแยกมนุษย์ออกเป็นขันธ์ ๕ และจากทฤษฎีอิทัปปัจยตาก็กลายมาเป็นเรื่องปฏิจจสมุปบาท โดยอธิบายว่า ถ้ามีอวิชชาเป็นปัจจัยแล้ว ทุกข์ก็เกิด แต่ถ้ามีวิชชาเป็นปัจจัยแล้วก็จะนำมนุษย์ไปสู่สภาวะนิพพานอันเป็นอมตธรรมได้ในที่สุด

พอคนเห็นนิพพาน รู้เรื่องอมตธรรม หรือสัจธรรมอันสูงสุดของจักรวาลแล้ว ก็จะย้อนกลับมาเข้าใจเรื่องโลกและจักรวาลนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่เป็นการรู้คำตอบที่อธิบายไม่ได้ด้วยคำพูด และคำตอบนั้น ที่จริงมันก็อยู่เบื้องหน้าของคนทุกคนแล้ว  

 

พระพุทธเจ้าเก่งที่สุด

ตอนนี้พูดได้แต่เพียงว่า ในบรรดาคนเก่งทั้งหลายในประวัติศาสตร์และแม้ในปัจจุบันนี้ พระพุทธเจ้าเก่งที่สุด เพราะท่านมีวิธีการที่จะพาคนไปหาคำตอบของชีวิต โลก และจักรวาลได้อย่างแยบคายมากกว่านักการศาสนาและนักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ เพราะท่านรู้ของจริง รู้สัจธรรมอันสูงสุดของจักรวาล แต่ก็อย่างว่าแหละ ถ้าไปพูดเช่นนี้กับฝรั่ง เขาต้องบอกว่า เราก็ต้องเข้าข้างศาสดาของเรา ถ้าเราบอกว่า เราเองก็เห็นสัจธรรมอันสูงสุดนั้นนะ เขาก็ต้องหัวเราะจนฟันหลุดแน่ หาว่าเราบ้า ซึ่งถ้าเขาทำจริง มันก็เป็นปฏิกิริยาที่ถูกต้องแล้ว เพราะคนมืดบอดจะไม่เชื่อว่ามีสัจธรรมอันสูงสุดของจักรวาลและมีคนรู้เห็นได้ด้วย เขาต้องคิดตามประสาคนมืดบอดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ถ้าผู้รู้ไม่ถูกหัวเราะเยาะ ก็เป็นผู้รู้ไม่ได้

 

โลกนี้เป็นที่อยู่ของขนโค

ตอนนี้ สามารถสรุปกับตัวเองได้แล้วว่า จะไม่มีทางทำให้สังคมโลกโดยส่วนรวมเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ เป็นไปไม่ได้เลย โลกต้องเป็นอย่างนี้อยู่วันยังค่ำ เพราะมันคือโลกอันเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งหรือคุก ๆ หนึ่งบนถนนวงแหวนแห่งสังสารวัฏ อันเป็นที่อยู่ของคนมืดบอดที่มีจำนวนเท่าขนโค โลกนี้ไม่ใช่เป็นที่อยู่ของเขาโค เป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น และจะไม่กลับมาอีกแล้ว ใครที่เป็นขนโคก็ต้องทำอะไรอย่างมืด ๆ บอด ๆ ตามประสาของคนยังมีอวิชชา

พอเดินผิดทางนิดเดียวโดยตั้งคำถามผิด ๆ เท่านั้น เขาก็ต้องหลงทางเข้าป่าลึกของความคิดและออกจากป่านั้นไม่ได้เลย นี่คือปัญหาของปัญญาชนฝรั่ง คนที่รู้เห็นพระนิพพานแล้ว จึงรู้ว่า ป่าของความคิดเป็นป่าที่อันตรายมาก จะพลัดเข้าไปไม่ได้เป็นอันขาด คนไม่รู้ มักชอบเข้าไปอยู่ในป่าของความคิดจนหาทางออกไม่ได้

 

ต้องเริ่มที่การรับฟังผู้รู้เท่านั้น

จึงพูดเสมอว่าใครอยากไปนิพพานต้องหัดดีดความคิดออกให้เก่ง วิปัสสนาคือเรื่องการดีดออกหรือปล่อยความคิดนั่นเอง เป็นการพาตนออกจากป่าของความคิด ถ้าดีดความคิดไม่ออก ถามอะไรเรื่อยเปื่อยอย่างไม่มีจุดหมายแล้ว ไปกันใหญ่ เข้ารกเข้าพง ออกไม่ได้เลย เหมือนที่ปัญญาชนฝรั่งกำลังติดอยู่

ฉะนั้น คำว่าสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้านั้นมีความหมายลึกซึ้งยิ่งนัก ต้องเริ่มจากการยอมรับฟังผู้รู้ และหัดถามคำถามที่ควรถาม คำถามไหนที่ไม่ควรถาม ต้องไม่ไปยุ่งกับมันอย่างคำถามที่เป็นอจินไตยทั้งหลาย การตั้งคำถามที่ถูกต้อง เช่น ถามว่าเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร เป้าหมายชีวิตอยู่ที่ไหน คำถามเหล่านี้จะก่อให้เกิดช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ถ้าเลี้ยวถูกทางก็จะพบองค์มรรคทันที เกิดได้ยากมาก คนนั้นต้องมีบารมีอย่างแท้จริง จึงเลี้ยวถูกทางได้  แต่ถ้าคนไม่ถามคำถามเหล่านั้น ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตจะไม่เกิด จะหลงทางอยู่ในป่าของความคิดอีกนาน

ใครมีโอกาสอ่านหนังสือใบไม้กำมือเดียว และยอมเชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ยอมเชื่อว่าชีวิตเกิดมาเพื่อการเดินทางให้ถึงเป้าหมายสูงสุด จึงเหมือนกำลังพาตนเองออกจากป่าลึกของความคิด มายืนอยู่ที่ปากทางขององค์มรรคแล้ว ใครอ่านคู่มือชีวิตและยอมทำตามทุกข้อที่ได้แนะนำไว้ คือ

๑) ตั้งความปรารถนาหมดทุกข์อย่างแรงกล้า

๒) รักษาศีลห้า

๓) ไม่ขี้เหนียว

๔) ทำตัวเรียบง่าย

๕) ไม่กลัวตาย

๖) เชื่อกฏแห่งกรรม

ใครทำได้เพียงเท่านี้โดยยังไม่ต้องฝึกสมาธิวิปัสสนาเลย ก็เท่ากับเข้าสู่องค์มรรคแล้ว เดินเข้าสู่ถนนที่จะพาไปสู่การหมดทุกข์อย่างสิ้นเชิงแน่นอน เท่ากับได้ซื้อตั๋วเที่ยวเดียวเพื่อไปนิพพานแล้ว ไม่กลับอีกแล้ว 

 การทำคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นเรื่องเข้าใจง่ายนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับยุคนี้ที่คนห่างไกลศาสนามากขึ้น คนรู้จริง เห็นพระนิพพานจริงจะสามารถทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย แต่คนรู้ไม่จริง จะทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก ใช้คำยาก ๆ ที่ฟังแล้วไกลเกินตัว หรือไม่ก็พูดศาสนาพุทธเป็นปรัชญาไปเลย นี่อันตรายมาก เท่ากับทำให้คนที่อยู่ปากทางของถนนไปนิพพานพลัดไปสู่ป่าลึกของความคิดอีก ขอให้จับหลักง่าย ๆ ว่า ใครที่พูดให้หยุดคิดมากนั้นถูกต้องกว่าการยุให้คิดมาก