บทที่เก้า การอยู่อย่างมีรากแก้ว
เราชอบทำงานในครัวโดยเฉพาะการปอกมันฝรั่ง
หั่นผัก ถูบ้าน รีดผ้า หรือทำอะไรก็ได้อันเป็นกิจกรรมที่ง่าย ๆ
ของชีวิตประจำวันโดยต้องใช้การเคลื่อนไหวของมือและไม่ต้องใช้ความคิดมากนัก
สามารถทำงานนั้นเฉย ๆ โดยไม่ต้องคิด เมื่อไม่ต้องคิด
สติจึงเต็มเปี่ยมอย่างเป็นธรรมชาติ บางครั้งเพียงเอื้อมมือไปเปิดตู้ที่เก็บถ้วยชาม
สติเต็มเปี่ยม ปีติท่วมท้นหัวใจ
จึงทำให้เห็นว่าเพียงการเปิดตู้กับข้าวก็สามารถเป็นกิจกรรมของชีวิตที่เอร็ดอร่อยมากอย่างบอกไม่ถูกและคาดไม่ถึง
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการอยู่อย่างมีรากแก้วของชีวิตอย่างแท้จริง
รากแก้วคือการที่สติสามารถหยั่งลึกอยู่บนฐานใดฐานหนึ่งของสี่ฐานโดยเฉพาะฐานที่หนึ่ง
รากแก้วนั้นจึงยึดชีวิตไว้อย่างมั่นคงในปัจจุบันขณะนั้น ๆ ใจจึงไม่มีการซัดส่าย
ชีวิตของทุกลมหายใจเข้าออกจึงผ่านพ้นไปอย่างสมบูรณ์เต็มเปี่ยมและมั่นคงอยู่บนฐาน
สภาวะพื้น ๆ ง่าย ๆ นี้แหละ ตอนนี้รู้แน่ชัดแล้วว่ามันคือ ชีวิตอมตะ eternal life ที่คนส่วนมากก็อยากได้อยากเป็นกันทั้งนั้นโดยเฉพาะชาวคริสต์
แต่ไม่รู้จะได้ชีวิตอมตะเช่นนี้มาอยู่กับตนได้อย่างไร
ได้เอาประสบการณ์นี้ไปสอนนักศึกษา
บอกให้เขาสังเกตเอาเองว่า วันไหนสามารถเปิดตู้เก็บถ้วยชามในครัวและรู้สึกถึงความอร่อยของกิจกรรมที่เรียบง่ายนั้นละก็
ขอให้รู้ว่า ประสบการณ์นั้นคือชีวิตอมตะ
เป็นการพบความมหัศจรรย์ของการปฏิบัติสติปัฏฐานสี่ที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว
เห็นนักศึกษาบางคนอมยิ้มแสดงสีหน้าที่ไม่เข้าใจและไม่อยากเชื่อ คงคิดว่าเราพูดเวอร์ไปหน่อย
หรือไม่รู้ว่าเราเอาอะไรมาพูด แค่การเปิดตู้กับข้าวจะมีอะไรนักหนาเชียว
เขาคงคิดเช่นนั้น ใครไม่พบกับตนเองก็ไม่รู้
พระอริยเจ้าคือผู้เริ่มใช้ชีวิตอมตะ
การฝึกทำสิ่งต่าง ๆ อย่างมีสติเต็มเปี่ยมในชีวิตประจำวันนั้น
ที่จริงคือการหัดใช้ชีวิตอมตะ ซึ่งเป็นเรื่องตรงไปตรงมาและไม่ซับซ้อนเลย
เป็นการฝึกฝนให้อยู่อย่างเป็นพระอริยเจ้าโดยตรงจริง ๆ ทำได้อึดใจหนึ่ง
ตอนนั้นก็ใช้ชีวิตอมตะเป็นพระอริยเจ้าไปอึดใจหนึ่งเหมือนกัน
ทำได้หลายนาทีก็เป็นพระอริยเจ้าไปหลายนาทีแล้ว ทำได้นานเป็นชั่วโมงก็เป็นพระอริยเจ้านานเป็นชั่วโมงเช่นกัน
ทุกคนสามารถฝึกสติปัฏฐานที่หนึ่งได้ในกิจกรรมของชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องไปนั่งหลับตาทำสมาธิเลยก็ได้
ใครทำสมาธิแบบหลับตาได้ด้วยก็ดี
ในแง่ที่พลังสมาธิจะช่วยเสริมให้ชีวิตที่เคลื่อนไหวอยู่นั้นมีสติที่คมชัดมากขึ้น
แต่ถ้าใครไม่มีเวลาทำมากก็ไม่เป็นไร จับเรื่องสติปัฏฐานที่หนึ่งให้อยู่เท่านั้น
รากแก้วของชีวิตก็จะหยั่งลึก
เป็นการฝึกใช้ชีวิตอมตะหรือหัดอยู่อย่างพระอริยเจ้าเป็นชั่วขณะ ๆ
เมื่อมีความชำนาญในการกำหนดมากขึ้น ก็จะยืดชีวิตอมตะออกไป จนในที่สุด
สติจะเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ และนั่นคือสภาวะของพระอรหันต์
ทุกคนทำสิ่งเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องอ่านหนังสือธรรมะมากเลยก็ได้
ไม่จำเป็นต้องรู้บัญญัติเลยก็ได้ คนอ่านมาก รู้บัญญัติมากจะกลายเป็นสิ่งกีดขวาง
ทำเรื่องง่าย ๆ อย่างนี้ไม่ได้
จิตจะขวนขวายคิดเทียบเคียงประสบการณ์กับบัญญัติอยู่เสมอ เมื่อคิดเทียบเคียงเช่นนั้น
ใจก็พลัดออกจากอมตธรรมทันที คนที่อ่านน้อย หรือไม่อ่านหนังสือธรรมะเลย
เมื่อจับหลักการปฏิบัติเช่นนี้ได้ และทำอย่างไม่หยุดยั้ง เขาก็สามารถไปลิ่วได้
จะอยู่กับอมตธรรมได้ง่าย
ตอนนี้เข้าใจปัญญาระดับนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งและทำได้ง่ายมาก
แต่ไม่รู้คนอื่นจะเข้าใจได้สักแค่ไหน
คงเป็นเรื่องตื้นเขินเกินไปจนกลายเป็นเรื่องลึกมากสำหรับคนอื่น
คนส่วนมากจึงไปสาละวนคิดหาคำตอบอื่นที่จะให้ชีวิตมีความหมายมากขึ้นจนมากเรื่องเปล่า
ๆ ยิ่งหาก็ยิ่งหลงทางมากขึ้น ยิ่งหาก็ยิ่งไม่พบ ต้องหยุดหา และหยั่งรากแก้วลง
(คือมีสติให้ชัด)ในปัจจุบันขณะทันที ความหมายที่เรียบง่ายของชีวิตก็อยู่ตรงนั้นเอง
ฉะนั้น คนที่ทำงานใช้สมองมากจะเสียเปรียบ
รากแก้วของชีวิตจะหยั่งไม่ได้ลึก เพราะสมองต้องคิดอยู่เรื่อย
คนที่รู้สถานะตนเองและอยากใช้ชีวิตอมตะจึงต้องรู้จักจัดเวลาให้กับการฝึกฐานที่หนึ่งให้ได้
ถ้าไม่ทำแล้ว จะติดอยู่ในวงกลมแห่งความเลวร้าย vicious circle ซึ่งเป็นวงกลมในระดับเล็กสุดของวงกลมใหญ่อันคือสังสารวัฏนั่นเอง
ฉะนั้น
ต้องพยายามแหวกวงกลมอันเลวร้ายนี้ให้ได้โดยการฝึกฐานที่หนึ่งอย่างสม่ำเสมอ
สลัดโคลนหลุดได้เสมอ
ตอนนี้มายืนอยู่ฝั่งนี้แล้ว
ถึงรู้ว่าชีวิตของคนที่อยู่ฝั่งนี้ก็คือความเต็มเปี่ยมของสติที่ไม่ขาด ๆ หลุด ๆ
จนเป็นธรรมชาติธรรมดาของชีวิต ไม่ว่าจะทำอะไร เคลื่อนไหวอย่างไร จะช้าหรือเร็ว
สติจะกำกับอยู่เสมอ เป็นชีวิตที่มีรากแก้วอันหยั่งรากลึก
จึงไม่สั่นโยกคลอนแคลนอีกต่อไป แม้ความคิดที่พาเอากิเลสเล็ก ๆ น้อย ๆ
เข้ามาก็จะถูกเห็นอย่างเป็นธรรมชาติและถูกดีดผึ๋งออกอย่างง่ายดาย
และกลับมาอยู่กับอมตะธรรมเสมอ เป็นกลไกธรรมชาติของมันเอง
สมัยที่ยังไม่รู้จักอมตธรรม เป็นการสู้แบบชกสุ่มสี่สุ่มห้าไปในที่มืด
ถูกเป้าบ้างผิดเป้าบ้าง ชกไปก็แล้วกัน ไม่รู้ว่ากำลังทำถูกหรือทำผิด เดี๋ยวนี้
ไม่ว่าจะถูกสาดโคลนอย่างไร ก็สลัดโคลนหลุดได้เสมอ
นี่เป็นรสชาดที่แม้คนอยู่ฝั่งโน้นก็สามารถชิมได้โดยการฝึกสติปัฏฐานที่หนึ่งให้เก่งและชำนาญ
เดี๋ยวก็มาอยู่ฝั่งนี้เอง
เจ้าหญิงมากาแร๊ตใช้ชีวิตที่เต็มเปี่ยมจริงหรือ?
เมื่อเจ้าหญิงมากาแร๊ต
น้องสาวของราชินีอังกฤษตายเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น
เจ้าฟ้าชายชาลส์ได้พูดถึงคุณน้าว่าเป็นหญิงที่ใช้ชีวิตอย่างเต็มเปี่ยมจนกระทั่งมาล้มป่วยลงในช่วงสองปีก่อนตาย
ฟังเจ้าฟ้าชายชาลส์พูดถึงเจ้าหญิงมากาแร๊ตว่าใช้ชีวิตอยู่อย่างเต็มเปี่ยมแล้ว
อดถามไม่ได้ว่า รู้หรือว่าชีวิตเต็มเปี่ยมต้องใช้อย่างไร ที่จริง
ชีวิตของเจ้าหญิงมากาแร๊ตเป็นชีวิตที่เศร้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง
และใช้ชีวิตอย่างประชดประชันมากกว่าจะเรียกว่าเต็มเปี่ยมได้
เริ่มจากชีวิตวัยสาวก็ไปหลงรักชายที่หย่าแล้วและมีอายุมากกว่าตนถึง ๑๘ ปี
ถ้าเลือกความรัก ก็หมายความว่าต้องสละตำแหน่งราชวงศ์อันสูงส่ง
จึงต้องเลือกการรักตัวเองเพื่อเก็บตำแหน่งที่ฟ้าดินประทานมาให้
หลังจากนั้นก็แต่งงานประชดความผิดหวังในรักครั้งแรก เมื่อไม่ได้แต่งเพราะรัก
ชีวิตแต่งงานจึงไปไม่รอด ต้องหย่าร้างกันในที่สุด ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวไร้คู่ครอง
จึงประชดชีวิตอีก เพราะมีเงินมาก จึงไปสร้างบ้านที่เกาะมุสติ๊ก ห่างไกลผู้คนในวัง
และใช้ชีวิตอย่างอิสระเหมือนคนโสดทั่วไปที่ยังรักสนุก
อยากทำอะไรก็ทำโดยไม่แยแสต่อคำครหานินทาของคนทั่วไปจนคนเลิกพูดเลิกนินทาไปเอง
วันหนึ่งสูบบุหรี่ ๖๐ มวน ช่วงสองปีก่อนตายนี่ ก็ทรมานไม่น้อย ชีวิตเช่นนี้จะไปเรียกว่าเต็มเปี่ยมได้อย่างไร
เป็นชีวิตที่น่าเศร้ามากกว่า
คนที่เกิดมาพร้อมกับคาบช้อนทองติดมาด้วยนั้น
จะว่าโชคดีก็ได้ จะว่าโชคร้ายก็ได้เช่นกัน
โชคดีในแง่ที่ว่าไม่ต้องมานั่งลำบากทำมาหากิน สามารถนั่งกินนอนกินทั้งชาติได้
โชคร้ายในแง่ที่ว่า เมื่อมีวัตถุ สถานะ ชื่อเสียงสมบูรณ์ทุกอย่างแล้ว
จึงไม่มีความตื่นเต้นอะไรเหลืออยู่ในชีวิตอีก
คนที่รวยล้นนั้นจะกลายเป็นคนที่น่าเศร้ามาก
เมื่อสามารถใช้เงินซื้อทุกอย่างที่เป็นวัตถุได้จนไม่มีอะไรให้ซื้ออีกต่อไป
แล้วจะไปหาความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ มาจากไหน สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คนจนไม่เคยได้
เมื่อได้มาก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างเหลือหลายนั้นเป็นความรู้สึกที่คนรวยสัมผัสไม่ได้และเข้าใจไม่ได้เลย
ความเต็มเปี่ยมของชีวิตที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็เมื่อมีการฝึกสติปัฏฐาน
หยั่งรากแก้วของชีวิตให้ลึกเข้าไปในปัจจุบันขณะเท่านั้น คนที่คาบช้อนทองมาเกิดอาจโชคร้ายในแง่ที่ว่าจะปฏิบัติเช่นนั้นได้ยากมาก
เพราะต้องแบกสถานะที่สูงส่งไว้
จะทำตัวเป็นคนเรียบง่ายก็แสนจะยากเพราะตำแหน่งหน้าที่ทางสังคมไม่อำนวยให้ทำ
จะไปไหน ทำอะไรก็มีคนห้อมล้อมเต็มไปหมด ต้องวางตัวตามที่สังคมกำหนด นอกจากนั้น
จิตใจยังต้องแบกสมบัติพัสถานเอาไว้ด้วย ยิ่งมีมากก็ยิ่งต้องแบกมาก
เป็นห่วงเป็นใยว่าจะทำอย่างไรกับมัน จะแบ่งอย่างไร ให้ใครดี
เป็นความหนักหน่วงที่เพิ่มจากความหนักของขันธ์ ๕ ที่ทุกคนมีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ฉะนั้น คนที่คาบช้อนทองมาเกิดนั้น เมื่อถึงเวลาต้องปล่อยวางทุกอย่างจึงปล่อยได้ยาก
เพราะใจถูกถ่วงด้วยของหนักมาก
ต้องตั้งความปรารถนาพระนิพพานเพื่อหมดทุกข์อย่างเด็ดเดี่ยวจริง ๆ จึงจะทำได้
มิเช่นนั้นแล้ว ล้วนถูกกิเลสลากพาไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่งทั้งสิ้น
ถ้าไม่สามารถทำชีวิตให้เต็มเปี่ยมในแง่การฝึกสติได้แล้ว
สิ่งรองลงมาที่ทำได้คือ การช่วยเหลือผู้อื่น
คนที่เกิดมารวยและมีสถานะสูงส่งนั้นสามารถทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นได้มาก
โดยพยายามใช้อำนาจและทัรพย์สินที่ท่วมท้นของตนออกมาช่วยเหลือผู้ที่ลำบากกว่าตน
ยิ่งใครที่สามารถลดตัวเองลงมาคลุกคลีช่วยเหลือคนธรรมดาหรือคนจนได้แล้ว
คนนั้นก็จะเป็นที่รักของคนหมู่มาก ชีวิตก็จะมีคุณค่ามากขึ้น
เจ้าหญิงไดอาน่าแม้ชีวิตจะเต็มไปด้วยปัญหาส่วนตัว
แต่ท่านก็พยายามทำงานการกุศลช่วยเหลือคนที่มีโอกาสน้อยกว่า
ประจวบกับยังสาวและสวยพราวเสน่ห์ คนจึงรักมาก เมื่อตายไป คนหลั่งน้ำตาท่วมท้น
ดอกไม้ทั่วเกาะอังกฤษถูกนำมาบูชาเจ้าหญิงไดอาน่าหมด ผิดกับเจ้าหญิงมากาแร๊ต
คนอังกฤษไม่ค่อยได้สนใจมากเท่าไร เพราะท่านทำประโยชน์ให้แก่คนอื่นน้อยมาก
อย่าเสียชาติเกิด
สิ่งสุดท้ายที่อยากเน้นให้คนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งที่ยังพอมีบารมีอยู่บ้างคือ
ต้องพยายามเอาเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นในโลกขณะนี้มาเขย่าตัวเองให้ตื่นจากความหลับไหลของอวิชชา
และพยายามแสวงหาสิ่งที่พึ่งได้อย่างแท้จริง
พระพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอนเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนาที่จะช่วยคนให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏหรือถึงนิพพาน
ซึ่งแตกต่างจากคริสต์และอิสลามมากมายอย่างเทียบกันไม่ได้
นี่คือข่าวดีที่ชาวพุทธจะต้องตระหนักให้ชัด
การเป็นชาวพุทธก็เหมือนได้เพชรเม็ดงามที่ล้ำค่ามากำอยู่ในมือแล้ว
ต้องไม่ขว้างปามันทิ้งไปอย่างไม่ใยดี
นักการศึกษาไทยต้องไม่พยายามกีดกันเอาหลักสูตรพุทธศาสนาออกไป
และเปิดโอกาสให้เด็กไทยเรียนศาสนาคริสต์กับอิสลามมากขึ้น
ซึ่งดูเหมือนให้เสรีภาพแก่คนอย่างทั่วถึง นี่เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นเลย
ถ้าทำเช่นนั้นก็เหมือนกับปาเพชรเม็ดงามที่อยู่ในมือแล้วทิ้งไปอย่างไม่ใยดี
และคว้าเอาก้อนกรวดมากำไว้แทน เมืองไทยเป็นดินแดนพุทธอยู่แล้ว มีของดีแล้ว
อย่าไปลดค่าตนเองเสีย พูดเหมือนหยิ่ง แต่ไม่หยิ่ง พูดเช่นนี้เพราะรู้จริง เพราะรู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่
อยากพูดกับคนที่มีบารมีว่า
ไหน ๆ ก็เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาแล้ว
อย่าร่ำไรรอโน่นรอนี่หาข้อแก้ตัวให้เสียเวลาเลย
ขอให้ตั้งเป้าหมายว่าอย่างน้อยที่สุด ชาตินี้ก็ต้องบรรลุโสดาบันให้ได้
ทำทุกอย่างที่เราแนะนำไว้ในคู่มือชีวิตเท่านั้น ก็รับประกันให้ได้ว่าเป็นโสดาบันแน่นอน
ถ้าอยากเอามากกว่านั้น ก็มุ่งพระนิพพานในชาตินี้เสียเลย รีบเร่งฝึกวิปัสสนาเร็ว ๆ
อย่ารอช้า อย่าพลาดโอกาสทองเช่นนี้เป็นอันขาด กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกที
ศาสนาพุทธอาจไม่อยู่ให้เห็นแล้วก็ได้
ขอให้ทุกคนทำหน้าที่ต่อตนเองด้วยความไม่ประมาทเถิด