อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน
บทนำ
โดยธรรมชาติของนักเขียนนั้น
เมื่อต้องการเขียนหนังสืออะไรสักเล่มหนึ่ง
จำเป็นต้องเห็นโครงสร้างทั้งหมดของหนังสือที่ต้องการเขียนนั้น
รู้ชัดว่าต้องการถ่ายทอดอะไรให้แก่ผู้อ่าน มีเป้าหมายอะไร
เมื่อรู้โครงสร้างทั้งหมดแล้ว จึงค่อยมาเรียบเรียงรายละเอียดในขณะที่เขียนและต้องให้อยู่ในโครงสร้างนั้น
ๆ
ก่อนเขียนใบไม้กำมือเดียวและคู่มือชีวิตนั้น
ดิฉันสามารถเห็นโครงสร้างทั้งหมดของหนังสือได้อย่างชัดเจน
รู้ชัดว่าต้องการถ่ายทอดอะไรให้แก่ผู้อ่าน และต้องการให้ผู้อ่านบรรลุเป้าหมายอะไร
สำหรับหนังสือเล่มนี้ เป็นเรื่องที่กลับกันอย่างสิ้นเชิง
เป็นหนังสือที่เริ่มเขียนจากรายละเอียดก่อน
แล้วค่อยมาเห็นโครงสร้างของหนังสือในภายหลังเมื่อการเขียนได้ก้าวหน้าไปมากแล้ว
ดิฉันกลับมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่เดือนเมษายนถึงมิถุนายน
๒๕๔๔ เพื่อเขียนคู่มือชีวิตภาคภาษาไทยจนเสร็จ
กลับมาอังกฤษคิดว่าจะแปลหนังสือภาษาอังกฤษของดิฉันที่มีชื่อเรื่องว่า Can a Caterpillar be Perfect? เป็นภาษาไทยตามคำขอร้องของเพื่อนคนหนึ่ง
เพราะเห็นว่า
มีเนื้อหาที่สามารถช่วยให้นักปฏิบัติธรรมเข้าใจการทำงานของจิตใจได้ดีขึ้น และแล้ว
ยังมีคู่มือชีวิตภาคสองที่ยังรอให้เขียนอยู่
แต่เมื่อกลับมาอังกฤษในปลายเดือนมิถุนายน
ในขณะที่กำลังอ่านตรวจทานแก้ไขหนังสือเรื่องใบไม้กำมือเดียวอยู่นั้น
เนื่องจากเพิ่งกลับจากเมืองไทยใหม่ ๆ และมีเหตุการณ์ต่าง ๆ
เกิดขึ้นไม่น้อยในช่วงสามเดือนนั้น จึงมีความคิดว่า น่าจะบันทึกเหตุการณ์เด่น ๆ
ที่เกิดขึ้นนั้นในขณะที่ความรู้สึกและความทรงจำยังสด ๆ อยู่ มิเช่นนั้นแล้ว
เมื่อเวลาผ่านพ้นไป อาจจะลืม หรือ
เมื่อความรู้สึกเปลี่ยนและจางไปตามกฎแห่งอนิจจังแล้ว
จะไม่สามารถพูดถึงมันได้อย่างถึงพริกถึงขิงเหมือนตอนที่ความทรงจำยังสดใหม่อยู่ คิดว่าเป็นการบันทึกเอาไว้เล่น ๆ
และอาจจะนำมาใช้ได้บ้างเมื่อมีการเขียนหนังสือเล่มต่อไปในอนาคต
การเริ่มบันทึกเหตุการณ์บางอย่างจึงเกิดขึ้นในระหว่างที่กำลังอ่านแก้ไขใบไม้กำมือเดียวอยู่
เมื่อเริ่มเขียนบันทึกเช่นนั้น การเอ่ยพาดพิงถึงเหตุการณ์ในอดีตจึงเกิดตามมา
มีความรู้สึกว่าควรบันทึกเหตุการณ์ในอดีตนั้น ๆ ลงไปด้วย
ตอนแรกก็เขียนเพียงพอให้ตนเองเข้าใจเท่านั้น เหมือนเป็นบันทึกย้อนหลังคุยกับตัวเอง
จึงใช้สรรพนามว่า เรา และใช้วลี จำได้ว่า เขียนไปแล้ว
รู้สึกเรื่องชักบานปลายมากขึ้นทุกที
ถึงจุดนั้นพบว่ากำลังเล่าเหตุการณ์ชีวิตของตนเองโดยไม่ได้ตั้งใจ
ประมาณต้นเดือนสิงหาคม
ดิฉันเริ่มถามตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่
ในช่วงนั้นยังเหมือนตนเองกำลังเขียนบันทึกย้อนหลังสลับกับมีความคิดอะไรเข้ามาในหัวอันเนื่องกับเหตุการณ์ในขณะนั้น
ๆ ก็เขียนไป ไม่ได้คิดว่าจะจับเป็นงานเขียนที่เป็นชิ้นเป็นอันแต่อย่างใด แต่จำนวนหน้าที่เขียนลงไปก็เพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ และบางสิ่งก็มีประโยชน์ต่อผู้อื่นไม่น้อยหากเขามีโอกาสได้อ่าน
จึงเริ่มถามตัวเองว่า
ถ้าจะให้สิ่งที่เขียนไปทั้งหมดในช่วงนั้นเป็นหนังสือเล่มหนึ่งละก็
ควรจะตั้งชื่อหนังสือเล่มนั้นว่าอะไร ทันทีที่ป้อนคำถามนี้เข้าไปในหัวเท่านั้น
คำตอบที่ชัดเจนก็สวนออกมาว่า อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน
เพียงได้ยินเสียงในหัวเท่านั้น ดิฉันถึงกับผงะ
ตอนนั้นกำลังนั่งบนเก้าอี้เอนใต้ต้นจำปีที่ปลายสวน จึงอดเหลียวซ้ายแลขวาไม่ได้ว่า
อาจจะมีใครมาทำเสียงแว่วให้ฟังผิดไปก็ได้ จึงถามอีก คำตอบออกมาเหมือนเดิมทุกประการ
ชัดเจนมาก จึงบอกกับตัวเองว่า บ้าอีกแล้วเรา ใครจะเขียนหนังสืออย่างนั้นได้
คนจะหมั่นไส้เอา หาว่าเราบ้าแน่ จะเอาอะไรมาอวดให้เขาฟัง ถามตัวเองว่า
เอ
หรือว่าเราบ้าจริง ๆ ถามใครก็ไม่ได้ด้วย
หลังจากวันนั้นแล้ว
ดิฉันก็ไม่ได้ไปสนใจชื่อเรื่องหนังสือนั้นอีก เพราะรู้ว่า เมื่อเวลาผ่านไป
ความคิดต้องเปลี่ยนแปลงแน่นอนตามกฎอนิจจัง อีกสามเดือนมาถามใหม่
คงมีชื่อเรื่องใหม่ ๆ มากมายให้เลือกอีก แน่ใจว่าต้องเป็นเช่นนั้น
จากต้นเดือนกรกฎาคมจนถึงปลายเดือนกันยายนนั้น
เป็นช่วงที่ต้องยอมรับว่า ไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่
ซึ่งมิใช่เป็นลักษณะนิสัยของดิฉันเลย หากดิฉันจะทำอะไร ก็ต้องรู้ให้ชัดว่า ทำทำไม
ทำอย่างไร เมื่อทำแล้วก็ต้องทำให้เสร็จ แต่ในช่วงสามเดือนนั้น
ดิฉันไม่รู้เลยว่าเป้าหมายของสิ่งที่เขียน ๆ ไปควรเป็นอะไร เขียนไปทำไม
เป็นภาวะที่สับสนมาก รู้แต่ว่าในหัวถูกกระหน่ำด้วยความทรงจำของอดีตมากมายที่รู้อีกว่าต้องบันทึกเอาไว้
ในช่วงสามเดือนแรกนั้น จึงเป็นการเขียนแบบสลับไปสลับมา จับหัวข้อโน้นบ้าง นี้บ้าง
ยุ่งไปหมด วันหนึ่งอาจจะเขียนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ ๒๕ ปีก่อน
สามวันต่อมามีเหตุการณ์ปัจจุบันเกิดขึ้น เช่นเหตุการณ์ที่ผู้ก่อการร้ายเอาเครื่องบินชนตึกในวันที่
๑๑ กันยายน จึงละทิ้งเรื่องของอดีต
มานั่งเขียนเหตุการณ์ปัจจุบันอย่างเป็นวรรคเป็นเวร พอเขียนเสร็จแล้ว
ก็ย้อนกลับไปเขียนเรื่องในอดีตอีก
เพราะไม่มีชื่อเรื่องหนังสือที่ต้องการ
เป้าหมายจึงไม่ชัด เขียนไปแล้วก็ไม่รู้ว่าควรไปสรุปอะไรที่ตรงไหน อย่างไร
ถ้ามีชื่อเรื่องที่แน่ชัดและตกลงปลงใจด้วย
ดิฉันก็จะสามารถเห็นโครงสร้างและวางเป้าหมายอย่างถูกต้อง
จะได้เรียบเรียงเนื้อหาในส่วนรายละเอียดให้โน้มไปสู่เป้าหมายนั้น
เข้าต้นเดือนตุลาคม ดิฉันยังไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังทำอะไรจริง ๆ มีความรู้สึกเหมือนเหยียบเรือสองแคม
อยากไปข้างหน้าก็ไม่รู้เป้าหมายที่ชัดเจน ครั้นจะเดินถอยหลัง
ก็เห็นจำนวนหน้าที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
และมีรายละเอียดที่เป็นประโยชน์ต่อคนไม่น้อย และรู้ด้วยว่ามีพลังสิ่งหนึ่งที่ทำให้ต้องเขียนสิ่งเหล่านี้
กลางเดือนตุลาคม ดิฉันถามตัวเองถึงชื่อเรื่องหนังสือเล่มนี้อย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง
คำตอบออกมาเหมือนกันทุกครั้งว่า อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน เป็นความคิดที่ใสแจ๋ว
ไม่มีความลังเลสงสัยติดค้างอยู่เลย เหมือนมีคนอื่นเอามาใส่ไว้ในหัวให้
และบอกให้ทำไป ไม่ต้องคิดมาก เถียงมาก แม้ขณะนี้ดิฉันก็ยังยืนยันได้ว่าชื่อเรื่องหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่เป็นความต้องการของดิฉันเลย
สามารถเลี่ยงไปใช้วลีอื่นที่ลดความรุนแรงและความห้าวหาญในธรรม
แต่ไม่ว่าจะพยายามป้อนความลังเลสงสัยให้ตนเองมากเท่าใดก็ตาม ไม่สำเร็จ
หนังสือเล่มนี้จะต้องมีชื่อนี้ชื่อเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม จากจุดนั้นเอง
ดิฉันจึงค่อย ๆ ยอมรับชื่อเรื่องหนังสือเล่มนี้
หลังจากที่ยอมรับชื่อเรื่องหนังสือเล่มนี้แล้ว
ดิฉันเริ่มรู้ว่าจะต้องพูดเรื่องอะไรบ้าง
การเรียบเรียงรายละเอียดของเนื้อเรื่องและหัวข้อต่าง ๆ จึงค่อย ๆ
ชัดเจนขึ้นและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการเขียนกระโดดหัวข้ออีกต่อไป
ความชัดเจนในเป้าหมายของหนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ยิ่งเขียนมากขึ้น ก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมจึงต้องเขียนหนังสือเล่มนี้
หรือให้ถูก ควรพูดว่าทำไมจึงถูกดลบันดาลใจให้เขียนหนังสือเล่มนี้มากกว่า
จนในที่สุด ดิฉันได้คำตอบออกมาเองว่าทำไมจึงต้องอวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตนอันเป็นเป้าหมายของหนังสือเล่มนี้
ซึ่งเป็นบทสุดท้ายที่เขียนในระหว่างช่วงปลายเดือนมกราคมและต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
นี่เอง ส่วนภาคผนวกคือ หัวข้อต่าง ๆ
ที่เขียนในช่วงสามสี่เดือนแรกเมื่อมีเหตุการณ์ปัจจุบันเกิดขึ้น และมีเรื่องที่คิดว่าน่าจะคุยบันทึกเอาไว้
บัดนี้
ดิฉันสามารถมองย้อนกลับและเห็นภาพทั้งหมดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเก้าเดือนนี้ได้อย่างชัดเจน
จึงสามารถพูดเรื่องโครงสร้างและเป้าหมายของหนังสือเล่มนี้ได้
เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่การอธิบายสภาวะพระนิพพาน
หรือให้ถูกต้อง น่าจะพูดว่า ผู้ที่ดลบันดาลใจให้ดิฉันเขียนหนังสือเล่มนี้
ต้องการให้ดิฉันพูดอธิบายสภาวะพระนิพพานเสียมากกว่า ไม่ต้องถามว่าใครดลบันดาล
ดิฉันเองก็ไม่ทราบว่าใคร
ผู้ที่ยังไปไม่ถึงพระนิพพานนั้น
จำเป็นต้องพูดถึงพระนิพพานโดยการอ้างอิงจากตำรับตำราและครูบาอาจารย์
ย่อมไม่รู้สภาวะของพระนิพพานอย่างแท้จริง ส่วนผู้ที่ถึงนิพพานแล้วเล่า
จะพูดถึงพระนิพพานจากประสบการณ์ของตนเองโดยไม่ต้องอ้างอิงตำรับตำราและครูบาอาจารย์อีกต่อไป
และตัวหนังสือกับประสบการณ์จริง ๆ นั้นก็เป็นคนละเรื่องกันอีก
เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย
แต่ปัญหาใหญ่คือ พระนิพพานเป็นสภาวะที่พูดไม่ออก
บอกไม่ได้ ประสบการณ์ของผู้เดินทางที่ไปถึงนิพพานแล้วนั้น
เป็นสิ่งที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ยากที่สุด หลายสิ่งหลายอย่างพูดไม่ได้เลย
ไม่รู้จะพูดอย่างไร ฉะนั้น
ผู้ที่บรรลุธรรมขั้นสูง หากไม่มีทักษะในการพูด การอธิบาย และการสอนคนมาก่อนแล้ว
จะอธิบายและสอนไม่เป็น ดังที่ชาวพุทธที่สนใจธรรมะมากหน่อยจะรู้ว่า
ในสมัยพุทธกาลนั้น มีพระอรหันต์มากมายที่สอนคนไม่เป็น เมื่อบรรลุธรรมแล้ว
ส่วนมากก็หายเงียบไปเลย ไม่มีการพูดถึงอีก ส่วนพระอรหันต์ที่สอนคนได้เก่ง
คือผู้ที่มีจริตนิสัยหนักไปด้านปัญญา เช่น พระสารีบุตร เป็นต้น
ยิ่งมาถึงยุคนี้ซึ่งเลยค่อนกึ่งพุทธกาลมาแล้วนั้น
คนที่มุ่งมั่นปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังย่อมน้อยลงมาก
และคนที่ปฏิบัติจนบรรลุธรรมขั้นสูงสุดย่อมมีน้อยลงไปอีกแทบจะเรียกว่างมเข็มในมหาสมุทรก็ได้
แต่ในส่วนตัวของดิฉันยังอยากคิดว่า คนที่บรรลุธรรมขั้นสูงในหมู่ชาวพุทธฝ่ายเถรวาทน่าจะมีไม่น้อย
คำว่า ไม่น้อย นี้
เมื่อเปรียบเทียบกับเข็มในมหาสมุทรที่คนส่วนมากคิดว่าอาจจะมีเพียงคนสองคนเท่านั้นโดยเฉพาะในยุคสมัยที่เรากำลังอยู่นี้
น่าจะหมายถึง ๑๐ ๒๐, ๓๐ คนอย่างนี้มากกว่า ส่วนพระอริยเจ้าในระดับต้น ๆ นั้นต้องมีมากกว่าแน่
แต่เจ้าตัวไม่รู้ว่าตนเองอยู่ในระดับไหน พระโสดาบันนี่รู้สถานะตนเองไม่ได้
เพราะยังทุกข์มากอยู่ เพราะตราบใดที่ยังมีคนเดินตามทางแห่งองค์มรรคอยู่
มีคนปฏิบัติสติปัฏฐานสี่แล้วไซร้ ย่อมมีคนที่เดินถึงฝั่งพระนิพพานอย่างแน่นอน
แต่คนส่วนมากไม่รู้เพราะคนที่ยังมีภูมิธรรมไม่ถึงขั้นเท่าเทียมกันแล้ว
ย่อมตัดสินคนที่มีภูมิธรรมเหนือกว่าไม่ได้ นอกจากนั้น
ผู้ที่เข้าถึงความเป็นธรรมชาติธรรมดาอย่างถึงที่สุดหรือพระนิพพานแล้วนั้น
ย่อมไม่อยากคลุกคลีอยู่กับความสกปรกโสมมของโลกสมมุติ ถ้าเป็นพระสงฆ์องค์เจ้าแล้ว
ก็อาจจะปลีกตัวไปอยู่ป่าหรือไม่ก็ใช้ชีวิตอย่างปกติธรรมดาจนกระทั่งดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานไปโดยที่ไม่มีใครรู้เลยก็ได้
ถ้าเป็นฆราวาสก็อาจจะใช้ชีวิตธรรมดาอย่างง่าย ๆ ยุ่งกับคนน้อยที่สุด
โดยที่ไม่มีใครรู้ถึงภูมิธรรมที่แท้จริงของท่านเลยก็ได้ ผู้รู้ที่ใช้ชีวิตอย่างซ่อนเร้นเช่นนี้ส่วนมากจะไม่มีทักษะในการสอนคนให้เดินตาม
เพราะอย่างที่พูดแล้วว่า พระนิพพานเป็นเรื่องที่พูดไม่ออก บอกไม่ได้
คนที่เข้าถึงความเป็นธรรมดาแล้ว จะเห็นทุกอย่างเป็นธรรมดาไปหมด
แล้วจะมีเรื่องอะไรให้พูดอีก สอนอีก
การสอนคนก็ยังต้องมีอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือ ได้สร้างเมตตาบารมีมาพอสมควร
คนที่เข้าถึงความเป็นธรรมดาของชีวิตนั้นจะเห็นแม้ความทุกข์ของมนุษย์ทั้งหลายก็เป็นเรื่องธรรมดามาก
เพราะตนเองหมดทุกข์แล้ว ถ้าไม่ได้สร้างเมตตาบารมีมาแล้ว ก็โน้มไปสู่การไม่สอนคน
ก็ไม่ผิดอะไร เพราะได้ทำหน้าที่ต่อตนเองสำเร็จลุล่วงแล้ว
ผู้รู้ที่กล้าประกาศตนเองว่ารู้ธรรมขั้นสูงนั้น
จึงเหลือน้อยมาก และในจำนวนน้อยมากนั้น คนที่สามารถพูดอธิบายถึงสภาวะพระนิพพาน
หรือถ่ายทอดประสบการณ์ของพระนิพพานอย่างชัดเจนก็ยิ่งน้อยลงไปอีก
พระสงฆ์องค์เจ้าที่ไม่มีพื้นฐานการศึกษาทางโลกเลย เมื่อได้บรรลุธรรมขั้นสูงแล้วและมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์อย่างมหันต์นั้น
เมื่อถึงเวลาสอนคน ท่านยังถนัดที่จะพูดหรือเทศน์ไปตามประเพณีที่สืบทอดกันมา
คือใช้ภาษาพระที่ตนถนัด สำหรับผู้รับนั้น
การพูดสอนตามประเพณีนั้นอาจจะเหมาะสมกับคนกลุ่มหนึ่งที่มีจริตนิสัยคล้ายคลึงกับผู้ให้
แต่อาจจะไม่เหมาะสมกับคนที่จริตนิสัยต่างออกไป จึงเข้าใจไม่ได้
โดยเฉพาะคนยุคใหม่ที่ห่างไกลศาสนาด้วยแล้ว
จะฟังภาษาพระไม่รู้เรื่องเอาเลยแม้คำง่าย ๆ ก็ตาม
ไม่มีผู้รู้คนไหนที่สามารถสอนคนให้เห็นธรรมด้วยวิธีเดียวกันหมด แม้พระพุทธเจ้าเอง
ทุกครั้งที่ท่านจะสอน ท่านยังต้องสอนเล็งไปคนที่พร้อมจะบรรลุธรรมแล้ว
แต่สิ่งที่เด่นออกมาในตัวท่านผู้รู้คือ
ท่านจะมีความห้าวหาญในธรรมที่ท่านได้รู้เห็นประสบมาแล้ว
แม้จะไม่เคยศึกษาพระไตรปิฎกหรืออ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
ท่านก็ยังสามารถพูดธรรมะขั้นสูงได้ ความห้าวหาญในธรรมที่พูดนั้นเป็นคุณสมบัติที่มีในท่านผู้รู้เท่านั้น
คนที่ยังเข้าไม่ถึงธรรมอย่างแท้จริงจะไม่มีความกล้าหาญเช่นนั้น
ฉะนั้น คนที่เข้าถึงธรรมขั้นสูงด้วย
ประกอบกับการมีพื้นฐานการศึกษาทางโลกมาก่อนด้วย
และมีความสามารถในการเขียนอย่างเป็นระบบด้วย
เมื่อองค์ประกอบเหล่านี้มารวมกันได้แล้ว ย่อมก่อให้เกิดคุณสมบัติเด่นขึ้นมาในแง่ที่ว่า
ผู้รู้นั้นจะสามารถพูดเรื่องเป้าหมายของชีวิต
หรือเรื่องนิพพานที่พูดได้ยากมากให้คนเข้าใจได้ดีขึ้น ชัดขึ้น
จะสามารถบอกทางไปสู่พระนิพพานได้ชัดเจนขึ้น
นอกจากนั้น ผู้รู้เช่นนี้ ยังสามารถวางระบบการสอนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนที่เด่นชัดให้แก่ผู้ที่ต้องการเดินตามเพื่อไปถึงพระนิพพาน
อย่างน้อยก็แก่กลุ่มคนที่มีจริตนิสัยคล้ายคลึงกัน การสามารถเข้าใจข้อธรรมต่าง ๆ
โดยเฉพาะสภาวะพระนิพพานนั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญสำหรับผู้ปรารถนาพระนิพพาน
เหมือนกับบอกให้คนรู้จักหน้าตาบ้านของตนเอง จึงกลับเข้าบ้านตัวเองถูก
ไม่เช่นนั้นก็เข้าบ้านของตัวเองไม่ได้สักที
ถ้าเปรียบพระนิพพานเป็นเมืองเล็ก ๆ
เมืองหนึ่งที่คนไม่รู้จักเลยนอกจากคนท้องถิ่นเท่านั้น
และเมืองนี้ไม่มีป้ายเขียนประกาศให้คนเดินทางได้รู้เหมือนกับเมืองที่ทำด้วยอิฐปูนทั่วไป คนเดินทางอาจจะไปยืนอยู่กลางใจเมืองนั้นแล้ว
แต่เพราะไม่มีป้ายเขียนบอก คนเดินทางจึงไม่รู้ว่าถึงแล้ว
ยังเอี้ยวคอหาอยู่ว่าเมืองนั้นอยู่ที่ไหนหนอ
จะรู้ได้ก็โดยการถามคนท้องถิ่นเท่านั้น
คนท้องถิ่นของเมืองนิพพานก็คือผู้รู้นั่นเอง ฉะนั้น
สำหรับคนเดินทางที่ต้องการไปให้ถึงเมืองนิพพานนั้น หากได้คนท้องถิ่นมาบอกทางให้ย่อมได้เปรียบกว่าการไปนั่งงมทางเองหรือไปฟังคนที่ไม่ใช่เป็นคนของท้องถิ่น
เพราะนอกจากคนท้องถิ่นแล้ว
คนภายนอกจะรู้ไม่ได้เลยว่าเมืองนิพพานมีหน้าตาอย่างไร
หนังสือเล่มนี้คือ การใช้ความสามารถที่ได้รับจากระบบการศึกษาทางโลก
การรู้จักคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ประกอบกับมีนิสัยที่รักการขีดเขียน
รู้จักการใช้ภาษาและการเปรียบเทียบของคนร่วมสมัย
จึงสามารถอธิบายสิ่งที่ฟังยากอย่างเรื่องนิพพานให้เป็นเรื่องง่าย
ประจวบกับการได้กลายมาเป็นคนท้องถิ่นเสียเอง
คุณสมบัติเหล่านี้จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ดิฉันสามารถนำมาใช้เพื่อช่วยบอกทางให้คนเดินทางไปถึงเมืองนิพพาน
เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เป็นการเล่าเหตุการณ์ย้อนหลัง
เริ่มจากการเล่าถึงประสบการณ์ของตนเองที่ได้มาถึงเมืองนิพพานในสองครั้งแรกของชีวิตเมื่อสมัยที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่
แต่เพราะเป็นเมืองที่ไม่มีป้ายชื่อบอกไว้ จึงไม่รู้
กลับออกมาเป็นคนเดินทางที่งมหาทางเพื่อไปให้ถึงเมืองนิพพานอีก
จนกระทั่งมาถึงเมืองเดียวกันนั้นอีกในครั้งที่สามอีก ๒๑ ปีต่อมา ครั้งนี้
จึงมีการสำรวจเมืองอย่างถี่ถ้วนเหมือนการเดินเข้าไปในทุกถนน ตรอก ซอก ซอย
ของเมืองใหม่ที่มาถึงนี้ เพื่อดูให้ชัดว่ามีอะไรอยู่ที่ไหนบ้าง
เนื้อหาส่วนใหญ่ของหนังสือเล่มนี้คงจะอยู่ที่การสำรวจประสบการณ์พิสดารทางใจของตนเองในครั้งที่สามซึ่งมาถึงบัดนี้ก็เข้าปีที่
๕ แล้ว เป็นการสำรวจสภาวะพระนิพพานอย่างถี่ถ้วน
โดยพูดถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับตนเอง ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลง ปรับตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง
๙ เดือนที่เขียนหนังสือเล่มนี้อยู่นั้น
การเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนมากได้เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เพราะมีโอกาสได้เขียนหนังสือเล่มนี้ การสังเกตตนเองอย่างจริงจังจึงเกิด
จนถึงบัดนี้มีความแน่ใจว่านี่ต้องเป็นเมืองนิพพานอย่างแน่นอน จนเกิดความกล้าหาญชาญชัยที่จะเป็นไก๊ดรับอาสาพาคนออกจากสังสารวัฏเพื่อไปให้ถึงเมืองนิพพาน
หนังสือเล่มนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านในหลายระดับ
ผู้ที่จะรับประโยชน์อย่างสูงสุดจากหนังสือเล่มนี้เห็นจะเป็นผู้ที่กำลังปฏิบัติวิปัสสนาหรือสติปัฏฐานสี่อยู่
และถ้าเป็นปัญญาชนที่ถนัดฟังการเปรียบเทียบอย่างเป็นวิทยาศาสตร์แล้ว
คนกลุ่มนี้จะสามารถเข้าใจสภาวะและข้อเปรียบเทียบต่าง ๆ
ที่ได้เล่าไว้ในหนังสือเล่มนี้ได้ดีที่สุด
ส่วนผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนาแต่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว
ก็จะได้เรียนรู้ถึงวิถีชีวิตของหญิงแม่บ้านธรรมดาคนหนึ่งผู้ปรารถนาพระนิพพานอย่างแรงกล้า
จึงพยายามใช้ชีวิตให้อยู่ในร่องแห่งธรรมจนบรรลุเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต
แม้ผู้อ่านจะยังไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนา ก็ยังอาจได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือเล่มนี้
อาจจะอยากเจริญรอยตามชีวิตของผู้เขียนบ้าง สิ่งที่ดิฉันได้บอกนักศึกษาของดิฉันอยู่เสมอคือ
ถ้าหากดิฉันทำสิ่งเหล่านี้ได้ ทุกคนต้องทำได้เช่นกัน
เพราะดิฉันไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นเลย
การไปให้ถึงเมืองนิพพานมิใช่เป็นเรื่องเหลือวิสัยของมนุษย์
ต้องมองให้ออกว่านี่คือหน้าที่โดยตรงของมนุษย์ คนทุกคนล้วนมีหน้าที่ต่อตนเอง
ที่จะต้องพาตนเองไปให้ถึงเมืองนิพพานให้ได้ในที่สุด จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม
คนที่รู้เร็วหน่อยก็เรียกว่ามีบุญบารมี โชคดีมาก ก็สามารถเริ่มเดินทางได้เลย
คนที่รู้ช้า ก็เริ่มการเดินทางได้ช้า ถ้าไม่รู้เลย การเดินทางก็ไม่เกิด
ดิฉันไม่เคยคิดว่าตนเองจะทำได้ แต่ก็ทำได้แล้ว
ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตั้งความปรารถนาพุทธภูมินั้น ท่านก็เป็นคนธรรมดาเหมือนพวกเรา
การตั้งความปรารถนาที่จะพ้นทุกข์นั้นเป็นก้าวแรกของการเดินทางออกจากสังสารวัฏอย่างถาวรนั่นเอง
ต้องอย่าลืมว่า ถนนวงแหวนแห่งสังสารวัฏนั้นไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบ
มันจึงเป็นถนนที่ยาวมาก คนที่ไม่รู้เรื่องนิพพาน ไม่ประสีประสาต่อธรรมเลยนั้น
จึงต้องท่องเที่ยวอยู่ในถนนวงแหวนของสังสารวัฏอีกนานมาก
จนกว่าจะมีบุญบารมีมากพอที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาอีก ซึ่งบัดนี้
คุณก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วและพบพระพุทธศาสนาแล้ว การได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็เท่ากับได้พบคนบอกทางไปนิพพานให้แล้ว
จะต้องไม่ปล่อยให้โอกาสทองนี้พลาดไปอีก
และเป็นเหตุผลว่าทำไมคนเราจึงควรตั้งความปรารถนาที่จะพ้นทุกข์อย่างแรงกล้า
ถ้าหนังสือเล่มนี้สามารถทำให้ผู้อ่านตั้งความปรารถนาที่จะพ้นทุกข์แล้วไซร้
แม้คุณจะคิดว่าตนเองเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีความสามารถอะไรเลยก็ตาม
ความปรารถนาที่คุณได้ตั้งนั้นจะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่จะพาคุณไปสู่การหลุดพ้นจากสังสารวัฏนี้ได้ในที่สุดอย่างแน่นอน
หากคุณไม่สามารถเข้าใจหนังสือเล่มนี้ได้อย่างถ่องแท้
ก็ไม่เป็นไร ขอให้ทำตามสิ่งที่ดิฉันได้แนะนำไว้ในคู่มือชีวิตเท่านั้น จะมีสักวันหนึ่ง
ที่คุณต้องออกจากสังสารวัฏนี้ได้อย่างถาวร อันนี้ดิฉันรับประกันให้ได้
สำหรับผู้ที่ยินดีจัดตนเองอยู่ในประเภทบัวใต้น้ำ
ไม่มีความสนใจในพระพุทธศาสนาเพราะเห็นเป็นเรื่องงมงาย
จัดตนเองเป็นปัญญาชนที่บูชาการคิดนึกอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เห็นอุดมคติในเรื่องนิพพานเป็นเรื่องไกลเกินตัวหรือไม่ก็เป็นเรื่องเพ้อฝันที่
ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตนเลย
หนังสือเล่มนี้ก็ยังมีเนื้อหาที่ท้าทายปัญญาชนประเภทบัวใต้น้ำให้เริ่มมองพระพุทธศาสนาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ได้เช่นกัน
การใช้คำพูดที่รุนแรงและเฉียบขาดในหนังสือเล่มนี้อาจจะช่วยให้คนกลุ่มนี้เริ่มคิดแสวงหาตนเอง
เริ่มถามคำถามที่ควรถาม และขยับฐานะจากบัวใต้น้ำมาเป็นบัวปริ่มน้ำในอนาคตก็ได้
จึงควรให้โอกาสแก่ตนเองอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างถี่ถ้วนเสียก่อนโดยเฉพาะหัวข้อที่อธิบายสภาวะพระนิพพานอย่างเป็นวิทยาศาสตร์
ส่วนผู้ที่เห็นชื่อหนังสือเล่มนี้แล้วเกิดความหมั่นไส้
คิดว่าผู้เขียนเป็นประเภทหลงตัวเอง ไม่หยิบอ่านเลย หรือคนที่หยิบอ่านแล้ว
แต่อ่านเท่าไรก็ไม่รู้เรื่อง ก็คงไม่มีอะไรให้พูดมาก
เป็นเรื่องบุญบารมีของแต่ละคนที่ได้ร่วมสร้างกันมา
คนที่ไม่ได้ร่วมสร้างบารมีกับดิฉันมา แม้อยากช่วย ก็คงช่วยไม่ได้ แต่คนอื่นอาจจะช่วยได้หากได้สร้างบารมีร่วมกันมา
จึงขออวยพรให้คนกลุ่มนี้สามารถหาครูบาอาจารย์ที่เหมาะสมกับจริตนิสัยของตนเอง
ดิฉันจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
หนังสือเล่มนี้คงจะทำประโยชน์แก่กลุ่มคนดังกล่าวข้างต้นได้ไม่มากก็น้อย
ขอให้ทุกคนทำหน้าที่ต่อตนเองให้ดีที่สุด
ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ์ กรีน
๒๕ มีนาคม ๒๕๔๕
เบอร์มิ่งแฮม อังกฤษ