บทที่สิบสาม ญาณได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
วันที่เกิดญาณ
แม่เสียเดือนมีนาคม ๒๕๔๐ คงจะราวเดือนตุลาคม ของปีเดียวกันนั้นเอง
ปรากฏการณ์พิสดารทางใจก็เกิดกับเราอีกครั้งหนึ่ง เป็นปรากฏการณ์ใหม่เอี่ยม
ที่ไม่เคยประสบมาก่อน
จำได้แต่เพียงว่า วันนั้นเป็นวันอังคาร สอนนักศึกษาชั้นก้าวหน้า advanced
class ซึ่งมีนักศึกษาชายหญิงราว ๗ ถึง ๘ คน ทุกครั้งที่เริ่มสอน
จะเน้นให้นักศึกษาเริ่มมีสติอยู่กับลมหายใจและการเคลื่อนไหวของปัจจุบันขณะทันที
โดยมีท่าต่าง ๆ ให้เขาทำอย่างช้า ๆ พร้อมการหายใจอย่างลึก ๆ จะทำอยู่นาน ๑๕ นาที
เป็นวิธีการนำใจที่ยุ่งเหยิงของพวกเขาให้ทำงานช้าลง
ช่วงนี้นักศึกษามักจะทำท่าเหล่านั้นในขณะที่หลับตา เมื่อ ๑๕ นาทีผ่านไป
ใบหน้าของพวกเขาก็จะเริ่มมีแววแห่งความสงบ และแล้ว
เราก็จะเน้นหัวข้อธรรมหรือข้อคิดอะไรสักอย่างเสมอเพื่อพาให้นักศึกษาได้โน้มใจที่สงบนั้นคิดตามไปด้วย
ซึ่งส่วนมากก็เกี่ยวกับเรื่องราวของชีวิตอันเนื่องกับ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
เพียงแต่ต้องสื่อด้วยภาษาที่เขาเข้าใจและยอมรับได้
เนื่องจากเป็นชั้นก้าวหน้าที่ได้ฝึกสมาธิวิปัสสนาทั้งจากการรำไท้เก็กและวิธีการอื่น
ๆ กับเรามาพอสมควรแล้ว จึงเห็นว่าควรพาเขาเข้ามาสู่ข้อธรรมทางศาสนาพุทธบ้าง
จึงคิดว่าจะพูดเรื่องสติปัฏฐานสี่ให้นักศึกษาชินกับคำศัพท์บาลี
เผื่อว่าเขาไปอ่านหนังสือภายหลัง จะได้คุ้นเคยกับคำเหล่านี้
ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาได้ปฏิบัติมาแล้ว เพียงไม่รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังปฏิบัติอยู่นั้น
พระพุทธเจ้าได้แจกแจงไว้แล้ว
เราจึงเดินไปที่กระดานเขียนหัวข้อสติปัฏฐานทั้งสี่
เมื่อเขียนมาถึงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น เห็นจิตบอกตัวเองว่า
เรายังไม่เข้าใจฐานนี้ดีพอ ฉะนั้น จะยอมรับตรง ๆ กับนักศึกษาว่าไม่รู้
เมื่อเขียนเสร็จ จึงเดินออกจากกระดานประมาณ ๕ ถึง ๖ ก้าวเพื่อมายืนตรงกลางห้อง
ในขณะที่หันกลับไปมองกระดานนั้นเอง ใจก็สว่างโพล่งขึ้นมาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
เหมือนพระอาทิตย์ขึ้นมาในใจ ทันใดนั้น
เกิดความเข้าใจเรื่องสติปัฏฐานสี่ขึ้นมาเอง จนต้องอุทานออกมาอย่างเบา ๆ ว่า
Oh
my god, I know!!! พระเจ้าช่วย ฉันรู้แล้ว
ใบหน้าเราคงต้องแสดงออกถึงความตะลึงกับสิ่งที่รู้นั้นแน่นอน
จำได้ว่า หลังจากที่อุทานกับตัวเองเบา ๆ แล้ว
เนื่องจากนักศึกษากำลังคอยเราพูดอะไรกับเขาอยู่ แต่คงเห็นอาการที่คาดไม่ถึงของเรา
สายตาทุกคู่จึงจ้องมาที่เราเพื่อรอคำพูดอะไรบางอย่าง จึงพูดกับพวกเขาตรง ๆ ว่า
บางสิ่งบางอย่างเพิ่งจะเกิดขึ้นในใจเราหยก
ๆ และเรากำลังพยายามซึมซาบกับสิ่งเหล่านั้นอยู่ Something extraordinary has just happened to me and I am trying to
digest it.
ทันใดนั้นเอง เราสามารถอธิบายให้นักศึกษารู้ว่า
ขั้นตอนของสติปัฏฐานสี่เป็นการพัฒนาอย่างเป็นธรรมชาติ มันจะเกิดของมันเอง
และบอกนักศึกษาตรง ๆ ว่า ตอนที่กำลังเขียนฐานที่สี่อยู่นั้น
กำลังจะยอมรับกับพวกเขาว่าเราไม่รู้ แต่เพิ่งมารู้เมื่อกี้นี้เอง บอกพวกเขาว่า
เรารู้ชัดแล้วว่าฐานที่สี่คืออะไร
เวลาที่เหลือของชั่วโมงนั้น เราได้พานักศึกษารำไท้เก็กขี่กง ๑๘
ท่าอย่างที่เคยทำด้วยใจที่สว่างอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยในชีวิต ความรู้ต่าง ๆ
ที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนหลั่งไหลมาจากไหนก็ไม่รู้ สว่างโพล่งไปหมด เข้าใจของมันเอง
แปลกมาก อัศจรรย์มาก อัศจรรย์จริง ๆ นี่เองที่หลวงตามหาบัวรำพึงว่า เลิศก็เลยเลิศ
อัศจรรย์ก็เลยอัศจรรย์
ญาณปัญญามาย้ำตัวเพ่งของฐานที่สี่
หลังเกิดญาณในวันนั้น
เราจึงมองออกว่า ที่จริง เราได้แนะนำตัวเพ่งของฐานที่สี่ให้แก่นักศึกษาประมาณ ๒
ถึง ๓ ปีก่อนหน้านั้นแล้ว มันเป็นสภาวะก่อนเกิดญาณที่รู้อะไรวั๊บ ๆ แวม ๆ
เหมือนมีม่านบาง ๆ กั้นอยู่ ยังจำได้ชัดเจนถึงวันที่บอกให้นักศึกษาเริ่มสังเกตประสบการณ์ของสิ่งที่เขาเห็นเบื้องหน้าเมื่อเขาเริ่มลืมตาขึ้นมาหลังจากที่หลับตาทำสมาธิ
ได้บอกเขาว่า เขายังเห็นทุกอย่างอยู่ แต่เป็นการเห็นที่ดูเหมือนว่าง ๆ
ซึ่งเป็นการฝึกให้เขาดูทุกอย่างให้เป็นตถตา หรือความเป็นอย่างนั้นเอง สามารถอธิบายได้ชัดเจนถึงสภาวะนั้น เพราะเป็นสภาวะที่เราเห็นอยู่นานหลายปีมากแล้ว
เหมือนกับรู้ว่านั่นเป็นคำตอบอะไรสักอย่าง แต่ก็รู้ไม่ชัดว่าคืออะไรแน่นอน
ยังจำได้ชัดเจนว่า
ได้พูดกับตนเองว่า เอ
ทำไมจึงบอกให้นักศึกษาเริ่มสังเกตประสบการณ์นั้น
เพราะเรายังไม่ชัด จึงไม่สามารถอธิบายเป็นเหตุเป็นผลประสานเรื่องราวให้เขาเข้าใจได้
แต่ก็รู้ว่า พวกเขาต้องรู้เห็นประสบการณ์นี้ไว้ก่อน ภายในเทอมนั้นเอง
ก็ได้สร้างศัพท์ใหม่ขึ้นมาหลายคำ เรียกใจที่สงบว่า ใจบริสุทธิ์ innocent mind จากใจที่บริสุทธิ์ก็สามารถรับผัสสะอย่างบริสุทธิ์
innocent perception และทำให้เห็นโลกที่บริสุทธิ์ innocent
world
วันที่เกิดญาณคือวันที่เราได้คำตอบออกมาอย่างชัดเจนว่า
การมองทุกอย่างด้วยความเป็นเช่นนั้นเองหรือมองทุกอย่างอย่างบริสุทธิ์นั้น
ที่จริงมันคือ ตัวเพ่งของฐานที่สี่ หรือ ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือ
สภาวะพระนิพพานนั่นเอง นี่เป็นสิ่งที่เรารู้อย่างชัดเจนใสแจ๋วในขณะนั้น
จึงสามารถอธิบายให้นักศึกษาฟังได้
จากวันนั้นเป็นต้นมา
การสอนเรื่องสติปัฏฐานสี่ของเราได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว สามารถใช้ข้อเปรียบเทียบต่าง
ๆ ได้ดีขึ้น เมื่อมาถึงการย้ำตัวเพ่งของแต่ละฐานโดยเฉพาะฐานที่สี่แล้ว
เราก็สามารถทำได้อย่างมั่นใจ ความชัดเจนและความมั่นใจก็มีมากขึ้นทุกวัน
ผลที่ออกมานั้นคือ
นักศึกษาสามารถเห็นตามประสบการณ์ที่เราแนะให้ดูได้ดีขึ้นโดยเฉพาะในช่วงเวลาสั้น ๆ
ที่เขามาเรียนกับเรา
การเกิดญาณในวันนั้นเหมือนกับได้ทำให้เรากลายเป็นคนท้องถิ่นของเมืองนิพพานซึ่งเป็นเมืองสำคัญแต่ไม่มีป้ายบอกชื่อเมืองเขียนติดไว้เหมือนเมืองที่ทำด้วยอิฐด้วยปูน
คนที่รู้ว่านี่คือเมืองนิพพานคือคนท้องถิ่นเท่านั้น ฉะนั้น
หากใครอยากไปเมืองนิพพานและได้มีโอกาสถามคนท้องถิ่นบอกทางให้แล้ว คน ๆ
นั้นก็จะรู้ทางไปเมืองนิพพานได้เร็วกว่าการไปถามคนที่ไม่ใช่คนท้องถิ่น ฉะนั้น
การได้เรียนรู้กับคนท้องถิ่นของเมืองนิพพานย่อมทำให้ผู้เรียนรู้สามารถเดินถึงเมืองนิพพานได้เร็วขึ้น
เจโตวิมุติ เหมือนเนื้อร่อนออกจากกระดูก
ประสบการณ์พิสดารทางใจที่เกิดเมื่อวันอังคาร
เดือนตุลาคม ๒๕๔๐ ต่างจากเหตุการณ์ที่เกิดที่บ้านพรานนกเมื่อ ๒๒ ปีก่อน ในขณะที่เราเอามือยันเตียงเพื่อลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่งนั้น
มีความรู้สึกว่า ใจถูกผลักออกจากจิตอย่างรุนแรง
เหมือนเนื้อกับกระดูกที่อยู่ติดกันอย่างแนบแน่นมาก่อน จู่ ๆ
เนื้อนั้นก็ร่อนออกจากกระดูกได้อย่างง่ายดาย
เหมือนใครเอาเนื้อนั้นไปต้มจนเปื่อยฉะนั้น ใจเราในขณะนั้นก็เป็นเช่นนั้น
ความคิดความรู้สึกหรือจิตที่เคยเป็นส่วนหนึ่งติดสนิทแนบแน่นกับใจนั้น ถึงบัดนั้น
มันก็หลุดร่อนออกไปเฉย ๆ
หรือเหมือนแม่เหล็กต่างขั้วที่ดูดติดกันแน่นจนเหมือนเป็นเหล็กท่อนเดียวกัน จู่ ๆ
พลังแม่เหล็กหายไปเฉย ๆ เหล็กสองท่อนจึงหลุดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
ไม่มีพลังเกาะเกี่ยวอีกต่อไป
ก่อนหน้านั้น
ความคิด ความรู้สึกกับใจมันเกาะกันแนบแน่นเหมือนเป็นสิ่งเดียวกัน
แต่พอพลังสมาธิพร้อมและแก่กล้าพอ
มันก็มาแยกให้ธรรมชาติสองอย่างออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
ทำให้เห็นความคิดหรือจิตว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งต่างจากใจ สามารถเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของใจว่ามันเป็นอิสระอย่างสิ้นเชิง
มีความรู้สึกอย่างรุนแรงว่า นี่คือความหลุดพ้น เพราะรู้สึกจริง ๆ
ว่านี่มันหลุดแล้ว พ้นแล้ว และหลุดมาอยู่อีกโลกหนึ่ง
แต่โลกนั้นคืออะไรเป็นสิ่งที่เราไม่กล้าพอที่จะสรุปลงไปอย่างแน่ชัด
เพราะมัวพยายามคิดว่า เรายังอ่อนหัดในทางธรรมเกินไป
เป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุธรรมขั้นสูงในระดับนั้นได้
แม้ความรู้สึกฟ้องอยู่ชัดเจนว่าหลุดแล้ว พ้นแล้ว ก็ตามแต่
คำว่า
หลุดพ้น ที่อธิบายสภาวะของพระอรหันต์นั้นเป็นคำที่เกิดจากสภาวะธรรมของคนที่มีแล้วอย่างแท้จริง
ถ้าไม่มีสภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นในใจของมนุษย์จริง ๆ แล้ว คำ ๆ นี้จะไม่เกิด
จะพูดอธิบายออกมาไม่ได้ เป็นคำที่ภาษาไทยเรามีคำให้ใช้อย่างถูกต้อง
ตรงกับสภาวะมากที่สุด
ตอนนี้อธิบายได้อย่างเดียวว่า
การหลุดพ้นในคราวนั้นต้องเกิดจากพลังของสมาธิถ่ายเดียว หรือ เจโตวิมุติ
แต่ปัญญาของเรายังไม่แก่กล้าพอที่จะจับต้นชนปลายได้
เพราะสภาวะของเราในตอนนั้นเหมือนมีแต่ต้นกับปลายเท่านั้น ซึ่งมันอยู่ไกลกันสุดขั้ว
สิ่งที่อยู่ตรงกลาง เราไม่รู้ คือ เพิ่งเริ่มปฏิบัติธรรมไม่นาน
พรวดเดียวก็มาเห็นโลกที่ความคิดไม่มีบทบาทเลย จึงต่อไม่ติด สภาวะจึงค่อย ๆ
หายไปในที่สุด
ปัญญาวิมุติ เหมือนความสว่างของดวงอาทิตย์สิบดวง
ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันอังคารนั้น
เราไม่มีความรู้สึกว่าใจถูกผลักออกเหมือนเมื่อ ๒๒ ปีก่อน
ใจก็ยังคงสงบแบบธรรมดาอย่างที่เคยสงบมาหลายปีก่อนหน้านั้นแล้ว (โดยเฉพาะในขณะที่สอนอยู่ในชั้นนั้น
ใจของเราต้องอิงอยู่กับฐานหนึ่งฐานใดเสมอ ถ้าใจไม่อิงกับฐานแล้ว ก็ไม่มีอะไรสอน
เพราะต้องเอาความรู้ของขณะนั้น ๆ ไปสอน) สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกับใครเอาความสว่างของพระอาทิตย์ทั้งดวงมาใส่ไว้ในใจ
แต่นี่มันเป็นความสว่างของปัญญา
ซึ่งมีความสว่างมากกว่าดวงอาทิตย์มากมายหลายเท่าจนไม่รู้จะเปรียบเทียบอย่างไร
เพราะพระอาทิตย์ก็สามารถให้ความสว่างเพียงการเห็นวัตถุหรือรูปเท่านั้น
แต่ความสว่างของปัญญาทำให้เห็นและเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตซึ่งความสว่างของพระอาทิตย์ไม่สามารถช่วยให้เห็นได้
สิ่งต่าง ๆ
ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้และเราไม่เคยเข้าใจมาก่อนเพราะมันยังซ่อนอยู่ในมุมมืดของอวิชชานั้น
ถึงบัดนั้น มันสว่างไปหมด ทำให้เราเห็นและเข้าใจ ภาพทั้งหมดของชีวิต
เข้าใจข้อธรรมที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน ความสงสัยในเรื่องราวต่าง ๆ
หายไปเหมือนปลิดทิ้ง
เหมือนการได้สำรวจเมืองใหม่ที่เพิ่งมาถึง
ความแตกต่างระหว่างเหตุการณ์ครั้งนี้กับครั้งก่อนคือ
ในปี ๒๕๑๘ สภาวะที่เราเข้าใจว่าหลุดพ้นนั้นค่อย ๆ จางหายไปหลังจากเวลาผ่านไปราว ๖
ถึง ๗ เดือน เหลือแต่ความทรงจำของโลกที่เราเคยหลุดเข้าไป และปัญญาที่รู้ว่า
เป้าหมายของการปฏิบัติธรรมอยู่ที่การไปให้ถึงโลกที่บริสุทธิ์นั้นอีกให้ได้ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ตรงกันข้ามกับคราวก่อน
ความสว่างของใจไม่ได้ค่อย ๆ หายไป มีแต่จะสว่างมากยิ่งขึ้น
และเกิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป
หากจะเปรียบเทียบความพิสดารทางใจที่เกิดขึ้นเมื่อวันอังคารนั้น
เป็นการเพิ่งเดินทางมาถึงเมืองใหม่เมืองหนึ่งที่เรายังไม่เคยเห็นละก็ พอเห็นครั้งแรก
ก็รู้สึกตะลึง
การเห็นหน้าตาของเมืองใหม่ในครั้งแรกนั้นล้วนเป็นความรู้ใหม่เอี่ยมทั้งสิ้น
หลังจากการเห็นครั้งแรกนั้น เราก็ใช้เวลาค่อย ๆ
สำรวจเมืองใหม่ให้ชัดขึ้นโดยเดินเข้าไปทุกซอกทุกมุมถนน ยิ่งเวลาผ่านไป
ก็ยิ่งชำนาญทางและรู้แผนผังของเมืองใหม่นี้ดียิ่งขึ้น
ความรู้ที่เราได้รับหลังจากเหตุการณ์พิสดารทางใจในวันอังคารนั้นก็เช่นกัน สิ่งที่เราคิดว่าสว่างมากแล้วในขณะนั้น
เมื่อวันเวลาผ่านไป ความสว่างกลับเพิ่มมากขึ้น ๆ สิ่งที่เราคิดว่าชัดเจนมากแล้วในตอนนั้น
มาถึงตอนนี้ก็ยิ่งชัดมากขึ้นอีก
สรุปว่าเป็นคนท้องถิ่นได้แล้ว
ตอนแรกไม่กล้าสรุปให้ตัวเองว่านั่นเป็นการหลุดพ้นด้วยปัญญาวิมุติ
เนื่องจากเหตุการณ์ครั้งหลังนี้
เราไม่ได้รู้สึกว่ามีระดับของพลังสมาธิมากเท่าคราวก่อน
ใจจึงไม่รู้สึกว่าถูกผลักออกไปอย่างรุนแรง
ไม่รู้สึกว่ามันเป็นสภาวะหลุดพ้นอย่างคราวที่เกิดที่บ้านพรานนก ซึ่งจู่ ๆ
ก็รู้สึกเหมือนเนื้อร่อนออกจากกระดูกอย่างทันทีทันใด
ทำให้รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่านี่คือ การหลุดพ้น เพราะสภาวะมันฟ้องอยู่โต้ง ๆ
แต่เหตุการณ์เมื่อวันอังคารไม่มีความรู้สึกว่าใจถูกผลักออกแต่อย่างใด
ใจก็ราบเรียบตามธรรมดาของมัน นอกจากความสว่างของปัญญาเท่านั้นที่เด่นออกมามาก
ฉะนั้น ในช่วงสองสามปีแรกหลังจากที่เกิดเหตุการณ์พิสดารนั้น
เราจึงไม่กล้าสรุปว่านั่นคือ การหลุดพ้นด้วยปัญญา หรือ ปัญญาวิมุติ
แต่เพราะความรู้มันชัดมากขึ้นทุกวัน มีเพิ่มขึ้นทุกวัน
สิ่งที่เราไม่รู้และไม่กล้าสรุปเมื่อสองสามปีก่อนนั้น มาบัดนี้
เวลาก็ได้ผ่านเข้าปีที่ห้าแล้ว ความชัดเจนต่าง ๆ ก็ยังเกิดขึ้นตามลำดับ
จนมีความห้าวหาญพอเพียงและกล้าสรุปให้ตนเองว่า
เราได้เป็นคนท้องถิ่นของเมืองใหม่ที่มาถึงนี้อย่างแน่นอน
วิเคราะห์เหตุการณ์ย้อนหลัง
เหมือนการหลุดของกลีบหัวหอม
มาถึงตอนนี้ เราจึงมองออกว่า ที่จริง
สภาวะแมวจับหนูอย่างเป็นอัตโนมัติซึ่งได้เกิดขึ้นอย่างถี่ ๆ ตลอดเวลา ๑๐ ปี ก็คือ
สภาวะน้อย ๆ ของการหลุดพ้นนั่นเอง เป็นสภาวะที่หลุดเข้าไปสู่พระนิพพานแล้ว
เปรียบเทียบได้กับการแกะหัวหอมใหญ่ ประสบการณ์หลุดพ้นที่เกิดที่บ้านพรานนกเมื่อ ๒๒
ปีก่อนนั้น เหมือนกับว่า จู่ ๆ
หัวหอมทั้งลูกที่ห่อตัวอยู่อย่างแน่นหนาก็บานและหลุดออกมาเป็นกลีบ ๆ
พร้อมกันหมดทันที หลุดจนถึงขั้วในของมันซึ่งไม่มีอะไร
ขั้วในของหัวหอมที่ไม่มีอะไรนั้นคือสภาวะพระนิพพาน เราจึงรู้สึกชัดมากว่า
ใจถูกผลักออกอย่างรุนแรงจนเห็นสภาวะที่ไม่มีอะไรอย่างทันทีทันใด
เป็นสภาวะที่อัศจรรย์และตะลึงงันอย่างที่อธิบายให้ใครรู้ไม่ได้เลย
หลวงตามหาบัวอธิบายว่า เป็นความอัศจรรย์ที่เหนืออัศจรรย์ เลิศก็เลยเลิศ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราเมื่อวันอังคารนั้น
เราไม่ได้รู้สึกเหมือนเมื่อ ๒๒ ปีก่อน เหตุผลคือ นับตั้งแต่สภาวะแมวจับหนูเกิดขึ้นอย่างเป็นอัตโนมัตินั้น
เปรียบเหมือนกลีบหัวหอมใหญ่ที่ห่ออย่างแน่นหนานั้นค่อย ๆ
หลุดออกมาทีละกลีบอย่างช้า ๆ เป็นเวลาถึง ๑๐ ปี หมายความว่า ใจของเราได้ค่อย ๆ
หลุดออกจากจิตเข้าไปสู่สภาวะสงบนิ่งของพระนิพพานแล้วอย่างค่อยเป็นค่อยไป
โดยเฉพาะในช่วง ๓ ถึง ๔ ปีก่อนเกิดญาณนั้น
สติของเรามักจะจับเข้าไปถึงตัวเจตสิกอยู่เสมอ
สามารถทำลายการปรุงแต่งของสังขารซึ่งเป็นห่วงโซ่ที่สองของปฏิจสมุปบาทได้เป็นส่วนมาก
สายโซ่ของปฏิจสมุปบาทที่ครบวงจรอันมีถึง ๑๒ ห่วงนั้น
ถูกเราตัดสั้นลงจนเหลือแค่สองห่วงเป็นส่วนมากเป็นเวลาถึง ๔ ปีก่อนเกิดญาณ
ใจจึงอยู่ในระดับที่ปกติ ธรรมดา เป็นส่วนใหญ่
หมายความว่ากลีบของหัวหอมใหญ่นี้ได้ค่อย ๆ หลุดออกไปจนถึงขั้วในของมันแล้ว
เราจึงอยู่กับสภาวะปกติธรรมดานั้นจนชินแล้ว
จะเรียกสภาวะในช่วงสี่ปีนั้นว่าเป็นสภาวะใจของพระอนาคามีก็ไม่ผิด รออยู่อย่างเดียวเท่านั้น
คือ ญาณปัญญาที่จะมาย้ำให้เรารู้ว่า
สภาวะปกติธรรมดาที่เราได้อยู่มานานหลายปีก่อนหน้านั้นคือพระนิพพานเท่านั้นเอง
พอญาณเกิดในวันนั้น
จึงมีแต่ความรู้ที่แรงกล้ามาตอกย้ำสภาวะพระนิพพานจนทำให้ใจสว่างโพล่งไปหมด
แต่ไม่รู้สึกว่าใจถูกผลักออกไปอย่างแรงเหมือนเมื่อ ๒๒ ปีก่อน
เพราะใจได้ถึงสภาวะนั้นแล้วนั่นเอง
ที่เราคิดว่าพลังสมาธิมีไม่มากเท่าคราวก่อนนั้น
ที่จริงแล้วพลังสมาธิของเรามีพร้อมเต็มเปี่ยมโดยธรรมชาติธรรมดาอยู่แล้วแม้ก่อนหน้านั้น
เราได้สะสมพลังสมาธิมาหลายปีจนเป็นธรรมชาติของมันแล้ว จึงไม่รู้สึกว่าสภาวะใจเปลี่ยนแปลงมากเท่ากับคราวก่อนที่จู่
ๆ ใจก็ถูกผลักออกไปอย่างรุนแรง เพราะกลีบของหัวหอมใหญ่ได้ค่อย ๆ
หลุดออกไปหมดจนถึงขั้วในสุดของมันแล้ว นั่นคือ ความไม่มีอะไร
ต้องเป็นเมืองเดียวกันแน่นอน
การหลุดพ้นด้วยพลังสมาธิหรือเจโตวิมุติของเราเมื่อ
๒๒ ปีก่อนนั้น อีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นชัดและสามารถเปรียบเทียบได้คือ
การยิงหนังสติ๊ก พลังสมาธิของเราได้ส่งแรงดีดพุ่งเราไปข้างหน้าอย่างรุนแรง
จนหลุดเข้าสู่สภาวะพระนิพพานอย่างทันทีทันใดโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย พอพลังสมาธิอ่อนตัว
สภาวะนั้นก็หายไป
แต่ประสบการณ์ทางใจของเราเมื่อ ๒๒ ปีก่อนนั้น
ญาณปัญญาของเราไม่ชัดพอที่จะมาย้ำสภาวะพระนิพพาน เราไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่า ญาณได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
จึงไม่กล้าสรุปอะไรทั้งสิ้น แต่ตอนนั้นก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า
โลกใหม่ที่เราพลัดเข้าไปเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องไปถึงให้ได้
รู้ว่าสภาวะนี้แหละคือเป้าหมายชีวิตของคนทุกคน
เราต้องปฏิบัติไปจนถึงจุดนั้นอีกให้ได้ เราต้องกลับไปถึงสภาวะนั้นอีกให้ได้
ความรู้นั้นมันก็อยู่กับเรามาตลอดจนวันที่เกิดญาณ ปัญญา
อันเปรียบเหมือนความสว่างของพระอาทิตย์ ๑๐ ดวงโผล่ขึ้นมาภายในใจอย่างทันทีทันใด
ได้ตอกย้ำความรู้ขั้นเด็ดขาดนั้น ทำให้รู้แน่ชัดว่า โลกใหม่ที่เราพลัดเข้าไปเมื่อ
๒๒ ปีก่อนที่บ้านพรานนกกับเมืองใหม่ที่เราเพิ่งมาถึงเมื่อวันอังคาร ของเดือนตุลาคม
ปี ๒๕๔๐ นั้นต้องเป็นที่เดียวกันแน่นอน
สถานที่นั้นจะเป็นอะไรอื่นไม่ได้นอกจากพระนิพพาน
ตอนนี้ เรารู้แล้วว่า การหลุดพ้นด้วยเจโตวิมุติเป็นอย่างไร
และปัญญาวิมุติเป็นอย่างไร ในกรณีของเรานั้นทำให้เรารู้ว่า
เป็นไปได้ทีเดียวว่าการหลุดพ้นด้วยเจโตวิมุติหรือด้วยพลังของสมาธิเพียงอย่างเดียว
สภาวะนั้นสามารถหายไปได้เหมือนที่ได้เกิดขึ้นกับเรามาแล้ว
คนที่สามารถหลุดพ้นด้วยเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติพร้อมกันแล้ว
สภาวะนั้นก็ไม่น่าหายไปได้ นอกจากนั้นยังมีปัจจัยของสถานะภาพทางสังคมอีก
คนเป็นพระอยู่ป่า
หากหลุดพ้นด้วยเจโตวิมุติก็น่าจะอยู่ได้นานกว่าคนหลุดพ้นในเมืองอย่างเราซึ่งมีวิถีชีวิตของคนเมือง
สิ่งเหล่านี้เป็นสภาวะการหลุดพ้นของปัจเจกชนแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ไม่คิดว่าจะมีกฏอะไรตายตัว
แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่คนมุ่งนิพพานควรต้องรับรู้ไว้
ถ้าเกิดขึ้นกับตนเองแล้วจะได้เข้าใจ และรักษาสภาวะให้ดีที่สุด
เปรียบเทียบปัญญาวิมุติอีก
ปัญญาวิมุตินี่เหมือนการว่ายน้ำหรือขี่จักรยานเป็นแล้ว
ก็เป็นเลย กลับไม่ได้อีกแล้ว จะแกล้งทำไม่เป็นก็ไม่ได้
เมื่อรู้ว่านี่คือนิพพานแล้ว จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ก็ไม่ได้
หรือเหมือนเรื่องการหายใจ
คนส่วนมากจะไม่ค่อยให้ความสนใจว่าตนเองหายใจอยู่หรืออยู่กับลมหายใจเพราะเป็นเรื่องเกิดเองตามธรรมชาติจนชินกับมัน
สภาวะที่ไม่รู้ไม่เห็นไม่สังเกตการหายใจของตัวเองก็เหมือนกับอวิชชา พอเกิดญาณแล้ว
รู้ว่านิพพานเป็นอย่างไร ก็เหมือนกับเพิ่งสังเกตเห็นชัดว่า อ๋อ
ที่จริงเราก็หายใจอยู่แล้วตลอดเวลา และได้รับประโยชน์จากการหายใจนั้นด้วย
ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ฉะนั้น
การรู้พระนิพพานก็เหมือนรู้ว่าตัวเองกำลังหายใจอยู่ และรู้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแล้ว
จะแกล้งบอกว่าตัวเองไม่ได้หายใจและไม่รู้เห็นกับการหายใจนั้นก็ทำไม่ได้อีกแล้ว
เพราะที่จริง นิพพานเป็นสิ่งที่อยู่แนบเนื่องกับชีวิตทุกชีวิตแล้วเหมือนลมหายใจ
เพียงแต่คนไม่รู้ ไม่สังเกตเห็นเท่านั้น แต่แม้ไม่รู้
คนก็ได้รับประโยชน์จากนิพพานแล้วเหมือนได้รับประโยชน์จากการหายใจของตนเองอยู่
ถ้าคนมืดบอดไม่ได้รับประโยชน์จากพระนิพพานแล้วไซร้
ทุกคนต้องเข้าโรงพยาบาลบ้ากันหมด
แต่คนส่วนมากของสังคมสามารถรักษาความบ้าระดับสามัญได้ก็เพราะการอยู่แนบเนื่องกับพระนิพพานนั่นเอง
หรือเพราะตนเองหายใจอยู่นั่นเอง เพียงแต่ไม่รู้ชัดเท่านั้น
หรือจะเปรียบนิพพานกับการกินข้าวก็ได้
ทุกคนอยู่รอดได้เพราะมีข้าวสุกให้กิน เพียงแต่ไม่รู้ว่าสิ่งขาว ๆ
ที่เอาเข้าปากทุกวันคือข้าวสุกเท่านั้น แต่ก็ได้รับประโยชน์จากการกินข้าวอยู่แล้ว
ทุกคนได้รับประโยชน์จากนิพพานแล้วทุกวัน เพียงไม่รู้ว่าสภาวะนี้นี้เรียกว่านิพพานเท่านั้นเอง
การเกิดญาณของเราจึงเหมือนกับการรู้ว่าตัวเองหายใจอยู่แล้ว
หรือกินข้าวสุกอยู่แล้วเหมือนคนอื่น ๆ ฉะนั้น
สภาวะนิพพานก็อยู่กับเราเหมือนกับที่อยู่กับคนอื่น ๆ
เพียงแต่ว่าเรารู้เพราะญาณได้เกิดขึ้นแก่เราแล้ว มาบอกให้เรารู้แล้ว แต่คนอื่น ๆ
มากมายยังไม่รู้ ยังมืดบอดอยู่ เพราะญาณของเขายังไม่เกิด
ฉะนั้น
สภาวะของปัญญาวิมุติจะไม่มีวันหายไปได้เหมือนเจโตวิมุติ เราจึงรู้สึกว่า
ตอนนี้รู้มากกว่าเมื่อ ๔ ปีก่อน เหมือนกับสามารถคว้าเอาคบไฟมาถือไว้ในมือแล้ว
ก็ใช้คบไฟนี้ส่องไปที่มุมมืดได้เสมอ ตรงไหนที่ยังมืดอยู่ ยังสงสัยอยู่
ก็เอาคบไฟนี้ส่องเข้าไป ความสว่างก็เข้ามาแทนที่ ความรู้จึงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ยิ่งแก่ตัว ความรู้ก็จะยิ่งเข้มข้นขึ้น
ความหนักแน่นและมั่นใจในธรรมอันสูงสุดยิ่งมีมากขึ้น
เราก็ไม่รู้ว่าทำไม
เจโตวิมุติกับปัญญาวิมุติของเราจึงเกิดห่างกันถึง ๒๒ ปี ฉะนั้น
ถ้าใครสามารถหลุดพ้นด้วยเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติพร้อม ๆ กันได้
ก็เป็นเรื่องวิเศษมากทีเดียว นี่จึงเป็นเหตุผลใหญ่ที่เราต้องรีบเขียนบันทึกไว้ก่อน
ประสบการณ์เหล่านี้ยังสดใหม่พอที่จะพูดละเอียดอย่างนี้ได้
เพราะความทรงจำก็เป็นอนิจจัง ทิ้งไว้นานก็จะไม่มีเรื่องให้พูดมาก
คนอื่นจะเสียประโยชน์
กะลาคว่ำได้หงายขึ้นแล้ว
สภาวะที่เรารู้สึกเหมือนมีม่านบาง ๆ
ผืนหนึ่งกั้นระหว่างเรากับอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งเราไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
เมื่อญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ม่านบาง ๆ ผืนนั้นก็ถูกฉีกขาดไป เราจึงมองทุกอย่างได้ชัด
ถ้าเปรียบเทียบกับการดูภาพแล้ว สภาวะก่อนเกิดญาณเหมือนกำลังจ้องภาพสองมิติอยู่
แต่เหมือนกับรู้ว่าในภาพสองมิตินั้นมีอีกสิ่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
เหมือนกับเห็นภาพสามมิติแต่เห็นไม่ชัด กำลังจะเห็นแล้วมันก็หายไป เมื่อญาณเกิดแล้ว
จึงเห็นชัดว่า สิ่งที่ซ่อนอยู่ในภาพสองมิติคือภาพสามมิติที่สวยงามมากนั่นเอง
ภาพสามมิติที่ซ่อนอยู่ในภาพสองมิตินั้นคือ พระนิพพานนั่นเอง
ก่อนญาณเกิด
ถึงแม้เราจะมองทุกอย่างด้วยใจที่สงบก็ตาม แต่เราไม่มีญาณมาเน้นบอกว่า
ทุกอย่างที่เราเห็นและสัมผัสได้ข้างหน้านี้คือ พระนิพพาน เหมือนการมองโลกอยู่ในกะลาครอบ
อยู่ในความมืด เมื่อญาณเกิดแล้ว เราก็ยังเห็นและสัมผัสทุกอย่างเหมือนเดิม
แต่ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
เพราะกะลาที่คว่ำอยู่นั้นได้หงายขึ้นแล้วในวันที่เกิดญาณ
ทำให้สามารถมองทุกอย่างด้วยความสว่างไสว
ในเรื่องใบไม้กำมือเดียว
เราจึงสามารถอธิบายสภาวะพระนิพพานหรือสัจธรรมอันสูงสุดได้อย่างชัดเจนชนิดที่ไม่เคยทำได้มาก่อนในชีวิต
แต่แม้คนเขียนจะเขียนได้อย่างชัดเจนอย่างไร คนอ่านก็จะมองไม่เห็นความชัดเจนอยู่ดี
แต่สิ่งที่ได้คือ ความรู้ในระดับคิดนึก คือ คิดตามได้
แต่เห็นตามที่ผู้เขียนเห็นไม่ได้ จนกว่าญาณปัญญาจะเกิดแก่เขาเอง
นี่จึงเป็นเรื่องยากของการไปถึงนิพพาน มันสอนกันไม่ได้ทั้งหมด
ได้แต่ชี้ทางให้เดินเท่านั้น
แต่ถ้าใครสามารถปฏิบัติจนถึงขั้นที่ใจสงบได้เป็นส่วนใหญ่ของชีวิตแล้ว ก็ควรพอใจ
เพราะญาณขั้นสุดท้ายเป็นเรื่องที่จะเร่งหรือจะรั้งไม่ได้ เป็นเรื่องเกิดเองเมื่อปัจจัยพร้อม
ขอให้รู้ว่ามันต้องเกิดแน่นอนเท่านั้นก็พอแล้ว
ตัวต่อตัวสุดท้ายถูกวางลงแล้ว
หรือถ้าจะเปรียบเทียบกับการวางตัวต่อ jigsaw puzzles ก่อนที่เราจะรู้จักพุทธศาสนา
การมีความรู้สึกทุกข์ วุ่นวาย สับสน หาความหมายที่แท้จริงของชีวิตไม่ได้
ความรู้สึกในขณะนั้นเปรียบเหมือนการยืนอยู่ท่ามกลางชิ้นส่วนของตัวต่อภาพชีวิต
ภาพชีวิตนี้ก็คือ ภาพของจักรวาลทั้งหมดที่มีเราเป็นชิ้นส่วนย่อยชิ้นหนึ่งเท่านั้น
ตัวต่อเหล่านี้ก็กองอย่างระเกะระกะไปหมด จับต้นชนปลายไม่ถูก
เหมือนเรายืนอยู่ท่ามกลางจักรวาลนี้ และเราก็มองไปรอบ ๆ ตั้งแต่ปัญหาส่วนตัว
ครอบครัว สังคม โลก และจักรวาล แล้วก็ตะโกนออกมาดัง ๆ ว่า นี่มันอะไรกัน ทำไม ทำไม
ทำไม ความรู้สึกเหล่านี้เป็นผลของการไม่เข้าใจชีวิต
ไม่สามารถเห็นภาพทั้งหมดของชีวิตว่ามีหน้าตาอย่างไร
ไม่สามารถต่อตัวต่อของภาพชีวิตได้สมบูรณ์ จึงต่อเท่าที่ต่อได้ คือ หลับหูหลับตาใช้ชีวิตไปวัน
ๆ ทำมาหารับประทาน รับผิดชอบต่อคนและงานเท่าที่บทบาทชีวิตให้มา หาความสุขใส่ตัว
ไม่ต้องถามคำถามอะไร ถึงเวลาตายก็ตายไป การใช้ชีวิตอย่างนี้คือ
การพยายามต่อตัวต่อภาพชีวิตอย่างเป็นกระจุกเล็ก ๆ เท่านั้น
พอมารู้จักศาสนาพุทธแล้ว จึงอาศัยปัญญาของพระพุทธเจ้าที่สอนเราว่า
ชีวิตนั้นมีเป้าหมายอยู่ที่พระนิพพาน ฉะนั้น ต้องพยายามรักษาศีล และ
ฝึกสมาธิวิปัสสนา พอมีความรู้เรื่องปัญญา ศีล สมาธิ เช่นนั้นแล้ว
ก็เหมือนกับพระพุทธเจ้าสอนให้เราต่อภาพของชีวิตอย่างผู้ชำนาญ
โดยเริ่มต่อภาพจากขอบทั้งสี่ก่อน แล้วค่อย ๆ ไล่เข้ามาตรงกลาง ฉะนั้น
ใครที่เดินตามทางแห่งองค์มรรคแล้ว
คนพวกนี้จะเข้าใจชีวิตได้ดีกว่าคนที่ยังไม่รู้ไม่ชี้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร
คนที่ปฏิบัติตามแนวทางแห่งสติปัฏฐานสี่หรือวิปัสสนานั้น
คนพวกนี้จะต่อตัวต่อภาพชีวิตได้เร็วมาก จะเห็นภาพของชีวิตชัดมากกว่าคนที่ไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนา
ตอนนี้มามองย้อนกลับ
สภาวะแมวจับหนูที่เกิดเองอย่างเป็นอัตโนมัติของเรานั้น
ก็เหมือนกับการที่เราสามารถต่อภาพต่อชีวิตได้จนเหลือกระจุกเล็ก ๆ
สุดท้ายตรงกลางเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
พอใจสามารถดีดความคิดออกไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น ถึงมองออกชัดมากว่า
คนเรานั้นติดอยู่ในโลกสมมุติที่มืดบอดอย่างแนบสนิท
ในที่สุดก็เหลือเพียงตัวต่อชิ้นสุดท้ายชิ้นเดียวที่เรายังถืออยู่ในมือ
นั่นคือ สภาวะก่อนเกิดญาณที่เรารู้สึกเหมือนมีม่านบาง ๆ
มากั้นเรากับอีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่รู้ชัดว่ามันคืออะไร ตัวต่อชิ้นสุดท้ายนี้ก็คือ
การที่เราสามารถมองทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าด้วยใจที่สงบราบเรียบ
เหมือนกับรู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ หรือ
เหมือนกับรู้ว่ามันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับตัวต่อตัวนี้แน่นอน ฉะนั้น
วันที่เกิดญาณคือวันที่เราสามารถหาที่ลงให้กับตัวต่อชิ้นสุดท้ายนั้นได้นั่นเอง
ตัวต่อชิ้นสุดท้ายของภาพชีวิตก็คือตัวเราเองหรือ รูป นาม
นี้ที่กำลังยืนอยู่ในท่ามกลางตัวต่ออื่น ๆ ที่ถูกวางเข้าที่แล้ว
วันที่เกิดญาณคือ วันที่รูปนามสลายตัว
สามารถทำตัวเองให้ละลายกลายเป็นเสี้ยวหนึ่งของภาพรวมทั้งหมด
พอวางตัวต่อชิ้นสุดท้ายนั้นลงได้ ภาพชีวิตทั้งหมดก็สมบูรณ์ชัดเจน
ความเป็นเจ้าของชีวิตก็ไม่มีอีกแล้ว นี่คือสภาวะพระนิพพาน
หรือสัจธรรมอันสูงสุดของจักรวาล
ทุกคนที่มาถึงจุดนี้ได้ต้องตะลึงกับความอัศจรรย์อย่างยิ่งยวดของสภาวะที่เห็นทั้งนั้นว่ามีสิ่งนี้อยู่จริง
ๆ หรือ และต้องระลึกถึงพระคุณอันล้นพ้นหาอะไรมาเปรียบเทียบไม่ได้ของพระพุทธเจ้าว่าท่านสามารถบอกทางให้คนตาบอดมาเห็นตามสิ่งที่ท่านเห็นได้ถึงปานฉะนี้
สมกับเป็นจอมปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกที่ยังหามนุษย์คนไหนมาเสมอเหมือนไม่ได้
รู้แจ้งแทงตลอดแค่ไหน
เพราะสามารถเห็นภาพทั้งหมดของชีวิต
ตรงนี้เองจึงเกิดสภาวะที่เรียกว่า รู้แจ้งแทงตลอด เหมือนการมองภาพวิวที่มีภูเขา ต้นไม้ ลำธาร กระท่อม
ถ้าต่อตัวต่อได้หมด ภาพมันก็ชัด
คนที่ต่อภาพของชีวิตได้หมดนั้นก็เรียกว่าผู้รู้ได้แล้ว คือ รู้เรื่องอริยสัจสี่
รู้หน้าตาของความทุกข์ รู้สาเหตุของทุกข์ รู้หน้าตาของการดับทุกข์
และรู้ว่าจะดับทุกข์ได้อย่างไร รู้ในใจ ไม่ใช่รู้ตามตัวหนังสือ หรือ
รู้แน่ชัดว่าเป้าหมายของชีวิตคืออะไร
รู้ตำแหน่งแห่งหนของตนเองที่เกี่ยวเนื่องกับจักรวาลและสังสารวัฏอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ไม่มีจุดจบ
รู้ว่ากฎแห่งกรรมนั้นมีจริง และสัตว์ทั้งหลายก็ล้วนถูกเหวี่ยงไปตามแรงกรรมของตนเอง
แรงกรรมนั้นก็ส่งผลให้สัตว์ทั้งหลายท่องเที่ยวไปตามภพภูมิต่าง ๆ ของสังสารวัฏนี้
พระอรหันต์ก็คือผู้หมดกรรมแล้ว หยุดการท่องเที่ยวแล้ว
และการทำให้ตนเองหมดกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายที่สูงสุดของชีวิตนั้นก็ต้องเดินตามทางแห่งองค์มรรค
คือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ให้แคบกว่านั้นคือ ปฏิบัติตามแนวทางสติปัฏฐานทั้งสี่อย่างเคร่งครัด
ความรู้ต่าง ๆ
เหล่านี้คือความรู้ขั้นพื้นฐานของผู้รู้ทั้งหลาย
นี่คือภาพทั้งหมดของชีวิตเหมือนกับภาพวิวของภูเขา ต้นไม้ ท้องฟ้า
ที่เราเห็นอยู่ในกรอบรูปนั่นเอง ความรู้ในส่วนนี้ คือ อาสวักขยญาณ นั่นเอง คือ
ความรู้ที่สามารถกำจัดอาสวะกิเลส หรือกำจัดขยะออกจากใจนั่นเอง
อันเป็นญาณสุดท้ายในจำนวนสามญาณที่เกิดกับพระพุทธเจ้าในคืนวันตรัสรู้
อาสวักขยญาณต้องเป็นความรู้ขั้นพื้นฐานของพระอรหันต์
เราแน่ใจว่า
ความรู้ในการกำจัดกิเลสหรืออาสวักขยญาณต้องเป็นความรู้ขั้นพื้นฐานของผู้ที่เกิดญาณแล้ว
ถ้าจะเปรียบเทียบอีกก็คือ การรู้แจ้งแทงตลอดในระนาบแบนเท่านั้น คือ
เห็นรูปภาพทั้งหมดในกรอบทั้งสี่ด้านอย่างแบน ๆ
จะรู้ส่วนลึกหรือไม่นี่คงเป็นความแตกต่างของแต่ละบุคคล
ถ้าเอาพระพุทธเจ้าเป็นเกณฑ์แล้ว
ท่านมีความรู้ถึงสิบอย่างเรียกว่า ทศพลญาณ หรือ ตถาคตพลญาณ คือ
พระญาณอันเป็นกำลังของพระตถาคต ๑๐ ประการที่ทำให้พระองค์สามารถบันลือสีหนาท
ประกาศพระศาสนาได้มั่นคง ในจำนวน ๑๐ ญาณนั้น อาสวักขยญาณ เป็นญาณที่ ๑๐
ซึ่งเป็นเพียงญาณหนึ่งเท่านั้น
ฉะนั้น การรู้แจ้งแทงตลอดของพระพุทธเจ้านั้น
นอกจากจะแทงตลอดในระนาบแบนแล้ว ท่านยังแทงตลอดในส่วนลึกด้วย เพราะมีญาณครบทั้ง ๑๐
อย่าง แต่จะลึกเท่าไรนั้น ไม่มีใครรู้
ท่านบอกแล้วว่าความรู้ของท่านมีมากเท่าใบไม้ทั้งป่า
แต่ที่ทรงนำมาถ่ายทอดให้สัตว์โลกนั้นก็เป็นเพียงใบไม้กำมือเดียวเท่านั้น
อีกเหตุผลหนึ่งคือ ไม่มีใครรู้ว่าความรู้ทั้งหมดของจักรวาลและสังสารวัฏมีแค่ไหน
พระพุทธเจ้าก็ยังทรงถูกจำกัดเมื่อมาถึงจุดหนึ่งเช่นกัน จึงทรงตรัสว่า
คำถามอจินไตยนั้นอย่าไปยุ่งกับมัน อย่างไรก็ตาม
ความรู้ทั้งป่าหรือทั้งหมดของจักรวาลจะมีมากแค่ไหนก็ตาม อันนี้ไม่สำคัญเลย
ที่สำคัญคือ
ต้องรู้ส่วนที่จำเป็นต้องรู้จริง ๆ
คือสัจธรรมอันสูงสุดของธรรมชาติหรือพระนิพพาน เท่านี้ก็พอแล้ว
ฉะนั้น การรู้แจ้งแทงตลอด
ของพุทธสาวกที่เกิดญาณแล้วนั้น
เราคิดว่าอย่างน้อยที่สุดทุกท่านต้องมีความรู้ขั้นพื้นฐานคือเห็นอริยสัจสี่ในใจ
หรือ รู้เรื่องการกำจัดขยะออกจากใจ อาสวักขยญาณ หรือ จะเรียกว่าเป็นพระอรหันต์แบบแห้ง ๆ ก็ได้
รู้เท่าที่ต้องรู้ ส่วนใครจะมีความสามารถพิเศษเพิ่มขึ้นมา คือ
มีความรู้มากกว่าความรู้ขั้นพื้นฐานนั้น อย่างนี้ก็เหมือนการแต่งหน้าขนมเค๊กแล้ว
ย่อมทำให้พระอรหันต์ท่านนั้นมีความเด่นมากขึ้น