บทที่สิบสี่ เกิดความสามารถใหม่ ๆ
พูดเรื่องโครงสร้างชีวิตได้ชัดเจนขึ้น
หลังจากที่เกิดความรู้ในวันนั้นแล้ว
ความชัดเจนของปัญญาก็ค่อย ๆ เกิดตามมาโดยตลอดจนบัดนี้ก็เข้าปีที่ ๕ แล้ว
เริ่มสังเกตเห็นความสามารถใหม่ ๆ ในขณะที่สอนนักศึกษา สิ่งที่เคยพูดอย่างกำกวมมาก่อน
มาบัดนี้ก็สามารถพูดได้ชัดเจนมากขึ้น สามารถทำให้นักศึกษาเข้าใจโครงสร้างของชีวิต
ทำให้เขารู้ว่าชีวิตคือการเดินทางเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายอันสูงสุด
แม้เขาจะยังไม่ยอมรับเรื่องพระนิพพาน ก็ไม่เห็นว่าเป็นปัญหา สามารถหาคำอื่น ๆ
มาทดแทนคำว่า นิพพาน ได้ เช่นคำง่าย ๆ อย่าง ความสงบ inner peace ซึ่งเป็นความรู้สึกครอบจักรวาลที่ทุกคนสามารถคิดตามได้
เมื่อเขาสามารถเห็นเป้าหมายที่ต้องการบรรลุแล้ว
เราก็สามารถพานักศึกษาเข้าสู่การปฏิบัติสติปัฏฐานสี่โดยใช้การออกกำลังกายแบบไท้เก็กเป็นเครื่องมือหรือเป็นสื่อ
แม้รายละเอียดของการฝึกฝนแต่ละฐานนั้น
เราก็สามารถอธิบายให้นักศึกษาฟังได้ชัดเจนมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน
เทอมที่กำลังสอนอยู่นี้
(มีนาคม ๒๕๔๕) เราได้เปลี่ยนคำพูดของสติปัฏฐานสี่เป็นเรื่องการพาใจกลับบ้าน
เป็นการพูดใหม่ที่ทำมาได้หกเดือนแล้ว ทำให้นักศึกษาเข้าใจการปฏิบัติสติปัฏฐานได้ดีขึ้น
แม้ตัวเพ่งของฐานที่สี่ ก็สอนได้ชัดเจนมาก
แม้ตัวเพ่งของสติปัฏฐานที่สี่
ซึ่งเป็นสภาวะนิพพาน หรือ ตถตา หรือ
สัจธรรมอันสูงสุดของธรรมชาติอันเป็นฐานที่เราไม่สามารถสอนอย่างชัดเจนมาก่อนนั้น
เมื่อญาณเกิดขึ้นกับเราแล้ว และเวลาผ่านพ้นไป เราก็ค่อย ๆ สามารถอธิบายสภาวะอย่างชัดเจนให้นักศึกษาเห็นตามเราได้
เหมือนกับพยายามฝึกทักษะให้เขาเห็นภาพสามมิติที่ซ่อนอยู่ในภาพสองมิตินั่นเอง
ซึ่งสามารถฝึกให้แก่กันได้ดีขึ้นถ้าครูรู้แน่ชัดว่าภาพสามมิติที่ซ่อนอยู่นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร
ถ้าไม่รู้ ก็สอนได้อย่างกำกวม ไม่ชัดเจน สอนตามที่คนอื่นพูด
ฉะนั้น เมื่อรู้ว่าพระนิพพานหน้าตาเป็นอย่างไร เราก็สอนได้ชัดเจนขึ้น
ไม่ต้องอาศัยคำพูดของครูบาอาจารย์อีกต่อไป หรือจะพูดได้ว่า
นักศึกษาเหล่านี้ได้คนท้องถิ่นมาบอกทางให้ไปเมืองนิพพานอันเป็นเมืองที่ไม่มีป้ายชื่อติดไว้เหมือนเมืองที่ทำด้วยอิฐปูน
เมื่อได้คนท้องถิ่นมาบอกทางให้
ย่อมมีโอกาสถึงเมืองนิพพานได้เร็วกว่าการไปเรียนกับคนที่ไม่ใช่คนท้องถิ่น
สิ่งที่เคยกำกวม ก็ชัดเจนแล้ว
เมื่อมองย้อนกลับ
ยังจำช่วงปีที่สอนนักศึกษาให้ดูสภาวะนิพพานอย่างกำกวมได้ ที่จริง
เป็นสภาวะที่เราได้สอนให้นักศึกษาหัดดูหัดสัมผัสแล้วประมาณ ๔ ถึง ๕
ปีเห็นจะได้ก่อนญาณจะเกิดด้วยซ้ำไป คงราวปี ๒๕๓๕ เราได้เห็นสภาวะนิพพานชัดแล้ว
และเหมือนรู้ว่ามันต้องมีความสำคัญอะไรสักอย่างมากกว่าเป็นเพียงความสงบเท่านั้น
แต่สำคัญอย่างไร เราไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้
ก็ยังตัดสินใจสอนนักศึกษาสังเกตสภาวะนั้นตามเรา จนถึงกับตั้งศัพท์ภาษาอังกฤษขึ้นมาใหม่เพื่อเรียกสภาวะนั้น
โดยมีคำว่า การรับรู้อย่างบริสุทธิ์ innocent
perception การเห็นโลกที่บริสุทธิ์ innocent world ใจที่บริสุทธิ์ innocent mind คำศัพท์เหล่านี้ ค่อย
ๆ มา ไม่ได้เกิดพร้อมกันหมด
จำได้ชัดมากว่า สามารถสอนให้นักศึกษาเห็นสภาวะนั้นตามเราได้
แต่ที่ยังกำกวมอยู่คือ ไม่สามารถเชื่อมโยงให้เขาได้ว่า สภาวะนี้คือ
จุดเพ่งของสติปัฏฐานที่สี่ หรือ พระนิพพาน ไม่สามารถบอกเขาได้ว่า
นี่คือเป้าหมายที่เขาควรบรรลุให้ได้ในทุก ๆ ขณะของชีวิต ในทุก ๆ วินาทีที่ผ่านไป แต่เมื่อญาณเกิดแล้ว
เราสามารถเชื่อมโยงคำอธิบายเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน
สามารถนำให้เขาปฏิบัติได้อย่างครบวงจร
สติปัฏฐานสี่เป็นการปฏิบัติที่ครบวงจรซึ่งเรารู้ชัดในวันเกิดญาณ
สอนปัญญาชนฝรั่งไม่ใช่เรื่องง่าย
ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมานี้ จึงรู้สึกว่า
มีความมั่นใจในการสอนนักศึกษามากขึ้น การสอนปัญญาชนฝรั่งไม่ใช่เรื่องง่าย
ถ้าเหตุผลไม่หนักแน่นจริง ๆ เขาจะไม่รับฟังเลย
เพราะเขาเติบโตขึ้นมากับการคิดนึกอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ฉะนั้น
จึงต้องรู้ว่าสิ่งไหนของศาสนาพุทธพูดได้ สิ่งไหนยังพูดไม่ได้
เช่นเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องภพภูมิต่าง ๆ นั้น ต้องเก็บไว้ก่อน
เอามาพูดก่อนไม่ได้เด็ดขาด ฉะนั้น
การเทศน์ตามประเพณีของชาวพุทธจึงเป็นวิธีการที่ใช้ไม่ได้สำหรับปัญญาชนฝรั่ง
ถ้าไปพูดสิ่งที่ยังไม่ควรพูดก่อนแล้ว จะทำให้เขาหมดศรัทธาไปเลย
นี่เป็นสิ่งที่พระสงฆ์องค์เจ้าที่มาสอนในต่างประเทศต้องระวังให้ดี
การเห็นภาพทั้งหมดของชีวิตทำให้การสอนง่ายขึ้นมาก
ไม่ว่าจะพูดจากแง่มุมไหนก็ตาม ไม่มีการหลงทาง ฉะนั้น
จึงสามารถขุดหาเหตุผลที่หนักแน่นมายันเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเพื่อให้ปัญญาชนฝรั่งยอมรับให้ได้
และเริ่มเห็นแล้วว่า คนที่มีธุลีในดวงตาแต่น้อยในหมู่ฝรั่งก็มี
ได้เพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการหลุดพ้นให้นักศึกษาแล้ว
พอสอนมาถึงขั้นตอนนี้
เห็นได้ชัดว่านักศึกษาแต่ละคนมีบารมีมากน้อยต่างกัน
คนที่พอมีบารมีนั้นจะสามารถทำตามสิ่งที่เราแนะนำได้ดี และเห็นสภาวะสัจธรรมอันสูงสุดได้เร็ว
ในขณะที่คนมีบารมีน้อยจะมองไม่เห็น ถึงแม้นักศึกษาเหล่านี้ไม่ได้เป็นชาวพุทธ
แต่เราก็ได้เพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการหลุดพ้นให้เขาแล้ว ถ้าเขาไม่ละทิ้งสิ่งที่เราสอน
และพยายามฝึกฝนต่อไปแม้ได้จากชั้นของเราไปแล้ว
และถึงแม้จะละทิ้งการปฏิบัติไปพักหนึ่งก็ตาม
เขาจะถูกข้อเท็จจริงของชีวิตสอนเองหรือถูกธรรมชาติสอน เพราะไม่มีใครในโลกนี้จะมีความสุขได้อย่างแท้จริงตราบใดที่ยังไม่พบวิมุติสุข
คือ สุขอันเกิดจากการออกจากวัตถุกาม เมื่อถูกความทุกข์รังควาญเอาหนัก ๆ คนเหล่านี้จะไม่มีทางเลือก
เขาจะระลึกถึงคำพูดต่าง ๆ ที่เราได้ปลูกฝังให้เขาในชั้นไท้เก็กของเรา
และจะพยายามหาทางกลับมาสู่ร่องแห่งธรรมเอง จะเดินตามทางแห่งองค์มรรคได้ในภายหลัง
ตรงนี้
เราจึงเห็นความสำคัญที่ต้องทิ้งงานเขียนภาษาอังกฤษของเราไว้ให้แก่ลูกศิษย์เหล่านี้
คนที่เรียนกับเราโดยตรงจะสามารถเข้าใจงานเขียนของเราได้ดีกว่าคนที่ไม่เคยผ่านชั้นเรียนของเราเลย
หนังสือเรื่อง ใบไม้กำมือเดียว ก็เป็นผลโดยตรงของการเกิดญาณของเรา
คือสามารถย้ำให้คนรู้ว่าพระนิพพานเป็นเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต
และอธิบายสภาวะสัจธรรมอันสูงสุดได้ ซึ่งเป็นวิธีการเขียนที่เราทำไม่ได้มาก่อน
เป็นการพูดเรื่องโครงสร้างใหญ่ของชีวิตและของพระพุทธศาสนาอย่างเป็นอิสระโดยไม่ต้องพึ่งพาคำพูดของครูบาอาจารย์อีกต่อไป
ส่วน คู่มือชีวิต หรือ The User Guide to
Life ก็เป็นส่วนรายละเอียดของการเดินทางที่จะไปให้ถึงเป้าหมายอันสูงสุดนั้น