บทที่สิบหก
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงหลังเกิดญาณแล้ว
เหลือเพียงอายตนะนั้น
ถึงแม้ใจของเราไม่ได้รู้สึกว่าถูกผลักออกจากจิตอย่างชัดเจนในวันที่เกิดญาณจนไม่กล้าสรุปให้แก่ตนเองว่านี่เป็นสภาวะที่หลุดพ้นก็ตาม
เราก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของใจที่ไม่เคยเกิดมาก่อน แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสภาวะที่เกิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ไม่ได้เกิดขึ้นทันที
หลังจากที่เกิดญาณแล้ว
ในช่วงหลายเดือนแรก
เหมือนกับเป็นการย้ำสภาวะนิพพานที่เห็นอยู่เบื้องหน้าว่านี่ใช่หรือไม่
และทุกครั้งที่สำรวจก็รู้ว่ามันต้องใช่แน่ สิ่งที่เราเห็นตำตานี้ต้องเป็นสภาวะที่พูดไม่ออกบอกไม่ได้ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงแน่นอน
จำได้ว่าคงจะเป็นช่วงหน้าร้อนของปีต่อมา
คือตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึง กันยายน ๒๕๔๑
เราใช้เวลากลางวันที่ยาวนานของฤดูร้อนอยู่ในสวนหลังบ้านมากทีเดียว
มีความรู้สึกอยากอยู่กับธรรมชาติล้วน ๆ ไม่อยากพูดคุยกับใคร แม้คุยก็ทำเท่าที่จำเป็นกับคนในครอบครัว
ไม่อยากยกหูโทรศัพท์เพื่อพูดคุยกับเพื่อนฝูงอีกต่อไป อยากเฝ้ามองท้องฟ้า เมฆ
ต้นไม้ นก และทุกอย่างที่เป็นธรรมชาติ
มักจะเอาเก้าอี้ยาวที่เอนนอนได้ไปวางไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งปลายสวนที่มีดอกสีขาวกลิ่นเหมือนดอกจำปี
ไม่มีความรู้สึกอยากอ่านหนังสือแต่อย่างใด
สามารถทำให้ใจว่างและปลอดจากความคิดได้อย่างง่ายดาย พอใจหยุดคิด
ก็เห็นตัวเองหลอมเข้าสู่ธรรมชาติ ไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่การรับรู้ (วิญญาณ) ล้วน ๆ จาก
๑๒ อายตนะทั้งภายในและภายนอก เมื่อหลุดจากความคิดแล้ว
มันรวบลงเหลือเพียงอายตนะเดียวหรือที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า อายตนะนั้น ซึ่งท่านใช้เรียกแทน สภาวะพระนิพพาน
เราสามารถใช้เวลาอยู่ในสวน
นั่ง ๆ นอน ๆ ดูธรรมชาติอยู่อย่างนั้นได้นานเป็นชั่วโมง ง่วงก็นอน พอหลับตา
ใจก็อยู่กับความสงบหรือพระนิพพานได้ทันที พอลืมตาตื่นขึ้นมาก็ไม่มีความรู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างที่เคยเป็นเมื่อนอนมาก
เมื่อรู้สึกตัวแม้จะยังไม่ทันได้ลืมตาก็ตาม
ใจจะตรวจสอบสภาวะนิพพานเองและอยู่กับสภาวะนั้นได้ทันที
ดื่มด่ำกับสภาวะนั้นอย่างมากมายในช่วงหน้าร้อนของปีนั้น สภาวะแมวจับหนูก็ซาลงไปมาก
นาน ๆ จึงจะเกิดสักที
เห็นความสว่างกินความมืด
แม้ความคิดที่ผ่านเข้ามาในหัวก็ล้วนแต่เป็นปัญญาที่ใคร่ครวญอยู่กับธรรมเสมอ
ไม่ว่าจะโน้มใจไปคิดเรื่องอะไร ก็สามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนทะลุปรุโปร่ง
แม้เมื่อฉุกคิดอะไรเกี่ยวกับครอบครัว ลูก งาน ปัญหาสังคม ปัญหาของโลก
หรือความคิดอะไรก็ตามแต่ โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงลูก พอความคิดเริ่มติดขัด
หาทางออกไม่ได้ ทันใดนั้น
ความคิดนั้นก็หลุดหายและใจก็เข้าสู่สภาวะที่ว่างและเงียบกริบได้ทันที
ทุกครั้งที่เห็นเช่นนั้น ก็ยิ่งย้ำให้ตนเองรู้ว่า สภาวะที่เกิดขึ้นหลังจากการหลุดลุ่ยของความคิดต้องเป็นพระนิพพานแน่นอน
จะเป็นสิ่งอื่นไม่ได้เด็ดขาด
เห็นได้ชัดว่า
พระนิพพานเป็นความสว่าง ความคิดเป็นความมืด สองอย่างนี้จะอยู่ด้วยกันไม่ได้
เพราะรู้แล้วว่าพระนิพพานหรือความสว่างเป็นอย่างไรในวันเกิดญาณ
จึงเกิดสภาวะที่ความสว่างกินความมืดเองตลอดเวลา ยิ่งกินมาก
ก็ยิ่งแน่ใจและแยกแยะได้ว่า สภาวะไหนคือความสว่างและสภาวะไหนคือความมืด
ทำให้เข้าใจและเห็นอย่างชัดเจนว่า การแก้ปัญหาด้วยการคิดนั้น ไม่ช้าก็เร็ว
ย่อมมาถึงทางตันของมัน
จะไม่มีทางออกอย่างแท้จริงด้วยวิธีการคิดเพื่อหาทางออกให้กับปัญหาต่าง ๆ ในโลก
ทางออกที่แท้จริงจะต้องมาจากการหยุดคิด หรือ หลุดจากความคิดให้ได้
ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผลในตัวมันเองเลย
แต่ถ้าใครทำได้แล้วก็จะรู้เองว่าการหยุดคิดหรือการปล่อยวางความคิดเป็นทางออกในตัวมันเองจริง
ๆ และเป็นสภาวะที่อธิบายให้แก่กันไม่ได้
พยายามทดสอบสภาวะพระนิพพาน
ได้ทดสอบสภาวะนั้นอยู่บ่อยมากในช่วงปีแรกหลังเกิดญาณแล้ว
เพราะตอนที่กำลังเขียนใบไม้กำมือเดียวอยู่นั้น รู้ตัวว่า
กำลังประกาศให้ชาวโลกรู้ว่า เราเห็นพระนิพพานแล้ว
รู้แล้วว่าสัจธรรมสูงสุดเป็นอย่างไร เราได้ถึงแล้ว
จึงสามารถพูดอย่างที่เราพูดในหนังสือนั้นได้
ซึ่งเป็นความคิดที่น่ากลัวและโดดเดี่ยวมากที่สุดโดยเฉพาะสำหรับคนที่อยู่ในสถานะอย่างเรา
คือไม่เพียงแต่เป็นฆราวาสเท่านั้นแต่ยังเป็นผู้หญิงที่ใช้ชีวิตคู่อยู่
ไม่มีหมู่กลุ่มที่จะปรึกษา พูดคุย ให้กำลังใจ และทดสอบความรู้ซึ่งกันและกัน
ตัวคนเดียวจริง ๆ ถ้ารู้ไม่จริง จะไปรอดได้อย่างไร
ถามตัวเองเสมอว่าเราไปเอาความกล้าหาญมาจากไหนที่กล้ายืนขึ้นมาประกาศให้ชาวโลกรู้เช่นนี้ และถ้าสิ่งที่เราเห็นไม่ใช่พระนิพพานจริง
ๆ ล่ะ เราจะทำยังไง ถูกเขาโจมตีกลับมานี่ ต้องบ้าแน่นะ ถ้าเราไม่รู้จริง
ถ้าใจไม่สามารถหลุดได้จริง ๆ ไม่ใช่บ้าเล่น ๆ นะ บ้าจริง ๆ นะ
คิดมาถึงจุดนี้แล้วก็ขนลุกเหมือนกัน พูดกับตัวเองเสมอว่า อยู่เฉย ๆ อย่างนี้
เก็บความรู้ไว้คนเดียวไม่ดีกว่าหรือ ไปเปิดเผยทำไมให้มากเรื่อง
ได้พยายามโน้มเอาความคิดเหล่านี้มาหักล้างและชะลอความกล้าหาญชาญชัยอย่างบ้าระห่ำของตัวเอง
เป็นการห้ามล้อให้ตัวเองอย่างหนักหน่วง แต่แม้ความคิดเหล่านั้น ก็หลุดลุ่ยหายเข้าไปในความว่างหรือความสว่างแห่งพระนิพพาน
ไม่มียางเหนียวที่จะทำให้ความคิดเหล่านั้นติดอยู่ในใจเลยแม้แต่น้อย ใจจริงแล้ว
อยากให้มันติดบ้าง จะได้ไม่พูดไม่เขียนอะไรที่ดูกล้าหาญจนเกินตัว
แต่ความคิดในแง่ลบเหล่านั้นก็ไม่ยอมติด หลุดออกไปเสมอ และหลุดไปเอง เหมือนกับไม่มีใจให้เกาะ
เหลือเพียงสภาวะเดียวเท่านั้น และรู้ด้วยว่าสภาวะนั้นคือพระนิพพาน
ได้ถามตัวเองว่า
ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นฆราวาสหญิง
แต่เป็นพระที่ห้อมล้อมไปด้วยผู้คนที่พูดคุยและปรึกษาด้วยได้
ถ้าเรามีความรู้ในระดับที่เรามีอยู่ในขณะนี้ คิดว่า จะไปถามใครได้หรือไม่ ที่สามารถมารับประกันให้เราได้ว่าเรารู้จริง
เราได้ถึงนิพพานจริง คำตอบคือไม่มีคน ๆ นั้นอีกแล้ว เราไม่ได้เกิดในยุคพระพุทธเจ้า
ที่จะวิ่งเข้าไปหาท่านเพื่อให้ท่านยืนยันให้ ทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว
แม้อยากทำมากสักแค่ไหนก็ทำไม่ได้ การยืนยันความรู้ในระดับนี้ ทำได้อย่างเดียวเท่านั้นคือ
ต้องยืนยันให้ตัวเองให้ได้
ถ้ายืนยันให้ตัวเองไม่ได้ก็แสดงว่ายังไม่ได้เจอความรู้จริง
ยังไม่ได้ถึงพระนิพพานจริง
แม้ทุกวันนี้ก็ยังต้องทดสอบเช่นนี้อยู่
ต้องพยายามโน้มเอาความคิดในฝ่ายลบมาห้ามล้อตัวเองเสมอ แต่ทุกครั้งที่ทำเช่นนั้น
มันก็หลุดออกไปทุกครั้ง ยิ่งทำ มันก็ยิ่งย้ำสภาวะพระนิพพานให้ชัดมากขึ้น
จนเดี๋ยวนี้ไม่มีความสงสัยอีกแล้ว เพราะได้พิสูจน์มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
ตั้งแต่วันที่เกิดญาณจนถึงบัดนี้ ผลออกมาเหมือนกันทุกครั้งไป
เบื้องหลังคู่มือชีวิต
เราสังเกตเห็นอีกว่า
การพยายามโน้มเอาความคิดฝ่ายลบมาห้ามล้อและหักล้างความมั่นใจให้ตัวเองนั้นกลับทำให้มีผลในทางตรงกันข้าม
คือมันกลับไปเพิ่มระดับความกล้าหาญชาญชัยอย่างบ้าระห่ำจนน่ากลัว และไม่อยากเป็นคน
ๆ นั้น เพราะรู้ว่า การมีความมั่นใจจนเกินตัวเป็นสิ่งอันตรายมาก ถ้าไม่รู้จริง
อยากเป็นคนอีกคนหนึ่ง คนที่เป็นเพียงแม่บ้านธรรมดา ๆ ที่ไม่มีใครสนใจเท่านั้น
หลังจากที่ใบไม้กำมือเดียวพิมพ์ออกขายที่เมืองไทยและได้คุยกับน้อยอย่างเปิดอกแล้ว
ราวต้นปี ๒๕๔๓
ความคิดอีกระลอกหนึ่งเริ่มโหมหนักบอกให้เราเขียนคู่มือขึ้นมาเล่มหนึ่งที่จะช่วยบอกทางอย่างละเอียดให้คนที่อยู่ในความมืดพบความสว่างของชีวิตได้
สามารถเห็นโครงสร้างทั้งหมดของหนังสือทั้งเล่มในหัวได้
เป็นเรื่องที่ประสานต่อจากใบไม้กำมือเดียว
เป็นการช่วยเหลือคนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งที่อาจจะเข้าใจและยอมรับความคิดของเราได้
เมื่อความคิดความกดดันเหล่านั้นโหมหนักเข้า แม้ยังไม่รู้ว่าเนื้อหาจะเป็นอย่างไร
แต่ก็รู้ว่าจะต้องเรียกหนังสือเล่มนี้ว่า คู่มือชีวิต
เราเริ่มคิดว่า บ้าอีกแล้ว อายุยังไม่ถึง ๕๐
จะมาเขียนคู่มือชีวิตให้ใครอ่าน พยายามหักล้างและทำลายความมั่นใจของตัวเอง
บอกตัวเองว่าคนเขียนหนังสืออย่างนี้ได้ต้องเป็นพระแก่ ๆ ที่บวชมานานแล้ว
ยังรู้สึกว่าต้องสัมพันความรู้ที่สูงส่งเหล่านี้กับพระเท่านั้น
และเราไม่ใช่เป็นพระ เราเป็นคนธรรมดา จะมาเขียนหนังสืออย่างนี้ได้อย่างไร
แต่ความคิดในแง่ลบเหล่านี้ก็หักล้างและฉุดรั้งเราไว้ไม่อยู่
มันหลุดหายไปในความว่างเสมอ จึงเริ่มจับงานเขียนคู่มือชีวิตเป็นภาษาอังกฤษก่อน
การเขียนหนังสือก็คือ
การยืนต่อหน้าคนมากมายและพูดคุยกับเขาแบบตัวต่อตัว บอกให้เขารู้ว่า เราคิดอย่างไร
พอโน้มใจเข้าสู่เนื้อหาเพียงสามสี่บทต้นของหนังสือเล่มนี้เท่านั้น
แม้เราเองก็ยังไม่อยากเชื่อว่า ความคิดที่กล้าหาญชาญชัยเหล่านั้นมาอยู่ในหัวได้อย่างไร
ใครเอามาใส่ไว้ ถึงจุดนั้น เรารู้ว่า
หนังสือเล่มนี้จะเขียนด้วยการใช้คำพูดอย่างอ่อน ๆ พูดอย่างอ้อมค้อมไม่ได้
จำเป็นต้องใช้คำพูดที่เด็ดขาดและตรงไปตรงมากับผู้อ่าน
เพราะนั่นเป็นวิธีการเดียวที่จะรีบช่วยคนที่มีบารมีพร้อมแล้วได้
จะเขียนโดยวิธีการอื่นไม่ได้ ได้ส่งไปให้น้อยอ่านดูก่อน แม้น้อยเองก็เตือนเราว่า
พูดอย่างอ้อม ๆ ไม่ได้หรือ ได้ทบทวนคำพูดของน้อย และคิดว่า ถ้าเขียนเสร็จ
ความคิดเปลี่ยน เราจะแก้ แต่ถ้าไม่เปลี่ยน ก็ไม่แก้ คงไว้อย่างนั้น ปรากฏว่า
ใช้เวลา ๑๕ เดือนในการเขียนคู่มือชีวิตทั้งอังกฤษและไทย ภาคภาษาไทยเพิ่งเขียนเสร็จเมื่อเดือนมิถุนายน
๒๕๔๔ นี่เอง ในช่วงเวลานั้น
เราเท่านั้นที่รู้ว่าได้พยายามทำลายความกล้าหาญชาญชัยที่บ้าระห่ำของตัวเองอย่างนับครั้งไม่ถ้วน
ถามตัวเองเสมอว่า เราต้องแน่ใจในสิ่งที่พูดนะ เราต้องแน่ใจในประสบการณ์
ในสภาวะที่พูดไม่ออกบอกไม่ได้นะ ถ้าไม่แน่ใจอย่างล้านเปอร์เซนต์แล้ว
จะให้ตัวหนังสือเหล่านั้นออกมาให้คนอ่านเห็นไม่ได้เด็ดขาดเชียวนะ ตายแน่ ตายจริง ๆ
แล้วเราก็ถามตัวเองว่ากลัวตายไม๊ ก็ตอบได้ว่าไม่กลัวตาย กลัวไม่ตายจริงมากกว่า
ใครจะมาเอาเราตายเพราะพูดความจริง ก็ยอมตาย ไม่ได้คิดอย่างเป็นอุดมคติว่าจะต้องเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องสัจธรรมอะไรพรรค์นั้นหรอก
ที่ไม่กลัวตายเพราะไม่ได้เห็นความตายเป็นเรื่องน่ากลัวต่างหาก รู้สึกเฉย ๆ
คิดว่าถ้าถึงเวลาตาย ก็ตายไปสิ ดีเหมือนกัน หมดเรื่องหมดราวซะที
คิดอย่างนี้มากกว่า
ไม่ว่าจะหักล้างทำลายความมั่นใจของตัวเองอย่างไร
ก็เหมือนกับไม่มีอะไรในใจให้หักได้ เหลือแต่ความว่างเปล่า กลับกลายเป็นว่า
ยิ่งเขียนไป ความกล้าหาญในธรรมยิ่งมีมากขึ้น ในขณะเดียวกัน
ก็ยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ไม่รู้จะไปหาใครในโลกนี้ที่สามารถเข้าใจเราได้จริง ๆ
ก็ได้พยายามทำลายความมั่นใจของตัวเองเป็นขั้นเป็นตอนเรื่อยมาเพื่อให้แน่ใจอย่างจริง
ๆ ว่า สภาวะของเราไม่ผิดแน่ มันก็เป็นเช่นนี้มาตลอดจนถึงบัดนี้
ตอนนี้ กลับคิดเสมอว่า ชีวิตเราเหลืออีกเพียง ๒๐ หรือ ๓๐
ปีเป็นอย่างมากเท่านั้น ภาระหน้าที่ของตัวเองก็เหมือนกับหมดแล้ว
เมื่อยังมีกำลังอยู่ จะมานั่งเฉย ๆ ทำไม รีบสร้างงานเหล่านี้ทิ้งให้คนข้างหลังเร็ว
ๆ และต้องรีบทำแข่งกับเวลาด้วย ถ้าตายพรุ่งนี้แล้ว จะเสียเรื่อง
คนที่ควรได้โอกาสทองก็จะพลาดโอกาสไป ทำได้ก็ควรรีบขวนขวาย ทำเสียเร็ว ๆ
เป็นการช่วยสืบทอดพระพุทธศาสนาให้อยู่ต่อไปอีกช่วงหนึ่งและถวายเป็นพุทธบูชาด้วย
กลับบ้านเป็นแล้ว
เคยคิดว่าใจของผู้ที่เข้าถึงพระนิพพานแล้วจะว่างตลอดเวลา
ไม่มีความคิดใด ๆ ทั้งสิ้น ตอนนี้จึงรู้ว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น ที่จริงแล้ว
การคิดนึกอะไรของเราทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมทุกประการ
สิ่งที่เด่นที่สุดที่เพิ่มเข้ามาหลังเกิดญาณแล้วคือ ใจไม่หลงทางหรือไม่เคว้งอีกต่อไป
ไม่ว่าเราจะคิดโน่นคิดนี่หรือคิดอะไรออกไปไกลสักแค่ไหนก็ตาม
เราสามารถนำใจกลับบ้านหรือกลับสู่ฐานได้เสมอ
เพราะญาณที่เกิดทำให้เรารู้หน้าตาของบ้านตนเอง
รู้ว่าสติปัฏฐานที่สี่ก็คือบ้านของใจ เมื่อเอาใจกลับคืนสู่ฐานที่สี่ได้ ฐานนั้นก็คือพระนิพพานหรือบ้านถาวรของใจนั่นเอง
ใจไม่มีการหลงทางอีกต่อไปแล้ว เพราะรู้หน้าตาพระนิพพาน
จึงสามารถเปรียบเทียบเรื่องการนั่งรถไฟเมื่อพูดถึงสติปัฏฐานสี่ในเรื่องใบไม้กำมือเดียว
วิปัสสนาคือการพาใจกลับบ้าน
คนที่กำลังปฏิบัติวิปัสสนาหรือสติปัฏฐานสี่อยู่
แต่ญาณยังไม่เกิดนั้น
เท่ากับเป็นการฝึกหัดให้ใจเดินทางกลับบ้านหรือกลับสู่ฐานของใจนั่นเอง
หรือถึงพระนิพพานซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันหมด คนที่ฝึกจนมีสติไวมาก
สามารถตรึงใจให้อยู่กับฐานที่หนึ่ง(กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เช่น รู้ลมหายใจ รู้การเคลื่อนไหว)ได้นั้น การทำเช่นนั้น ก็เท่ากับฝึกให้ใจกลับบ้านเป็น
หรือกลับสู่ฐานของใจเป็น เป็นการฝึกไม่ให้ใจหลงทางออกไปไกล
แต่ถ้าความไวของสติยังไม่พอ ใจก็จะเสียเวลาไปหลงทาง
การหลงทางของใจคือติดยึดอยู่กับความคิด ปล่อยวางความคิดไม่ได้
แต่เมื่อเขาสามารถปล่อยความคิดได้ ทันใดนั้นใจก็ว่าง เขาก็จะสามารถกลับบ้านหรือกลับสู่ฐานของใจที่ว่างนั้นได้
จนกว่าความคิดอีกอันหนึ่งจะเข้ามา ก็ต้องเริ่มปล่อยอีก
และกลับสู่ฐานที่ว่างนั้นอีก ทำอยู่อย่างนี้แล้ว ๆ เล่า ๆ นี่คือการทำวิปัสสนา
สติปัฏฐานสี่เป็นทางสายตรงพาผู้ปฏิบัติไปถึงประตูพระนิพพาน
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าสติปัฏฐานสี่เป็นทางสายเอกและสายตรงที่จะพาผู้ปฏิบัติไปถึงประตูพระนิพพาน
ซึ่งเป็นการตรัสสอนอย่างตรงไปตรงมาจริง ๆ เพราะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
คนที่ยังไม่เกิดญาณจะไม่รู้ว่า
ฐานที่สี่หรือธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานก็คือพระนิพพานแล้ว
และสติปัฏฐานสี่เป็นการปฏิบัติที่ครบวงจรสำหรับคนที่เกิดญาณแล้ว
ครบวงจรในที่นี้หมายความว่าฐานที่หนึ่งกับฐานที่สี่ เมื่อครบวงจรแล้วมันจะชนกัน
เป็นสิ่งเดียวกัน ฉะนั้น สำหรับผู้เกิดญาณแล้ว การรู้กาย รู้ลมหายใจ
รู้การเคลื่อนไหว กับการรู้ธรรมหรือรู้นิพพานเป็นเรื่องเดียวกันหมด
คนฟังแล้วต้องงงแน่ เราพูดอะไรวกวน ที่จริงเมื่อเห็นสภาวะแล้วมันไม่วน
จะพูดยังไงก็กลับเข้าเรื่องนิพพานได้เสมอ
ถ้าคนที่ยังงงอยู่
ไม่รู้จะปฏิบัติธรรมอย่างไรจึงเรียกว่าถูกทาง เราอยากแนะนำให้เขาทำเรื่องเดียวก็พอ
ฝึกสติให้ไว ทำอะไรอยู่ก็ให้รู้เท่านั้น ทำฐานที่หนึ่งฐานเดียวเท่านั้นก็พอแล้ว
ไม่ต้องห่วงเรื่องอื่นเลย
ทำแค่นี้ก็เท่ากับหัดเดินทางกลับบ้านหรือไปถึงนิพพานแล้ว
เหตุผลที่ต้องทำอะไรช้า ๆ อย่างมีสติ
คนที่กำลังฝึกสมาธิวิปัสสนามักถูกสอนให้ทำอะไรอย่างช้า
ๆ เพื่อให้มีสติ สาเหตุที่ต้องทำอะไรช้า ๆ
อย่างมีสติเปรียบเทียบได้กับมีคนบอกให้ไปหาบ้านหลังหนึ่งชื่อนิพพาน
เพราะได้ยินพระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่าบ้านหลังที่ชื่อนิพพานมีหน้าตาอย่างนี้ ๆ
คนที่ยังไม่เกิดญาณและยังไม่รู้ว่าบ้านที่ชื่อนิพพานมีหน้าตาอย่างไรจริง ๆ
คือยังไม่เห็นจริง ๆ จึงต้องเดินช้า
ๆ ค่อย ๆ หา ค่อย ๆ มองเหมือนกับการเดินหาบ้านสักหลังตามตรอก ซอก
ซอยในกรุงเทพไม่มีผิด คนกำลังหาบ้านที่ยังไม่เคยไปนั้น จะไปเดินหาแบบเร็ว ๆ ไม่ได้
ต้องเดินช้า ๆ ควบคู่กับการอ่านแผนที่บอกทาง ต้องค่อย ๆ มองอย่างพินิจพิจารณา
แม้การดูบ้านที่ทำด้วยอิฐด้วยปูน ก็ยังต้องทำอย่างช้า ๆ ถ้าไปเร่งรีบ
ก็สามารถมองข้ามบ้านที่ต้องการหาได้
การเดินไปหาบ้านที่ชื่อนิพพานก็ยิ่งเดินเร็วไม่ได้ใหญ่
เพราะไม่มีรูปร่างภายนอกให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งเหมือนบ้านที่เป็นอิฐปูน
การทำสมาธิวิปัสสนาในตอนแรก นักปฏิบัติจึงถูกสอนให้ทำอะไรช้า ๆ อย่างมีสติ
การทำเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการค่อย ๆ มองเข้าไปในใจเพื่อดูว่าบ้านหลังไหนหนอที่มีชื่อว่านิพพานและมีหน้าตาเหมือนดังที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้
จะเดินเร็วไม่ได้เด็ดขาด
หมายความว่าจะปล่อยให้ความคิดกระเจิดกระเจิงฟุ้งซ่านไม่ได้ ต้องทำอะไรช้า ๆ
อย่างมีสติอยู่กับฐานเสมอ
ต้องตรัสรู้ก่อน จึงจะเรียกว่ารู้จริง
ที่จริงฐานที่สติสามารถตั้งมั่นอยู่ในสติปัฏฐานทั้งสี่นั้นก็คือบ้านที่ชื่อนิพพานที่ต้องการหาอยู่แล้ว
แต่ถ้าญาณยังไม่เกิดเองกับบุคคลนั้น ๆ แม้จะคลำอยู่ตำตาอย่างนั้นทุกวี่วัน
แม้จะเป็นครูสอนคนอื่นอยู่ เจ้าตัวก็ไม่รู้ และรู้ไม่ได้ จะรู้ก็เพราะมีคนรู้แล้ว
เห็นแล้วจริง ๆ มาบอก แต่ก็รู้แบบรู้ตามคนอื่น รู้เพราะคนอื่นบอก
ยังไม่ใช่ตรัสรู้เอง ทุกคนต้องตรัสรู้เองจึงจะเรียกว่ารู้จริง ถ้ายังไม่เกิดญาณ
ยังไม่ตรัสรู้ ก็ยังไม่รู้จริง
หากนักปฏิบัติไม่ละความพยายาม
คลำทางอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ คือ หมั่นฝึกสติอย่างไม่ลดละ ก็จะมีวันหนึ่งที่ญาณจะเกิดแก่เขาผู้ไม่ละความพยายาม
เขาจะเจอบ้านที่ชื่อนิพพานเข้าจนได้ และรู้ว่า อ๋อ
บ้านนี้เอง
บ้านที่เห็นตำตาอยู่ทุกวันนี่เองที่ชื่อนิพพาน มันอยู่ตรงนี้เอง
นี่คือความยากของการอธิบายเรื่องนิพพานให้คนยังอยู่ในโลกแห่งความมืดได้รู้
เพราะเป็นเรื่องหญ้าปากคอกจนไม่มีใครนึกถึง ต้องรอให้ญาณเกิดเองจึงจะถึงบางอ้อได้
แต่เมื่อรู้แล้ว ก็จะรู้ทางเดินเข้าออกบ้านนั้นได้ รู้ว่าเดินทางไหนจึงจะถึงเร็ว
ยิ่งรู้นานวันเข้า ก็จะยิ่งชินกับทางเข้าออกบ้านนิพพาน ไม่หลงทางอีกแล้ว
เมื่อรู้ว่าบ้านอยู่ที่ไหน
จะตีลังกากลับบ้านก็ยังได้
ฉะนั้น คนที่เกิดญาณแล้ว
รู้หน้าตาของพระนิพพานแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอะไรช้า ๆ
อย่างมีสติเหมือนคนที่กำลังคลำทางอยู่ เพราะรู้ทางเข้าออกและหน้าตาของบ้านแล้ว
จะวิ่งเข้าวิ่งออกสักกี่เที่ยวก็ได้ ไม่มีปัญหา คนที่เกิดญาณแล้ว
ก็ใช้ชีวิตอยู่เฉย ๆ อย่างธรรมดา ๆ นี่แหละ ประเภทที่เรียกว่า หิวก็กิน
ง่วงก็นอนได้ ปวดท้องก็ถ่าย และทำหน้าที่ไปตามบทบาทของโลกสมมุติ
อาจจะถูกคนอื่นดูว่าจะเดิน จะนั่ง จะทำอะไรก็ไม่เห็นมีความประณีต ละเอียดละออเลย
อาจจะทำอะไรรีบร้อนก็ได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของการใช้ชีวิตในแต่ละวัน
บางเวลาก็ช้า ละเอียด ประณีต แต่บางเวลาก็รีบ ทำอย่างหยาบ ไม่มีความประณีต
นี่เป็นเรื่องธรรมดามาก เพราะทุกอย่างเป็นอนิจจัง
สำหรับผู้ที่เกิดญาณแล้ว แม้จะทำอะไรอย่างหยาบ
และเร็ว ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะรู้จักกลับบ้านเสียแล้ว ฉะนั้น
จะวิ่งกลับบ้านหรือจะตีลังกากลับบ้าน จะเดินกระโดดขาเดียวกลับบ้านก็ยังได้
เพราะรู้ว่าบ้านอยู่ที่ไหนแล้ว
นี่คือความแตกต่างระหว่างคนที่เกิดญาณแล้วและคนที่ยังไม่เกิดญาณ
เราอยากคิดว่า
ความเป็นพระอรหันต์น่าจะตัดสินที่จุดการเกิดญาณอย่างถาวรหรือไม่ ฉะนั้น
คนที่ยังไม่เกิดญาณไม่ควรตัดสินคนที่มีญาณแล้ว ตรงนี้เองกระมังที่เขาบอกว่า
ผู้บรรลุพระอรหันต์แล้ว หากยังเป็นฆราวาสอยู่ ควรจะบวชเข้าสู่พระธรรมวินัย
เพราะเพศนักบวชเป็นวิถีชีวิตที่สูงส่ง
สมกับฐานะของผู้บรรลุธรรมในระดับสูงสุดนี้
ความสว่างที่มืด
ส่วนคนที่ไม่เคยสนใจพระพุทธศาสนา
ไม่เคยฝึกสมาธิวิปัสสนาเลย ยังไม่รู้เหนือรู้ใต้ในเรื่องของชีวิต
ใจของเขาก็จะหลงทางตลอดเวลา แม้ในยามที่ใจสงบก็ตาม แม้ใจดูเหมือนไม่ขึ้นลง
ไม่ทุกข์ ไม่หวั่นไหว เจ้าตัวอาจจะคิดว่าตนเองไม่ทุกข์ไม่มีปัญหา เข้าใจชีวิตได้
ก็จริงอยู่ แต่เขาก็ยังมืดและหลงทางอยู่วันยังค่ำ เป็นความสว่างที่มืดมิด รอเวลาที่จะเจอเหตุการณ์หนักหน่วงในชีวิตที่ทำให้ใจซัดส่ายอย่างไม่เป็นท่า
เขาจะไม่สามารถนำใจกลับบ้านที่ถาวรได้ ไม่รู้ว่าควรนำใจไปวางไว้ฐานอะไร ที่ไหน
จึงพาใจกลับบ้านไม่เป็น
คนที่ไม่ได้ฝึกวิปัสสนาเปรียบเหมือนการสร้างบ้านบนฐานทราย
ฉะนั้น คนที่ยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร
ไม่เคยฝึกฝนเรื่องสมาธิวิปัสสนาเลยนั้น เขาจะต้องสร้างฐานของใจขึ้นมาเอง
หรือสร้างบ้านของตัวเองที่จะพาใจกลับมาอยู่ได้ บ้านที่คนมืดบอดมักสร้าง คือการคิดอย่างมีเหตุผลบ้าง
คิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์บ้าง การคิดที่เชื่อในเรื่องพระเจ้าบ้าง หรือคิดอย่างมีศีลธรรมบ้าง
คนเหล่านี้จะคิดว่าเขารู้ เขามีหลักเกาะที่มั่นคง เมื่อคิดอะไรติดขัดขึ้นมา
เขาก็จะพยายามใช้ความคิดของเขาคิดต่อเพื่อหาคำตอบในแวงวงความคิดที่เขาเชื่อ เช่น
ถ้าคนเชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์ เมื่อเขาสงสัยอะไร คิดอะไรติดขัดขึ้นมา
เขาก็จะพยายามคิดหาคำตอบที่อยู่ในแวดวงของการใช้เหตุผลไปเรื่อย ๆ
บ้านของใจของเขาคือการคิดอย่างมีเหตุผล คนเชื่อเรื่องพระเจ้านั้น
ถ้าเขาสงสัยอะไรที่ตอบไม่ได้ เขาก็จะคิดหาคำตอบ
หาความอุ่นใจที่อยู่ในแวดวงของพระเจ้า คนที่เชื่อเรื่องการทำความดีเป็นใหญ่
เมื่อคิดอะไรติดขัดขึ้นมา ก็จะกลับมาสู่ฐานการคิดที่ทำแต่ความดี
คิดว่าตราบใดที่เขาทำความดีอยู่ ก็อุ่นใจได้แล้ว นี่คือฐานหรือบ้านของใจของเขา
ซึ่งล้วนเป็นบ้านที่สร้างขึ้นมาโดยใช้ตัวสังขารหรือความคิด
ต้องใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นตัวเจตสิก
ทั้งความคิดและเจตสิกเหล่านี้ล้วนตกอยู่ภายใต้กฏแห่งอนิจจังทั้งสิ้น ฉะนั้น
ฐานหรือบ้านของใจของคนที่ยังมืดบอดอยู่จึงเป็นบ้านที่ไม่คงทนถาวร
เป็นบ้านที่สร้างขึ้นมาบนฐานทรายเท่านั้น เมื่อถูกลมของโลกธรรมพัดแล้ว
จะล้มได้ง่าย
นิพพานเป็นเรื่องเหนือดีเหนือชั่ว
เป็นบ้านสร้างบนฐานคอนกรีตเสริมเหล็ก
แม้คนที่เชื่อเรื่องการทำความดีเป็นใหญ่ก็ตาม
ถึงจุดหนึ่ง ความคิดของเขาก็สามารถล้มระเนระนาดได้ ซึ่งผิดจากบ้านของผู้รู้
ใจของผู้รู้จะกลับสู่บ้านที่เป็นวิสังขาร หรือบ้านที่ไม่มีความคิด
ผู้รู้เมื่อคิดอะไรติดขัดขึ้นมาแล้ว แทนที่จะคิดต่อเพื่อหาคำตอบ
ท่านจะหยุดคิดทันที และหลุดเข้าสู่ภาวะที่นิ่งเงียบหรือนิพพาน
ซึ่งเป็นเรื่องที่เหนือดี เหนือชั่ว ไม่ได้อิงอยู่กับการคิดที่ว่าจะต้องทำดีเสมอไป
การทำดีอยู่ในกรอบของศีลธรรมเป็นเพียงเครื่องมือหรือหนทางที่จะนำคนไปสู่สภาวะที่เหนือดีเหนือชั่วได้เท่านั้น
การทำดีไม่ใช่เป็นเป้าหมายในตัวมันเอง สภาวะที่เหนือดีชั่วหรือนิพพานต่างหากที่เป็นเป้าหมาย
นิพพานเป็นวิสังขารที่ไม่มีการปรุงแต่งอีกต่อไปและไม่ใช่เป็นเรื่องการคิด
บ้านที่เป็นวิสังขารจึงคงทนถาวรเพราะความคิดได้พังทลายไป
เหมือนบ้านที่สร้างอยู่บนฐานที่เทคอนกรีตเสริมเหล็ก มีความมั่นคงและหนักแน่น
อยู่ยงคงกระพัน
นิพพานเป็นเรื่องคิดเองไม่ได้ ต้องรับฟังผู้รู้
ตรงนี้เอง ถ้าคนมืดบอดไม่ยอมรับฟังผู้รู้แล้ว
ไม่ยอมรับรู้เรื่องบ้านอันเป็นการหยุดคิดหรือนิพพานจากผู้รู้แล้ว
ใจของเขาก็จะหลงทางอยู่อย่างนั้นนานชั่วกัปชั่วกัลป์
เพราะการแก้ปัญหาด้วยการหยุดคิดเพื่อให้ถึงนิพพานไม่ใช่เป็นเรื่องที่ใครจะคิดออกเองได้
ต้องเกิดจากการถ่ายทอดความรู้เป็นทอด ๆ นับจากพระพุทธเจ้าลงมา
ไม่มีใครสามารถหาคำตอบที่แท้จริงให้กับชีวิตได้โดยใช้วิธีการคิด
การคิดทำได้ถึงจุดหนึ่งเท่านั้น มันจะมาพบทางตันเข้าจนได้
ความสว่างที่มืดนั้นเป็นเรื่องลึกซึ้งและยากที่จะเข้าใจ
ใครที่รู้ตัวว่ายังมืดอยู่ต้องพยายามทำใจให้อ่อนโยนและรับฟังผู้รู้อย่างตั้งใจ
จึงจะออกจากความมืดได้ ถ้าโง่แล้วยังดื้ออีก ต้องอยู่ในความมืดอีกนานมาก
คนอย่างนี้ช่วยยากและเป็นคนส่วนมากของสังคม
มักซ่อนอยู่ในกลุ่มปัญญาชนที่คิดว่าตนเองฉลาดเพราะคิดเป็น คิดเก่ง
ดูหนังที่ตื่นเต้นได้อย่างไม่สะดุ้งตกใจ
ก่อนหน้าที่เกิดญาณ การดูโทรทัศน์
โดยเฉพาะการดูหนังที่ทำให้เกิดอาการเกร็งตัวหรือทำให้หัวใจต้องสั่นไหวด้วยความตื่นเต้น
กลัว หรือตกใจนั้น เราก็ได้พยายามคุมอยู่ด้วยสติแล้ว
แต่ความรู้สึกรุนแรงบางอย่างก็ยังเล็ดลอดเข้าถึงใจได้บ้างเสมอ
แม้จะอยู่ไม่นานก็ตาม แต่พอหลังเกิดญาณแล้ว สติที่คุมนั้นค่อย ๆ มีความไวมากขึ้น
สามารถคุมสภาวะที่รุนแรงเหล่านั้นได้ดีขึ้น
ทำให้ความรู้สึกที่เล็ดลอดเข้าถึงใจน้อยลง ๆ ตามลำดับ
บางครั้งเหมือนกับเห็นเข้าไปถึงคลื่นระลอกแรกที่กำลังจะก่อตัวเพื่อทำให้หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นในที่สุด
ซึ่งสติก็ไวพอที่จะจับการเริ่มเคลื่อนไหวของคลื่นระลอกแรกสุดนั้นได้ทันที
พูดภาษาพระก็คือ สติสามารถจับตัวเจตสิกที่กำลังจะเริ่มเกาะตัวกันนั่นเอง
ถ้าพูดภาษาของแมวกับหนู แมว (สติ) ตัวนี้นั่งอย่างสบาย ไม่เคร่งเครียดเลย
และหนูอาจจะยังอยู่นอกบ้านด้วยซ้ำไป ยังไม่เห็นตัวหนูเลย
แต่ทันทีที่หนูตัวนั้นเริ่มขยับตัวที่จะลุกขึ้นมาเยี่ยมบ้านที่แมวอยู่เท่านั้น
แมวตัวนั้นก็สามารถยืดเท้าที่ยาวเป็นพิเศษไปตะปบหนูที่อยู่นอกบ้านได้โดยที่ตนเองไม่ต้องเคลื่อนออกจากมุมห้องเลย
นี่คือความไวของสติในระดับนี้ ฉะนั้น พอสติเห็นการเริ่มก่อตัวของเจตสิกเท่านั้น
มันก็คลายตัวทันที การปรุงแต่งของสังขารหยุดทันที และหัวใจก็ไม่มีเวลาได้กำเริบ
สามารถเต้นเป็นปกติ สิ่งเหล่านี้เป็นสภาวะที่ละเอียดมาก ฉะนั้น
เดี๋ยวนี้เราสามารถดูหนังที่ตื่นเต้นได้อย่างไม่สะดุ้งตกใจเหมือนแต่ก่อน จนบัดนี้
สิ่งที่แม้ผู้ชายยังรู้สึกสะดุ้งสุดขีดนั้น เรากลับไม่เป็น
กายสะดุ้ง แต่ใจไม่ตก
สิ่งที่แปลกมากคือ
มีบางครั้งที่กายของเราสะดุ้งโหยงเหมือนตกใจ คนอื่นจะเห็นว่าเราตกใจ
แต่เราเท่านั้นที่รู้ว่าไม่มีใจให้ตก เพราะเมื่อมองเข้าไปในใจแล้ว
กลับไม่มีอะไรไหวติงเหมือนไม่มีใจ อันนี้เหมือนการดูหนังเศร้า
หรือดูข่าวที่สร้างความสะเทือนใจ
เนื่องจากเป็นคนที่ขี้สงสารคนมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยแล้ว
จึงได้ผ่านความรู้สึกเศร้าโศกมาไม่น้อย ดูหนังเศร้าหน่อย ก็ร้องไห้แล้ว เดี๋ยวนี้
น้ำตาก็ยังไหลอยู่เมื่อดูหนังเศร้าหรือดูข่าวที่สะเทือนใจ แต่สังเกตเห็นว่า
ใจไม่ได้เจ็บปวดหรือเคลื่อนไหวเหมือนแต่ก่อน แม้น้ำตาไหลออกมาก็ตาม
เรื่องน้ำตาไหลนี่ไม่ได้เกิดเสมอไป
สามารถดูเรื่องเศร้าบางเรื่องได้โดยที่ใจไม่เคลื่อนและน้ำตาไม่ไหล
จนอดคิดไม่ได้ว่าทำไมจึงชาเย็นเช่นนั้น เหมือนไม่มีเมตตาเลย เรื่องน้ำตาไหลนี่
ยังไม่ติดใจเรามากเท่ากับตัวสะดุ้งโหยงโดยไม่มีใจให้ตก อันนี้แปลกมาก แปลกจริง ๆ
ยังอธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้ชัด
ส่วนนี้ที่เขาเรียกว่าเป็นวาสนาหรือนิสัยเก่า ๆ ของผู้รู้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ
อันนี้ต้องขอติดไว้ก่อน
ผู้รู้จะเห็นเป็นการแสดงสองชั้น
คนที่ยังอยู่ในโลกแห่งความมืดนั้น
เขาจะไม่รู้ว่า ชีวิตประจำวันที่เขาคิดว่าเป็นโลกแห่งความจริงหรือโลกที่สว่างนั้น
ที่จริง โลกนั้นก็ยังไม่จริง ไม่สว่าง เป็นโลกสมมุติที่มืดสนิทอยู่
ทุกคนล้วนต้องแสดงไปตามบทบาทที่กิเลสตัวโลภ โกรธ หลง บงการให้แสดง ซึ่งคนที่ยังอยู่ในโลกมืดยังเป็นปุถุชนจะไม่รู้
แต่พระอริยบุคคลในระดับสูงจะรู้ ฉะนั้น การดูหนังดูละคร สำหรับปุถุชนแล้ว
เขาจะคิดว่าเขากำลังดูการแสดงชั้นเดียว
แต่ผู้รู้ที่รู้เห็นโลกแห่งความเป็นจริงหรือพระนิพพานแล้วจะรู้ว่าการดูหนังดูละครเป็นการดูการแสดงถึงสองชั้น
จำได้ว่า มีช่วงหนึ่งที่เราดูหนังหรือละครแล้ว
หาความสนุกสนานแบบที่เคยเป็นไม่ได้เลย เพราะไม่ว่าดูอย่างไร
ไม่ว่าเขาจะแสดงได้สมจริงสมจังอย่างไรก็ตาม ก็เห็นแต่สภาวะ ความเป็นอย่างนั้นเอง เป็นผัสสะที่จบในตัวมันเองทันทีที่เห็น
ทั้งภาพและเสียงที่ควรจะสร้างอารมณ์ความรู้สึกให้คนดูคล้อยตามนั้น
กลับไม่ได้ทำอะไรให้เราเลย ทันทีที่เห็น มันก็จบทันที ภาพที่เห็นก็สักแต่ว่าเห็น
เสียงที่ได้ยินก็สักแต่ว่าเสียง เป็นสภาวะนิพพานที่จบในตัวมันเองทันที
จะแกล้งไม่เห็นก็ไม่ได้ ฉะนั้น
จึงดูออกชัด ๆ ว่า นั่นเป็นการแสดงถึงสองชั้น ไม่ใช่ชั้นเดียวอย่างที่ปุถุชนเข้าใจ ความสนุกสนานจากการดูหนังจึงหดหายไปทันที
การเห็นเช่นนี้ก็เป็นผลของการเกิดญาณโดยตรง
ดูหนังเพื่อเรียนรู้การเดินสายความคิดของมนุษย์
เดี๋ยวนี้ การดูโทรทัศน์ของเรานั้น
นอกจากการเรียนรู้ศัพท์แสงภาษาอังกฤษให้เก่งขึ้นแล้ว ยังมีเป้าหมายเพื่อการเรียนรู้ว่าคนในโลกสมมุติเขาเดินสายความคิดของเขาอย่างไร
โดยเฉพาะหนังที่อิงหลักวิทยาศาสตร์ที่ฝรั่งสร้างนั้น
นอกจากสามารถเรียนรู้ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์โดยไม่ต้องไปอ่านหนังสือมากแล้ว
ยังรู้ว่าเขาคิดกันอย่างไร ความคิดของเขาซับซ้อนและแตกซ่านมากแค่ไหน เป็นการคาดการณ์อนาคตได้ดียิ่ง
เพราะสิ่งที่เขาจินตนาการล่วงหน้าคือสิ่งที่มนุษย์กำลังจะทำให้มันเกิดขึ้น
อย่างเช่น หนังเจมส์บอนด์ที่มีเครื่องมืออะไรต่าง ๆ
ทันสมัยที่นักเขียนได้จินตนาการไว้เมือ ๓๐ ปีก่อนนั้น
เครื่องมือเหล่านั้นได้กลายเป็นของจริงที่เรากำลังใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ ฉะนั้น
สิ่งที่ฝรั่งจินตนาการอยู่ขณะนี้ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นอีก ๕๐ หรือ ๑๐๐ ปีข้างหน้า
อย่างเช่นเรื่องการสร้างเด็กจากหลอดแก้วและการโคลนมนุษย์ตามแบบอย่างที่ต้องการ
ก็เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้
เพราะนี่คือความสามารถของมนุษย์ที่มีมันสมองเหนือกว่าสัตว์เดรัจฉาน
ปุถุชนดูหนัง เป็นการดูมายาซ้อนมายา ชักยุ่ง
เรื่องการดูหนังดูละครของปุถุชนนั้นมีเรื่องที่ต้องพูดอีกมากมายทีเดียว
เป็นเรื่องที่ทำให้สภาวะใจของปุถุชนทั่วไปในกลุ่มที่มีความบ้าระดับสามัญสับสนมากขึ้น
ปุถุชนจะไม่รู้ความจริงในระดับแรกสุดหรือพระนิพพาน เขารู้แต่ความจริงในระดับสอง (โลกสมมุติ หรือ มายา) เมื่อไปดูหนังดูละครหรือการแสดงต่าง ๆ ซึ่งเป็นความจริงในระดับที่สามแล้ว
เป็นการดูมายาที่ซ้อนมายาเข้าไปอีกทีหนึ่ง ฉะนั้น ใจของเขาก็ยิ่งจะมืดเข้าไปใหญ่
เหมือนกับนั่งในห้องมืดเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว กลับไปเอาแว่นตาดำมาใส่ให้มืดเข้าไปอีก
เป้าหมายของการแสดงในโลกสมมุติคือพยายามทำให้มันดูจริงมากที่สุด
ฉะนั้น สำหรับปุถุชน (คนบ้าระดับสามัญ)
ที่มีสภาวะใจที่แข็งแกร่งนั้น เมื่อดูหนังดูละครเสร็จ
อย่างเก่งก็สามารถถอดแว่นตาดำและออกมานั่งอยู่ในห้องมืดเฉย ๆ เท่านั้น คนบ้าระดับสามัญส่วนมากก็จะทำเช่นนั้นได้
คือรู้ว่านั่นเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องจริง ฉะนั้น ดูไปสนุก ๆ
ไม่ได้เอาจริงเอาจังอะไรกับมัน แต่ถ้าปุถุชนที่ใจไม่แข็งแล้ว มันเริ่มยุ่ง
เพราะเขาจะปล่อยใจให้คล้อยตามการแสดงบนจอเหมือนกับเป็นเหตุการณ์จริง ๆ
จนถอนใจออกไม่ได้ คือ ไม่ยอมถอดแว่นตาดำเพื่อออกมานั่งในห้องมืดเฉย ๆ
ยิ่งเขาแสดงได้จริงมากเท่าไร
ใจของคนดูก็จะถูกโยนเข้าไปร่วมบทบาทของคนแสดงจนทำให้ใจถอนตัวไม่ขึ้นมากเท่านั้น
คือ ไม่ยอมถอดแว่นตาดำเพื่อออกมานั่งในห้องมืดอย่างคนอื่น ฉะนั้น
แทนที่จะมืดชั้นเดียว กลับกลายเป็นมืดหนักเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง
หรืออยู่ในโลกมายาแล้ว แต่ไปสร้างมายาทับโลกที่เป็นมายาแล้วขึ้นอีกชั้นหนึ่ง
และไม่ยอมถอนออกมา ถึงจุดนี้แล้ว ถอนตัวยากมาก
จะให้คนประเภทนี้มาเข้าใจธรรมะนั้นยากมาก
เพราะแทนที่จะถอนออกจากโลกมายาเพียงชั้นเดียวเหมือนคนบ้าระดับสามัญ เขาต้องพยายามถอนออกมาถึงสองชั้น
ทำให้ยากมากขึ้นไปอีก
โลกปั่นป่วนเพราะสภาวะใจของคนบูดเบี้ยวมาก
ที่จริง โลกนี้เต็มไปด้วยคนประเภทนี้ คือ
พยายามใช้ชีวิตเหมือนตัวพระเอกนางเอกในหนังในละคร อยากใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ฟู่ฟ่า
ทะยานอยากได้โน่นนี่โดยไม่อยากลงแรง ใช้ชีวิตในโลกของความฝัน
ถ้าเป็นคนที่ชอบเรื่องการใช้ความรุนแรงตามที่เขาดูในหนังบู๊ละก็ น่ากลัวมาก
แม้แต่การฆ่าคนตามวิธีการที่คนดูในหนังหรือในหนังสืออ่านเล่นนั้น
กรณีเช่นนี้ก็ได้เกิดขึ้นจริง ๆ แล้ว
อย่างกรณีที่ผู้ก่อการร้ายชาวมุสลิมจี้เครื่องบินสี่ลำและพุ่งชนตึก world trade center และตึก pentagon
เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน
ที่พึ่งผ่านมานั้นเป็นการกระทำที่เอาออกมาจากจินตนาการในหนังสืออ่านเล่นโดยตรง โลกสมัยนี้จึงปั่นป่วนมาก
เพราะสภาวะใจของคนถูกบิดเบือนจนบูดเบี้ยวมากเกินไป จะไปดัด
ไปแก้ให้มันตรงได้อีกนั้นยากมาก
อย่าว่าแต่การถอนมายาออกมาสองชั้นเลย
แค่ชั้นแรกก็ถอนยากมากแล้ว คนอังกฤษชอบฟุตบอลมาก
การเล่นบอลและดูการแข่งขันฟุตบอลนี่ไม่ใช่เป็นมายาชั้นที่สอง
แต่เป็นมายาชั้นแรกเท่านั้น เป็นเรื่องจริงของคนในโลกสมมุติเท่านั้น
คนบ้าระดับสามัญก็สามารถทำลูกบอลกลม ๆ ลูกเล็ก ๆ นี้เป็นเรื่องระดับโลกที่ทำเงินกันอย่างมากมายมหาศาล
การแข่งบอลที่สำคัญในระดับชาติหรือระดับโลกแต่ละนัดนั้น
คนทั่วโลกหลายร้อยล้านคนล้วนนั่งหน้าจอโทรทัศน์ด้วยหัวใจที่เต้นแรงอย่างสุดเหวี่ยง
และปล่อยใจขึ้นลงอยู่กับเรื่องได้เรื่องเสียอย่างเต็มที่
จนคนไทยถึงขนาดทำรูปปั้นของเดวิด เบคคั่ม ขึ้นมาบูชา นี่เรียกว่า เศร้า
รายการโทรทัศน์มากมายเดี๋ยวนี้ก็ยิ่งพยายามทำให้คนดูเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียอย่างจริงจัง
เช่น รายการตอบคำถามเงินล้านที่กำลังฮิตอยู่ทั่วโลก
สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้คนบ้าระดับสามัญบ้ามากขึ้นทั้งนั้น ยิ่งวงเงินสูงขึ้น
ความบ้าของคนก็ยิ่งมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
นอกจากนั้น เกมส์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ
ที่เด็กและผู้ใหญ่เล่นอยู่นั้น ก็พยายามทำให้ผู้เล่นเข้าไปสู่เหตุการณ์จริง ๆ
โดยมีศัพท์ใหม่ว่า virtual reality แปลว่า เกือบจริง นี่ก็เป็นการสร้างมายาซ้อนมายาที่ลึกมากเข้าไปอีก
ล้วนเป็นเรื่องที่ทำให้คนบ้าระดับสามัญถลำลึกเข้าสู่โลกมืดของอวิชชาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
ผู้รู้ถ้าไม่ท้อใจก็ต้องทำงานหนักมาก
ฉะนั้น ผู้รู้ในสมัยนี้ ถ้าไม่นึกท้อไปเสียเลย
ก็ต้องทำงานหนักมาก พูดไป เขียนไป คนก็ไม่เข้าใจ ไม่สนใจ
เพราะใจของเขาบูดเบี้ยวมากจนเข้าใจอะไรไม่ได้นั่นเอง เรื่องการเห็นธรรมชั้นแรก
เห็นพระนิพพาน หรือเห็นตถตานั้น
ที่จริงเป็นเรื่องหญ้าปากคอกที่อยู่แค่ปลายจมูกของคนทุกคน
แต่ก็กลับกลายเป็นเรื่องลึกซึ้งไปโดยปริยายเพราะใจของคนมันพุ่งออกไปมองเรื่องไกลจนเคยชินและมองเรื่องใกล้ที่อยู่ปลายจมูกไม่เป็นเสียแล้ว
พระนิพพานจึงกลายเป็นเรื่องยากและละเอียดอ่อนมากจนไม่รู้จะพูดยังไง
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
คนที่มีธุลีในดวงตาแต่น้อยเท่านั้นจึงจะเข้าใจธรรมในระดับนี้ได้
นี่พระพุทธองค์ท่านตรัสเองแม้ในยุคสมัยของท่าน แล้วจะเอาอะไรกับคนสมัยนี้ ต้องมีบารมีมาแต่ปางก่อนจริง ๆ
จึงจะพอมีโอกาสเข้าใจธรรมได้ คนมีบารมีแล้ว แต่ยังเหยาะแหยะ ไม่เอาจริงก็ยังยาก
จะทำลายบารมีของตนโดยไม่รู้ตัว ใครที่อยากไปนิพพานสมัยนี้ ต้องทำงานหนักมาก
ต้องฝืนสังคมมาก ไม่งั้น ไปไม่รอด
เบื่อโลกสมมุติ เพื่อนหายหมด
เรื่องการดูโทรทัศน์กับเรื่องการคุยกับเพื่อนนั้นคล้ายกันมาก
จำได้ว่า คงราวปี ๒๕๔๒ เป็นต้นไป เกิดความเบื่อหน่ายที่จะพูดกับคนมาก
เพราะรู้สึกเบื่อโลกสมมุติจนอยากอาเจียนในบางครั้ง กลับกลายเป็นว่า
ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าคนอยู่ในโลกที่ไม่จริง โลกที่เต็มไปด้วยสมมุติได้อย่างไร
ดูเผิน ๆ ก็เหมือนกับอยู่โลกเดียวกัน แต่สำหรับเราแล้ว
มันเป็นคนละโลกที่ต่างกันอย่างสุดขั้ว จึงไม่อยากคุยกับใครเพราะทุกครั้งที่อ้าปาก
เหมือนต้องหัดพูดใหม่ ต้องพูดอิงอยู่กับโลกสมมุติ ฉะนั้น หลังเกิดญาณแล้ว
ก็เริ่มห่างเหินเพื่อน ๆ ที่เคยติดต่ออย่างสม่ำเสมอ
เพราะรู้สึกอย่างรุนแรงว่าไม่มีเรื่องจะพูดคุยกับใคร
โดยเฉพาะการพูดคุยกันธรรมดาที่ฝรั่งเรียกว่า small
talk เห็นคำพูดช่างเป็นเรื่องไร้สาระ และไม่จริง บางครั้ง
ฟังคนพูดแล้วเหมือนกับไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร มันเข้าไม่ถึงใจ
ทั้งภาพและเสียงที่เราสัมผัสอยู่ต่อหน้านั้นเป็นตถตาไปหมด เป็นเอง และเป็นทันที
จึงไม่สามารถประสานกับคำสนทนาได้ ในหัวไม่มีอะไรจะพูด
ได้เริ่มบรรยายความรู้สึกเหล่านี้ให้สามี
ลูกคนเล็กและเพื่อนสนิทคนหนึ่งฟังเสมอว่าไม่อยากพบหน้าใครเลย ตั้งแต่ต้นปี ๒๕๔๒
เป็นต้นมา จึงเลิกติดต่อกับคนไปหลายคน จดหมายไปเมืองไทยก็เลิกเขียน
เพื่อนที่อังกฤษก็ไม่โทรไปคุยด้วยเหมือนแต่ก่อน ก่อนหน้านั้น
มักจะถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องยกหูโทรศัพท์ไปคุยกับเพื่อนเพื่อถามสารทุกข์สุกดิบบ้าง
เป็นวิธีการหนึ่งที่จะรักษาเพื่อนไว้ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็หายไปหมด จนเดี๋ยวนี้ เพื่อนหลายคนก็ไม่โทรมาคุยด้วยแล้วเพราะเราเริ่มห่างเหินเขาก่อน
การคุยกับคนเป็นปัญหามาก
ตอนนี้
การคุยกับคนบ้าระดับสามัญที่อยู่รอบข้างเราเริ่มเป็นปัญหามากขึ้นทุกวัน
การคุยกับคนในครอบครัวก็ไม่เป็นเรื่องหนักหนามาก เพราะถ้าไม่อยากพูด ก็ไม่ต้องพูด
แต่กับเพื่อนบ้าน ครอบครัวของสามี เพื่อนของครอบครัว แม้เพื่อนสนิท
นี่เริ่มเป็นปัญหามาก เพราะโดยลักษณะภายนอกแล้ว
เราก็คือแม่บ้านธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรแตกต่างจากคนอื่น
นอกจากลูกศิษย์ของเราแล้ว คนเหล่านี้ก็ไม่รู้เรื่องงานของเราเลยแม้แต่น้อย
ไม่เคยพูดกับเขา ฉะนั้น
การหาเรื่องราวมาคุยกับคนบ้าระดับสามัญเหล่านี้ได้กลายเป็นเรื่องยากสำหรับเรา
พ่อแม่ของสามีมักจะมาเยี่ยมในวันอาทิตย์ เราก็ต้องพยายามหาเรื่องคุย
บางครั้งถ้าคู่สนทนาพูดในสิ่งที่เราไม่มีความสนใจเลยนั้น เช่น พูดเรื่องรถ ฟุตบอล
เสื้อผ้า พูดกันได้เป็นชั่วโมง แทบจะต้องกลายเป็นคนหยาบคายไปอย่างช่วยไม่ได้
เพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาพูด ในหัวเงียบสนิท จึงพูดอะไรไม่ได้ นั่งเฉย ๆ อยู่กับตถตา
ทำได้ดีที่สุดคือพยักหน้าคล้อยตามบ้างเป็นบางครั้ง ยิ้มให้เขาบ้าง
จนแขกรู้สึกเขินและอึดอัดไปก็มี แต่เรากลับเฉยได้อย่างไม่อึดอัด
บางครั้งก็รู้สึกเสียเวลาที่ต้องมานั่งฟังเรื่องอะไรก็ไม่รู้ วันก่อน
หลานของสามีซื้อรถใหม่เอี่ยม ตื่นเต้นมาก ขับมาให้ดู
ทุกคนออกไปดูรถใหม่และต้องหาคำพูดมาชมว่ามันดียังไง สวยยังไง
เรามีความรู้สึกว่าคำพูดที่ออกจากปากเราอันเนื่องกับรถใหม่คันนั้นเป็นคำโกหกทั้งเพ
แต่จะไม่ให้พูดตามโลกสมมุติก็ไม่ได้
ใครบ้ากันแน่!!!
เดือนก่อน จำเป็นต้องไปหาเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักกันมาตั้งแต่เริ่มมาอยู่อังกฤษ
กำลังทำเรื่องหย่าร้างกับสามี เพราะปัญหาครอบครัวที่เรื้อรังมานาน
จึงคิดมากถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาลประสาทครั้งหนึ่ง หลังจากที่ไปหาทนายเสร็จแล้ว
เพื่อนก็พาไปทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่ง นั่งคุยกัน หลังจากที่ฟังแต่เรื่องของเพื่อน
คิดว่าควรจะหาเรื่องตัวเองมาคุยบ้าง
จึงเอาเรื่องความเบื่อหน่ายโลกของตัวเองขึ้นมาพูดเหมือนเป็นเชิงระบาย
ซึ่งคิดว่าเป็นการพูดฆ่าเวลาเท่านั้น พูดไปพูดมา
เพื่อนก็วิเคราะห์สภาวะใจของเราและสรุปให้เราเบ็ดเสร็จว่าสภาวะใจของเราเหมือนกับของเขาในตอนก่อนที่จะเข้าโรงพยาบาลประสาท
และให้คำแนะนำว่า เราจะต้องพยายามผลักดันตัวเองให้ออกมาเจอหน้าเพื่อนฝูงมากขึ้น
เปิดหูเปิดตาบ้าง เพราะถ้ายิ่งเก็บตัว สภาวะใจของเราก็จะยิ่งทรุดและเป็นหนักใหญ่
และอาจจะต้องเข้าโรงพยาบาลประสาทเหมือนเขาก็ได้ เราฟังแล้วก็คิดในใจว่า เอ้
นี่ใครบ้ากันแน่นะ
คนหายบ้าสนิทเท่านั้นจึงจะรู้ว่าใครบ้าน้อยหรือบ้ามาก
เรื่องความบ้าของใจนี่เป็นสิ่งที่ดูไม่ออกด้วยตาเนื้อ
เพราะกายก็ดูปกติ แม้การพูดการจาก็ดูเป็นปกติ ฉะนั้น
หมอโรคจิตซึ่งเป็นคนบ้าระดับสามัญอันเป็นคนส่วนมากของสังคมจะสามารถตัดสินคนที่บ้ากว่าเขาได้โดยเอาความบ้าระดับสามัญเป็นมาตรฐาน
โดยรักษาให้คนที่บ้ากว่าหายจนถึงระดับปกติอันคือความบ้าระดับสามัญเพื่อพูดคุยกับคนทั่วไปของสังคมได้
แต่จะไม่มีการรักษาให้หายบ้าสนิท คนที่หายบ้าจริง ๆ คือพระอรหันต์เท่านั้น
จึงสามารถตัดสินได้ว่าใครบ้าน้อยหรือบ้ามาก
การคุยกับเพื่อนที่พูดถึงเมื่อกี้นี้นั้น
ดีว่าเขากำลังคุยกับคนที่หายบ้าสนิทแล้ว จึงดูออกและรู้ว่า ถ้าไม่เปลี่ยนเรื่องพูด
ก็จะทำให้อีกฝ่ายบ้ากันไปใหญ่ แต่ถ้าเขาคุยกับคนบ้าระดับสามัญ อาจจะยุ่งก็ได้
คนบ้าระดับสามัญบางคนมีใจไม่แข็ง ขาดความมั่นใจในตนเอง การคุยกับคนที่มีใจแข็งกว่าแต่ยังมืดบอดต่อเรื่องของชีวิตอยู่นั้นเป็นเรื่องอันตรายมาก
เพื่อนคนนี้แม้จะมีปัญหาโรคจิตมาก่อนก็ตาม แต่เป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก
และถนัดให้คำแนะนำคนโดยเอามาตรฐานของตนเองเข้าวัด คนประเภทนี้มีมากมายในสังคม
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คนใจอ่อนจะถูกคนใจแข็งดูดเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว
จะทำให้คนอื่นสับสนมากขึ้น นี่เป็นเรื่องอันตรายและต้องระวังมาก
วิปัสสนา เครื่องมือป้องกันใจไม่ให้บ้า
ฉะนั้น
เรื่องการนำใจกลับสู่ฐานของสติเป็นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่คนปฏิบัติธรรมจะต้องเข้าใจให้ดี
และพยายามทำให้ได้ในชีวิตประจำวันที่ต้องพบปะผู้คนเสมอ ถ้าเจอคนพูดเก่งกว่า
มีความมั่นใจสูงกว่า จะทำให้ใจเสียหลักได้ง่าย ฉะนั้น
ต้องรีบนำใจกลับสู่ฐานของสติทันที เช่น กลับมากำหนดที่ลมหายใจ (กายานุปัสนาสติปัฏฐาน) หรือ จับลูกประคำ ให้มีความรู้สึกที่ลูกประคำ (เวทนานุปปัสสนาสติปัฏฐาน)
เป็นต้น การทำเช่นนี้จะป้องกันใจจากความเป็นบ้า ถ้าไม่ทำแล้ว
ใจจะหลงทาง และจะถูกดูดเข้าไปในความคิดของคนที่ใจแข็งกว่า เป็นบ้าได้ง่าย
อันตรายมาก
อย่างไรก็ตาม เรื่องการคุยกับคนนี่
เรารู้ว่าเริ่มเป็นปัญหามาก
เพราะตราบใดที่เรายังต้องใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวและสังคมเช่นนี้
การพูดคุยสนทนาเป็นเรื่องของโลกสมมุติที่ต้องทำ ตอนนี้
จึงพยายามหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คน
เห็นความวุ่นวายของโลกเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่กระตือรือร้นแล้ว
ตอนที่เราได้คอมพิเตอร์ใหม่มาเมื่อ ๑๘ เดือนก่อน
ต้นปี ๒๕๔๓ และสามารถใช้อินเตอร์เน็ทได้นั้น เราได้ใช้อีเมล์เป็นสื่อในการให้กำลังใจลูกศิษย์ที่จากไป
จนมีการติดต่อโต้ตอบกับลูกศิษย์ทางอีเมล์เป็นอย่างมากอยู่ช่วงหนึ่ง
ใครมีปัญหาก็เขียนถามมา และเราก็ตอบไป
คิดว่านี่เป็นวิธีการช่วยให้ลูกศิษย์เดินในร่องของธรรมและให้กำลังใจเขาในการทำสมาธิต่อไป
เพราะแต่ละคนก็ไม่ได้อยู่ในเมืองพุทธ
เป็นช่วงเดียวกับที่เรากำลังเขียนคู่มือชีวิตภาษาอังกฤษอยู่
จึงใช้เวลาอยู่กับการเขียนหน้าจอคอมพิเตอร์มากทีเดียว
แต่หลังจากที่กลับจากเมืองไทยเมื่อเดือน มิถุนายน ๒๕๔๔ แม้การช่วยเหลือลูกศิษย์เช่นนั้น เราก็ไม่อยากทำอีกแล้ว
เลิกเขียนแล้ว พูดเรื่องอินเตอร์เน็ท คนส่วนมากชอบมาบอกให้เปิดเว็บไซท้ดูโน่นดูนี่
เราถามตัวเองว่า อยากรู้อะไรอีกหรือ ตอบได้ว่า ก็ได้รู้สิ่งที่ดีที่สุดในโลกแล้ว
ยังอยากรู้อะไรอีกเล่า
แม้การสอนไท้เก็ก
ก็เริ่มมีความรู้สึกที่ไม่กระตือรือร้นอีกต่อไปแล้ว ยิ่งเข้าใจชีวิตมากขึ้นเท่าไร ความกระตือรือร้นของเราก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
ตอนนี้เริ่มเห็นชัดว่า
การถอนตัวออกจากโลกสมมุติเริ่มมีมากขึ้นทุกวัน ทั้ง ๆ
ที่ดูออกว่าโลกในขณะนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวายและคนที่เป็นทุกข์
แต่เรากลับมองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก โลกสมมุติเป็นอย่างนี้เอง
ไปแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก ตอนที่เรากำลังเขียนอยู่นี้
อเมริกากับอังกฤษเริ่มเอาระเบิดไปทิ้งอาฟกานิสถานแล้ว
ชาวมุสลิมกำลังจะลุกฮือขึ้นมาทั่วโลกเพื่อทำสงครามศาสนา
โลกร้อนระอุอย่างนี้จะไปแก้อะไรมันเล่า
มันก็ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน
จึงอยากใช้ชีวิตเงียบ ๆ อยู่กับความปกติธรรมดาเท่านั้น อยู่กับตถตาไปวัน ๆ
ตราบที่สังขารยังอำนวยให้ ถึงเวลาตายก็ตายไป หมดเรื่องไป
ไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่จำเป็นจะต้องทำอีกแล้ว
ความรู้สึกที่ต้องการผลักดันตัวเองให้ทำสิ่งต่าง ๆ
เพื่อคนอื่นมีน้อยลงจนแทบจะไม่เหลืออีกแล้ว ไฟในใจเกือบมอดแล้ว ยังห่วงอยู่เหมือนกันว่า
การเขียนอย่างที่เรากำลังเขียนอยู่นี้ก็อาจจะหายไปสักวันหนึ่งในอนาคตก็ได้ ฉะนั้น
เมื่อยังพอมีแรงบันดาลใจที่จะเขียนอยู่ คิดว่าต้องรีบเขียนเอาไว้
นึกสงสัยว่าหนังสือเล่มนี้เหมือนกับถูกลัดคิวอย่างไม่ได้ตั้งใจ ยังไม่ควรเขียน
แต่ก็มีอันเป็นไปให้เขียนจนได้
จินตภาพของหลวงพ่อสุยกลับมา
ความรู้สึกที่ได้บรรยายไปนั้น
ทำให้นึกถึงหลวงพ่อสุย ตุ๊เจ้าวัยเจ็ดสิบเศษที่หูหนวกข้างหนึ่งและตาไม่ดีข้างหนึ่ง
ท่านอยู่ที่วัดบ้านหนองหวี พะเยา
คงจะเป็นต้นปีก่อนในขณะที่เขียนคู่มือชีวิตภาษาอังกฤษอยู่นั้น
จินตภาพของหลวงพ่อสุยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกหน้าระเบียงกุฏิของท่านกลับเข้ามาในใจเราเสมอ
เพราะการเห็นธรรมของเรา
ทำให้เข้าใจได้ว่าตุ๊เจ้าองค์นี้ต้องบรรลุธรรมขั้นสูงสุดโดยที่ไม่มีใครรู้เลย
การที่ท่านตอบเราได้ว่า พระนิพพานมันอยู่ตรงข้างหน้านี่เอง ไม่ได้อยู่ไกล
และการใช้ชีวิตประจำวันของท่านที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าการนั่งเก้าอี้โยกตัวนั้น
ทำให้เราแน่ใจมากว่าท่านต้องบรรลุธรรมขั้นสูงแน่
และการใช้ชีวิตที่กลมกลืนกับธรรมชาติเช่นนั้น
คือสิ่งที่เรากำลังเห็นเป็นขนมหวานอยู่ในขณะนี้ ที่จริงได้พูดเล่น ๆ
กับสามีมาสิบกว่าปีแล้วว่า ความฝันอันสูงสุดของเราคือ การได้อยู่บ้านบนต้นไม้ในป่า
tree house เหมือนทาร์ซานกับเจนซึ่งเป็นหนังเรื่องโปรดของเรา
สามารถนอนดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวได้ในตอนกลางคืน ตอนนี้ ถ้ามีทางเลือก
เราก็ยังอยากอยู่ในที่เช่นนั้นอีก อยู่กับธรรมชาติ ไม่อยากยุ่งกับใคร
อ่านคำชม ไม่ตื่นเต้นแล้ว
นอกจากนั้น
ยังเห็นการเปลี่ยนแปลงของความรู้สึกในการอ่านจดหมาย สมัยก่อน
เมื่อได้รับจดหมายที่มีคำชมนั้น หัวใจก็มักจะสั่นไหวด้วยความตื่นเต้น ดีใจ
ถึงแม้จะไม่บอกใคร ความหวั่นไหวของใจจะเป็นปฏิกิริยาที่เกิดทันที
ด้วยความที่ไม่อยากให้สามีรู้สึกเปรียบเทียบ เมื่อได้รับจดหมายที่มีคำชม
จึงไม่แสดงออกถึงความตื่นเต้นดีใจอย่างออกหน้าออกตาให้เขาเห็น
บางครั้งก็ยื่นจดหมายให้เขาอ่านเองโดยที่ไม่ได้พูดอะไรและไม่ถามว่าเขานึกคิดอย่างไรด้วย
แต่บางครั้งก็ไม่ให้เขาอ่านเลย และไม่ได้บอกเขาด้วย คิดว่าถ้าเขาไม่รู้
เขาก็ไม่ต้องรู้สึกเปรียบเทียบอะไรให้วุ่นวายใจเปล่า ๆ เพราะตระหนักดีว่า
แม้สามีจะบอกว่ารักเรามากมายอย่างไร
แต่มันก็ยังเป็นความรักที่เจือปนด้วยกิเลสและการรักตัวเองอยู่ไม่น้อย
เพราะความรักของปุถุชนเป็นเช่นนั้นเอง
สรุปได้แล้วว่า
คนที่จะดีใจกับข่าวดีและความสำเร็จของเราจริง ๆ ก็คือแม่เท่านั้น จะรวมพ่อด้วยก็ได้ นอกจากแม่แล้ว
จะให้คนอื่นมาชื่นชมยินดีกับข่าวดีของเราอย่างแท้จริงนั้นยากมาก ตอนแม่อยู่ มีอะไร
ก็อยากบอกแม่ให้ดีใจกับเราด้วย จำได้ว่า
เมื่อหนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกของเราพิมพ์ออกมาวางขายนั้น ตื่นเต้นและดีใจมาก
คิดว่าครอบครัวของสามีก็คงต้องดีใจไปกับเรา สามีและลูก ๆ ก็ดีใจจริง
แต่ครอบครัวของสามีกลับไม่มีปฏิกิริยาต่อความสำเร็จของเรา เย็นชามาก
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราจึงหัดเก็บข่าวดีและความสำเร็จไว้กับตัวเอง
ไม่มีการบอกเล่าให้ครอบครัวของสามีรู้ แม้ตอนนี้ที่มีหนังสือพิมพ์ออกมาอีกถึงสามเล่ม
ครอบครัวสามีก็ไม่รู้ เขาไม่ถาม เราก็ไม่บอก ส่วนสามีนั้น
หลายอย่างที่เราไม่บอกเขา เพราะรู้ว่าใจของปุถุชนทำงานอย่างไร
จึงเห็นว่าควรปกป้องความรู้สึกของเขา คนเราอยู่ด้วยกันทุกวัน
จะให้เขามานั่งรู้สึกว่าต่ำต้อยกว่าภรรยาตัวเองนั้น คิดว่าไม่ถูกต้อง จึงติดเป็นนิสัยที่เก็บคำชมไว้กับตัวเองโดยไม่บอกใคร
พอนาน ๆ เข้า ความตื่นเต้นดีใจและความสั่นไหวของใจก็ค่อย ๆ น้อยลงตามลำดับ
สองปีก่อน
ไปรษณีย์นำกล่องพัสดุบรรจุหนังสือภาษาอังกฤษเล่มที่สองของเรามาส่ง
สามีตื่นเต้นอยากเปิดกล่องดูเร็ว ๆ ว่าหน้าปกเป็นอย่างไร เพราะยังไม่ได้เห็น
ส่วนเรานั้นกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมตัวที่จะออกไปสอน
จึงไม่ได้เหลียวไปดูสามีที่กำลังเปิดกล่องพัสดุอยู่ แต่ตอนนั้น
ก็ดูใจตัวเองอยู่ว่าจะสั่นไหวหรือเปล่า ก็ไม่เห็นความรู้สึกอะไรโผล่มา
จนสามีเอาหนังสือออกจากกล่องแล้ว เปิดดูอยู่ จึงหันไปสบตากับหนังสือของเราเป็นครั้งแรก
แม้ตอนนั้น ใจก็ยังนิ่งอยู่ ไม่ไหวติง
ซึ่งผิดกับความรู้สึกที่ตื่นเต้นดีใจเมื่อครั้งที่เห็นหนังสือเล่มแรกของตัวเองซึ่งออกมาเมื่อราว
ๆ เกือบ ๗ ปีมาแล้ว ทุกวันนี้ สามารถอ่านจดหมายที่มีคำชมโดยไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น
เฉยไปหมด เห็นเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
ไม่มีความคิดหรือความรู้สึกที่จะขุดขึ้นมาพูดให้ใครฟัง
การเดินทางไปสถานที่ใหม่ย่อมตื่นเต้นสำหรับปุถุชน
แม้ไม่ใช่ทุกคนจะแสดงออกถึงความตื่นเต้นแบบเด็ก
ๆ เมื่อมีการเดินทางไปสถานที่ใหม่ที่ยังไม่เคยไป โดยเฉพาะการไปต่างประเทศ
แต่จิตใจของปุถุชนทุกคนย่อมต้องสั่นไหวด้วยความตื่นเต้นไม่มากก็น้อยแม้ใบหน้าจะดูราบเรียบอย่างไรก็ตาม
นอกจากนักธุรกิจที่ต้องเดินทางเป็นประจำเพราะงานก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
จะไม่รู้สึกตื่นเต้นเพราะเดินทางจนชินแล้ว
การเดินทางไกลไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเรา อายุ ๑๗
เราก็ขึ้นเครื่องบินไปอเมริกาแล้ว
ตอนนั้นอกแทบจะแตกด้วยความตื่นเต้นดีใจแทรกความกลัวสารพัด อายุ ๒๖
ก็เดินทางมาอังกฤษคนเดียว ต้องไปต่อเครื่องที่มอสโคว์
จิตใจสั่นไหวด้วยความกลัวเหมือนกัน แต่ก็ทำได้ พอแต่งงานมีลูก
ก็เดินทางกลับเมืองไทยทุก ๆ สองหรือสามปี การกลับเมืองไทยแม้ไม่ใช่ไปต่างแดน
แต่หัวใจก็มักเต้นและสั่นไหวด้วยความดีใจและตื่นเต้นที่จะได้เห็นหน้าพ่อแม่พี่น้องที่จากกันไปนาน
ยิ่งตอนเครื่องบินร่อนลง หัวใจมักจะเต้นแรงทำงานหนักทีเดียว
การเดินทางกลับเมืองไทยเพื่อมางานเผาศพของแม่ในเดือนมีนาคม ๒๕๔๐ นั้น
หัวใจเราเหมือนจะบุบสลายด้วยความเจ็บปวดที่รู้ว่าไม่ได้เห็นหน้าแม่อีกแล้ว
ความรู้สึกเหล่านี้ เราได้ผ่านมามากต่อมากแล้ว
ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับคนทั่วไป
สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเมื่อครั้งไปญี่ปุ่น
มีลูกศิษย์หญิงชาวอังกฤษชื่อแอนนาลีส
เธอมาเรียนไท้เก็กกับเราตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสี่ เมื่อเรียนจบแล้ว
เธอได้งานสอนภาษาอังกฤษที่ประเทศญี่ปุ่น เขียนจดหมายมาบอกเราว่า
เขาต้องการขอบคุณเราในสิ่งที่ได้สอนเขาและคนอื่น ๆ ฉะนั้น
เขาต้องการเชิญเราไปเที่ยวญี่ปุ่นโดยจะออกค่าตั๋วเครื่องบินให้
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เรายังไม่เคยไป การไปที่ ๆ
ยังไม่เคยไปนั้น หัวใจย่อมสั่นไหวด้วยความตื่นเต้นเป็นธรรมดา แม้ไม่แสดงออก
แต่ทุกคนก็เห็นความรู้สึกของตัวเองทั้งสิ้น การเดินทางไปญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายน
๒๕๔๒ นั้น เราเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของจิตใจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
การเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งนั้นเริ่มจากการนั่งแท็กซี่ไปสนามบินเบอร์มิ่งแฮมคนเดียว
รออยู่ที่สนามบินนานพอสมควร ในช่วงที่นั่งคอยนั้น
ก็เอาจดหมายของแอนนาลีสออกมาอ่านทบทวนและเรียบเรียงสิ่งที่ต้องทำเพื่อนำเราไปพบกับแอนนาลีสที่ญี่ปุ่น
นั่นคือ ต้องจับเครื่องบินจากเบอร์มิ่งแฮมไปต่อเครื่องที่อัมสเตอร์ดัม บินอีกราว
๑๒ ชั่วโมง เครื่องบินก็จะลงที่สนามบินคานไซ นอกกรุงโอซาก้า จากสนามบินคานไซ
เราต้องจับรถไฟไปลงที่เมืองเกียวโต และจากสถานีรถไฟเกียวโต
เราต้องแบกกระเป๋าไปอีกชานชาลาหนึ่งเพื่อต่อรถไฟอีกเที่ยวหนึ่งที่จะพาเราไปอำเภอคาตาตาซึ่งอยู่นอกเมืองเกียวโต
และแอนนาลีสจะมารับเราที่สถานีรถไฟคาตาตา
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เราต้องไปต่างประเทศและไปให้ถึงจุดหมายปลายทางโดยไม่มีใครมารับหรือช่วยเราที่สนามบินเลย
และยังรู้ด้วยว่าคนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง การใช้ชีวิตแต่งงานมานานถึง ๒๐
ปีนั้น ได้สร้างนิสัยพึ่งพาอาศัยสามีอยู่เสมอเมื่อต้องเดินทาง
เพราะเราก็เหมือนผู้หญิงส่วนมากคือ จำทางไม่เก่ง หลงทางบ่อย
ในกรุงเทพยังหลงอยู่เรื่อย เมื่อไปที่ไหนแปลกถิ่น ก็เดินตามสามีต้อย ๆ
ให้เขานำอยู่เสมอ ฉะนั้น การไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่ญี่ปุ่นคนเดียวนั้น
ต้องรู้สึกเป็นห่วง กังวล และกลัวเป็นธรรมดาสำหรับผู้หญิงในสถานะอย่างเรา
เป็นความรู้สึกที่เราเองก็รอให้มันเกิดก่อนหน้าการเดินทางแล้ว
โดยเฉพาะในช่วงสามสี่วันก่อนขึ้นเครื่องบิน แต่มันก็ไม่เกิด
ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องการเดินทางและทบทวนสิ่งที่ต้องทำเมื่อไปถึงญี่ปุ่นนั้น
สามารถคิดได้โดยหัวใจไม่สั่นไหว คิดว่าเมื่อวันเดินทางมาถึง ต้องสั่นแน่
แต่ในขณะที่รอขึ้นเครื่องอยู่ที่สนามบินเบอร์มิ่งแฮมนั้น
นั่งอ่านจดหมายของแอนนาลีสอยู่หลายเที่ยว
เพราะมีรายละเอียดเรื่องการเดินไปชานชะลาไหน หัวใจก็ยังไม่สั่น
มีบางครั้งที่เห็นความประหม่ากลัวกำลังจะก่อตัว เหมือนกับเห็นคลื่นระลอกแรกกำลังก่อตัวขึ้นมาก่อนที่จะปะทะหัวใจ
ก่อนที่จะทำให้หัวใจเต้นเร็ว แต่พอเห็นเท่านั้น มันก็คลายตัวไปทันที
คลื่นของความรู้สึกไม่สามารถก่อตัวได้ จึงนั่งรอที่สนามบินได้อย่างสงบ
แม้ไปถึงอัมสเตอร์ดัมแล้ว ตลอดจนนั่งเครื่องบิน ๑๒ ชั่วโมง ความหวั่นไหวของใจก็ไม่เกิด
ช่วงที่นั่งอยู่บนเครื่องบินนั้น
ก็สังเกตเห็นแล้วว่า ใจเราได้เปลี่ยนไปแน่นอน เพราะภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
การเดินทางไกล ไปที่แปลกถิ่นคนเดียว ใจไม่ควรนิ่งเช่นนี้ มันนิ่งจนผิดปกติ
จนเราเห็นได้ชัดว่ามันไม่ธรรมดา
เมื่อไปถึงสนามบินคานไซที่โอซาก้า ก็โทรศัพท์บอกแอนนาลีสว่ามาถึงแล้ว
เธอจึงค่อยบอกเราว่า จะไปรับที่สถานีรถไฟเกียวโต เราก็รู้สึกโล่งอกเหมือนกันว่า
อย่างน้อยจากสถานีเกียวโตก็จะมีคนมารับแล้ว ไม่ต้องงมหาทางเอง
ไปหลงทางที่ญี่ปุ่น แต่หัวใจไม่สั่น
ก่อนไปญี่ปุ่น
ได้ขอร้องให้แอนนาลีสหาครอบครัวญี่ปุ่นให้พักอยู่ด้วย
เพื่อจะได้รู้ว่าคนญี่ปุ่นใช้ชีวิตอย่างไร แอนนาลีสพาดูเมืองเกียวโตวันหนึ่ง
และชี้บอกทางเรื่องการขึ้นรถไฟ ต่อรถไฟ ทั้งใต้ดิน บนดิน
ในขณะที่แอนนาลีสบอกว่าง่ายมากนั้น สามวันแรก งงเหมือนไก่ตาแตก รับไม่ไหว
ข้อมูลมากเกินไป แต่ก็ไม่สั่นกลัว คิดว่า ถ้าเกิดหลงทางอย่างไรก็ค่อยแก้ไขสถานการณ์เอาตอนนั้น
วันที่สี่ แอนนาลีสไปทำงาน ต้องลุยเมืองญี่ปุ่นเอง ไปดูเมืองเก่าใกล้ ๆ
แฟลตที่อยู่ก่อน พยายามจำทาง แต่ก็ไปหลงทางจนได้
แต่ในที่สุดก็คลำทางกลับมาที่แฟลตได้
วันที่ห้า
ต้องขึ้นรถไฟไปหาอายาโก่ะซึ่งเป็นแม่บ้านของครอบครัวญี่ปุ่นที่จะไปพักด้วย
เขาอยู่เมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งในชนบทออกไป ก็ไปถูก อายาโก่ะมารับที่สถานีรถไฟ
พาเราไปถึงบ้าน พอดีเธอเป็นแม่บ้านที่มีระเบียบมาก ทำอะไรตรงตามเวลา ฉะนั้น
ในขณะที่เธอต้องอาบน้ำให้ลูกเล็กและเตรียมอาหารเย็นนั้น เธอก็แนะนำให้เราออกไปเดินเล่นแถวบ้านก่อนโดยบอกว่า
เมื่อเลี้ยวขวาที่ถนนหน้าบ้าน สุดถนนจะมีวัดอยู่วัดหนึ่ง
ให้เราเดินไปดูโดยให้กุญแจบ้านแก่เราไว้ ก็คิดว่าจะเดินไปตามถนนสายตรง ๆ
นี้ตามที่เขาบอก เมื่อดูวัดแล้วก็จะเดินกลับมาตรง ๆ จะไม่ไปไหนไกลเด็ดขาด
จึงออกจากบ้านของอายาโก่ะโดยที่ไม่ได้เอากระเป๋าเงินและเบอร์โทรศัพท์ออกไปเลย
ถือลูกกุญแจไปลูกเดียวเท่านั้น หน้าบ้านของอายาโก่ะก็รู้แล้วว่าเป็นอย่างไร
จึงคิดว่าไม่มีปัญหา พอเดินไปแล้ว ก็เริ่มเห็นตรอก ซอก ซอยแคบ ๆ พยายามจะไม่เลี้ยว จนกระทั่งไปเห็นซอยเล็ก
ๆ ซอยหนึ่งที่มีโคมไฟแขวนทั้งซอย สวยมาก จึงคิดว่าเลี้ยวเข้าไปเดินดู
เนื่องจากเป็นซอยที่ลึกมากและยังมีทางแยกอีก เดินเข้าซอยไปลึกพอสมควร คิดว่า แหม
ถ้าเดินออกทางเก่า
ก็ดูวิวเดิม จำสิ่งที่สามีได้สอนไว้ว่า ถ้าเลี้ยวขวาไปเรื่อย เราก็จะออกมาทางเก่า
เราก็คิดว่าถ้าเลี้ยวขวาสองครั้ง เราควรจะออกมาที่ถนนสายเก่าหน้าบ้านของอายาโก่ะ
สิ่งที่ลืมไปคือ เราไม่รู้จักหน้าตาของถนนหน้าบ้านของอายาโก่ะที่ห่างออกไปอีก ๑๐๐
เมตร เพราะเพิ่งมาถึง และนั่นเป็นการเดินครั้งแรกของเรา และชื่อถนนอะไร
ก็จำไม่ได้เสียแล้ว พอเราเลี้ยวขวาครั้งแรก
ต้องเดินอีกไกลกว่าจะหาที่เลี้ยวขวาได้อีก พอเลี้ยวขวาอีก
ไม่มีทางรู้ว่านี่เป็นถนนหน้าบ้านของอายาโก่ะหรือเปล่า ถ้าจะเดินกลับทางเก่าอีก
ก็จำไม่ได้แล้ว เพราะทางแยกเยอะเหลือเกิน
จึงคิดว่าเสี่ยงเดินไปตามถนนที่คิดว่ากลับมาถนนเดิมดีกว่า
ในขณะที่กำลังเดินขึ้นมาตามถนนสายนั้น
เริ่มคิดมากแล้วว่า ถ้าหลงทางและกลับบ้านอายาโก่ะไม่ถูก จะทำอย่างไร
เพราะนั่นเป็นชนบท หาคนพูดภาษาอังกฤษได้ยากมาก ในมือมีแต่กุญแจบ้านเท่านั้น
พยายามจะดูว่าพวงกุญแจบ้านนั้นมีเบอร์โทรศัพท์อะไรหรือเปล่า
เริ่มสาปแช่งตัวเองว่าทำไมจึงไม่เอากระเป๋าเงินและเบอร์โทรศัพท์ออกมา
และจะไปบอกคนได้อย่างไรว่าจะไปไหน ไปถนนอะไร เพราะข้อมูลเกี่ยวกับอายาโก่ะนั้น
เราไม่รู้อะไรเลย นอกจากชื่อสกุลของเขาเท่านั้น
เพราะมาถึงบ้านเขาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
ตอนนั้น รู้ว่าเราควรกลัวและตกใจมาก
แต่ความรู้สึกก็ไม่ถึงกับเลวร้ายอย่างที่เราคิด เห็นหัวใจเริ่มเต้นแรง แต่ก็คุมอยู่
คิดว่าอย่างน้อยเราก็จำชื่อโรงเรียนของแอนนาลีสได้ ถ้าหลงจริง ๆ
เขาคงพาไปหาตำรวจและจะพยายามบอกชื่อโรงเรียนของแอนนาลีส
ในช่วงที่คิดหาทางออกสารพัดอย่างอยู่นั้นเอง ก็เดินมาถึงทางแยกที่มีวัด ๆ หนึ่ง
จึงจำที่อายาโก่ะพูดได้ว่า วัดนั้นอยู่สุดถนนของหน้าบ้านเขา รู้สึกโล่งอก
ดีใจมากว่าน่าจะมาถูกทางแล้ว ไม่ได้เข้าไปดูวัดอย่างที่ตั้งใจไว้
ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาเดินขึ้นไปตามถนนนั้นด้วยความหวังว่าจะต้องเป็นถนนสายหน้าบ้านของอายาโก่ะ
ในที่สุดก็เดินมาจนพบร้านรวงต่าง ๆ
ก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายเข้าซอยที่มีโคมตะเกียงแขวนอยู่ จึงกลับมาทันรับประทานอาหารเย็นร่วมกับอายาโก่ะและครอบครัวเขา
ทั้ง ๆ
ที่มีความรู้สึกเหมือนเพิ่งออกจากการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น โดยธรรมชาติของใจแล้ว
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ตื่นเต้นที่เพิ่งเกิดขึ้นเช่นนั้น
หัวใจต้องสั่นไหวด้วยความตกใจ เป็นสภาวะหลังช๊อค flash back แต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น
ความคิดถึงเหตุการณ์ที่น่าตกใจได้กลับมาหลอน
แต่หัวใจก็ไม่ได้สั่นไหวแต่อย่างใด
ฟ้าผ่าไม่ถูกใจ
เมื่อคราวที่เกิดเหตุการณ์พิสดารทางใจที่บ้านพรานนกจนทำให้ใจเป็นอิสระอยู่หลายเดือนนั้น
มีวันหนึ่ง ฝนตกหนัก มีทั้งฟ้าร้อง ฟ้าผ่า นัวเนียไปหมด
ตั้งแต่ที่จำความได้จนกระทั่งถึงเวลานั้น เรารู้ว่า
ทุกครั้งที่เกิดฟ้าร้องและฟ้าผ่านั้น มันจะต้องผ่าเข้าที่ใจของเราด้วยเสมอไป
ใจจะต้องเคลื่อนด้วยความสะดุ้งและหัวใจเต้นแรง
มากน้อยก็ขึ้นอยู่กับฟ้าผ่าแรงแค่ไหน ถ้าแรงมากก็ผ่าเข้าที่ใจมากเท่านั้น
ก็สะดุ้งมากหน่อย แต่รับประกันได้ว่า ใจต้องเคลื่อนไหวเพราะสียงฟ้าผ่าทุกครั้งไป
และสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น จำได้ว่า วันนั้น ฟ้าผ่าลงมาแรงมาก
เสียงดังสนั่นไปหมด ฟ้าผ่าที่มีเสียงดังระดับนั้น ธรรมดาเราต้องสะดุ้งโหยงแล้ว
แต่ครั้งนั้น ใจของเรากลับนิ่งเป็นปกติ มีความรู้สึกว่าฟ้าผ่าไม่ถึงใจ จำได้ชัดมาก
เพราะรู้ว่านั่นไม่ธรรมดา ไม่เคยปรากฏกับเราเช่นนั้นมาก่อนในชีวิต
ไม่ว่าฟ้าจะผ่าแรงหรือผ่าค่อย มันต้องผ่าถูกใจเสมอ แล้วทำไมครั้งนั้น
ฟ้าจึงผ่าไม่ถึงใจ เหมือนกับไม่มีใจ แต่ก็ไม่กล้าสรุปอะไรให้ตัวเอง
เพราะไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ผู้ชายที่มีใจแข็งแกร่งนั้น
ฟ้าจะผ่าเข้าถึงใจเขาหรือเปล่า อาจจะผ่าไม่เข้าก็ได้ ในช่วงนั้น
คิดว่าคงจะฟังมาจากอาจารย์โกวิทว่า การตัดสินความเป็นพระอรหันต์
ก็ต้องตัดสินตรงฟ้าผ่า หรือการถอนเส้นผม ซึ่งตอนฟัง
ก็ไม่เข้าใจเลยว่าหมายความว่าอย่างไร ทำไมจึงตัดสินที่ฟ้าผ่า พอมาเจอเหตุการณ์ครั้งนั้นที่ฟ้าผ่าไม่ถูกใจ
จึงเข้าใจได้ แต่ก็ไม่กล้าบังอาจคิดว่าตัวเองจะเป็นพระอรหันต์แต่อย่างใด
เพราะไม่ได้รู้สึกว่าวิเศษพิสดารเลย ฟ้าผ่าไม่ถูกใจก็ยังรู้สึกธรรมดามาก
ครั้งหนึ่ง มีโอกาสได้คุยกับพระ
และเกือบจะถามท่านแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรที่จะไม่ให้คนเข้าใจผิดว่ากล้าบังอาจคิดสูงถึงปานนั้น
จึงเก็บเหตุการณ์เรื่องฟ้าผ่าไว้เสมอโดยที่ไม่เคยบอกใคร
ต่อมา สภาวะการหลุดพ้นค่อย ๆ หายไปในที่สุด
ฟ้าก็ผ่าถึงใจอีกตามเดิม จึงไม่มีอะไรติดใจตนเอง
และฟ้าก็ผ่าถูกใจมาเรื่อยจนกระทั่งในช่วงสองสามปีหลังนี้ ความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป
คือเห็นได้ชัดว่าฟ้าผ่าถูกใจน้อยลงทุกที บางครั้งอาการสะดุ้งก็ยังเกิดอยู่
แต่ใจถูกข่วนน้อยมาก อาจจะกระทบเพียงนิดเดียวและก็กลับเป็นปกติอีกทันที
แต่ก็ไม่ได้คิดให้เครดิตอะไรตัวเองมากนัก เพราะคิดว่าเมืองอังกฤษ ฟ้าผ่าอย่างไรก็ยังไม่รุนแรงเท่ากับบ้านเราที่เป็นเมืองมรสุม
ถ้าเจอมรสุมแรง ๆ อย่างในเมืองไทย ฟ้าผ่าแต่ละเปรี้ยงดังมาก
ก็คงผ่าถึงกลางใจแน่นอน
ฟ้าผ่าลงบนเขาพุดทองที่สวนโมกข์
ไม่ได้คิดว่าต้องกลับมาเมืองไทยเพื่อมาทดสอบดูว่าฟ้าจะผ่าถึงขั้วหัวใจหรือไม่
แต่เรื่องมันก็เกิดเองจนได้ กลับมาเมืองไทยในเดือนเมษายน ๒๕๔๔ อยู่สามเดือน
จึงมีโอกาสลงไปสวนโมกข์ต้นเดือนพฤษภาคม เพื่อร่วมพิธีวิสาขะบูชา
ไปกับพี่สาวและหลานชาย
เป็นการไปครั้งที่สองหลังจากที่ท่านอาจารย์พุทธทาสได้จากไปแล้ว บ่ายสามโมงของวันวิสาขะบูชา
ทุกคนขึ้นไปรวมกันที่โบสถ์ของสวนโมกข์บนเขาพุดทองเพื่อทำพิธีเวียนเทียน
บ่ายวันนั้น ท้องฟ้ามืดคลื้มเต็มไปด้วยเมฆดำ
มีฟ้าคะนองบ้าง พระสงฆ์ก็ได้นั่งเรียงสองแถวหันหน้าเข้าหากันตรงหน้าพระพุทธรูป
ตรงหน้าพระก็มีเด็ก ๆ นักเรียนกลุ่มหนึ่งโดยการนำของน้องไก่ลูกสาวของคุณหมอประยูร
ซึ่งมารวมตัวกันที่ลานซึ่งใช้เป็นเวทีของเขาพุดทอง
นอกจากนั้นก็มีพุทธศาสนิกชนที่นั่งแยกย้ายกันอยู่ที่ลานหินโค้งรอบโบสถ์ของเขาพุดทองอีกประมาณร้อยกว่าคน
ระบบเสียงก็ถูกติดตั้งเหมือนเดิมทุกครั้งที่มีพิธีเช่นนี้
โดยประเพณีของสวนโมกข์แล้ว เด็ก ๆ
นักเรียนจากโรงเรียนวัดธารน้ำไหลจะขึ้นมาร้องเพลงธรรมะก่อน
น้องไก่เห็นเรานั่งอยู่ข้างหลัง
จึงกวักมือเรียกเราขึ้นมานั่งใกล้เวทีเพื่อจะได้เป็นแขกผู้มีเกียรติแจกของขวัญแก่เด็กนักเรียนเมื่อเขาร้องเพลงเสร็จ
เราจึงคลานขึ้นไปนั่งใกล้เวทีพร้อมกับพี่สาว
นั่นก็เป็นบรรยากาศของสวนโมกข์ที่เราได้เคยมีส่วนร่วมมาหลายครั้งเมื่อสมัยที่เป็นนักศึกษา
จึงดีใจมากที่มีโอกาสมาอยู่กับบรรยากาศที่อบอุ่นเช่นนี้อีกครั้งหนึ่ง
นั่งชื่นชมเด็ก ๆ ที่ขึ้นมาร้องเพลงธรรมะอย่างกล้าหาญ นึกชมน้องไก่ว่าฝึกเด็ก ๆ
ได้ดีมาก
ในขณะที่เด็กชายหญิงสองคนกำลังร้องเพลงโดยที่เด็กหญิงเป็นคนถือไมโครโฟนอยู่นั้น
ทันใดนั้น เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดฝันก็เกิดขึ้น
เสียงดังสนั่นเหมือนฟ้าจะถล่มเขาพุดทอง
และสายฟ้าขนาดความยาวเกือบสองเมตรและความกว้างราวหนึ่งเซนติเมตรก็ได้ฟาดกระหน่ำลงมากลางเวทีห่างจากเด็กหญิงที่ถือไมโครโฟนอยู่ไม่ถึงฟุต
สายฟ้านั้นได้วิ่งไปทางซ้ายผ่านแจกันทองแดงที่วางอยู่
ทำให้แจกันนั้นกระเด็นขึ้นอย่างแรงพุ่งชนหน้าผากของอุบาสกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างหน้า
เศษกิ่งไม้ใบไม้ปลิวว่อนไปหมดตรงบริเวณเวทีนั้น
สายฟ้านั้นผ่าลงมาประมาณไม่ถึงสามเมตรจากตรงที่เรากับพี่สาวนั่งอยู่
จึงสามารถสัมผัสความร้อนผ่าวของสายฟ้าที่มาประทะกับใบหน้า
ร้องสุดเสียง แต่ฟ้าก็ยังผ่าไม่ถูกใจ
ทันทีที่ได้ยินเสียงดังเหมือนฟ้าถล่มพร้อมกับสายฟ้าสีขาววาววับที่ฟาดลงมาอย่างติด
ๆ นั้น เรายังจับต้นชนปลายไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่า ร้องออกมาสุดเสียงพร้อม
ๆ กับเสียงที่ดังสนั่นเหมือนฟ้าถล่มนั้น
แต่เสียงที่เราคิดว่าร้องดังมากแล้วก็ถูกเสียงฟ้าผ่ากลบไปอย่างถนัดใจ
นอกจากพี่สาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เท่านั้นที่รู้ว่าเราร้องสุดเสียงเช่นนั้น
จนกระทั่งอีกราวสองสามวินาทีต่อมา จึงตระหนักชัดว่าสายฟ้าที่เราเห็นและรู้สึกอุ่น
ๆ นั้นคือฟ้าผ่าลงมาจริง ๆ พี่สาวร้องไม่ออก ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจสุดขีด
เด็กนักเรียน ๖-๗
คนนั่งกอดกันด้วยความตกใจสุดขีดเช่นกัน โดยเฉพาะเด็กหญิงที่ถือไมโครโฟนอยู่
ทุกคนหน้าซีดเหมือนไข่ต้ม
ในขณะที่คนอื่นกำลังสาละวนและตกใจกับสถานการณ์นั้น
ๆ เราตรวจใจตนเองทันที สิ่งที่เราคาดไม่ถึงในสถานการณ์เช่นนั้นคือ
เมื่อมองเข้าไปในใจตัวเองขณะนั้นแล้ว ปรากฏว่าไม่เห็นใจ
ฟ้าแม้จะผ่าอยู่ข้างหน้าที่ห่างออกไปเพียงสองเมตรเศษ แต่มันก็ผ่าไม่ถูกใจเราเลย เหมือนไม่มีใจให้ผ่า ใจนิ่งเป็นปกติ
แม้หัวใจก็ไม่เต้นเร็วอย่างผิดปกติ นี่เป็นสิ่งที่เรายังต้องพยายามทำความเข้าใจว่า
ทำไมจึงร้องลั่นอย่างสุดเสียงอันเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทันทีพร้อมกับเหตุการณ์ที่ตื่นเต้นนั้น
ร้องดังและนานพอ ๆ กับระยะเวลาที่เสียงฟ้าถล่ม
ในขณะที่กำลังร้องเสียงดังลั่นอยู่นั้น เราก็ได้สำรวจใจแล้ว เห็นว่ามันไม่สั่นไหว
ไม่ตื่นเต้น หรือตกใจเหมือนอาการของกายแต่อย่างใด
มันเป็นปฏิกิริยาที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ตรงนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกว่า
วาสนาของผู้บรรลุธรรมชั้นสูงแล้ว กายกับใจแยกขาดจากกัน
หลังจากที่ความตื่นตกใจหายไป
ในที่ประชุมก็กระหึ่มด้วยเสียงที่คนพูดถึงเหตุการณ์ที่น่าเสี่ยวหน้าขวานนั้น
ฟังน้องไก่และอีกหลายคนพูด
จึงรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ฟ้าผ่าลงกลางเขาพุดทองในขณะที่ทำพิธีเวียนเทียนเช่นนี้
ในอดีต แม้จะมีบรรยากาศคลึ้มฟ้าคลึ้มฝนเหมือนวันนั้น และบางครั้งฝนตกปรอย ๆ
ด้วยซ้ำไป แต่ท่านอาจารย์โพธิ์ก็ยังให้ทำพิธีต่อไปจนเสร็จ
มีการใช้เครื่องเสียงเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ฟ้าก็ไม่เคยผ่าลงมาเช่นนั้น
สิ่งที่ทุกคนล้วนสาธุการและอยากยกให้เป็นเรื่องความอัศจรรย์คือ
นอกจากอุบาสกที่ถูกแจกันกระเด็นเข้าใส่แล้ว
ไม่มีใครเสียชีวิตโดยเฉพาะเด็กหญิงที่ถือไมโครโฟนอยู่ซึ่งฟ้าผ่าลงมาห่างตัวเธอไม่ถึงฟุตดี
ก็ไม่เป็นอะไร มีแต่อาการช๊อคมากเท่านั้น
หลังจากที่สาละวนกันอยู่ครู่หนึ่ง
อุบาสกที่เป็นโฆษกจึงขึ้นมาพูดให้ทุกคนพยายามมองเหตุการณ์หน้าเสี่ยวหน้าขวานที่เพิ่งเกิดขึ้นหยก
ๆ นั้นว่ามันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะบรรยากาศที่คลึ้มฟ้าคลึ้มฝนอยู่เช่นนั้น
ย่อมมีสายฟ้าวิ่งไปมาเป็นธรรมดา ไม่ต้องไปคิดว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์อะไร
ซึ่งเป็นการคิดและมองโลกตามประเพณีของสวนโมกข์ที่ท่านอาจารย์ได้ปูทางเอาไว้
จึงมีการแนะนำให้ทำสายล่อฟ้าบนเขาพุดทองเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์เช่นนี้อีก
ปฏิกิริยาในความฝันก็เปลี่ยนไป
ความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ ความฝัน
คืนไหนที่ทำสมาธิก่อนนอน คืนนั้นก็ไม่ค่อยฝันมากหรือไม่ฝันเลย แต่ถ้าไม่ได้ทำ
ก็จะฝันบ้าง
ความฝันนี่ยังเป็นเรื่องลึกลับที่แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถเข้าใจได้เต็มที่
สำหรับเรา รู้แต่ว่า ความฝันก็คือความจริงในระดับของความฝัน สิ่งต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นในความฝันมันก็คือความจริง ไม่ว่าจะเป็นคนหรือเหตุการณ์ ฉะนั้น
ความรู้สึกต่าง ๆ
ที่เหตุการณ์ในฝันก่อให้เกิดมันก็เป็นความรู้สึกจริงในระดับของความฝันทั้งสิ้น
เช่น ความรู้สึกตกใจ กลัว เศร้า ขบขัน เป็นต้น
ความรู้สึกเหล่านี้ล้วนแต่เป็นความรู้สึกจริงเมื่อกำลังอยู่ในความฝันทั้งสิ้น
แต่เพราะเป็นเพียงความฝันที่หายไปเมื่อตื่นขึ้น จึงไม่เคยไปจดจำมัน
และไม่เคยเอามานั่งตีความอย่างเป็นตุเป็นตะ
ตั้งแต่แม่เสีย ช่วงปีแรก ได้ฝันถึงแม่บ่อย
และส่วนมากก็ดีใจมากที่ได้เห็นและจับต้องตัวแม่ในความฝันเหมือนกับแม่ยังมีชีวิตอยู่จริง
ๆ ครั้งหนึ่ง เคยดีใจมากที่ได้เห็นแม่ กอดแม่และร้องไห้จนสะอึกสะอื้น
น้ำตาไหลออกมาจริง ๆ
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เริ่มสังเกตเห็นว่า ความรู้สึกต่าง ๆ
ที่เกิดในฝันของเราก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝันถึงเหตุการณ์บางอย่างที่ควรทำให้เราตื่นตกใจอย่างสุดขีดนั้น
เริ่มเห็นว่า สามารถคุมความรู้สึกเหล่านั้นได้แม้จะอยู่ในฝันก็ตาม และในฝันนั้น
เราก็รู้อีกว่า ความรู้สึกที่ควรจะมีไม่สามารถข่วนใจเราได้ ตอนนี้
ไม่สามารถยกตัวอย่างได้ว่าเคยฝันถึงอะไรบ้าง เพราะไม่จดจำเรื่องฝันอยู่แล้ว
จำได้อยู่เรื่องเดียว เพราะเพิ่งฝันเมื่อไม่นานมานี้
จึงตั้งใจจดเอาไว้เพราะรู้ว่าจะเอามาเขียน ครั้งหลังสุดนี่ ฝันเห็นงู
แต่งูนั้นเหมือนผ้าห่มผืนกว้างแผ่ปลิวว่อนอยู่
เราก็เดินเข้าไปใต้ผ้าห่มที่เป็นงูนั้น และทันใดนั้นเอง
ก็มีหัวงูเห่าโผล่มาจากไหนไม่รู้ รู้แต่ว่ามันฉกเข้ามาตรงกลางหน้าเราพอดี ในฝันนั้นดูใจทันที
แต่ก็ไม่ปรากฏว่าหัวใจสั่นไหวด้วยความตกใจแต่อย่างใด เหมือนไม่มีใจให้ตก
เห็นแต่ความนิ่งอย่างเดียว แล้วเราก็ลืมตาตื่นขึ้นมา
วิปัสสนา เครื่องมือออกจากฝันร้ายที่ยังตื่นอยู่
พูดเรื่องความฝันกับความตื่นนี่ ถ้าคนเข้าใจตามที่เราอธิบายได้ ก็จะเข้าใกล้สัจธรรมอันสูงสุดหรือพระนิพพานมากขึ้น
คนเราเมื่อฝันร้ายตกใจจนเหงื่อไหลไคลย้อยแล้ว
จะรู้สึกโล่งอกมากเมื่อสามารถปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้
สามารถยิ้มออกและพูดว่า นั่นเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น ไม่ได้เป็นความจริง
ไม่เป็นไรแล้ว ในชีวิตจริง ๆ
คนมากมายก็ผ่านเหตุการณ์ที่เหมือนกับฝันร้ายด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่า
มันไม่ใช่ความฝัน
มันเป็นความจริงที่ไม่สามารถตื่นขึ้นมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้อีกแล้ว
นี่เป็นข้อสรุปของคนที่ยังมืดบอดต่อพระนิพพานอยู่
แต่คนที่เห็นพระนิพพานแล้ว จะรู้ว่าเหตุการณ์ที่เหมือนฝันร้ายของชีวิตจริงนั้น
ที่จริงมันก็ยังเป็นเรื่องความฝันอยู่นั่นเอง
แต่เป็นความฝันในความหมายที่ลึกซึ้งกว่ามาก เพราะเป็นความฝันทั้ง ๆ
ที่เจ้าตัวยังลืมตาตื่นอยู่
จะออกจากความฝันร้ายที่ยังตื่นอยู่นี้ได้ก็โดยการฝึกวิปัสสนาเท่านั้น
ใครที่สามารถกำหนดสติให้มาอยู่ฐานที่หนึ่งได้ เช่น รู้ลมหายใจ รู้การเคลื่อนไหว
การรู้เช่นนั้นเท่ากับเป็นการฝึกใจให้มาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง หรือ พระนิพพาน
ซึ่งเป็นโลกที่จริงที่สุดโลกเดียวเท่านั้น
การเอาใจมากำหนดอยู่ฐานที่หนึ่งจึงเป็นการปลุกใจให้หลุดออกจากโลกสมมุติหรือโลกแห่งความฝันทั้งตื่นมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
คนบ้าระดับสามัญที่ไม่เคยศึกษาพระพุทธศาสนาหรือฝึกสมาธิวิปัสสนาเลยนั้น
ใจของเขาได้ถูกกิเลสโดยเฉพาะตัวความหลงมอมเมาเอาหรือฉุดให้ตรึงอยู่ในโลกแห่งความฝันชนิดที่ยังตื่นอยู่อย่างถาวร
เขาจะไม่มีวันตื่นจากโลกแห่งความฝันนั้นได้
และไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าตนเองยังนอนหลับไหลอยู่ในโลกมืดของอวิชชา
จนกระทั่งมีผู้รู้มาบอกทาง เริ่มสนใจศาสนาพุทธและฝึกวิปัสสนา เมื่อนั้นแหละ
จึงจะตื่นจากฝันร้ายได้
ฉะนั้น
คนที่ฝึกสมาธิวิปัสสนาจึงมีความรู้สึกว่านาทีหนึ่งเหมือนกับยังยืนอยู่ในเตาเผาของนรกที่ร้อนระอุเหมือนฝันร้าย
แต่อีกนาทีหนึ่งเมื่อใจเกิดรวบตัวและมีพลัง
มันก็หลุดออกจากความมืดหรือความฝันมาสู่ความสว่างหรือความจริง
ทำให้ใจคลายตัวจากความรู้สึกของฝันร้าย เกิดความโล่งโปร่งเบาขึ้นมาทันที
ในช่วงนั้น ใจได้ตื่นจากฝันร้ายมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงหรือพระนิพพานนั่นเอง
จึงรู้สึกเหมือนว่าปัญหาทุกอย่างหายไปทันทีเหมือนการตื่นจากฝันร้ายที่หลับตา
แต่ถ้าผู้ฝึกยังไม่ชำนาญ ยังต่อกรกับกิเลสไม่เก่ง พลังสมาธิไม่พอ
ใจไม่มีกำลังที่จะทรงตัวให้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงหรือพระนิพพานได้นาน
กิเลสซึ่งมีแรงมากกว่าก็จะฉุดใจนั้นกลับไปสู่โลกแห่งความฝันอีก ตอนแรก ๆ
ก็ต้องต่อสู้กันอยู่อย่างนี้ หลับ ๆ ตื่น ๆ ถ้าไม่ประมาท
และฝึกสมาธิวิปัสสนาไปเรื่อย ๆ อย่างไม่ท้อถอย ใจก็จะมีพลังมากขึ้นตามลำดับ
และจะสามารถหลุดมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงหรือพระนิพพานบ่อยขึ้น
ใช้เวลาอยู่กับความตื่นมากกว่าความหลับ ความสงบก็จะมีมากขึ้น
ฉะนั้น การที่คน ๆ
หนึ่งต้องการจะตื่นจากความหลับไหลของอวิชชามาสู่โลกแห่งความเป็นจริงของพระนิพพานแล้วไซร้
เขาจะย่อหย่อนในเรื่องการฝึกวิปัสสนาไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นแล้ว
จะถูกกิเลสดึงกลับไปตรึงอยู่ในโลกแห่งความฝันของอวิชชาอีก พระพุทธเจ้าจึงทรงเตือนสาวกของท่านแม้ก่อนปรินิพพานว่า
ต้องไม่ประมาท ต้องเร่งทำความเพียรอยู่เสมอ ใครประมาท ก็ต้องตายคามือกิเลสแน่
แล้วเมื่อไหร่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาอีกล่ะ เสียชาติเกิดเปล่า ๆ
น่าเสียดาย
รู้ว่าหนังสือธรรมะไม่ใช่ตัวธรรม
สมัยที่เริ่มสนใจศาสนาพุทธอย่างจริงจัง
การได้อ่านหนังสือธรรมะโดยเฉพาะของท่านอาจารย์พุทธทาสนั้นเหมือนกับการพบขุมทรัพย์ขุมใหญ่ที่ขุดเท่าไรก็ไม่รู้จักหมด
ดื่มด่ำกับการอ่านหนังสือของท่านอาจารย์มากจนเกิดปีติอย่างท่วมท้น นอกจากนั้น
ก็ยังอ่านหนังสือของท่านกฤษณะ มูรติ ที่แปลโดยคุณพจนา จันทรสันติ
โดยเฉพาะเรื่องแด่หนุ่มสาว ชอบมาก เหตุการณ์พิสดารทางใจที่ท่าน้ำพรานนกนั้น
ทำให้เข้าใจเรื่อง ผู้มอง กับ ผู้ถูกมอง ที่กฤษณะ มูรติพูดได้ดีถึงแก่น
เพราะเห็นประสบการณ์ในใจของตนเอง
ตอนนั้น อาจารย์โกวิท เขมานันทะ ยังมีหนังสือออกมาไม่มากนัก แต่ก็อัดเทปของอาจารย์ไว้มาก
และฟังเทปธรรมะของอาจารย์อยู่บ่อยมาก
หลังจากที่เกิดประสบการณ์พิสดารทางใจที่บ้านพรานนกแล้ว
ตอนนั้น รู้แล้วว่า หนังสือธรรมะไม่ใช่ตัวธรรมที่แท้จริง
จำเป็นต้องทิ้งหนังสือธรรมะให้ได้ จึงจะสามารถเข้าถึงธรรมะตัวจริงได้
ในช่วงที่สภาวะหลุดพ้นยังคงอยู่นั้น ไม่ได้อ่านหนังสือธรรมะเลย
เพราะมีความรู้สึกว่า อ่านแล้วไม่สนุก ไม่เห็นได้เรื่อง
สู้สภาวะจริงที่กำลังมีอยู่ เป็นอยู่ไม่ได้ จากจุดนั้น
จึงรู้เสมอว่าหนังสือธรรมะเป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น
การเข้าถึงธรรมไม่ใช่เป็นเรื่องอ่านหนังสืออย่างเดียว ต้องพยายามปฏิบัติจนใจหลุดพ้นให้ได้
แต่เมื่อสภาวะหลุดพ้นหายไป ความอยากอ่านหนังสือธรรมะก็กลับมาอีก
แต่ก็เริ่มเลือกสรรหนังสือธรรมะ หนังสือเล่มใดที่เน้นสอนให้ทำความดี รักษาศีลนั้น
จะไม่ค่อยอ่าน แต่ถ้าเป็นเรื่องฝึกใจ ฝึกสมาธิ
เข้าถึงนิพพานที่คนอื่นคิดว่าลึกซึ้งมาก เราจะให้ความสนใจ
และไม่ได้รู้สึกว่ามันลึกเท่าไร เพราะสามารถคิดตามและรู้สึกเทียบเคียงได้
ตอนที่ไปอยู่พะเยา
ได้เอาหนังสือธรรมะของพระรูปหนึ่งหรือผู้เขียนจะเป็นฆราวาสก็จำไม่ได้แล้วติดไปด้วย
เป็นหนังสือที่หนาพอสมควร ทุกครั้งที่อ่านข้อธรรมต่าง ๆ ที่ท่านเขียนนั้น
นอกจากเข้าใจได้ดีแล้ว ยังเกิดปัญญาของตัวเองที่สามารถมองไกลออกไปอีกทุกครั้ง
ชอบหนังสือเล่มนั้นมาก แต่การอ่านหนังสือธรรมะของเรามักเป็นไปด้วยความเชื่องช้า
มักอ่านไม่ค่อยจบเล่ม เพราะอ่านไปได้หน่อย
ปัญญาจะวิ่งไปข้างหน้าอย่างปราดเปรียวมาก ในหัวมีแต่การวิเคราะห์ข้อธรรมของมันเอง
สามารถเข้าใจและมองข้อธรรมได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เข้าใจอะไรต่ออะไรของมันเอง ฉะนั้น
หัวสมองจึงเต็มไปด้วยเนื้อหาธรรมะเสียเอง
ดื่มด่ำไปด้วยปีติที่สามารถเข้าใจข้อธรรมนั้น ๆ
ในช่วงที่อยู่พะเยา
จึงพยายามหาทางถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นออกมาในงานเขียน
ที่จริงได้เขียนไว้มากทีเดียว แต่ก็ทิ้งไปหมดแล้ว จำได้ว่า
ตอนที่อยู่ถ้ำคนเดียวที่สระบุรีเป็นเวลาสามเดือนนั้น วันหนึ่งได้พบกับพระประชา
และคุยกันเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ถ้ำคนเดียวเช่นนั้น ได้ยอมรับกับท่านว่า
อ่านหนังสือธรรมะน้อยมาก เพราะอ่านเข้าไปหน่อยแล้ว หัวจะแล่นวิเคราะห์ข้อธรรมทุกที
จึงพอใจที่จะเดินจงกรม อยู่กับธรรมชาติและอ่านข้อธรรมที่เกิดขึ้นในหัวมากกว่า
แต่ตอนนั้นไม่ได้พูดด้วยความคิดว่าตัวเองเก่ง
ที่พูดขึ้นมาเพราะเป็นสิ่งที่ได้สังเกตเห็นในตัวเองเท่านั้น
ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่านั่นเป็นวิปัสนูปกิเลสอันเป็นลักษณะเด่นของผู้มีปัญญาจริต
เมื่อญาณยังไม่เกิด
การวิเคราะห์ข้อธรรมจะไม่สมบูรณ์
การได้พบท่านอาจารย์โกวิท เขมานันทะ
ซึ่งวิธีการพูดธรรมะของท่านเป็นเรื่องที่แหวกออกจากการเทศน์ตามประเพณี
เป็นการวิเคราะห์ชีวิต จึงสามารถดึงดูดความสนใจของเรา เพราะถูกกับจริตของเรามาก
เพื่อนหลายคนบอกว่าฟังอาจารย์ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เราสามารถรับได้ไม่ยาก
โดยเฉพาะเรื่องผู้มองกับผู้ถูกมอง ในจำนวนหนังสือและเทปธรรมะนั้น ต้องยอมรับว่า
ได้ฟังเทปของอาจารย์โกวิทบ่อยที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่อยู่อังกฤษ
ทุกครั้งที่ฟังเทปของอาจารย์ ปัญญาก็จะวิ่งอย่างปราดเปรียวเสมอ
และสามารถนำสิ่งที่อาจารย์พูดมาแตกแยกแขนงออกไปอีก
ผลงานเขียนภาษาอังกฤษสองเล่มแรกของเรานั้น
เกิดจากอิทธิพลการฟังเทปของอาจารย์โกวิทโดยตรง ที่จริงควรจะเป็นสามเล่ม
แต่เล่มสุดท้าย ลบทิ้งไปหมดแล้ว เพราะแม้ใจจะปราดเปรียวต่อการวิเคราะห์ข้อธรรมมากเพียงใดก็ตาม
ตราบใดที่ญาณปัญญาขั้นสูงสุดที่มาเน้นว่านี่คือพระนิพพานยังไม่เกิด
การมองและการวิเคราะห์ข้อธรรมต่าง ๆ นั้นจะสมบูรณ์ไม่ได้
ไม่ว่าจะพูดจะเขียนอย่างไร ก็จะพูดจะเขียนได้แต่ในรายละเอียดเท่านั้น จะขาดสิ่ง ๆ
หนึ่งเสมอ นั่นคือ ความสามารถในการยืนยันสัจธรรมอันสูงสุดด้วยตนเอง
เมื่อญาณยังไม่เกิด สิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้คือ
การอ้างอิงครูบาอาจารย์โดยเฉพาะครูท่านแรกของโลกคือพระพุทธเจ้าว่า
ท่านตรัสสอนอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านตรัสว่าพระนิพพานมีจริง ฉะนั้น
ต้องพูดตามว่าพระนิพพานมีจริง จะไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากอย่างห้าวหาญในธรรมว่า
พระนิพพานมีจริงเพราะเราเห็นพระนิพพานแล้ว ธรรมได้เกิดขึ้นกับเราแล้ว ฉะนั้น
เรื่องใบไม้กำมือเดียว และคู่มือชีวิต
จึงเป็นการเขียนที่ไม่ได้อ้างอิงครูบาอาจารย์อีกต่อไปแล้ว
เป็นการเขียนด้วยใจที่อิสระอย่างเต็มที่ สามารถอ้างอิงประสบการณ์ทางใจของตัวเองอย่างเต็มที่เพราะมั่นใจในสภาวะพระนิพพานที่เห็นอยู่เบื้องหน้า
หลังเกิดญาณแล้ว อ่านหนังสือธรรมะเพื่อเอาข้อมูล
หลังจากที่เกิดญาณเมื่อปี ๒๕๔๐ แล้วนั้น
ปฏิกิริยาต่อการอ่านหนังสือธรรมะและการฟังเทปของครูบาอาจารย์นั้นค่อย ๆ เปลี่ยนไป
เป็นการอ่านและฟังเพื่อความรื่นเริงในธรรมมากกว่าเพื่อต้องการเข้าใจ
หรือไม่ก็เพื่อต้องการข้อมูลอันเนื่องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพุทธสาวกในครั้งพุทธกาล
ถ้าหากได้อ่านหรือได้ฟังเทปธรรมะของพระหรืออาจารย์ทางธรรมท่านใดแล้ว
ก็สามารถรู้ได้ทันทีถึงภูมิธรรมของท่านผู้นั้นว่าอยู่ในระดับไหน
ได้เห็นธรรมที่แท้จริงหรือพูดสอนตามตำรา อย่างไรก็ตาม
การอ่านนั้นน้อยมากชอบฟังเทปธรรมะมากกว่า เทปธรรมะเรื่องพระอานนท์พุทธอนุชา
นี่ชอบมาก นอกจากนั้น ก็ยังฟังเทปธรรมะของอาจารย์ตั้งหม่อเซี้ยงบ่อยมากด้วย
มีอยู่ราว ๖๐ ม้วน ฟังซ้ำไปซ้ำมาอยู่เสมอ เพราะนอกจากจะทำให้ไม่ลืมภาษาจีนแต้จิ๋วของพ่อแม่แล้ว
ยังได้ข้อมูลของพุทธศาสนาฝ่ายมหายานบ้าง นิทานต่าง ๆ
ที่เอามารวบรวมไว้ในคู่มือชีวิตก็เอามาจากเทปของอาจารย์ตั้งหม่อเซี้ยงเป็นส่วนมาก
ท่านเป็นอาจารย์ชาวจีนที่สามารถอธิบายข้อธรรมได้ชัดเจนมาก
หนังสือที่เปิดบ่อยทีสุดคือ พระไตรปิฎกฉบับประชาชนของอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ
ส่วนหนังสือธรรมะของอาจารย์ท่านอื่น ๆ
นั้นมีความรู้สึกว่าถึงจุดอิ่มตัวมานานหลายปีแล้ว
ความปราดเปรียวของปัญญาค่อย ๆ เลือนหายไป
ในช่วงที่เขียนหนังสือภาษาอังกฤษสามเล่มแรกนั้น มักตื่นแต่เช้ามืดทุกวัน อยู่นานหลายปี
จำได้ว่า ประมาณตีสามครึ่งหรือตีสี่ จะรู้สึกตัวตื่น
และในขณะที่ลืมตาดูความมืดสนิทของห้องนอนนั่นเอง
หัวสมองจะมีแต่การวิเคราะห์ข้อธรรม ใจจะโน้มไปสู่สิ่งที่เขียนค้างไว้เมื่อคืนก่อน
และใจก็จะสางต่อสิ่งที่จะเขียนต่อไป คำพูดแต่ละประโยคปรากฏอยู่ในหัวอย่างชัดเจนว่าจะเขียนอะไร
อย่างไร เหมือนมีใครเอามาใส่ไว้ให้ ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนคิด หาผู้คิดไม่พบ
บ่อยครั้งที่รู้สึกทึ่งในความคิดเหล่านั้นที่สามารถหาข้อเปรียบเทียบต่าง ๆ
อย่างง่ายดายที่ไม่เคยคิดได้มาก่อน และจู่ ๆ ความคิดเหล่านั้นก็เข้ามาเอง
สงสัยเหมือนกันว่ามาจากไหนหนอ
ในช่วงสองปีหลังนี้
สังเกตเห็นว่าความปราดเปรียวของปัญญาเช่นนั้น ค่อย ๆ เลือนหายไป
ในหัวจะไม่มีความคิดต่าง ๆ เหมือนที่เคยเป็น
ใจจะอยู่กับความเงียบสงัดของพระนิพพานเสียมากกว่า คือ
ถ้าลืมตาขึ้นมาในความมืดของกลางดึก ใจก็อยู่กับพระนิพพาน แต่เมื่อต้องการเขียนอะไร
ก็โน้มใจเข้าไป สิ่งต่าง ๆ
ที่ต้องการเขียนก็จะพรั่งพรูออกมาเองโดยไม่มีการคิดล่วงหน้าเหมือนสมัยก่อน
รู้ว่าใจเปลี่ยนแน่เมื่อฟังเทปประวัติของพระอาจารย์มั่น
ในช่วงหลังนี้ ถ้าจะหยิบหนังสือธรรมะ
ก็จะอ่านหนังสือของพระปฏิบัติทางสายอีสานที่คนไทยเห็นว่าได้บรรลุธรรมแล้ว
เพื่อต้องการย้ำประสบการณ์ทางใจของตนเองมากกว่า
เพิ่งมาหยิบหนังสือธรรมะของหลวงปู่หล้าก็เมื่อกลับมาเมืองไทยครั้งล่าสุดนี่เอง
ได้มีโอกาสฟังเทปประวัติชีวิตของหลวงปู่มั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา
พอฟังแล้ว จึงสังเกตเห็นว่าใจของเราเปลี่ยนไปแน่ ๆ เพราะเมื่อฟ้งมาถึงจุดที่บรรยายว่า
พระอาจารย์มั่นมีสติตั้งแต่ลมหายใจแรกที่รู้สึกตัวจนกระทั่งหลับสนิทนั้น
เราไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องพิสดารเหมือนกับตอนที่บรรยายเรื่องการอยู่ถ้ำกับเสือ
๕ ตัวหรือคุยกับเทวดาต่างชาติ หรือเรื่องการรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
เหตุที่ไม่รู้สึกว่ามันแปลก กลับรู้สึกเฉย ๆ
เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เรากำลังทำอยู่เช่นกัน
ครั้งแรกที่สังเกตเห็นปฏิกิริยาดังกล่าวนั้น
รู้สึกไม่พอใจและตำหนิตัวเองว่า
ทำไมกล้าถึงขนาดเอาตัวเองไปเทียบเคียงตีเสมอครูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่มั่นเช่นนั้น
เพราะในความทรงจำของเรา
ก็ยังเห็นหลวงปู่มั่นเป็นพระปฏิบัติที่คนไทยเราต้องยกท่านไว้ในที่สูงสุดเสมอ
จะมาตีเสมอไม่ได้เด็ดขาด แต่เมื่อสำรวจใจอย่างดีแล้ว
ไม่ได้มีความรู้สึกว่าตีเสมอแต่อย่างใด
ก็ยังมีความเคารพในครูบาอาจารย์และยกย่องในปฏิปทาอันงดงามของท่านอย่างเป็นล้นพ้น
แม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้าที่เป็นปุถุชน หรือที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมขั้นสูง
เราก็ให้ความเคารพท่านเป็นอย่างสูงตามขนบธรรมเนียมประเพณีไทยที่ถูกอบรมเพาะบ่มมา
เพราะเห็นผ้าเหลืองเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าที่ช่วยสืบทอดพระศาสนาให้อยู่รอดจนถึงทุกวันนี้
จนเรารับประโยชน์มากมายได้เช่นนี้
ฉะนั้น
ความรู้สึกเฉยของเราไม่ใช่เพราะไม่ได้ให้ความเคารพพระอาจารย์ที่คนไทยเรายกย่องท่านไว้อย่างสูงสุด
แต่ที่รู้สึกเฉย ๆ เพราะธรรมชาติของใจที่เข้าถึงความเป็นตถตาต้องเป็นเช่นนั้นเอง
จะไปรู้สึกผิดจากที่ตัวเองรู้สึกนั้นก็ไม่ได้ เหมือนกับถ้าเราทำเลขข้อใดข้อหนึ่งไม่เป็นมาก่อน
เมื่อเห็นเพื่อนทำได้ ก็รู้สึกทึ่งในตัวเพื่อนและเห็นว่าเพื่อนเก่งมาก
แต่เมื่อสามารถจับหลักและทำเลขข้อนั้นได้ด้วยตนเอง ก็จะรู้สึกว่ามันง่าย
และไม่รู้สึกทึ่งในตัวเพื่อนอีกต่อไป
เมื่อยังเข้าไม่ถึงธรรม
ย่อมรู้สึกทึ่งและยกย่องคนที่เข้าถึงธรรมแล้ว แต่เมื่อเข้าถึงธรรมเสียเองแล้ว
ก็มีความรู้สึกเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา
เป็นความคิดที่ทำให้บ้าสนิทได้
เมื่อเห็นปฏิกิริยาที่เฉย ๆ
ต่อสิ่งที่ครูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่มั่นได้กระทำมานั้น จึงเริ่มถามตัวเองว่า
ถ้าเป็นเช่นนั้น เราอาจจะเข้าถึงธรรมที่สูงสุดด้วยตัวเองเช่นนั้นหรือ
ถ้าเป็นความรู้สึกของปุถุชนแล้ว
หากคิดถึงโชคลาภมากมายมหาศาลที่ได้มาครองแล้วหรือกำลังจะได้ครอง
ใจของปุถุชนย่อมหวั่นไหวด้วยความตื่นเต้น ยินดี
หัวใจจะสั่นไม่มากก็น้อยเมื่อคิดถึงเหตุการณ์นั้น ๆ
นี่เป็นความรู้สึกที่ทุกคนเทียบเคียงได้ง่าย
การบรรลุธรรมขั้นสูงนั้นย่อมเป็นมหาลาภที่หาอะไรเปรียบเทียบไม่ได้อีกแล้วในโลก
ยิ่งคนอื่นไม่รู้ไม่เห็นกับเรา
ความสั่นไหวของใจย่อมมีมากขึ้นเหมือนกับการเก็บความลับที่ดีที่สุดไว้
เพียงคิดว่าจะเปิดเผยความลับอันเป็นข่าวดีที่สุดนั้น ใจของผู้คิดก็ต้องสั่นไหวและตื่นเต้นทุกครั้งไป
ฉะนั้น การคิดถึงมหาลาภที่ตัวเองได้ครองแล้วนั้น
หัวใจย่อมตื่นเต้นหวั่นไหวเป็นธรรมดา
แต่เราสามารถคิดถึงสิ่งนั้นด้วยหัวใจที่เป็นปกติ ไม่มีอาการสั่นไหวแต่อย่างใด
ซึ่งเป็นเรื่องไม่ธรรมดา จึงมั่นใจว่านี่ไม่ใช่เป็นใจของปุถุชนอีกแล้ว เป็นการตรวจสอบให้แก่ตนเองได้ว่าธรรมที่เราเข้าถึงนั้นต้องเป็นของจริงด้วย
มิเช่นนั้น การคิดอย่างนี้จะต้องทำให้คน ๆ หนึ่งบ้าสนิทแน่นอน
แต่ที่ไม่บ้าเพราะได้รับการคุ้มครองจากธรรมตัวจริงหรือพระนิพพานจริงที่เข้าถึงแล้วนั่นเอง
ไม่ใช่พระนิพพานชนิดที่คิดหรือจินตนาการเอาเองอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า
นี่ก็เป็นเรื่องความโดดเดี่ยวอย่างมากมายของผู้บรรลุธรรมขั้นสูงอีกที่ต้องหาทางตรวจสอบตนเองเสมอ
เพราะไม่สามารถวิ่งเข้าหาใครได้อีกแล้ว