บทที่สิบเจ็ด เรื่องพื้น ๆ ของชีวิตประจำวันก็เปลี่ยนไป

 

การนอนก็เปลี่ยนไป

สมัยก่อน เมื่อนอนมากเกินไปแล้วจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจมาก มักรู้สึกตัวขึ้นมาด้วยความตกใจว่าตื่นสายเกินไปบ้าง รู้สึกละอายใจว่านอนมากเกินไปบ้าง มักจะตำหนิตัวเองจนเป็นทุกข์ น่าจะเอาเวลานอนไปทำสมาธิหรือทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์

จำได้ว่า เคยไปหาอาจารย์โกวิทที่สงขลาครั้งหนึ่ง ตอนนั้นอาจารย์ไปสร้างอาศรมชื่อ นวชีวัน อยู่อำเภอหนึ่งที่นั่น พอดีไปทำงานค่ายอพยพญวนอยู่สงขลาพักหนึ่ง จึงมีโอกาสแวะไปเยี่ยมอาจารย์โกวิทและนอนค้างที่อาศรมคืนหนึ่ง จำได้แม่นยำว่า เช้าวันหนึ่งกว่าจะรู้สึกตัวขึ้นมา ตะวันก็สว่างมากแล้ว คิดว่าราวเจ็ดโมงเช้า รู้สึกละอายใจมากจนเป็นทุกข์ อดคิดไม่ได้ว่า อาจารย์โกวิทและญาติโยมที่นั่นคงต้องตำหนิเราอยู่ในใจแน่ ๆ  เพราะคิดว่าการมาอยู่วัดนั้น จำเป็นต้องตื่นประมาณ ตี ๔ หรือ ตี ๕ ขึ้นมาสวดมนต์ทำสมาธิภาวนาอันเป็นประเพณีของชาววัดที่เราถูกอบรมมาตั้งแต่เริ่มเข้าวัด ซึ่งที่จริงเป็นสิ่งที่เราทำได้เสมอเมื่อมีโอกาสไปอยู่วัด

พอมาอยู่อังกฤษ จึงรู้ว่าคนเมืองหนาวจะตื่นสายเป็นธรรมดาโดยเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ เคยเอาเครื่องดูดฝุ่นออกมาตอน ๙ โมงเช้า ถูกสามีดุ หาว่าเราไม่เกรงใจชาวบ้านที่กำลังนอนอยู่ ฉะนั้น การตื่นนอน ๗ โมงเช้าซึ่งเรียกว่าสายสำหรับเรากลับเป็นเรื่องเช้ามากของคนอังกฤษ จึงมีบางช่วงที่อยากนอนตื่นสายอย่างคนอังกฤษ แต่พอทำเข้าจริง ๆ ก็รู้สึกไม่สบายใจ ตะขิดตะขวงใจมาก  ช่วงที่ติดพันกับการเขียนหนังสือนั้น มักตื่นประมาณตี ๕ เสมอ สามารถเขียนหนังสือได้ราว ๖ ชั่วโมงก่อนที่คนอื่นจะตื่นในวัดสุดสัปดาห์

เนื่องจากไม่ต้องออกไปทำงานเต็มเวลา จึงมีการนอนกลางวันบ้าง โดยเฉพาะหลังจากทานอาหารกลางวันเข้าไปแล้ว ร่างกายต้องทำงานหนักเพื่อย่อยอาหาร จะรู้สึกง่วงมาก ถ้าไม่นอนจะหงุดหงิด ทำอะไรไม่ได้ หัวสมองไม่ทำงาน เราจึงต้องนอน พอตื่นขึ้นมาก็รู้สึกสดชื่นขึ้น สามารถทำงานเขียนต่อได้ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตำหนิตัวเองว่านอนมากเกินไป มักรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกตะขิดตะขวงใจเสมอ

หลังจากเกิดญาณแล้ว เริ่มสังเกตเห็นว่าความรู้สึกเหล่านั้นค่อย ๆ หายไป สามารถรู้สึกตัวตื่นโดยไม่มีความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น พอรู้สึกตัวตื่น ใจก็อยู่กับพระนิพพานอย่างเป็นธรรมชาติทันที ใจจึงเป็นปกติ ไม่รู้สึกละอายใจหรือตะขิดตะขวงใจอย่างสมัยก่อนถึงแม้จะตื่นสายหน่อยก็ตาม การนอนกลางวันก็เช่นกัน เคยรู้สึกละอายใจมากกว่าการนอนตื่นสายด้วยซ้ำไป แต่เดี๋ยวนี้สามารถนอนกลางวันได้และตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะหลับและตื่นพร้อมกับพระนิพพาน

 

เข้าถึงอัปนาสมาธิในขณะที่ครอบครัวดูโทรทัศน์

การใช้ชีวิตกับครอบครัวที่มีผู้ชายอีก ๔ คนในบ้านเล็ก ๆ นี้ บางเวลาที่ทุกคนอยู่กันครบนั้นย่อมมีเสียงมากมายเหลือเกิน ไม่มีที่หลบหนี เพราะห้องที่อบอุ่นมีเครื่องทำความร้อนก็มีเพียงห้องนั่งเล่นเท่านั้น ยังไม่มีระบบทำความร้อนส่วนกลาง central heating จะหนีไปข้างบนห้องนอนมันก็หนาว อีกอย่างชีวิตครอบครัวนั้น ถ้าแม่ได้นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นด้วย ถึงแม้ไม่ต้องพูดอะไรมาก ก็เพียงพอที่จะทำให้ครอบครัวอบอุ่น จึงถือเป็นหน้าที่ว่า ควรนั่งดูโทรทัศน์พร้อม ๆ กับสามีและลูก ๆ บ้าง

หลายปีก่อนที่จะเกิดญาณนั้น มักนั่งอยู่บนโซฟากับครอบครัวในห้องนั่งเล่น ในขณะที่คนอื่นคุยกันหรือดูโทรทัศน์ เรามักหลับตาดูลมหายใจเสมอจนเกิดความชำนาญ ใจสามารถรวบเข้าสู่ความสงบได้อย่างง่ายดาย บ่อยครั้งที่เข้าถึงระดับอัปนาสมาธิ คือ ใจนิ่งสนิท ปราศจากคลื่นลมแม้แต่น้อยนิด บางครั้งก็ทำในท่าที่นั่งพิงเก้าอี้โซฟาในท่าที่สบาย ไม่ได้นั่งขัดสมาธิใด ๆ ทั้งสิ้น บางครั้งแม่ก็ยึดเก้าอี้โซฟาทั้งตัว นอนเหยียดยาวและก็เข้าสมาธิถึงขั้นอัปนาไปเลย บางครั้งก็ปล่อยให้ตัวเองหลับต่อ พอรู้สึกตัวก็จะกำหนดใจอยู่ที่ฐานใดฐานหนึ่งทันที

หลังเกิดญาณแล้ว เราก็ยังทำเช่นนี้อยู่ แต่ทุกอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ว่าจะนั่งหรือล้มตัวลงนอนในท่าไหนก็ตาม พอหลับตาปุ๊บ ใจก็อยู่กับความนิ่งของพระนิพพานทันที ไม่ต้องมีการกำหนดอะไรมากมายเหมือนสมัยก่อน

 

จะใช้คำว่า “ผวา” ได้หรือไม่

  ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งที่ปุถุชนคนธรรมดาจะเป็นคือ หากนอนเลยเวลาที่จำเป็นต้องตื่นเพราะต้องไปทำงานหรือต้องเดินทางไกลแล้ว คนเรามักจะผวาตื่นด้วยความตกใจเสมอเมื่อตื่นขึ้นมาดูนาฬิกาเห็นว่านอนเลยเวลาไป หรือบางครั้งไม่ได้นอนเลยเวลา แต่ก็ผวาตื่นอย่างตกใจเพราะคิดว่านอนเลยเวลาที่ต้องตื่น คนเป็นแม่มักต้องแน่ใจว่าตื่นก่อนลูก ๆ จะได้ปลุกให้ลูกตื่นไปโรงเรียนบ้าง ไปทำงานบ้าง

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ได้สังเกตเห็นตัวเองผวาตื่นขึ้นมาดูนาฬิกาเหมือนกัน แต่การผวานั้นไม่ได้ผวาด้วยความรู้สึกที่ตกใจอีกต่อไป ก็ไม่รู้ว่าจะใช้คำว่า “ผวา” ได้หรือเปล่า   คือ นอนอยู่ดี ๆ จู่ ๆ ก็ลืมตาตื่นขึ้นมาดูนาฬิกาอย่างรีบด่วนทันที ซึ่งสมัยก่อน หากเป็นเช่นนี้ หัวใจก็มักสั่นไหวด้วยความตกใจก่อนทุกครั้งไป แต่เดี๋ยวนี้ ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว สามารถผวาขึ้นมาด้วยใจที่เป็นปกติมากจนรู้ว่านี่ไม่เป็นธรรมดา จึงไม่รู้ว่าจะใช้คำว่า “ผวา” ได้หรือไม่ ตรงนี้ที่เราเห็นว่าแปลกมาก

เหตุการณ์นี้ก็เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถตรวจสอบตัวเองได้ดีทีเดียวว่าใจยังเป็นปุถุชนอยู่หรือไม่ ช่วงที่สังเกตเห็นก็คิดเสมอว่าต้องพูดเรื่องนี้ แต่ก็ลืมไปทุกครั้ง เพราะไม่ค่อยได้เก็บความทรงจำ ถ้าไม่เป็นเรื่องสด ๆ ก็มักจะผ่านเลยไป

ที่จำได้และนำมาเขียนเพราะในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ลูกชายคนกลางเริ่มงานใหม่ ต้องไปให้ถึงที่ทำงานเจ็ดโมงครึ่ง จากคนที่เคยนอนยันเที่ยง ต้องมาตื่นหกโมงเช้าเพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปทำงานจึงเป็นเรื่องยากมาก ฉะนั้น แม่จำเป็นต้องตื่นก่อนหกโมงเพื่อให้แน่ใจว่าลูกตื่นทันและเราต้องลงมาเตรียมอาหารเช้าให้ลูกด้วย ก่อนหน้านั้น จะตื่นระหว่างหกโมงครึ่งถึงเจ็ดโมงเช้า ซึ่งไม่เช้าสำหรับมาตรฐานของคนไทย แต่เช้าสำหรับฝรั่งที่ไม่ต้องออกไปทำงาน ฉะนั้น ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ร่างกายต้องปรับตัวที่จะตื่นก่อนหกโมงเช้า การผวาเช่นนั้นจึงเกิดบ่อยโดยเฉพาะในช่วงอาทิตย์แรกที่ลูกเริ่มทำงาน กลัวจะตื่นสายไม่ทันปลุกลูก จึงสังเกตเห็นสภาวะดังกล่าวบ่อยมากว่า ผวาจริง แต่ไม่มีความตกใจแต่อย่างใด ใจเป็นปกติ ไม่หวั่นไหว เป็นเช่นนั้นทุกครั้ง

 

แม่ทุกคนต้องคิดถึงลูกเมื่อลืมตาตื่น

ปรากฏการณ์ที่เนื่องกับการนอนอีกอย่างหนึ่งสำหรับปุถุชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเป็นแม่คือ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเข้านอนก่อนหลับ หรือรู้สึกตัวกลางดึก หรือ ตอนเช้า หัวของแม่ทุกคนจะต้องคิดวนเวียนอยู่ที่อนาคตของลูกเสมอ เป็นห่วงเป็นใย กลัวลูกจะไม่สบายบ้าง เกิดอุบัติเหตุบ้าง กลัวลูกจะเสียคนบ้าง กลัวลูกจะไม่ยอมเรียนหนังสือบ้าง กลัวลูกจะต้องลำบากเมื่อเขาโตขึ้นบ้าง สารพัดจะกลัว ใครมีลูกคนเดียว ก็แบกความกลัวของลูกคนเดียว ใครมีลูก ๕ คนก็ต้องแบกความกลัวของลูก ๕ คน ใครมี ๑๐ ก็ต้องแบกไว้ทั้ง ๑๐ คน พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ลูกเป็นบ่วงผูกคอนี่ถูกต้องที่สุด

เรายังจำได้เสมอถึงวันเหล่านั้น วันที่ความกลัวในอนาคตของลูกยังมีบทบาทต่อชีวิตเราไม่น้อย เป็นความทุกข์ของแม่ทุกคนในโลกไม่ว่าจะรวยหรือจน เมื่อพูดเรื่องลูกแล้ว แม่ทุกคนสามารถหาเรื่องมาคิดกังวลให้ทุกข์ร้อนใจจนนอนไม่หลับได้เสมอ คนเป็นพ่อจะไม่เป็นมากเท่าแม่ สำหรับปุถุชนแล้ว ความคิดเรื่องลูกเหล่านี้มักจะเข้ามาในหัวทันทีที่รู้สึกตัวตื่นในตอนเช้า ถ้าใครยังไม่ลุกจากเตียงทันที ก็จะมัวคิดวุ่นอยู่กับเรื่องราวของลูกเสมอ ยิ่งคิดก็ยิ่งวุ่น เพราะนี่เป็นเรื่องสังขารปรุงแต่ง จึงถูกมายาสร้างภาพพจน์ที่น่ากลัวต่าง ๆ ในหัวจนวุ่นวายไปหมด ลืมนึกไปว่า นั่นเป็นอนาคตที่ยังมาไม่ถึงทั้งสิ้น ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง ๆ แต่คิดเป็นตุเป็นตะว่ามันจะเกิดจริงจนร้องห่มร้องไห้ไปก็มี เราก็เคยนอนร้องไห้ กลัวจะไม่มีปัญญาส่งลูกเข้าเรียนมหาวิทยาลัย สงสารลูก แล้วก็พาลคิดเรื่อยเปื่อยว่าจะต้องรีบออกไปทำงานหาเงินมาจุนเจือครอบครัว

 

ลูกจะไม่พบความสุขที่แท้จริงหากไม่เข้าหาธรรม

ปรากฏการณ์เหล่านี้ก็ได้ค่อย ๆ จางหายไปในช่วงสองปีที่ผ่านมาเช่นกัน ที่จริง เรื่องการคิดถึงอนาคตของลูกก็ยังเกิดอยู่ คนเป็นแม่ ถ้าไม่คิดเรื่องของลูกแล้วก็ไม่รู้จะไปคิดเรื่องอะไรอีก แต่ด้วยความที่เข้าใจชีวิตอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงรู้ว่า โลกนี้รังแต่จะมีความยุ่งเหยิงมากขึ้น การหาเลี้ยงชีวิตให้อยู่รอดเป็นเรื่องปากกัดตีนถีบทั้งสิ้น ไม่มีอะไรง่าย ไม่ว่าลูกจะไปทำอาชีพอะไรก็แล้วแต่ จะมีเงินหรือไม่มีเงิน จะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน จะมีลูกหรือไม่มีลูก เขาจะหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้แน่นอน จะอยู่อย่างสุก ๆ ดิบ ๆ มืด ๆ เหมือนปุถุชนทั่วไป ทางเดียวที่ลูกจะหาความสุขได้อย่างแท้จริง คือ ต้องพยายามให้ลูกเข้าหาธรรมะ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มาก เพราะนี่เป็นเมืองอังกฤษ เด็กเกิดที่นี่ ย่อมตกเป็นเหยื่อของอิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตกอยู่วันยังค่ำไม่มากก็น้อย

 

คิดถึงอนาคตของลูกได้โดยไม่กลัวอีกแล้ว

ตอนลูกยังเล็กอยู่ ทุกคืนก่อนนอนจะมีการเล่านิทานให้ลูกฟัง เราก็เล่าเรื่องประวัติพระพุทธเจ้าและนิทานธรรมะเรื่องอื่น ๆ มากมาย และต้องสรุปเรื่องโครงสร้างชีวิตให้ลูกฟังทุกคืนว่า ทุกอย่างที่ดี ๆ ทำให้มากเข้าไว้ อะไรที่ไม่ดีก็อย่าทำเด็ดขาด และเมื่อคิดอะไรไม่ดีในหัวแล้ว ต้องพยายามทำให้ความคิดไม่ดีนั้นหายไปเหมือนที่แม่ทำอยู่โดยพูด “อย่าลูก” จนลูกจำขึ้นใจ พอแม่จะเปิดปากพูด ลูกก็พูดเสียเองได้ เราสามารถพาลูกไปวัดได้ เคยทิ้งให้อยู่เป็นเด็กวัด และเขาก็อยากไป ทั้ง ๆ ที่ได้อบรมลูกเช่นนั้นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ก็ไม่ได้รับประกันว่าเมื่อลูกโตขึ้น เขาจะทำตามสิ่งที่เราสอนทุกอย่าง ลูกคนโตติดการสูบบุหรี่ตั้งแต่เมื่อใด เราก็ไม่รู้ ตอนนี้อายุ ๒๒ พยายามเลิกอยู่หลายครั้งก็ยังทำไม่สำเร็จสักที ลูกคนกลางอายุยังไม่ถึง ๒๐ ติดหนี้สินธนาคารเป็นหลายหมื่น ไปสร้างหนี้สินตั้งแต่เมื่อไร พ่อแม่ก็ไม่รู้ เรื่องนี้เป็นความโง่ของทั้งสองฝ่าย ลูกเราโง่ก็ยังพูดได้ว่าเพราะเป็นเด็กอยู่ ยังอยู่ในโลกแห่งความฝัน เมื่อธนาคารเอาเงินมาล่อ ก็รีบคว้าเหมือนเด็กได้กินขนมหวานโดยไม่ตระหนักถึงผลเสียของมัน แต่เรื่องนี้พ่อค้าโง่กว่าที่ยอมปล่อยเงินกู้ให้เด็กอายุ ๑๘ ที่ยังไม่ได้ทำงานเป็นหลักแหล่ง เศษฐกิจฟองสบู่เกิดเพราะพ่อค้าโง่ ๆ พวกนี้ที่เอาเงินมาโปรยให้คนใช้อย่างง่ายดายในสังคมปัจจุบัน เป็นปัญหาสังคมที่แก้ยากเพราะสอดคล้องกับกิเลสคน เหลือแต่ลูกคนเล็กที่ยังรับฟังแม่อยู่ ฉะนั้น ทุกครั้งที่คิดถึงอนาคตของลูก รู้ว่าอย่างไรลูกก็ต้องเป็นทุกข์อยู่วันยังค่ำตราบใดที่เขายังไม่เข้าหาธรรมะ เดี๋ยวนี้ สามารถคิดถึงอนาคตของลูกได้โดยไม่มีความกลัวอีกต่อไป แม้รู้ว่าพวกเขากำลังแบกทุกข์แบกปัญหาอยู่ก็ตาม ทุกคนต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดและความทุกข์ของตนเอง หากฉลาดหน่อย อ่านหนังสือแม่บ้าง ตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบจากแม่บ้าง ก็จะได้คำตอบเร็วขึ้น แก้ปัญหาของตนเองได้เร็วหน่อย

 

คนใกล้ชิดที่สุดมักเป็นคนสุดท้ายที่รู้ความจริง

เรารู้ว่า ลูกต้องกลับมาพึ่งเราในทางธรรมในอนาคต ได้แต่บอกกับลูกว่า หากวันไหนที่ลูกวิ่งหาความสุขจนสุดสายป่านของมันแล้ว และยังหาความสุขไม่พบละก็ ขอให้กลับมาหาแม่ และแม่จะบอกทางให้พบกับความสุขที่แท้จริง แต่อย่าทิ้งไว้นานจนสายเกินไปนะลูก เรามักเตือน เพราะถ้าแม่ตายก่อนละก็ ลูกจะเสียใจมากกว่าคนอื่น ๆ ที่เมื่อมีโอกาสอยู่ใกล้แม่แล้ว ลูกไม่ถามอะไรแม่เลย ได้แต่บอกลูกเช่นนี้ แต่ตอนนี้ลูกก็ไม่เข้าใจทั้ง ๆ ที่เป็นหนุ่มแน่นแล้ว เห็นเราเป็นแม่เหมือนแม่ทั่วไปอยู่วันยังค่ำที่ชอบหาเรื่องมาบ่นลูกเสมอ

นี่ละนะ คนใกล้ชิดที่สุดมักเป็นคนสุดท้ายที่รู้ความจริง เห็นแล้วก็สงสาร ลูกศิษย์เราอายุเท่าลูกเรานี่โชคดีกว่ามาก เขาเริ่มเดินทางไปนิพพานกันแล้ว เรื่องบารมีนี่ ไม่เข้าใครออกใคร ของใครก็ของเขาจริง ๆ แบ่งให้กันไม่ได้ ต้องสร้างสมกันเอง 

ฉะนั้น ทุกครั้งที่ล้มตัวลงนอน นักปฏิบัติควรต้องกำหนดลมหายใจทันที เพราะนั่นเป็นเวลาที่สังขารหรือตัวความคิดสามารถทำงานได้ดีที่สุด มันจะปรุงจะแต่งสร้างภาพมายาสารพัดอย่างอยู่ในหัว นักปฏิบัติจะต้องทำใจให้กล้าและดีดความคิดเหล่านั้นออก กำหนดลมหายใจให้มั่น จนกระทั่งหลับไป เมื่อเวลารู้สึกตัวตื่นก็ต้องเอาใจกำหนดที่ฐานของลมหายใจทันทีเช่นกัน มิเช่นนั้น ใจจะฟุ้งอีก 

 

ต้องระวังลัทธิขี้โกง “หิวก็กิน ง่วงก็นอน”

การนอนเป็นเรื่องอร่อยไม่แพ้การกินอาหาร เป็นการเพาะนิสัยแห่งความขี้เกียจได้ดีมากทีเดียว การกิน แม้จะกินมากเท่าใด ก็กินได้แค่อิ่มท้องเท่านั้น ถ้ายังตะกละอยากกินมากกว่านั้นก็จะเป็นการลงโทษร่างกายตัวเอง ทำให้เป็นทุกข์เพราะอึดอัด การนอนไม่มีเครื่องเบรคเหมือนการกินอาหาร ยิ่งนอนก็ยิ่งขี้เกียจ อยากนอนอยู่เรื่อย 

ลัทธิเซ็นมักสอนเรื่องการอยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติโดยพูดว่าการปฏิบัติธรรมก็คือ “เมื่อหิวก็กิน เมื่อง่วงก็นอน” นี่เป็นเรื่องจะทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่ายมาก คนที่เริ่มสนใจศาสนาพุทธและยังไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมนั้น ถ้ามาทำอย่างนี้ก็ไปไม่ถึงไหน จอดอยู่ตรงนั้นเอง เพราะปุถุชนทั่วไปก็ทำกันอยู่แล้ว หิวก็กิน ง่วงก็นอน ไม่มีการสู้รบปรบมือกับกิเลสแต่อย่างใด ปล่อยให้กิเลสลากไปเต็มที่

ที่จริง การพูดแบบลัทธิเซ็นเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ออกมาจากผู้บรรลุธรรมขั้นสูงแล้ว จึงทำได้  คือผู้ที่ไม่ต้องสู้รบกับกิเลสแล้ว เพราะกิเลสได้พ่ายแพ้ไปแล้ว เขาจึงสามารถกินนอนได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด เพราะหน้าที่ต่อตนเองหมดแล้ว แต่ผู้ที่ยังไม่หมดกิเลสนั้น จะมาทำเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด ต้องบังคับใจตัวเองให้ดี ต้องหัดนิสัยขยัน ตื่นเช้า ไม่เกียจคร้านในการงาน หรือ สิ่งต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะไว้ในมงคลสูตร

 

เมื่อจิตสำนึกบอกว่า กินอย่างอร่อยไม่ได้

      เราต้องยอมรับว่าเรื่องอาหารเป็นจุดอ่อนของเรามาตลอดตั้งแต่เริ่มปฏิบัติธรรม ก่อนหน้านั้น ไม่มีปัญหาเรื่องการกิน ก็เหมือนคนไทยทั่วไปที่ชอบสรรหาอาหารอร่อย เนื่องจากยังไม่ได้อยู่ในวัยที่ทำงานหาเงินได้เอง อาหารอร่อยของเราก็คือข้าวราดแกงและชามก๋วยเตี๋ยวของร้านที่โปรดปราน ก็เท่านั้นเอง เมื่อรู้จักเข้าวัดและถูกสอนให้ระวังเรื่องลิ้นแล้ว การกินเริ่มไม่เป็นสุขตั้งแต่นั้นมาเพราะต้องเริ่มต่อสู้กับกิเลส ใจก็อยากจะกินตามความเคยชินคือกินอย่างอร่อย แต่จิตสำนึกบอกว่ากินอย่างอร่อยไม่ได้ ความขัดแย้งเกิดขึ้นเสมอ ถ้าอยู่คนเดียวหรืออยู่ในหมู่กลุ่มที่มีกิเลสใกล้เคียงกันแล้ว ก็ไม่ค่อยเป็นปัญหามากนัก ไม่มีการเปรียบเทียบ ปัญหาเกิดเมื่อเข้าไปอยู่ในกลุ่มที่เขาทำได้ดีกว่า เช่น เห็นเพื่อนที่ไปสันติอโศกสามารถสมาทานอาหารมังสะวิรัติตลอดชีวิต และทานเพียงสองมื้อ การเปรียบเทียบจึงเกิดขึ้นทันทีจนทำให้จิตใจสับสัน ว้าวุ่น อยากจะทำให้ได้อย่างเพื่อนบ้าง พอทำไปสักพักหนึ่ง ก็ประสบความล้มเหลว ทำให้ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้น ตำหนิตัวเองเสมอ

      การเป็นแม่คนและใช้ชีวิตครอบครัวนั้น มันก็วนเวียนอยู่กับการทำอาหารที่เอร็ดอร่อยให้สามีและลูก ๆ กินเสมอ เพราะนี่คือวิถีชีวิตของคนทั่วไป ตอนที่ลูกยังเล็ก พอบังคับได้  พยายามให้ลูกบังคับใจตัวเองโดยให้เขานับหนึ่งถึงสิบก่อนที่จะตักอาหารเข้าปากแทนที่จะรีบกินอย่างตะกละตะกราม แต่ก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง โตขึ้นบังคับไม่ได้ เรื่องการกินอาหารมังสะวิรัตินั้น สามีและลูกทำไม่ได้อยู่แล้ว เพราะใจของเขาไม่พร้อม ส่วนของเรานั้นก็ทำอย่างขยักขย่อนมาก ทำ ๆ หยุด ๆ มาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาแล้ว ทำได้ดีที่สุดก็คือละเนื้อสัตว์และทานแต่ปลาเท่านั้น ซึ่งได้ทำเช่นนั้นอยู่ ๔ ปี เพิ่งมาเริ่มทานไก่อีกก็ราวปีเศษมานี้ เพราะขาดธาตุอาหารจนทำให้เลือดจางมาก 

 

นิสัยเรื่องการกินระหว่างคนไทยกับคนอังกฤษ   

ที่จริงแล้ว ในช่วงประมาณ ๕ - ๖ ปีที่ผ่านมา ความรู้สึกตะขิดตะขวงใจในเรื่องกินหรือไม่กินอาหารเนื้อสัตว์น้อยลงมากเมื่อเปรียบเทียบกับสมัยก่อน การผ่อนคลายเริ่มเกิดเมื่อมาตระหนักชัดว่า แม้การกินอาหารมังสะวิรัตินั้น คนกินก็สามารถกินอย่างเอร็ดอร่อยได้ไม่แพ้คนกินเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะอาหารมังสะวิรัติในเมืองไทยนั้น เขาสามารถทำให้มีรสชาดอร่อยกว่าอาหารเนื้อสัตว์ด้วยซ้ำไป แม่ทานเจมาตั้งแต่เรายังเล็ก ๆ จึงรู้ดีว่า แม้คนทานเจก็ยังสรรหาอาหารอร่อยอยู่เช่นกัน แต่ก็ยังยกย่องและอนุโมทนากับคนที่ทานอาหารมังสะวิรัติได้ เรื่องนี้ได้พูดไว้แล้วในคู่มือชีวิตภาคศีลธรรม

เราสังเกตเห็นด้วยว่า นิสัยการกินอาหารของคนอังกฤษกับคนไทยนั้นต่างกันมาก คนไทยเรานั้นกินอะไรต้องกินให้อร่อย และจะสรรหาอาหารอร่อยอยู่เสมอ ส่วนคนอังกฤษจะกินอาหารแบบง่าย ๆ สำหรับคนไทยแล้ว อาหารอังกฤษเป็นสิ่งจำเจที่น่าเบื่อมาก เมื่อเปรียบเทียบรสชาดแล้ว คนไทยเราต้องบอกว่าสู้อาหารไทยไม่ได้ ฉะนั้น จึงสังเกตเห็นว่า คนอังกฤษส่วนมาก กินเพราะหิวมากกว่ากินเพราะความอร่อยแม้จะกินเนื้อสัตว์ก็ตาม จึงสรุปได้ว่า ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่การบังคับใจไม่ให้เพลิดเพลินไปกับความอร่อยของอาหารมากกว่า

 

เฝ้าดูต่อมน้ำลาย

ฉะนั้น ราว ๖ ปีก่อน ได้คิดวิธีการปฏิบัติของเราเอง แทนที่จะพิจารณาอาหารให้เป็นธาตุอย่างที่เคยทำบ้าง เรากำหนดไปที่ต่อมน้ำลายแทน เพราะเห็นเสมอว่า ทุกครั้งที่ตาเห็นอาหารอร่อยอยู่เบื้องหน้า ต่อมน้ำลายจะเริ่มทำงานทันที ทำให้รีบอยากกินอาหารนั้นอย่างอร่อย พอเริ่มกำหนดเช่นนั้น การต่อสู้เริ่มเกิด ทุกครั้งที่เห็นต่อมน้ำลายทำงาน เราจะนั่งจ้องอาหารนั้นก่อน ยังไม่กิน จนกว่าต่อมน้ำลายจะหยุดทำงาน จึงจะเริ่มตักอาหารเข้าปาก เคี้ยวอาหารอย่างช้า ๆ ถ้าอยู่คนเดียว และมีเวลาทำได้ เมื่อทานอาหารร่วมกับคนอื่น ก็ทำทุกอย่างเป็นปกติ แต่ก็ยังกำหนดไปที่ต่อมน้ำลายอยู่ ทำเช่นนั้นอยู่หลายปี จนค่อย ๆ ชำนาญขึ้น แม้จะมีอาหารอร่อยวางอยู่เบื้องหน้า ก็สามารถมองมันได้โดยที่ต่อมน้ำลายทำงานน้อยมาก พอกำหนดเท่านั้น ต่อมน้ำลายก็จะหยุดทำงานทันที

 

การทานอาหารถูกปากเป็นเรื่องธรรมชาติมาก

ก็ค่อยเป็นค่อยไปอยู่เช่นนี้จนกระทั่งหลังเกิดญาณแล้ว โดยเฉพาะในช่วงสองปีที่ผ่านมา สังเกตเห็นว่า นอกจากต่อมน้ำลายไม่ทำงานเมื่อเห็นอาหารอร่อยวางเบื้องหน้าแล้ว ครั้งใดที่ทานอาหารอันมีรสชาดไม่ถูกปาก ไม่ปรากฏว่าเกิดความไม่พอใจหรือหงุดหงิดอย่างที่เคยเป็น กลับเห็นตนเองเคี้ยวและสำรวจรสชาดอาหารที่แม้ไม่ถูกปากอย่างสงบ ใจไม่ดิ้นรนอะไรแม้แต่น้อย ถ้าเครื่องปรุงอยู่ใกล้มือ สามารถหยิบมาเติมได้โดยไม่ยุ่งยาก ก็จะทำ และปรุงอาหารนั้นให้ถูกปาก แต่ถ้าไม่อยากยุ่ง ก็จะทานไปทั้งอย่างนั้นด้วยใจที่เป็นปกติ ไม่กระวนกระวายเหมือนที่เคยเป็นในอดีต

เวลาทำกับข้าวให้ครอบครัว ก็ยังคงปรุงอาหารที่มีรสชาดอร่อยถูกปากสามีและลูก ๆ อยู่เหมือนเดิม ใครที่หิวกินแล้วก็อร่อย ใครที่ไม่หิว กินแล้วก็บอกว่าเฉย ๆ แม้จะชอบอาหารจานโปรดนั้นอย่างไร ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันอร่อยเท่ากับตอนหิว  ที่จริงแล้ว การที่อยากทานอาหารอันมีรสชาดถูกปากคนทานนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติมาก เป็นเรื่องปกติของร่างกาย ปัญหาอยู่ที่คนมีกิเลสทำอะไรเกินเลยจนเป็นเรื่องมาก

ฉะนั้น คนที่บรรลุธรรมแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่า เอาหญ้า เอาของดิบ ๆ ไปให้ท่านรับประทานก็ได้ เพราะท่านไม่ติดในรสชาดของอาหารแล้ว มันก็ไม่ใช่เช่นนั้น คนที่ไม่ติดในรสอาหารแล้ว ก็ยังอยากทานอาหารที่ตนเองเคยชินและถูกปากเหมือนเดิม ซึ่งก็สามารถทำได้อย่างไม่ยุ่งยาก เหมือนคนไม่สบายก็อยากทานข้าวต้ม ทานของอ่อน ๆ และของจืด ๆ ถ้าร่างกายหายดีแล้วก็อยากทานอาหารที่มีรสจัดที่ถูกปากตนเอง คนไทยไปอยู่ต่างประเทศ แม้จะสามารถปรับตัวได้ดีต่อเรื่องอื่น ๆ อย่างไร สิ่งหนึ่งที่ปรับได้ยากคือ เรื่องลิ้น ยังคงต้องสรรหา น้ำปลา พริก กะปิ และของไทย ๆ อยู่เสมอ แม้แต่พระที่มาอยู่ต่างแดน ท่านก็ยังอยากทานอาหารไทยที่ถูกปาก นี่เป็นเรื่องธรรมดามาก แต่เมื่อทานอาหารถูกปากและติดในรสชาดอาหารในขณะที่รับประทานอยู่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาจะต้องจัดการกับเรื่องใจของตัวเอง 

 

ปฏิกิริยาต่อความตายได้เปลี่ยนไป

      ตอนเล็ก ๆ ก็เหมือนคนทั่วไป เห็นเรื่องความตายเป็นเรื่องน่ากลัวมาก ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากคิดว่าคนที่เรารักมากเช่นพ่อแม่พี่น้องจะต้องตายไปสักวัน กลัวมากเมื่อคิดว่าพ่อแม่ต้องตายและจากเราไปวันหนึ่ง เมื่อดูโทรทัศน์หรืออ่านเรื่องราวอันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ใจก็จะหวั่นไหวด้วยความกลัว และเอาใจช่วยผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ขออย่าให้เขาตายเลย

พอเริ่มเข้าวัดปฏิบัติธรรมในช่วงแรก ๆ นั้น จำไม่ได้แน่ชัดว่าปฏิกิริยาต่อความตายได้เปลี่ยนไปอย่างไร จำได้แม่นยำมากก็เพียงเหตุการณ์เดียวคือ เมื่อตอนที่เดินทางออกจากพะเยาหลังจากที่ไปบวชชีพราหมณ์อยู่สามเดือน ช่วงนั้นยังคงดื่มด่ำอยู่กับความสงบ เมื่อออกจากพะเยาก็มาแวะพักที่วัดผาลาด อยู่ทางขึ้นดอยสุเทพ ที่เชียงใหม่อยู่สองสามคืน คงจะเป็นการเดินทางจากเชียงใหม่เข้ากรุงเทพ นั่งรถทัวร์ คืนนั้นเองในท่ามกลางความมืดมิดและบรรยากาศที่เงียบสงัดบนรถทัวร์เนื่องจากคนส่วนมากนอนหลับกันหมด เหลือแต่เสียงเครื่องยนต์ เรานั่งติดหน้าต่างและมองไปยังดวงดาวบนท้องฟ้า เห็นใจตนเองเปี่ยมไปด้วยปีติ ในชั่วขณะหนึ่งนั้นเองที่ใจของเราปล่อยวางมากถึงขนาดกล้าคิดถึงความตายของตัวเองเหมือนการถูกล๊อตเตอรี่ ไม่มีความกลัวเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อยนิด มีความรู้สึกว่า สามารถเข้าใจว่าทำไมพระอรหันต์จึงรอความตายเหมือนการรอถูกล๊อตเตอรรี่ เห็นตัวเองยิ้มอย่างเป็นสุขในความมืด เพราะเมื่อสามารถคิดถึงความตายได้โดยไม่หวาดกลัวเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่เห็นว่ามีอะไรที่น่ากลัวอีกต่อไป

 

ไม่อยากตายเพราะสงสารลูกเล็กและสามี

 จำไม่ได้ว่าความไม่กลัวตายอยู่กับเรานานมากเท่าไร รู้แต่ว่ามันค่อย ๆ จางหายไปในที่สุด ที่รู้แน่ชัดคือ เมื่อแต่งงานมีลูกเล็ก ๆ ถึงสามคนแล้ว กลับมีความรู้สึกว่ายังไม่อยากตายเร็ว เพราะสงสารลูกที่ยังเล็กอยู่ คิดว่าถ้าเราตายไปสักคน ลูก ๆ และสามีต้องลำบากมาก ใครจะสามารถเลี้ยงดูลูกเราได้ดีเท่าเรานั้นคงหาไม่ได้อีกแล้วในโลก นอกจากนั้น ยังไม่อยากให้สามีและลูก ๆ ถึงแก่ความตายเช่นกัน โดยเฉพาะตอนที่ตั้งครรภ์อยู่นั้น ผู้หญิงทุกคนย่อมเป็นห่วงกังวล ไม่อยากให้มีอันตรายใด ๆ เกิดกับสามีตนเอง เพราะกลัวลำบากเมื่อคลอดลูกเล็กแล้วไม่มีสามีดูแล เราก็ไม่ต่างอะไรจากผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่อยู่ในฐานะเดียวกัน   เพราะมีความทรงจำว่า เมื่อตอนที่อยู่ในตรอกตันแถวถนนเจริญกรุงนั้น ลูกสะใภ้ของเพื่อนบ้านไปคลอดลูกคนแรกที่โรงพยาบาล สามีขี่รถจักรยานยนต์ไปเยี่ยมภรรยากับลูกน้อย ขากลับเกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิต เราเองตอนนั้นก็ยังเป็นเด็กหญิงอายุไม่เกินแปดขวบ แต่ก็สามารถเข้าใจความเจ็บปวดและความทุกข์อย่างแสนสาหัสของสะไภ้สาวคนนั้นได้ดี หวนคิดเสมอว่า เธอจะอยู่ได้อย่างไรโดยปราศจากสามี นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ประทับอยู่ในใจเรานานมาก เมื่อตัวเองตั้งครรภ์ จึงเกิดความกลัวอยู่ในใจลึก ๆ เสมอ ภาวนาขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับสามีเลย สรุปว่าความรู้สึกกลัวตายก็กลับมาอยู่กับเราอีก เวลาดูหนังหรือดูข่าวในโทรทัศน์หรือใครพูดถึงเหตุการณ์ที่คอขาดบาดตายแล้ว ใจก็จะหวั่นไหวด้วยความกลัวและภาวนาให้ผู้อยู่ในเหตุการณ์มีความปลอดภัย รอดพ้นจากความตาย  

        

เหมือนเป็นคนเลือดเย็น ไร้เมตตา

ความรู้สึกเหล่านี้ค่อย ๆ เปลี่ยนไปหลังจากเกิดญาณแล้ว โดยเฉพาะในช่วงสองปีให้หลังมานี้ เริ่มสังเกตเห็นว่าความกลัวตายได้ค่อย ๆ หายไปจนบัดนี้จะเรียกว่าหายไปอย่างสิ้นเชิงก็ได้ ที่จริงก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราให้ความสนใจมากนัก มาเริ่มสังเกตเห็นก็จากการดูข่าวหรือหนังในโทรทัศน์อีกเช่นกัน ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์คอขาดบาดตาย ใจเคยหวั่นไหวด้วยความตกใจ กลัวแทนผู้อยู่ในเหตุการณ์และคนใกล้ชิด รู้ว่า นั่นเป็นเรื่องใหญ่มาก ต้องรีบช่วยเหลือหรือแก้ไขสถานการณ์นั้นทันที หรือเมื่อเห็นคนที่สูญเสียคนที่เขารักและร้องไห้จนใจแทบขาดนั้น ส่วนมากใจเราก็จะเคลื่อนด้วยความสงสารและน้ำตาไหล แต่เดี๋ยวนี้สามารถนั่งดูเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยความรู้สึกเฉยมากจนน่ากลัวเหมือนไม่มีความรู้สึกอะไรเหลืออยู่แล้ว ไม่ได้เห็นเรื่องคอขาดบาดตายนั้นเป็นสิ่งสำคัญหรือรีบด่วนมากอย่างที่เคยเป็น เห็นคนที่ร้องไห้เพราะสูญเสียคนรักแล้วก็รู้สึกเฉยไปหมด ทั้ง ๆ ที่เป็นคนร้องไห้อย่างเจ็บปวดมากที่สุดเมื่อไปงานศพแม่ ๗ เดือนก่อนเกิดญาณ  ถ้าไปเปิดเผยความรู้สึกจริงให้คนรู้ เขาต้องสรุปว่าเราเป็นคนเลือดเย็น ไร้เมตตาแน่ ๆ ก็ไม่เคยพูดอะไรให้คนใกล้ชิดรู้ เราเท่านั้นรู้ว่านั่นเป็นความรู้สึกที่ผิดธรรมดาแล้ว 

 

ไม่กลัวตายเพราะเข้าใจการทำงานของสังสารวัฏ

เหตุผลใหญ่ที่ทำให้ไม่รู้สึกตกใจและหวั่นไหวต่อความตายไม่ว่าของคนอื่นหรือคนใกล้ชิด เพราะเข้าใจแล้วว่าสังสารวัฏทำงานอย่างไร รู้แล้วว่าความตายทางร่างกายไม่ใช่เป็นเรื่องตายจริงเลย หาคนตายจริง ๆ นั้นยากมาก มีแต่ตายหลอก ๆ ทั้งนั้น ตราบใดที่ยังไม่หมดกรรม แต่ละคนก็ตายจากภพชาตินี้แล้วก็ไปเกิดที่อื่นทันที เดินทางหมุนเวียนอยู่บนถนนวงแหวนของสังสารวัฏเช่นนี้อย่างไม่จบไม่สิ้น จนเห็นเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายมาก

เดี๋ยวนี้ ยิ่งเห็นปัญหาวุ่นวายของโลก เห็นคนตายในสงครามบ้าง ตายเพราะอุบัติเหตุบ้าง ตายเพราะภัยธรรมชาติบ้าง ตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บบ้าง ตายเพราะถูกฆ่าบ้าง เห็นคนใกล้ชิดที่มีอายุมากค่อย ๆ ตายจากไปทีละคนสองคน ก็ยิ่งเบื่อหน่ายต่อชีวิตที่ต้องเกิดต้องตายอย่างซ้ำซากจำเจเช่นนี้ สามารถเห็นได้ชัดว่า คนที่ตาย ๆ กันให้เห็นทุกวันนี้ไม่ได้ตายเป็นครั้งแรกที่ไหนกัน เขาตายมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เกิดมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เกิด ๆ ตาย ๆ อยู่ตรงนี้แหละ ไม่มีอะไรใหม่เลย

 

พูดได้อย่างเดียวว่า น่าสงสาร!!!

ช่วงปีที่ผ่านมานี้ ความเบื่อหน่ายต่อการเกิดและตายมีความรุนแรงมากขึ้น จึงเริ่มไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราจึงกลัวความตายจนตัวสั่นเช่นนี้ และทำไมจึงเห็นเรื่องคอขาดบาดตายเป็นเรื่องสำคัญนักหนา บางครั้ง ฟังหรืออ่านเรื่องราวที่คนเล่าเหตุการณ์ที่ตัวเองหนีพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิด ฟังเขาเล่าด้วยความตื่นเต้น ดีใจอย่างเหลือล้นและภูมิใจในความโชคดีอย่างมหันต์ของเขาแล้ว เรากลับรู้สึกเฉยมาก และอดสงสารคนพูดไม่ได้ว่า

“โถ…หลงคิดว่าหนีพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิดราวกับไม่ต้องตายอีกแล้ว เหมือนกับไม่เคยตายมาก่อน ทำไมโง่อย่างนี้ ก็ตายมาไม่รู้จักกี่หนแล้ว ยังไม่รู้หรือ หนีตายแค่นี้ไม่มีความหมายอะไรเลย”

หรือบางครั้งอ่านเรื่องราวที่ทั้งหมอและคนไข้พยายามหาทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บเพื่อจะได้ต่ออายุออกไปอีกสัก ๓ เดือนบ้าง ๖ เดือนบ้าง ๑ ปี ๓ ปี ๕ ปี หรือ ๑๐ ปีบ้าง บางคนต่ออายุแล้วก็มีชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพของมนุษย์ บางคนพยายามต่อแล้ว แต่ก็ไม่มีคุณภาพของชีวิตดังที่ควรเป็น เป็นการต่อลมหายใจเท่านั้น ต้องทนทรมานต่อความเจ็บปวดทางร่างกาย ฟังเรื่องราวเหล่านี้ด้วยความสงสารในความโง่เขลาเบาปัญญาและมืดบอดของพวกเขา เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับอายุของสังสารวัฏที่เขาได้ท่องเที่ยวมาอย่างไม่หยุดหย่อนแล้ว แม้จะต่ออายุออกไปได้อีกถึงร้อยปีพันปีแม้หมื่นปี มันจะไปมีความหมายอะไร พูดได้อย่างเดียวว่า น่าสงสาร!!! 

ตอนนี้ มีความรู้สึกกลัวไม่ตายจริงมากกว่า เมื่อคิดถึงความตายทางร่างกายของตัวเอง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในรถทัวร์เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนก็ได้กลับมาอยู่กับเราอีก สามารถเห็นความตายของตนเองเป็นเรื่องถูกรางวัล จะได้หมดเรื่องหมดราวกันเสียที

 

ตายง่าย ๆ อย่าทำให้คนอื่นลำบาก

       เมื่อเห็นคนสร้างปัญหาที่หนักอกหนักใจให้พ่อแม่พี่น้อง เช่น ไปติดเหล้า ติดยาเสพติด ในสังคมตะวันตก มีหญิงสาวมากมายที่อดอาหารเพื่อต้องการให้ผอม เป็นโรคจิตอย่างหนึ่ง ในที่สุดอดอาหารจนตาย ก่อนตายก็ทำให้พ่อแม่ทรมานมาก คนที่ไปสร้างปัญหาเหล่านี้ให้ตัวเอง แม้พ่อแม่พูดเตือนแล้วก็ไม่ฟัง เถียงข้าง ๆ คู ๆ ยังคงดื้อทำตามใจตัวเอง ไม่ยอมแก้ไขตัวเองตามลักษณะของคนที่เปียกชุ่มด้วยกิเลส ถอนตัวไม่ขึ้น

ในกรณีเช่นนี้ เรากล้าคิดแม้กระทั่งว่า เอาเถอะ ถ้าเขาอยากอยู่ อยากใช้ชีวิตชั่ว ๆ อย่างนั้นก็ช่างเขา ถ้าจะตายก็ขอให้ตายง่าย ๆ ตายเร็ว ๆ อย่าลำบากลำบนคนอื่นก็แล้วกัน อย่าต้องทำให้พ่อแม่พี่น้องลำบากมานั่งดูแลเขา ชาตินี้ชาติเดียว ขี้ประติ๋วมาก เกิดตายมาแล้วไม่รู้จักกี่หน เขาอยากโง่ก็ให้เขาโง่ต่อไป  ถ้าพูดออกมาจริง ๆ คนต้องคิดว่าเราชั่งใจดำเหลือเกิน ไม่มีความเมตตาเอาเสียเลย นี่ไม่ใช่เป็นการคิดอย่างไร้เมตตา แต่เพราะรู้ว่าเมื่อคนเราถูกกิเลสขี่คอเช่นนั้นแล้ว หลุดยากมาก

ก็มาเห็นธรรมที่เราเห็นก่อนสิว่ามันละเอียดละลออสักแค่ไหน มารู้เสียก่อนสิว่าเราต้องต่อสู้ห้ำหั่นกับกิเลสหนักหนาเพียงใดจึงมาเห็นธรรมที่เห็นได้ยากยิ่งนี้ได้ การสู้รบกับกิเลสนั้นมันง่ายนักหรือ คนที่อยากทำ ยังทำยากจนเลือดตาแทบกระเด็น จะเอาอะไรกับคนที่ไม่อยากทำและถูกกิเลสขี่คอจนโงหัวไม่ขึ้นปานนั้น แม้เพียงให้เขารู้จักแยกดีออกจากชั่วยังลำบากเลย คนอย่างนี้บางครั้งก็ต้องปล่อยให้ใช้ชีวิตวิ่งไปจนสุดสายป่าน ถ้าอยากกลับตัวจริง ๆ แล้วค่อยมาว่ากันใหม่ ไม่เช่นนั้นเสียเวลาที่จะไปช่วยเหลือคนเหล่านั้น นี่เป็นยุคค่อนกึ่งพุทธกาลมาแล้ว ใจของคนจะมีแต่หยาบมากขึ้นเป็นธรรมดา บางครั้ง ลูกเราเองทำตัวเช่นนั้น เราก็ยังกล้าคิดอย่างนี้เหมือนกัน เอาเป็นว่า ท่าทีต่อความตายของเราเปลี่ยนไปมาก

 

การฝึกสติในชีวิตประจำวัน

      ตอนที่เริ่มปฏิบัติธรรมและเรียนรู้การฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบันขณะนั้น ช่วงเวลาที่หลงลืมขาดสติย่อมมีมากกว่าเวลาที่มีสติ กำหนดการเคลื่อนไหวอยู่ดี ๆ ใจก็เผลอคิดออกไป ตอนแรก ๆ ก็นานทีเดียวกว่าจะกลับมามีสติได้อีก

(ที่จริงใครจับจุดเรื่องการปฏิบัติให้มีสติอยู่กับปัจจุบันขณะได้เช่นนั้น แม้จะหลงลืมไปนานกว่าจะกลับมาได้อีก ก็ต้องเรียกว่าดีมากแล้วเพราะเป็นการปฏิบัติที่เดินถูกทางแล้ว ชาวพุทธส่วนมากที่แม้เข้าวัดก็ยังจับจุดการปฏิบัติเช่นนี้ไม่ค่อยจะได้ ทำแต่บุญและรักษาศีล ยังไม่ได้ไปไกลเท่าไรเลย)

เมื่อฝึกนานวันเข้า ช่วงเวลาที่มีสติกับไม่มีสติก็เริ่ม ใกล้เคียงกัน จนถึงช่วงที่แมวจับหนูได้อย่างเป็นอัตโนมัตินั้น ช่วงเวลาที่มีสติกับปัจจุบันขณะจะมีมากกว่าช่วงที่ขาดสติ คนที่ปฏิบัติวิปัสสนาเช่นนี้ จะเคยชินกับความรู้สึกที่หลุดจากจิตหรือความคิดและกลับมาสู่ปัจจุบันขณะได้ดี คือ กำหนดอยู่กับการเคลื่อนไหวหรืออะไรก็ตามอยู่ดี ๆ สักครู่หนึ่ง ใจก็จะแว๊บไปกับความคิดโดยไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกที ใจจะผวาตื่นออกจากความคิด มาอยู่กับปัจจุบันขณะอีก ทุกครั้งที่ใจกลับมาเช่นนี้ จะมีช่วงที่ใจผงะบ้าง ตกใจนิด ๆ บ้าง มีการตำหนิตัวเองบ้างว่า แหม…ดูซิ ไปอีกแล้ว แล้วก็กำหนดต่อไป และใจก็หลุดออกไปอย่างไม่รู้ตัวอีก ผวาอีก กลับมาปัจจุบันอีก อาจจะมีการตำหนิตัวเองอีก เป็นอย่างนี้อยู่ร่ำไปนับครั้งไม่ถ้วน

ความรู้สึกเหล่านี้ที่จริงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก คนที่ฝึกดูใจเท่านั้นจึงจะสังเกตเห็นความรู้สึกเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ซึ่งแม้จะเล็กน้อยมาก แต่คนปฏิบัติจะเห็นชัดมาก คนไม่เคยดูใจ ไม่ต้องพูดถึง เขาฟังไม่รู้เรื่อง

 

เหมือนออกจากบ้านไปทำธุระ เสร็จแล้วก็กลับบ้านตามปกติ

บัดนี้ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเราคือ แม้จะมีการคิดออกไปจากปัจจุบันขณะเหมือนอย่างเมื่อก่อนนี้ก็ตาม มันก็เป็นการออกไปอย่างสว่าง ไม่ใช่ออกไปอย่างมืด ๆ เหมือนแต่ก่อน ฉะนั้น เมื่อตอนที่ใจกลับมาสู่ปัจจุบัน จะไม่มีช่วงต่อเนื่องเหมือนในอดีตที่ตำหนิตัวเองบ้าง ผวาหรือตกใจนิด ๆ บ้าง สิ่งเหล่านั้นหายไปหมด บางครั้งเห็นตัวเองมองหาสภาวะที่ใจต้องผงะนิด ๆ ตามที่เคยเป็นมาหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่เป็น ใจไม่ผงะไม่ผวาแล้ว เหมือนใจออกจากบ้านไปทำธุระ ทำเสร็จ ก็กลับเข้าบ้านตามปกติ ตรงนี้ไม่รู้คนอ่านจะรู้เรื่องหรือเปล่าว่าเราพูดเรื่องอะไร มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากของชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นอยู่ทุกบ่อย พอเห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จึงรู้ว่าตัวเองไม่ธรรมดาแล้วเมื่อเปรียบเทียบกับสภาวะในอดีต[1]

 

ชีวิตประจำวันเป็นข้อทดสอบที่ดีของผู้บรรลุธรรม

สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันนี่แหละเป็นเครื่องทดสอบที่ดีที่สุดของผู้ต้องการตรวจสอบว่าตนเองได้บรรลุธรรมชั้นสูงสุดหรือไม่ ตัวอย่างอีกมากมายที่ตรวจสอบได้ เช่น เมื่อเกิดเสียงดังอย่างทันทีทันใด เช่น ของหล่นตกจากที่สูง โทรศัพท์ดัง คนเดินมาข้างหลังโดยไม่รู้ตัว หรือในขณะที่ขับรถและเจอสถานการณ์ที่น่าตกใจ เป็นต้น สิ่งพื้น ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวันเหล่านี้ บางครั้งก็ทำให้คนผวา ตกใจเพราะความคาดไม่ถึง ผู้หญิงจะเป็นมากกว่าผู้ชายเพราะเป็นเพศที่มีใจอ่อนกว่า

เราก็ไม่ต่างจากหญิงอื่น ในอดีตเมื่อตกใจแล้วก็จะกำหนดไปที่ความสั่นไหวของใจทันที เพราะเรียนรู้เรื่องการดูใจมาตั้งแต่เป็นนักศึกษาแล้ว พอกำหนดได้ มันก็ค่อย ๆ หายไป ในช่วงปลาย ๆ สมัยที่แมวจับหนูอย่างเป็นอัตโนมัติ รวมถึงก่อนและช่วงต้น ๆ ที่เกิดญาณนั้น เมื่อใจเคลื่อนจากสภาวะปกติเพราะเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว การกำหนดจะเกิดเร็วมาก สภาวะที่ใจเคลื่อนจากความปกติจะหายไปเกือบทันทีก็ว่าได้ บางครั้งเห็นแต่ระลอกคลื่นที่จะทำให้หัวใจเต้นเร็วเพราะความตกใจ แต่เป็นเพราะแมววิ่งได้เร็วมาก สามารถจับหนูได้ทันทีที่หนูเริ่มเคลื่อนตัว พอเห็นคลื่นระลอกแรกเริ่มจะเคลื่อนเท่านั้น แมวตะปบหนูทันที หนูจึงหดหายไปทันทีเช่นกัน

 

แม้คลื่นระลอกแรกก็ไม่เห็นอีกแล้ว

แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา แม้สภาวะเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ก็ค่อย ๆ หายไปหมด แม้แต่คลื่นระลอกแรกก็ไม่เห็นอีกแล้ว ใจราบเรียบไม่เคลื่อนเลยแม้แต่น้อย บางครั้ง กายนั้นสะดุ้งโหยงจริง ทุกคนต้องเหมาเอาว่าเราตกใจแน่นอน แถมเอามือมาพาดอกด้วยความเคยชินในบางครั้ง แต่เมื่อสำรวจใจแล้ว กลับไม่มีความรู้สึกอะไรเหลืออยู่เลย เหมือนไม่มีใจ แต่ก็ยังเล่นไปตามบทบาทของโลกสมมุติ ถ้าลูกหรือสามีมาปลอบโยนเพราะคิดว่าเราตกใจ ก็ปล่อยให้เขาทำ เพราะมาเขียนเรื่องนี้ จึงมีการสังเกตและจดบันทึกเหตุการณ์ล่าสุดเอาไว้ ไม่เช่นนั้นก็ลืม สิ่งที่บันทึกไว้มีดังนี้คือ

๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ ถูบ้านเสร็จ พื้นไม้ยังเปียกหมาด ๆ อยู่โดยทั่วไป กำลังเดินจากห้องครัวไปห้องนั่งเล่น เกิดไถลด้วยความลื่นของพื้น ร้องกรี๊ดจนลูกคนเล็กตกใจ รีบวิ่งมาหาแม่ว่าเป็นอะไรไปหรือเปล่า ปรากฏว่าร้องกรี๊ดจริง แต่ใจไม่เคลื่อนเลยแม้แต่น้อย หัวใจไม่กระดิก ไม่สั่นแต่อย่างใด เห็นลูกตกใจมากกว่าแม่ เรื่องร้องกรี๊ดนี่ต้องเรียกว่าเป็นความชิน หรือภาษาพระ เรียกว่าวาสนา เป็นปฏิกิริยา หรือ reflex ซึ่งเป็นการทำงานของส่วนกายที่เนื่องกับสมอง นาน ๆ ถึงจะมีสักครั้งที่รู้สึกว่ามีใจให้ตก แต่พอกำหนดเห็นเท่านั้น ใจก็เป็นปกติทันที

๗ ธันวาคม ๒๕๔๔ ขับรถกลับจากทำงาน จะเลี้ยวซ้ายเข้าถนนใหญ่ พอดีมีรถจอดขวางอยู่ขวามือ มองไม่เห็นรถที่มาจากขวามือ พยายามดูและคิดว่าไม่มีรถมาแล้ว จึงขับออกมา ทันใดนั้นเอง รถคันหนึ่งก็พุ่งมาจากขวามือ เราต้องเหยียบเบรคอย่างแรง ของทุกอย่างตกจากที่นั่งไปกองบนพื้นหมด รถคันนั้นเฉียดรถของเราไปเพียงไม่กี่นิ้วเท่านั้นเอง คนขับรถคันนั้นคงด่าเรายับ ถ้าเป็น ๖ เดือนก่อนหน้าวันที่นี้ ใจอาจจะเคลื่อนบ้างนิดหน่อยภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น แต่วันนั้น ใจไม่เคลื่อนเลยแม้แต่น้อย ปกติเหมือนเจอเหตุการณ์อย่างนี้ทุกวันจนชินแล้วทำนองนั้น

๙ ธันวาคม ๒๕๔๔ เอาที่รีดผ้าออกมากาง ประเภทที่กางขาออกแล้ว ท่อส่วนบนจะล๊อคเข้าร่อง มีระดับสูงต่ำตามความต้องการ เราขยับอยู่นานสองนาน มันก็ไม่เข้าร่องสักที จุดหนึ่ง ก็คิดว่าเข้าร่องแล้ว เพราะมันตั้งได้ จึงเอาเตารีดวางลง เท่านั้นเองที่รีดผ้าทั้งอันก็ล้มไปกองกับพื้นอีกพร้อมเตารีด เสียงดังมาก สามีนั่งบนโซฟาดูฟุตบอลอยู่ห่างไม่ถึงสองฟุต ตกใจถึงขนาดเอามือพาดอก เรายืนเฉย ใจไม่กระดิกกระเดี้ยแม้แต่น้อย เหมือนไม่มีใจให้ตกอีกแล้ว

(ได้เขียนหัวข้อนี้ตั้งแต่เดือนกันยายน ๔๔ มาเขียนเพิ่มเหตุการณ์ที่ลงวันที่เอาตอนหลัง มีความรู้สึกว่า สภาวะที่ “ไม่มีใจ” ได้หยั่งรากลึกลงไปทุกวัน ความเปลี่ยนแปลงของใจเกิดตลอดเวลา) 

แต่แม้นาน ๆ ครั้งนี่ เราก็พูดถึง นาน ๆ ครั้ง ของอดีตที่ผ่านมา ในช่วงที่ตั้งแต่เริ่มเขียนมาจนบัดนี้เข้าเดือนที่ ๕ (มานั่งอ่านตรวจทานครั้งสุดท้ายก่อนส่งดิสค์ไปเมืองไทยก็เข้าเดือนที่ ๙ แล้ว)  นาน ๆ ครั้งที่พูดถึงก็น้อยลงไปเรื่อย ๆ ความเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเด็ดขาดของใจมีมากขึ้นตามลำดับ   

 

ชีวิตปุถุชนเหมือนลูดกิ่งกุหลาบ

จำได้ว่า ตอนเป็นปุถุชนจนกระทั่งก่อนเกิดญาณนั้น ชีวิตประจำวันจะมีความรู้สึกเล็ก ๆ น้อย ๆ หลายอย่างผ่านเข้ามาในใจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือหนักหนาอะไร มันผ่านเข้ามา แล้วก็หายไป เช่น บางครั้งมองหน้าลูก ๆ แล้ว ก็อดห่วงอนาคตของเขาไม่ได้ว่าจะเอาตัวรอดหรือ ใจก็ตกวูบไปชั่วขณะ เมื่อไปทำอย่างอื่นต่อ ก็ลืมไป หรือเห็นสามีกลับจากทำงานเหนื่อยมาก ก็อดสงสารไม่ได้ว่านี่เขายังต้องทำงานหนักเช่นนี้ไปอีกนานมากกว่าจะถึงอายุเกษียน เขาจะทนไหวหรือ ใจก็วูบตกไปอีกด้วยความสงสารอย่างจับใจ สักครู่ก็หายไป บางครั้งก็หวนคิดถึง อะไรบางอย่างในอดีตหรือเนื่องกับอนาคต พอคิดแล้ว ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เนื่องกับเหตุการณ์นั้น ๆ ก็ทะลักเข้ามาในใจ ใจก็ตกวูบไปอีกพักหนึ่ง อีกสักครู่ก็หายไป บางครั้งได้ยินข่าวดี ก็สามารถคิดในสิ่งที่ให้กำลังใจ แต่บางครั้งก็สาละวนอยู่กับความคิดที่ทำให้เป็นห่วงเป็นใยถึงขั้นกลัวก็มี หรือ ไปฟังเพลงเก่า ๆ จะเกิดความรู้สึกมากมายคล้อยตามหรือคลื้มไปกับเสียงเพลง สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้สึกเล็ก ๆ น้อย ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ ที่ไม่หนักหนาอะไร ไม่มีใครพูดถึง เพราะบรรยายยาก และคนก็ไม่เห็นความสำคัญ นี่คือความเป็นธรรมดาของชีวิตปุถุชน ชีวิตของเขาจะเต็มไปด้วยความรู้สึกเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ เปรียบเทียบได้กับเด็ดกิ่งกุหลาบออกมากิ่งหนึ่ง แล้วเอานิ้วลูบ มีบางช่วงที่ลูบได้ง่ายเพราะไม่มีหนาม แต่บางช่วงก็ถูกหนามตำเอา ชีวิตประจำวันของปุถุชนก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรราบเรียบ เดี๋ยว ๆ ก็จะถูกความรู้สึกบางอย่างตำเอาเสมอ

 

เหมือนเลาะหนามกุหลาบทิ้งหมดแล้ว

อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ของเรา มาบัดนี้หายไปหมดสิ้น เดี๋ยวนี้ สามารถมองหน้าลูก ๆ และสามีโดยไม่มีความรู้สึกอะไรห้อยท้าย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอนาคตของพวกเขาต้องดิ้นรนต่อสู้อย่างมากมาย แต่ก็ไม่มีความกลัวเหลืออยู่ รู้ว่าไม่ว่าเขาจะไปทำอะไร ชีวิตของเขาต้องเป็นทุกข์เสมอ รอวันที่เขาไม่ใช่เห็นเราแต่เพียงแม่ที่คอยทำอะไรให้เขาเท่านั้น แต่เป็นครูที่สามารถบอกทางไปสู่ที่สว่างให้เขาได้ด้วย หากยังมีความหวังอะไรในตัวลูก ก็หวังว่าเขาจะไม่ปล่อยไว้นานจนสายเกินไป รู้ว่าเขาจะเสียใจมากหากเขาไม่รู้จักเราจริง ๆ ก่อนเราตาย

สรุปว่า เดี๋ยวนี้ สามารถคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตได้โดยใจไม่ถูกหนามตำเอา สามารถฟังเพลงเก่า ๆ ที่เคยชอบได้โดยที่ใจไม่เคลื่อนแม้แต่น้อยนิด[2]  เหมือนกิ่งกุหลาบที่แต่ก่อนมีหนามเล็ก ๆ ยื่นออกมา ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง หนามนั้นก็ค่อย ๆ ถูกเลาะออกไปทีละหนามสองหนามตั้งแต่เริ่มปฏิบัติธรรม มาถึงบัดนี้ สามารถเอามือลูดกิ่งกุหลาบโดยไม่ถูกแม้แต่หนามเดียวเลย มันหายหมด

 

ใช้เพลงโปรดเป็นเครื่องล่อให้หนูออกจากบ้าน

พูดถึงเรื่องเพลงของยุคสมัยแล้ว เคยเป็นจุดอ่อนของเรามาก เช่น เพลงของชรินทร์ สุเทพ ธานินทร์ สุนทราภรณ์ ฟังทีไร ก็จะพาใจให้เคลิ้มไปกับบรรยากาศและเหตุการณ์ในอดีตเสมอ มีช่วงหนึ่งราว ๗ หรือ ๘ ปีให้หลังมานี้เอง เป็นช่วงที่แมวเริ่มจับหนูเองแล้ว เอาเพลงสุนทราภรณ์เก่า ๆ อันเป็นเพลงโปรดร่วมสมัยของเรามาเป็นเครื่องล่อให้ความรู้สึกที่ชอบออกมา พอล่อมันออกมาแล้ว  ก็จับมันฆ่าทิ้งทันที ตอนแรกรู้สึกทำยาก เพราะใจมันอยากคลึ้มไปกับเสียงเพลงอย่างเดียว โดยเฉพาะเพลงโปรดที่มีความหลังในอดีตติดพันอยู่ สลัดยากมาก ใจไม่ยอมปล่อย แต่ก็ต่อสู้เพื่อให้มันปล่อยให้ได้ แล้วก็ค่อย ๆ ง่ายขึ้น เหมือนการล่อให้หนูออกจากบ้านเพื่อแมวจะได้ตะปบเอามากินเล่นทันที อย่างไรก็อย่างนั้น จำได้เพราะเคยเอาเรื่องนี้มาสอนลูกศิษย์ให้ทำตาม

ทุกครั้งที่กลับจากเมืองไทย เราจะต้องซื้อเทปเพลงติดมาเสมอ ส่วนมากก็เป็นเพลงเก่าที่เขาเอามาอัดใหม่ ร้องโดยนักร้องใหม่ ๆ เก็บมาหลายปี มีมากมาย เคยรักเคยหวงมันมาก ต้นปีนี้เอง ใจเป็นอิสระมาก ฟังแล้วก็ไม่ทำให้เกิดอารมณ์อะไรเหมือนที่เคยเป็นเลย จึงตัดสินใจทิ้งเทปเพลงเหล่านี้ได้โดยไม่แยแส ทิ้งบ้าง ให้เพื่อนไปบ้าง เหลืออยู่ไม่กี่ม้วน บางครั้งเอามาฟังเพื่อตรวจสอบความรู้สึกว่าใจมีการกำเริบหรือไม่เท่านั้น  

     

ทุกคนมีชีวิตที่เสียดสีอยู่กับพระนิพพานอย่างแนบเนื่องอยู่แล้ว

เดี๋ยวนี้ การเดิน การเคลื่อนไหว การเดินห้างสรรพสินค้า ซื้อกับข้าว การทำงานในบ้าน หยิบโน่น หยิบนี่ ทำอาหาร จะมีสติที่เป็นธรรมชาติ ไม่รู้สึกว่าต้องกำหนดอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแล้ว แม้บางครั้งจะต้องทำอะไรเร็ว ๆ ก็ตาม สมัยก่อนโน้น พอทำอะไรเร็ว ๆ แล้ว ความคิดในหัวก็จะแล่นเร็วไปด้วย ใจก็วิ่งขึ้นลงตามความคิด ซึ่งเป็นลักษณะที่ขาดสติ พอรู้ตัว สติกลับมา ก็ค่อย ๆ ทำอะไรช้า ๆ อีก เดี๋ยวนี้ แม้ทำอะไรเร็ว ๆ ก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป สามารถทำเร็วได้อย่างมีสติเต็มเปี่ยม แต่การทำอะไรช้า ๆ ย่อมมีรสชาดของชีวิตมากกว่า เช่น เมื่อใดที่เดินช้าแบบธรรมดา แบบไม่ต้องเร่งรีบได้ จะเห็นได้ชัดมากว่า การเดินแต่ละก้าวนั้นมีความเต็มเปี่ยมของชีวิตบรรจุไว้พร้อมในตัวมันเองแล้ว

เดี๋ยวนี้ การหั่นผัก ทำกับข้าว ทำอะไรต่ออะไรก่อกแก่กอยู่ในครัวนั้นเป็นเรื่องสนุกมาก บางครั้งแค่เอื้อมมือไปเปิดตู้กับข้าวเท่านั้น รู้สึกว่ามันเป็นช่วงขณะปัจจุบันที่อร่อยมากจนไม่รู้จะบรรยายยังไง คนต้องหาว่าบ้าแน่ สมัยก่อนมองไม่ออกว่า ชีวิตมันจะเต็มเปี่ยมได้ยังไงกับงานจำเจเช่นนี้ มาบัดนี้ ก็เห็นได้ชัดมากว่ามันเต็มเปี่ยมได้จริง ๆ ถ้าทำอย่างมีสติ รสชาดที่แท้จริงของชีวิตมันอยู่ตรงข้างหน้าเราเสมอ นี่คือความลับของชีวิต ของพระนิพพาน มันไม่ได้อยู่ไกลเอื้อมเลย ทุกคนมีชีวิตที่เสียดสีอยู่กับพระนิพพานอย่างแนบเนื่องอยู่แล้ว แต่คนมันโง่มันมืดเกินกว่าจะเข้าใจเรื่องง่าย ๆ เช่นนี้ได้ กลับไปคิดมาก วิเคราะห์อะไรต่อมิอะไรจนมากเรื่อง แสวงหาเรื่องไกลตัวจนกลับบ้านไม่ถูกอีกแล้ว  

ที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้สึกธรรมดามากเหมือนกับสมัยที่ยังอยู่ในโลกมืดสนิทของอวิชชาแต่ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนอะไร อย่างไรก็อย่างนั้น ผิดกันแต่ว่า เดี๋ยวนี้ไม่มืดแล้ว ทำทุกอย่างด้วยความสว่าง ชีวิตจึงเป็นปกติเหมือนคนธรรมดาทั่วไปทุกอย่าง  แต่เราไม่ธรรมดาเหมือนคนอื่น เพราะเราไม่ได้อยู่ในโลกมืดเหมือนคนอื่นอีกแล้ว สิ่งธรรมดาเหล่านี้จึงเป็นเครื่องตอกย้ำได้ดีว่า เราได้บรรลุธรรมขั้นสูงแล้ว

 

กลัวผี

      เรื่องกลัวผีต้องนับว่าเป็นจุดอ่อนของเราตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ ไม่ชอบฟังเรื่องผี และ ไม่ชอบดูหนังผี ตอนเด็ก ๆ จำได้ว่าพี่สาวติดละครวิทยุเรื่องแม่นาคพระโขนงมาก กลัวมากเมื่อได้ยินเสียงแม่นาคพูดเย็น ๆ อย่างผี พยายามหนีจากเสียงนั้น แต่ก็หนีไม่พ้น คนไทยมักมีเรื่องผี ๆ มาเล่ากันฟังอยู่เสมอ มาอยู่อังกฤษ วัดสังฆทานได้ทำหนังสือธรรมะประจำเดือน และมีคอลัมส์ผีมาได้ ๑๓ ปีแล้ว มักเปิดผ่านเสมอ มีบางครั้งที่ตัดสินใจอ่าน เมื่ออ่านแล้ว ไม่คิดว่าเนื้อหาของมันจะมีคุณค่าในแง่ธรรมะมากนัก นอกจากสร้างความตื่นเต้นและหวาดกลัวให้แก่คนอ่านโดยไม่จำเป็น จึงไม่ค่อยสนใจอ่าน

 

ทดสอบตนเองว่ายังกลัวผีหรือไม่

จำได้ว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งคิดว่าหลังจากเกิดญาณแล้ว และความกลัวในเรื่องหลาย ๆ อย่างได้หายไป จึงต้องการทดสอบตัวเองว่ายังมีความกลัวผีอยู่หรือไม่ จึงเริ่มอ่านคอลัมส์ผีในหนังสือธรรมะของวัดสังฆทานที่ส่งมาให้ทุกเดือน อ่านไปก็สำรวจใจตนเองว่ามีความกลัวเหมือนสมัยก่อนหรือไม่ ปรากฏว่า สามารถอ่านได้โดยไม่กลัว เพราะวิปัสสนาญาณสามารถทำลายทุกอย่างได้ในทันใด ก็อ่านอยู่พักหนึ่ง แต่ก็เลิกอ่านไปอีกเพราะไม่มีความสนใจในเรื่องเหล่านี้จริง ๆ เห็นเป็นเรื่องรกสมองมากกว่าจะมีสาระอะไรในทางธรรม คิดว่าไม่จำเป็นต้องไปรับผัสสะที่ไม่ได้เอื้ออำนวยให้ใจสงบทั้งในปัจจุบันและภายหลัง   

      เหตุผลใหญ่ที่ทำให้ไม่กลัวเรื่องผี ๆ อีกต่อไป คงเป็นเพราะเริ่มเข้าใจเรื่องกฏแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดว่า ผีนั้นก็คือ ผู้ที่อยู่ในภพภูมิเปรตซึ่งเป็นภพที่อยู่ใกล้เคียงกับมนุษย์มาก มนุษย์มี ๕ ขันธ์ คือมีรูปกาย แต่เปรตไม่มีกาย จึงมีเพียง ๔ ขันธ์เท่านั้น   เปรตอยู่ได้ก็เพราะการอุทิศบุญกุศลของมนุษย์ที่เป็นญาติของเปรตนั้นเอง บางครั้งก็สามารถเห็นได้ ที่จริง พระพุทธเจ้าได้ตรัสเรื่องราวของเปรตไว้มากอยู่จนดูเป็นเรื่องธรรมดามาก ไม่ใช่เป็นความลึกลับอย่างที่คนชอบคิดในปัจจุบัน 

 

วิปัสสนาญาณไม่ได้ทำลายแต่ผี แต่ทำลายถึงอวิชชา

สิ่งสำคัญที่คนกลัวผีจะต้องเข้าใจคือ ตราบใดที่ตนเองยังทำชั่วอยู่แล้ว ก็ควรกลัวเรื่องผีอยู่หรอก โดยเฉพาะผีห่าซาตานในใจตนเองนั่นแหละจะคอยหลอกหลอนตัวเองอยู่ร่ำไป แต่หากใครทำแต่ความดีแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องกลัวผี ผีจะทำอะไรคนดีไม่ได้แน่นอน เพราะผีอยู่ในภพภูมิที่เสียเปรียบกว่ามนุษย์อยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครที่กำลังฝึกสมาธิวิปัสสนาแล้วไซร้ ผียิ่งทำอะไรไม่ได้ใหญ่ เพราะวิปัสสนาญาณนั้นเป็นปัญญาที่มีความแหลมคมมากจนสามารถทำลายอย่าว่าแต่ผีเลย แม้แต่อวิชชาซึ่งร้ายกาจกว่าผีมากมายนัก ก็ยังถูกทำลายอย่างราบคาบ

      การเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด ว่าถ้าทำดี ก็จะไปเกิดในสุขคติภูมิ ถ้าทำชั่วก็จะไปเกิดในอบายภูมินั้นก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ยังเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับพุทธศาสนา เพราะถ้าใครไม่อยากไปเกิดในภพภูมิที่ดีชั่วเหล่านั้น ก็ต้องเลือกทางไปนิพพาน แต่การมาสอนเน้นเรื่องผีสางเทวดาจนเกินเลยอย่างที่ทำกันในเมืองไทยนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  เรื่องผีสางเทวดาเป็นเรื่องที่คนเราไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวมากนัก เพราะอยู่กันคนละภพภูมิ ถ้าเราไม่ไปยุ่งกับมัน มันก็ไม่มายุ่งกับเรา 

 

เทวดายังต้องมาฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเลย

นอกจากนั้น ชีวิตหรือจิตวิญญาณที่ยังเวียนว่ายตายเกิดเหล่านั้นก็ล้วนแต่ยังมีอวิชชาด้วยกันทั้งนั้น จึงยังคงเวียนว่ายเวียนเกิดอยู่เช่นนั้น จะไปเรียนรู้ความสว่างแห่งปัญญาจากผีสางเทวดาโอปปาติกะเหล่านี้ได้อย่างไร เขาจะไปรู้อะไรกับเรื่องการไปนิพพาน เทวดายังต้องมาฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้าเลย การไปเน้นมากจึงเป็นเรื่องเกินจำเป็น จะเรียกว่าเป็นเดรัจฉานวิชชาก็ไม่ผิด  เราจึงไม่เห็นด้วยกับพระหรือฆราวาสที่เน้นสอนเรื่องผีสางเทวดาจนเกินเลย นั่นไม่ใช่เป็นแก่นของศาสนาพุทธ เพราะถ้าสอนเรื่องแก่นแท้ของศาสนาพุทธโดยเน้นให้คนปฏิบัติวิปัสสนาแล้ว เรื่องเหล่านี้ก็จะตกไปโดยปริยาย ผู้มีปัญญาที่แท้จริงจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เด็ดขาด เสียเวลา รกสมอง

 

อยากมีอุดมคติเหมือนคานธี

      สมัยที่เป็นนักศึกษา ได้มีโอกาสอ่านชีวะประวัติของท่านมหาตมะ คานธี อ่านพบว่า ท่านได้บอกกับภรรยาของท่านว่า เมื่อท่านอายุ ๔๐ ปี ท่านจะหยุดเรื่องเพศสัมพันกับภรรยาทันที และท่านก็รักษาคำพูดของท่าน ตอนนั้น อ่านแล้วทั้ง ๆ ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องเพศอย่างถ่องแท้  แต่ก็รู้สึกได้รับแรงบันดาลใจมาก อยากจะมีอุดมคติเช่นนั้นบ้าง คิดว่าถ้าหากมีโอกาสแต่งงานสักวันหนึ่ง ก็จะตกลงกับสามีเช่นนั้น ตอนที่พบกับสามีในอนาคตและช่วงที่กำลังรอให้เขากลับเมืองไทยเพื่อทำพิธีแต่งงานนั้น ได้เขียนจดหมายถึงกัน ได้พรรณาถึงอุดมคติมากมายในจดหมายของเรา และได้เอ่ยเรื่องคานธีไว้ด้วย บอกเขาว่า อยากจะมีอุดมคติอย่างคานธีบ้าง แน่นอน นั่นเป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยความฝันและอุดมคติอันสูงส่ง เป็นการพูดออกมาอย่างไร้เดียงสา ปราศจากประสบการณ์ชีวิตของโลกแห่งความเป็นจริง คิดว่า ตอนนั้น แฟนอ่านแล้วคงหัวเราะหรือไม่ก็คงไม่รู้ว่าเราพูดเรื่องอะไรกัน และคงไม่ได้คิดอะไรจริงจัง ใครจะสามารถคิดล่วงหน้าถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีก ๒๐ ปีข้างหน้าได้

แม้เราเอง เมื่อแต่งงานแล้ว ก็ไม่ได้ไปรื้อฟื้นหรือคิดอะไรมากอีก แต่ก็รู้ว่าใจหนึ่งนั้นยอมรับว่าเพศสัมพันระหว่างสามีภรรยานั้นเป็นส่วนหนึ่งและเป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดาของชีวิตคู่ทั่วไป แต่อีกใจหนึ่งก็รู้อีกว่า ความต้องการทางเพศของตัวเองนั้นน้อยมาก ไม่เพียงพอที่จะตอบสนองต่อความต้องการของสามีได้เสมอไป ที่จริงแล้ว สามีมิใช่เป็นคนมักมากในเรื่องเพศแต่อย่างใดเลย ตอนแต่งงาน เราทั้งสองมีอายุ ๒๗ ปี สำหรับฝ่ายชายแล้ว เป็นวัยที่ธรรมชาติบอกให้แพร่พันธุ์อย่างเต็มที่  แต่เราเองต่างหาก ด้วยความที่ได้ฝึกฝนสมาธิมามาก จึงมีความต้องการทางเพศน้อยกว่าระดับปกติมากเกินไปจนผิดปกติ และเมื่อหลังจากคลอดบุตร ความต้องการทางเพศย่อมน้อยลงตามธรรมชาติอีก เพราะร่างกายเหน็ดเหนื่อยกับการเลี้ยงลูกเล็ก และต้องการปรับตัว พักผ่อน ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้น สามีภรรยาที่เดินทางมาถึงจุดนี้แล้วมักเจอปัญหาที่คล้ายกันหมด คือ เมื่อฝ่ายชายไม่ได้รับการตอบสนองในเรื่องเพศ เขาก็จะงอน และเริ่มหาทางออกด้วยวิธีอื่น โสเภณีหรือเมียน้อยก็เป็นทางออกที่เด่นมากที่สุดทางหนึ่งที่ผู้ชายมักเลือกทำ เราเองก็เพิ่งเข้าใจว่าทำไมภรรยาไทยบางคนจึงเป็นฝ่ายหาเมียน้อยให้สามีตนเอง

 

โดยทฤษฎีแล้ว ไม่ควรแต่งงาน

ฉะนั้น โดยทฤษฎีแล้ว เราไม่ควรแต่งงานเลย แต่เรื่องเหล่านี้ใครจะไปรู้หรือเข้าใจอย่างแท้จริงได้ถ้าไม่ประสบกับตัวเอง ใครจะไปมองอนาคตออกว่ามันจะเป็นอย่างไร มิเช่นนั้น โลกก็คงไม่ยุ่งอย่างนี้หรอก  และคงไม่มีคำพังเพยว่า “คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า” แต่เมื่อได้ตัดสินใจยอมร่วมหัวจมท้ายกับคู่ชีวิตเช่นนั้นแล้ว จะให้ทำอย่างไร จะทิ้งเขาไปเฉย ๆ เช่นนั้นหรือ ลูกก็ออกมาแล้วยั้วเยี้ยไปหมด จะเอาไปทิ้งไว้ไหน แล้วเราเองล่ะ จะไปทำอะไร ชีวิตในช่วงนั้นมันอีนุงตุงนัง ติดโน่น ติดนี่ พัวพันกันให้ยุ่งไปหมด

ฉะนั้น ความทุกข์ของเราในช่วง ๖-๗ ปีแรกของการแต่งงานส่วนหนึ่งมาจากความระหองระแหงในเรื่องเพศสัมพันที่ไม่สมดุลกันอย่างมาก สิ่งเดียวที่ทำได้คือ ทำที่ใจเรา การหัดต่อสู้กับความทุกข์ภายในแบบหมัดต่อหมัดจึงเกิดขึ้น และพยายามปลอบใจตัวเองว่า อย่างน้อยสามี แม้เขาจะอดอยากในเรื่องเพศอย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่เคยทำร้ายน้ำใจของเราเลย เราเองเสียอีก ด้วยความสงสาร จึงบอกเขาเองว่า หากเขาต้องการไปหาเศษหาเลยที่ไหน เราจะไม่ตำหนิเขา การพูดของเราเช่นนั้นทำให้เขาโกรธมาก เห็นว่าเราไม่ได้ให้เกียรติเขา สามีพูดว่าเขาแต่งงานกับเราก็เพื่ออยู่ด้วยกันตลอดชีวิต แม้จะอดอยากอย่างไร เขาจะไม่ยอมไปหาหญิงอื่นเด็ดขาด ฟังเขาพูดเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้สงสาร เขาเองก็ได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้วในฐานะที่เป็นปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง ฉะนั้น เราจึงต้องเป็นฝ่ายอดทน ยอมประนีประนอม เสียสละเพื่อความอยู่รอดของลูก ๆ การเรียนรู้จากชีวิตจริงจึงเกิดขึ้น

 

พบกันครึ่งทาง

ประมาณ ๗ ถึง ๑๐ ปีผ่านไป ประสบการณ์การใช้ชีวิตคู่ของทั้งสองฝ่ายมีมากขึ้น ต่างฝ่ายต่างก็พยายามเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อพบกันที่ครึ่งทาง สามีจึงค่อย ๆ ยอมรับในตัวเราว่ามีความต้องการทางเพศน้อย ด้วยความรักและให้เกียรติในภรรยา จึงไม่ค่อยเซ้าซี้อะไรมาก การงอนเมื่อไม่ได้ดังใจที่เคยมีมากในอดีตก็ค่อย ๆ น้อยลง การประนีประนอมจึงเกิด ชีวิตจึงค่อย ๆ ราบรื่นมากขึ้นหลังจากสิบปีผ่านไป เรื่องระหองระแหงน้อยลงไปมาก ต้องยอมรับว่า ผู้ชายเช่นนี้คงหาได้ยาก แต่ก็พิสูจน์ได้ว่าเขารักเราอย่างแท้จริงตามที่เขาบอกเมื่อตอนแรกพบกัน

 

ความตึงเครียดกลับมาอีก

ชีวิตมันก็เป็นไปเช่นนั้นจนกระทั่งสองปีที่ผ่านมา ถึงจุดหนึ่ง มีความรู้สึกอย่างรุนแรงว่าไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับสามีอย่างเด็ดขาดแล้ว ได้เก็บความรู้สึกอยู่ในใจนานทีเดียว แต่ไม่รู้จะบอกเขาอย่างไรที่จะให้เข้าใจ ฤดูร้อนของปี ๒๕๔๓ ลูกชายคนเล็กกลับเมืองไทย จึงหาข้อแก้ตัวเข้าไปนอนในห้องลูกตลอดสองเดือนที่ลูกอยู่เมืองไทย ความตึงเครียดเริ่มเกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ ประมาณเดือนกันยายน ตัดสินใจบอกสามีตรง ๆ ว่า ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวทางเพศกับเขาอีกต่อไปแล้ว ไม่สามารถบอกเหตุผลอย่างตรงไปตรงมาได้ว่า เดี๋ยวนี้เราไม่ได้เป็นปุถุชนแล้ว ได้แต่ขอร้องให้เขาพยายามเข้าใจ

เรารู้ว่านี่เป็นสิ่งที่สามีกลัวอยู่ในใจลึก ๆ มาตลอดชีวิตแต่งงานของเขา เพราะเขารู้ดีว่าเราเหมือนแม่ของเรามาก และแม่เราก็ไม่ได้อยู่กับพ่อ ใช้ชีวิตอยู่ในวัดที่นับถือเทียงเต๋าของท่านมาตั้งแต่อายุสี่สิบเศษ ๆ จนเสียชีวิตเมื่ออายุ ๘๐ เขากลัวเสมอว่าเราจะเจริญรอยตามแม่ของเรา หลังแต่งงานและมีลูกถึงสามคนอย่างถี่ ๆ นั้น แง่หนึ่งเขาดีใจมาก เหมือนรู้ว่านี่คือบ่วงที่จะผูกเราให้อยู่กับเขาได้ตลอดไป แต่เขาลืมนึกว่า ลูกนั้นโตได้และจะเป็นอิสระจากพ่อแม่สักวัน

 สามีคิดว่าได้ทำดีที่สุดแล้วในส่วนของเขาเพราะคงไม่มีผู้ชายมากนักในโลกที่ยอมอดอยากในเรื่องเพศอย่างที่เขาได้อดทนมาตลอดชีวิตแต่งงานของเขา แต่การจะให้เขาเลิกความสัมพันฉันสามีภรรยาอย่างเด็ดขาดในวัยที่เขายังไม่พร้อมนั้น (ตอนนั้นอายุ ๔๗)  เขายอมรับไม่ได้ นอกจากนั้น ผู้ชายมักคิดว่าเมื่อเขาไม่สามารถร่วมหลับนอนกับภรรยาแล้ว เขาจะไม่สามารถสนิทสนมใกล้ชิดกับภรรยาได้เหมือนเดิม ผู้ชายมักไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร  จึงเกิดปฏิกิริยาตึงเครียดและทำตัวห่างเหินเหมือนคนแปลกหน้า ไม่สามารถพูดเล่นหยอกล้อกับภรรยาเหมือนที่เคยทำในสถานการณ์ปกติ ในที่สุดก็เป็นหน้าที่ของภรรยาที่ต้องยอมให้สามีอีก เพื่อนำความใกล้ชิดกลับมาและสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นให้แก่ครอบครัว เราเชื่อว่าภรรยามากมายในโลกนี้ล้วนตกอยู่ในวงจรนี้ทั้งสิ้น นี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดกับสามีเราซึ่งเหมือนกับสามีของหญิงอีกมากมายในโลกนี้ ขึ้นชื่อว่าผู้ชายก็ต้องมีธรรมชาติคล้ายกันหมด  มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติด้วยที่คนเราต้องการความใกล้ชิดทางร่ายกายที่จะทำให้จิตใจอบอุ่นและมีพลัง

รู้สึกสงสารสามีที่มาเจอหญิงอย่างเราที่แปลกประหลาดออกไปมาก จึงพยายามให้เขามองว่า มันก็เหมือนกับเราเกิดเป็นโรคมะเร็งหรืออะไรก็ได้ที่ร้ายแรงจนทำให้เราร่วมหลับนอนด้วยกันไม่ได้ ในกรณีเช่นนั้น เขาจะยอมรับเราได้ทันทีใช่หรือไม่ ได้พยายามเสนอทางออกต่าง ๆ ให้สามีซึ่งหมายถึงการมีสัมพันกับหญิงอื่น รวมถึงการหย่าร้างกันเพื่อเขาจะได้หาหญิงใหม่ที่สามารถให้สิ่งที่เราให้เขาไม่ได้ แต่ก็ไม่มีทางออกใดที่เขาจะยอมรับได้ เขาไม่ต้องการหญิงอื่น เขาต้องการหญิงที่เขาแต่งงานด้วยเมื่อ ๒๑ ปีก่อนกลับคืนมา เมื่อยังแก้ปัญหาไม่ตก ความเย็นชาต่อกันและกันจึงเกิดขึ้น เมื่อเราพยายามจะพูดเพื่อแก้ปัญหา เขาเลี่ยงที่จะพูดถึงปัญหาตัวจริง กลับไปขุดคุ้ยเรื่องอื่น ๆ ขึ้นมา และพูดสิ่งผิด ๆ ที่ไม่ควรพูด แก้ปัญหาอะไรไม่ตกสักอย่างเดียว

 

เจอมรสุมชีวิต แต่หัวใจไม่เจ็บปวด

ในช่วงเวลานั้น คนที่สามารถเข้าใจเราได้ดีที่สุดคือจูเลียต หญิงแม่บ้านที่มาเรียนไท้เก็กกับเราต่อกันสามปีจนคบกันเป็นเพื่อน และให้เกียรติเธอในการเขียนคำนำให้แก่หนังสือคู่มือชีวิต ด้วยความที่เขาเองก็สามารถปฏิบัติจนเห็นสภาวะพระนิพพานได้เพราะการชี้แนะของเรา เพียงแต่รอวันที่เขาเกิดญาณด้วยตนเองเท่านั้น จูเลียตจึงสามารถเข้าใจสถานการณ์ชีวิตของเราทั้งในแง่ทางโลกและทางธรรม ต้นเดือนตุลาคม มหาวิทยาลัยเปิดเทอมและเราก็เริ่มสอนเทอมใหม่ จูเลียตได้ตามเราไปเรียนที่มหาวิทยาลัยด้วยในวันจันทร์ จึงเป็นเวลาที่เราปรับทุกข์เล่าปัญหาของเราให้เขาฟัง

นี่ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งในชีวิตที่สามารถทดสอบความมีภูมิธรรมที่แท้จริงของตัวเอง ปัญหาครอบครัวที่เรากำลังประสบอยู่ในช่วงนั้นจะเรียกว่าเป็นวิกฤตการหรือมรสุมชีวิตก็ไม่ผิด ถ้าหากเราเป็นปุถุชนเต็มตัวหรือแม้เป็นพระอริยเจ้าชั้นต้น ๆ แล้วไซร้ เหตุการณ์เช่นนั้นย่อมก่อให้เกิดความทุกข์และเจ็บปวดอย่างมหันต์ในใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นความทุกข์ที่เราได้เคยผ่านมาแล้วและรู้จักหน้าตามันเป็นอย่างดีว่าเจ็บปวดและสับสนมากเพียงใด

ครั้งนี้ แม้กำลังอยู่ในท่ามกลางมรสุมชีวิตที่กระหน่ำอยู่รอบข้างก็ตาม แต่จิตใจของเราไม่มีความเจ็บปวดแต่อย่างใดเลย ยังสามารถรักษาระดับความปกติของใจได้เสมอ เหมือนกับสามารถเคลื่อนไปกับคลื่นโดยไม่ถูกมันซัดกลบจนมิดอยู่ใต้น้ำ สามารถลอยอยู่เหนือน้ำได้เสมอ จึงยังหายใจได้คล่องอยู่

จำได้ว่า มีวันหนึ่ง ก่อนจะออกไปทำงานประมาณสองชั่วโมงนั้น ได้พยายามพูดกับสามี แต่ก็พูดกันไม่รู้เรื่องอีกตามเคย ด้วยความโกรธ สามีจึงต้องการพูดในสิ่งที่สามารถทำให้เราเจ็บปวด ถ้าใจของเราไม่ได้หลุดพ้นอย่างแท้จริงแล้วละก็ คำพูดนั้นต้องสร้างความเจ็บปวดมาก แต่เราสามารถรับฟังได้โดยไม่สะทกสะท้าน พอจูเลียตมารับเราไปทำงาน เราเล่าให้เขาฟังว่าสามีเพิ่งพูดอะไรไป ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านั้นเพิ่งเกิดขึ้นหยก ๆ และยังสด ๆ อยู่ในหัวก็ตาม เมื่อมายืนต่อหน้านักศึกษาในชั้นแล้ว หมายความว่า ใจของเราต้องเป็นปกติก่อนที่จะสามารถบอกทางให้นักศึกษาทำใจของเขาให้เป็นปกติได้ ซึ่งเราสามารถทำได้ทันที นี่เป็นสิ่งที่จูเลียตเท่านั้นสามารถสังเกตเห็นได้ในตัวเรา

 

แยกทางกันเพื่อมองปัญหาให้ชัดขึ้น

ปรากฏว่า ฤดูใบไม้ร่วงทั้งเทอมนั้น เราต้องแหวกว่ายโต้คลื่นมรสุมชีวิตอยู่ตลอดเวลา เราเองก็เอือมระอาต่อบรรยากาศที่ตึงเครียดและชาเย็นนั้น จึงตัดสินใจบอกสามีว่า  เราจะกลับเมืองไทยเพื่อเปิดโอกาสให้ต่างฝ่ายสามารถมองปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนและค่อยมาพูดกันอีกทีหนึ่ง ใจจริงอยากกลับมาอยู่นานถึง ๖ เดือน แต่ก็ยังสงสารลูก ๆ จึงล่นเวลาลงมาเป็นสามเดือนซึ่งก็นานอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน จองตั๋วเครื่องบินทันที และกำหนดจะออกเดินทางวันที่ ๑ เมษายน เพราะต้องรอจนหลังจากที่การสอนในเทอมฤดูใบไม้ผลิสิ้นสุดลง

ในช่วงเวลาตั้งแต่เกิดเรื่องจนกระทั่งรอการเดินทางนั้น เราก็ได้เข้าไปอาศัยนอนในห้องของลูกชายคนเล็กซึ่งมีอายุ ๑๔ ปี สร้างความไม่สะดวกให้ลูกไม่น้อยทีเดียว เพราะห้องของเขาก็เล็ก เนื่องจากบ้านเล็กมาก ไม่มีที่ให้หลบหนีไปอยู่คนเดียวได้เลย บางครั้งลูกก็อึดอัดและไม่พอใจแม่เหมือนกัน อยากให้แม่ไปนอนเตียงเดียวกับพ่อ

 

เราต้องเป็นฝ่ายเสียสละ

ใครบอกว่าครอบครัวไหนที่มีคนปฏิบัติธรรมแล้ว ครอบครัวนั้นก็จะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข มันจะจริงได้ก็ต่อเมื่อทุกคนปฏิบัติธรรมเหมือนกันอย่างทั่วถึง ตอนกลับมาเมืองไทย ได้เอ่ยปัญหานี้กับเพื่อนสนิทไม่กี่คนนั้น ทุกคนก็มองปัญหาของเราจากแง่มุมต่าง ๆ กันขึ้นอยู่ว่าคนนั้นรู้จักเราดีแค่ไหน คนวัดก็มักให้คำแนะนำว่า ต้องพาสามีเข้าวัด เขาจึงจะเข้าใจเราได้ คนที่ไม่ได้เข้าวัด ก็ออกจะสงสารฝ่ายชายว่าถูกเราข่มขู่มากจนเกินไป  ยิ่งฟังคนพูดออกไปต่าง ๆ นา ๆ แล้ว เรากลับเรียนรู้ว่า หากเราเป็นฝ่ายรับฟังปัญหาของคนอื่นแล้วไซร้ เราจะไม่รีบบอกให้เขาทำโน่นทำนี่เด็ดขาด จะฟังอย่างเดียว เพราะปัญหาชีวิตนั้นมิใช่เป็นเรื่องที่คนนอกจะเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่งเหมือนเจ้าของปัญหาเอง และการแก้ปัญหาก็ไม่ใช่เป็นเรื่องตรงไปตรงมา โดยเฉพาะกรณีของเรานั้น จะให้ใครมาเข้าใจได้ ถ้าแก้กันง่าย ๆ เราจะยอมให้มันยืดเยื้อมานานถึงครึ่งปีหรือ 

ในช่วงที่รอกลับเมืองไทย ประมาณเดือนกุมภาพันธุ์ ๒๕๔๔ เรานั่งดูสามีและลูก ๆ ด้วยความสงสารอย่างจับใจ ความตึงเครียดได้เกิดขึ้นในครอบครัวอยู่นานถึง ๖ เดือนแล้ว ลูกคนกลางกับคนเล็กแม้จะอยู่ในวัยหนุ่มแล้ว เมื่อเห็นพ่อแม่ตึงเครียดต่อกันและพูดเรื่องหย่าร้างกัน ก็ทุกข์มาก ซึมเซา แอบร้องไห้บ่อย ลูกชายคนกลางอายุ ๑๖ อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต เป็นเด็กที่มีจิตใจอ่อนไหวมาก เมื่อเห็นพ่อแม่ไม่มีความสุขเช่นนั้น ก็เริ่มหัดสูบบุหรี่ ทำตัวเหลวไหลประชดชีวิต สามีก็กลายเป็นคนอมทุกข์ ไม่มีรอยยิ้มเหลืออยู่เลย จนเราเป็นห่วงว่าความเจ็บป่วยทางใจของเขาจะมีผลต่อสุขภาพกายของเขาไม่ช้าก็เร็ว การแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ในครอบครัวครั้งนี้จึงมาตกที่เราเพียงผู้เดียว เราเท่านั้นที่จะสามารถทำให้ครอบครัวนี้อยู่ด้วยกันอย่างเป็นปกติราบรื่นได้อีกครั้งหนึ่ง 

ทางออกจึงมีอยู่ทางเดียวเท่านั้น คือ เราต้องเป็นฝ่ายเสียสละ เพราะอยู่ในสถานะที่เสียสละได้มากกว่าสามีและลูกมากมายนัก สิ่งที่เราขอจากสามีนั้น ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องสำหรับเราก็ตาม เพราะคนที่สะอาดแล้ว ย่อมอยากมีชีวิตอยู่อย่างสะอาดและไม่อยากคลุกคลีกับของสกปรกอีกต่อไป แต่สามีและลูก ๆ จะรู้ได้อย่างไรว่าภรรยาและแม่เป็นคนที่สะอาดหมดจดแล้ว เขารู้ไม่ได้ และไม่มีทางรู้ได้ในขณะนี้ อาจจะรู้ได้ในอนาคตจากคนอื่นเมื่อชื่อเสียงของเราออกมาแล้วเท่านั้น แต่ตอนนี้ ไม่มีทางอื่นนอกจากการใช้ชีวิตอย่างผ้าขี้ริ้วห่อทองไปก่อน เพราะพวกเขาไม่มีทางรู้จักภรรยาและแม่ตัวจริงได้เลย ในสายตาของพวกเขา เราคือหญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ค่อนข้างประหลาดเท่านั้น ฉะนั้น จะให้เขาเข้าใจและยอมรับคำขอร้องของเราอย่างเต็มใจและอนุโมทนานั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องคิดเลย

 

เป็นการหลอกล่อให้เขาทำบุญ

เหตุผลสำคัญอีกข้อหนึ่งที่ว่าทำไมเราจึงต้องเป็นฝ่ายเสียสละ คือ เราจำเป็นต้องปกป้องความรู้สึกและการกระทำของคนใกล้ชิดเหล่านี้ การที่เขามาเป็นสามีและลูกของเรานั้น แสดงว่าพวกเขาต้องมีบารมีไม่น้อยจึงมาอยู่ใกล้ชิดเราได้ ฉะนั้น หากเราทำให้พวกเขาเสียใจและเป็นทุกข์ในขณะที่จิตใจเขายังไม่พร้อมจะเข้าใจเรานั้น จะทำให้พวกเขาคิดและพูดในสิ่งผิด ๆ กับเรา ซึ่งจะเป็นบาปแก่พวกเขาเป็นอย่างมาก ที่จริงเขาก็ได้ทำมาแล้ว และเราก็อโหสิให้หมดแล้ว ฉะนั้น จึงเห็นเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องปกป้องไม่ให้คนใกล้ชิดเหล่านี้ทำบาปต่อเรามากขึ้นกว่าที่ได้ทำไปแล้ว วิธีเดียวที่ทำได้คือ ต้องทำให้ครอบครัวนี้กลับเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง เมื่อความสัมพันระหว่างพ่อแม่ลูกเป็นปกติแล้ว เขาก็จะคิดดี พูดดีกับเรา เป็นการสร้างบุญให้แก่ตัวเขา และเราจะมีโอกาสช่วยเขาได้มากกว่าที่จะมาหักด้ามพร้าด้วยหัวเข่าเช่นนี้ จะช่วยส่งเสริมบารมีของเขา ในอนาคต เมื่อเหตุปัจจัยต่าง ๆ พร้อมขึ้นมา เขาก็จะมีโอกาสได้รู้จักเราอย่างแท้จริงโดยเฉพาะลูกทั้งสามคน และพวกเขาก็จะทำบุญกับเราได้เต็มที่ แต่ตอนนี้ ต้องหลอกล่อให้เขาทำบุญกับเราแบบอ้อม ๆ ไปก่อน โดยให้เขาคิดดี ทำดี ซึ่งจะทำได้ก็ต่อเมื่อครอบครัวเป็นปกติสุข 

 

คิดว่าทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

ในที่สุด เราจึงเป็นฝ่ายยกธงขาวให้สามีและย้ายกลับไปนอนเตียงเดียวกับสามีอีก  บรรยากาศแห่งความตึงเครียด เย็นชาในครอบครัวจึงค่อย ๆ หายไป ลูก ๆ มีความสุขมากขึ้น รอยยิ้มและความเป็นปกติจึงกลับมาสู่ครอบครัวอีก ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นก่อนที่เราจะกลับเมืองไทยในเดือนเมษายน 

เราคิดว่าได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว อย่างน้อยก็สำหรับช่วงเวลานี้  ที่จริง การเผชิญปัญหาเช่นนั้นทำให้ต่างฝ่ายต่างรู้ตัวปัญหาแท้จริงของกันและกัน สิ่งที่เก็บกดอยู่ข้างในก็ถูกเปิดเผยออกมา เป็นการคลายความกดดันภายในของกันและกัน และพยายามปรับตัวให้เข้าหากันอีก  สามีเป็นคนที่มีจิตใจดีและรักเรามากเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว  เมื่อใจคลายจากความโกรธเคือง หลังจากที่เรายอมยกธงขาวให้เขาแล้ว เขาเองกลับเป็นฝ่ายยอมรับการอยู่ร่วมกันฉันพี่น้องมากขึ้นกว่าตอนก่อนเกิดปัญหาเสียอีก เพราะรู้ว่านี่คือสิ่งที่เราต้องการ ก็ต้องยกย่องเขาว่าให้เกียรติเรามากทีเดียว

 

เข้าใจปัญหาได้ชัดขึ้น

พอปัญหาคลี่คลายลง ก็เริ่มมองออกว่า สิ่งสำคัญที่สามีต้องการในวัยนี้ไม่ใช่เรื่องเพศอีกแล้ว  ความสัมพันในเรื่องเพศไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่เหมือนสมัยก่อนแล้ว เพราะสภาวะร่างกายเป็นไปตามครรลองของธรรมชาติเนื่องจากอายุก็มีมากขึ้น  สิ่งสำคัญที่เขาต้องการคือความสนิทสนมใกล้ชิดกับภรรยาเท่านั้น และเขาจะรู้สึกเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อได้นอนเตียงเดียวกับภรรยาเท่านั้น การแยกห้องนอนกันจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ว่าเขาได้สูญเสียเราไป จึงมีผลกระทบถึงขั้วในของชีวิตทีเดียว

นี่เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับชีวิตแต่งงานของคนตะวันตก สามีภรรยาเมื่อแต่งงานกันแล้ว จะเกาะกันแน่น พึ่งพาซึ่งกันและกัน ไม่ค่อยสนิทกับญาติตนเองมากเท่าไร โดยเฉพาะสามีของเราแล้ว ยิ่งไม่สนิทกับพ่อแม่พี่น้องของตนเองเลย เราจึงเป็นทั้งภรรยา ญาติ และเพื่อนที่สนิทคุ้นเคยมากที่สุดของเขาเท่านั้น แม้แต่ลูก คนเป็นพ่อจะไม่สนิทกับลูกเท่าแม่ ฉะนั้น เราจึงเข้าใจสามีได้ว่าเรื่องนี้จะต้องเขย่าเข้าไปถึงแก่นชีวิตของเขาแน่นอน

ผู้ชายส่วนมากไม่ชอบเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง ด้วยเหตุผลง่าย ๆ คือ พูดไม่เป็น ทำไม่เป็น และเพราะเป็นเพศของผู้นำ จึงไม่อยากเปิดเผยจุดอ่อนของตนเองให้คนอื่นรู้ ฉะนั้น เมื่อผู้ชายเกาะกลุ่มคุยกัน เขาจะไม่ค่อยพูดเรื่องในใจ ต่างจากเพศหญิงที่เมื่อเกาะกลุ่มกันแล้ว จะพูดเปิดเผยความรู้สึกในใจให้เพื่อนสนิทฟังกัน ซึ่งการคุยกัน ทำให้เห็นปัญหาชัดขึ้น และเป็นการระบายความกดดันในใจได้ด้วย นี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ว่า ทำไมผู้ชายตายเร็วกว่าผู้หญิง เพราะมีความเก็บกดมากกว่าผู้หญิงนั่นเอง สามีของเราก็เหมือนผู้ชายส่วนมากคือ ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกที่แท้จริงได้อย่างชัดเจน พูดไม่เป็น เราจึงรู้ว่าเขาเองก็ต้องสับสนมาก ไม่เข้าใจความรู้สึกของตนเองชัดเจนนัก สิ่งที่ทำได้ง่ายกว่าคือ กลบเกลื่อนและแสดงออกเป็นความโกรธ

 

ข้อเท็จจริงของการนอนในเมืองหนาว

ข้อเท็จจริงบางอย่างในเรื่องการนอนของคนเมืองหนาวนั้น คนเมืองร้อนอาจจะไม่เข้าใจ การนอนคนเดียวในเมืองหนาวนั้น นอกจากจะหนาวใจแล้ว กายก็ยังหนาวด้วย เมื่ออากาศหนาวมาก พอขึ้นเตียงก็อยากจะสัมผัสอะไรที่อุ่น ๆ ร้อน ๆ ฉะนั้น คู่สามีภรรยาย่อมชินกับการสัมผัสร่างกายที่อุ่น ๆ ของกันและกัน ต่างฝ่ายต่างเป็นเครื่องทำความร้อนให้แก่กัน นี่เป็นเหตุผลสำคัญข้อหนึ่งว่าทำไมพ่อหม้ายแม่หม้ายฝรั่ง ทั้ง ๆ ที่แก่แล้ว เมื่อมีโอกาสพบคนที่เขาชอบก็ยังอยากแต่งงานและใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่เรื่องเพศ แต่ต้องการเพื่อนคู่ใจและความอบอุ่นทางกายซึ่งสำคัญมากสำหรับคนเมืองหนาว

นี่จึงเป็นเหตุผลของวัฒนธรรมของชาวเอสกิโมที่ว่า เมื่อมีแขกไปสู่บ้านเขาแล้ว พ่อบ้านจะยกเมียหรือลูกสาวให้ไปนอนเป็นเพื่อนแขกที่มาเยี่ยม เพื่อแขกจะได้รับความอบอุ่นทางกาย เป็นการแสดงออกถึงความมีน้ำใจของเจ้าบ้าน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดาของมนุษย์มาก

 

เตรียมใจสามีเพื่อเหตุการณ์ที่อาจเกิดในอนาคต

สามีเราก็ไม่ต่างจากคนอื่น ฉะนั้น จะให้เขามายอมรับเรื่องการแยกห้องนอนอย่างง่ายดายจากเรานั้นย่อมเป็นไปไม่ได้  และเราต้องไม่ลืมว่าสามีก็ยังเป็นปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง การที่เขาอยากนอนใกล้ชิดกับภรรยานั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องผิดอะไรเลย เป็นเรื่องถูกต้องและธรรมดาสำหรับเขา เขาได้ทำดีที่สุดในฐานะที่ปุถุชนคนหนึ่งจะทำได้แล้ว นอกจากนั้น ตั้งแต่ที่เขารับเรามาจากพ่อแม่ของเรานั้น เขาก็เลี้ยงดูเราและลูก ๆ อย่างดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงครอบครัวนี้ให้อยู่รอดตามหน้าที่ของพ่อบ้านที่ดี ไม่เคยทำอะไรที่ให้เราต้องหนักใจเลย ร่วมทุกข์ร่วมสุขฝ่าฟันคลื่นลมของชีวิตมาด้วยกันก็ ๒๑ ปีแล้ว จะมาทิ้งเขาไปเพราะใจของเราเป็นอริยะแล้ว มันอาจจะถูกต้องสำหรับเรา  แต่ไม่ถูกต้องสำหรับเขา

เพราะนี่ไม่ใช่เป็นยุคสมัยพุทธกาลและเราก็ไม่ได้เป็นเพศชายที่สามารถพึ่งร่มโพธิ์ร่มไทรของพระบวรพุทธศาสนาได้ทันที นอกจากเป็นหญิงแล้ว ยังอยู่ในลักษณะของผ้าขี้ริ้วห่อทอง จึงคิดตกว่า อย่างน้อย ในช่วงนี้ควรต้องทำหน้าที่ของภรรยาและแม่ต่อไปอีกสักหน่อย

อย่างไรก็ตาม ถึงช่วงนั้น เราก็สามารถมองทุกอย่างให้แตกต่างออกไปได้ ความรู้สึกได้เปลี่ยนไปมากเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อตอนก่อนเกิดปัญหาราว ๖ เดือนก่อนหน้านั้น การกลับมานอนเตียงเดียวกับสามีอีกจึงไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับเราอีกต่อไป เพราะใจก็เป็นอิสระมากขึ้นทุกวัน

ปรากฏว่า เรื่องระหองระแหงที่ยืดเยื้ออยู่นานหลายเดือนก็จบลงด้วยดี ชีวิตครอบครัวก็กลับเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง ความขัดแย้งกับสามีครั้งนี้ อย่างน้อยก็ได้ทำให้เขารู้และเตรียมตัวเตรียมใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตของเรามากยิ่งขึ้น

 

 

 



[1] กำลังอ่านตรวจทานเรื่องนี้ในเดือนธันวาคม ๒๕๔๖ ลืมปรากฏการณ์เหล่านั้นอย่างสนิท ถ้าไม่ได้บันทึกไว้ตอนนั้น คงพูดถึงไม่ได้แน่นอน จำไม่ได้เลยว่าสภาวะผงะ ผวา เหล่านั้นได้เคยเกิดมาก่อน ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว