บทที่สิบแปด
การแสดงออกถึงความกล้าหาญทางจริยธรรม
เผชิญหน้ากับโลกธรรม
อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถพิสูจน์ความแข็งแกร่งของใจเราได้ดีคือ
เมื่อจำเป็นต้องเผชิญหน้าหรือกระทบกับเหตุการณ์ที่สร้างความขัดแย้งกับผู้อื่นที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัว
และเราได้กลายเป็นหัวข้อที่คนทั่วไปพูดคุย วิพากษ์วิจารณ์ ติฉินนินทา
จนกระทั่งถูกด่าและหัวเราะเยาะ เมื่อเจอเหตุการณ์และสถานการณ์เช่นนั้นแล้ว
เราได้ทำใจอย่างไร และพาตัวรอดได้อย่างไร การเผชิญหน้ากับโลกธรรม ๘ ในฝ่ายลบ
เป็นปัญหาที่มนุษย์เดินดินอันเป็นสัตว์สังคมทั่วไปล้วนต้องประสบด้วยกันทั้งสิ้น
ไม่มากก็น้อย คิดว่าน่าจะบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ
เหล่านี้ไว้เพื่อให้คนรู้ว่าเราต้องพาตัวเองให้รอดออกมาได้อย่างไรโดยไม่ถูกเขี้ยวเล็บของโลกธรรมขบกัดและบดขยี้เอา
เป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดียิ่งว่า
รอดมาได้เพราะได้สวมกอดความรู้ที่แท้จริงในระดับพระนิพพานเท่านั้น
ถ้าไม่มีความรู้ในระดับสูงสุดนี้แล้ว
คงไม่มีเรื่องให้คุยหรือเขียนหนังสือให้คนอ่านอย่างทุกวันนี้แน่นอน
ไม่รู้ตัวว่ามีความกล้าหาญทางจริยธรรม
เพราะอิทธิพลของสวนโมกข์หรือพระพุทธศาสนาและความเป็นผลผลิตของยุคสมัย ๑๔
ตุลาคม ๒๕๑๖ อันเป็นยุคสมัยที่มิใช่เมืองไทยเท่านั้น
หนุ่มสาวทั่วโลกล้วนตื่นตัวด้วยความคิดสังคมนิยม
ปัจจัยสองอย่างนี้ได้สร้างลักษณะนิสัยส่วนตัวให้เราอย่างหนึ่งที่เราเองก็มองไม่ออกและไม่รู้ว่าตัวเองมีอยู่จนกระทั่งบัดนี้
นั่นคือ ความกล้าหาญทางจริยธรรม
ความกล้าหาญทางจริยธรรม
เป็นศัพท์ที่อาจารย์โกวิทใช้ หมายความว่า
ความกล้าหาญที่จะแสดงออกถึงความถูกต้อง
หรือ ความแข็งแกร่งของใจที่กล้าคิด พูด และทำในสิ่งที่ถูกต้อง
เพิ่งมาเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่า คนที่สามารถแสดงออกถึงความถูกต้องได้นั้น
คนนั้นต้องมีความถูกต้องในตนเองเสียก่อน มิเช่นนั้นแล้ว จะเอาความถูกต้องที่ไหนมาแสดงให้คนอื่นเห็น
และสาเหตุที่ไม่รู้ตัวว่าตนเองมีคุณสมบัตินี้อยู่เพราะ
สิ่งใดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแล้ว คนนั้นจะไม่รู้ตัว
ความแข็งแกร่งทางใจก็เหมือนกับความแข็งแรงทางกาย
ชายอกสามศอกที่มีร่างกายแข็งแรง บึกบึนนั้น
ย่อมสามารถยกของหนักได้อย่างเป็นธรรมชาติธรรมดา ในขณะที่ยกของหนักนั้น
เขาไม่ต้องฝืนตนเองเลย เขาก็ยกขึ้นมาได้อย่างเป็นธรรมชาติของเขา
ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเก่งกาจสามารถหรือแปลกอะไร
คนที่ร่างกายอ่อนแอกว่าและยกของหนักไม่ได้ ย่อมเห็นคนทำได้ว่าเก่ง
มีความสามารถและไม่ธรรมดาเมื่อเปรียบเทีนบกับตนเองที่อ่อนแอกว่า
คนที่มีความแข็งแกร่งทางใจก็เช่นเดียวกัน
เมื่อเห็นอะไรที่ไม่ถูกต้องแล้ว
จะมีความกล้าในการแสดงออกโดยไม่หวั่นเกรงใครหรืออำนาจใด ๆ ทั้งสิ้น
จะพูดไปตามเนื้อผ้าที่มีความหยาบหรือละเอียด ถูกก็ว่าถูก ผิดก็ว่าผิด
สำหรับเราแล้ว รู้สึกว่าการพูดไปตามความจริงเป็นเรื่องที่ควรทำ
รู้สึกว่าเป็นธรรมชาติธรรมดามาก บางครั้งมีคนทักจึงรู้ว่า
คนอื่นไม่ได้มองเราอย่างเป็นธรรมดาเหมือนชายอ่อนแอมองชายอกสามศอกที่กำยันล่ำสัน
ครั้งที่เราได้พาตัวเองเข้าไปพัวพันกับปัญหาของพระฝรั่งรูปหนึ่ง
ก็คิดว่าทำไปเพื่อความถูกต้องด้วยเหตุผลต่าง ๆ
ไม่ได้คิดว่าตัวเองกล้าหาญชาญชัยแต่อย่างใด
จนกระทั่งได้คุยกับน้องคนไทยคนหนึ่งที่รู้ปัญหามาตั้งแต่ต้นจนจบ ในการสนทนานั้น
เขาพูดว่า
แหม
ก็ใครจะกล้าสู้กับพี่ล่ะ
พี่เล่นพูดอะไรตรง ๆ อย่างนี้ คนได้ยินชื่อพี่ก็กลัวแล้ว
ตอนนั้น
ฟังแล้วยังไม่ค่อยแน่ใจว่าเขาหมายถึงอะไร ทำไมคนต้องมากลัวเรา ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ
แค่นี้ กลัวทำไม กลัวอะไร ตอนนี้ จึงเข้าใจได้ว่า คนไม่ได้กลัว เราในฐานะผู้หญิงตัวเล็ก
ๆ หรอก แต่กลัว สิ่งถูกต้องที่มีอยู่ในตัวเรา ต่างหาก คนที่มีความไม่ถูกต้องในตนเองย่อมกลัวคนที่มีความถูกต้องมากกว่า
เหมือนความมืดย่อมกลัวความสว่าง คนเลวย่อมกลัวคนที่ดีกว่า
เคยรู้สึกกลัวชาวอโศก
เราเคยรู้สึกกลัวชาวอโศกในสมัยที่เป็นนักศึกษา
พอเข้าใกล้เพื่อน ๆ ที่เป็นชาวอโศกแล้ว มีความรู้สึกว่าเราด้อยกว่าเขาเสมอ
เราไม่สะอาดเท่าเขา เพราะเขาทานอาหารมังสะวิรัติได้เก่งกว่าเรา เขาทานมื้อเดียวหรือสองมื้อได้
เรายังทำไม่ได้ เขากล้าคิดที่จะไม่ยุ่งกับเมถุนธรรมอีกต่อไป เราไม่กล้าคิดเช่นนั้น
จึงพลอยทำให้รู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยและไม่ดีเท่าชาวอโศกอยู่ร่ำไป
ตอนนี้ เราก็ยังไม่ได้ทานอาหารมังสะวิรัติ
ยังทานอาหารสองมื้อบ้าง สามมื้อบ้าง ยังใช้ชีวิตคู่อยู่
แต่ไม่ได้รู้สึกต่ำต้อยอีกแล้ว เพราะมีความถูกต้องอยู่ในตัวเองแล้ว
ความถูกต้องในระดับสูงสุดคือพระนิพพาน
ถึงแม้เราได้มีคุณสมบัติเหล่านี้ตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาแล้วก็ตาม
แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าความถูกต้องที่แท้จริงคืออะไร
ความกล้าหาญนั้นจึงเจือปนด้วยความโง่เขลาอยู่บ้าง แต่ก็ยังทำด้วยเจตนาที่ดี
เมื่อใจสามารถอิงกับความถูกต้องได้มากขึ้น
การแสดงออกซึ่งความกล้าหาญทางจริยธรรมย่อมมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน
ความรู้อันเนื่องกับความถูกต้องอย่างสูงสุดก็คือความรู้ในระดับพระนิพพานนั่นเอง
พระนิพพานคือความถูกต้องอันสูงสุด
ฉะนั้น
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นลำดับเหตุการณ์เด่น ๆ ที่ได้ประสบมาในชีวิต
ซึ่งมีระดับแห่งความกล้าหาญในการแสดงออกถึงความถูกต้องที่แตกต่างกัน
จากน้อยไปหามาก ยิ่งมีความถูกต้องในตนเองมากขึ้นเท่าไร
ความกล้าหาญที่จะแสดงออกถึงความถูกต้องนั้นย่อมมีมากขึ้นตามลำดับ
ต้องตกลงกับผู้อ่านให้ดีก่อน[1]
เนื่องจากเรื่องต่าง ๆ ที่จะเล่าต่อไปนี้
ล้วนเป็นเรื่องที่กระทบถึงบุคคลที่สามทั้งสิ้น
เป็นเรื่องที่คนอยู่ในเหตุการณ์หรือพัวพันกับเหตุการณ์เท่านั้นจึงจะรู้ว่าใครเป็นใครถึงแม้จะไม่มีการระบุชื่อก็ตาม
คนที่ถูกระบุชื่อ คือคนที่เป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์จนทุกคนก็รู้ ๆ กันอยู่
จึงไม่ได้เป็นปัญหาแม้จะเอ่ยชื่อก็ตาม
การเขียนเรื่องราวต่อไปนี้
ขอให้รู้ว่ามิใช่ต้องการประจานใครทั้งสิ้น
เป็นการแสดงออกถึงความถูกต้องของตนเองที่มีต่อผู้อื่น
เป็นการพูดไปตามเนื้อผ้าอย่างที่อธิบายแล้ว ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น
การพูดหรือการกระทำสิ่งที่กระทบกระทั่งซึ่งกันและกัน
ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นจริงในโลกสมมุติ
สิ่งเหล่านี้ต้องเกิดบ้างกับคนทุกคน ไม่มากก็น้อย นอกจากคน ๆ นั้นจะอยู่ป่าคนเดียว
ไม่ยุ่งกับใครเลยก็อีกเรื่องหนึ่ง และสิ่งเหล่านี้ก็ได้เกิดกับเราแล้ว
จนพาลให้คนอื่นเกลียดเรา
แม้กระนั้นก็ตาม
เรายังถนัดมองทุกคนและทุกอย่างเป็นอนิจจัง
แม้คนที่เรามีปัญหาด้วยเหล่านี้ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา บางคนอาจจะดีขึ้น
บางคนอาจจะเลวลง ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยที่แต่ละคนได้สร้างกับตนเอง คนเหล่านั้นบางคน
เราก็ไม่เคยได้พบปะอีกเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง
จึงไม่มีทางรู้ว่าเขาเปลี่ยนไปในทางดีขึ้นหรือเลวลง
แต่นี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้คนอ่านไม่ควรสรุปอะไรง่าย ๆ
ไม่ควรรีบด่วนตัดสินว่าคนนั้นดีหรือไม่ดี คนบางคนเหล่านั้นเช่น ชาววัด
โดยเฉพาะพระสงฆ์องค์เจ้าที่อ้างถึงในเรื่องต่าง ๆ ต่อไปนี้
มาบัดนี้อาจจะได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าระดับหนึ่งระดับใดแล้วก็ได้
นี่เป็นสิ่งที่แม้เราเองก็ไม่รู้ หากไม่ได้สัมผัสบุคคลนั้นด้วยตนเอง
ฉะนั้น
จึงใคร่ขอร้องให้ผู้อ่านต้องวางใจเป็นกลางให้มากที่สุด
นอกจากไม่รีบด่วนตัดสินคนเหล่านั้นแล้ว ยังไม่จำเป็นต้องฟื้นฝอยหาตะเข็บโดยพยายามอยากรู้ว่าคนนั้นคนนี้ที่พูดถึงคือใคร
มาจากไหน อยู่ที่ไหน
ซึ่งเป็นเรื่องที่ปุถุชนเห็นเป็นเรื่องอร่อย จึงขอพูดเตือนไว้ก่อนว่า
อย่าทำ ไม่จำเป็นเลย เพราะสิ่งที่พูดถึงในที่นี้ล้วนเป็นเรื่องของอดีตที่ผ่านไปแล้วทั้งสิ้น
ไม่ได้เป็นจริงอีกแล้ว จึงต้องอย่าลืมว่าทุกคนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะความคิด
ความรู้สึกนั้นเปลี่ยนเร็วมาก ฉะนั้น
จะเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตมาตัดสินสภาวะในปัจจุบันของเขาก็ไม่ได้
เพราะทุกคนย่อมทำสิ่งผิดพลาดได้เท่าเทียมกันหมด เมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไป
เขาอาจจะเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง และทำตนเองให้ดีขึ้นก็ได้ ฉะนั้น
ไม่ควรเอาเรื่องอดีตเหล่านี้มาติดสินสภาวะในปัจจุบันของเขา ถ้าตัดสินหรือสรุปอะไร
ผิด ๆ แล้ว จะเป็นบาปแก่ตนเอง จึงขอพูดอธิบายอย่างชัดเจนไว้ในที่นี้ก่อน
ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า
สาเหตุสำคัญที่ต้องพูดเรื่องเหล่านี้เพราะ ต้องการให้คนอ่านรู้ว่า
เราได้พาใจของเราฝ่าฟันเหตุการณ์และรอดออกมาได้อย่างไร
โดยไม่ถูกเขี้ยวเล็บของโลกธรรมข่วนเอามากนัก
ซึ่งเป็นเรื่องที่คนอ่านสามารถเรียนรู้ได้ไม่น้อย
นุ่งผ้าถุง-พบถนอม
หลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
ได้พบสวนโมกข์และเริ่มปฏิบัติสมาธิภาวนานั้น
ได้สังเกตเห็นว่ามีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น กล้าแสดงออกถึงความคิดและการกระทำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าสิ่งที่ตนเองคิดและทำเป็นเรื่องถูกต้อง เหตุการณ์เด่น
ๆ ที่ได้ทำในช่วงที่อยู่ธรรมศาสตร์คือ การนำนักศึกษาหญิงแต่งกายตามประเพณีของคนไทย
โดยการนุ่งผ้าถุงไปมหาวิทยาลัย เพราะช่วงหลัง ๑๔ ตุลาคม นั้น
ธรรมศาสตร์ได้กลายเป็นสังคมที่เน้นเรื่องการมีสิทธิเสรีภาพทุกตารางนิ้ว
นักศึกษาจึงละทิ้งเครื่องแบบนักศึกษาและเริ่มแต่งกายเสรี เสื้อม่อฮ่อม กางเกงยีน
ฮิตมาก เราจึงคิดว่า ถ้าเช่นนั้น ก็แต่งแบบไทย ๆ ไม่ดีหรือ นุ่งผ้าถุง
ผ้าซิ่นธรรมดา ๆ ไปเลย พอคิดแล้วก็ทำทันที
ชาวธรรมศาสตร์ได้สนุกสนานอยู่กับบรรยากาศที่มีเสรีภาพอยู่เพียงไม่ถึงสามปีดี
ถนอมก็กลับเมืองไทยในเพศนักบวช และไปอยู่วัดบวร ฯ ตอนนั้น เราเป็นนักศึกษาปี ๔
ในขณะที่การประท้วงเกิดขึ้นโดยทั่วไป และบรรยากาศทางการเมืองกำลังอยู่ในขั้นวิกฤตนั้น
เรารวมกลุ่มน้อง ๆ ที่ชุมนุมพุทธ ปรึกษากันว่า
ชุมนุมพุทธควรจะทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยคลี่คลายเหตุการณ์ครั้งนี้
จะลองเสี่ยงเดินเข้าไปขอร้องให้พระถนอมออกนอกประเทศเพื่อยุติเหตุการณ์ร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้
เมื่อตกลงกันแล้ว จึงนำน้อง ๆ ผู้หญิงอีก ๕ คน
ทุกคนนุ่งผ้าถุงหมด และเดินไปวัดบวรฯ เพื่อต้องการขอพบพระถนอม วัดบวร ฯ
ในช่วงนั้นเต็มไปด้วยทหาร
ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบโดบเฉพาะกลุ่มกระทิงแดงที่เป็นเครื่องมือสังหารของถนอม
ใครจะยอมให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เหล่านี้พบ เขาไม่แอบยิงพวกเราทิ้งก็บุญแล้ว
นี่ก็เป็นการแสดงออกถึงความกล้าหาญทางจริยธรรม แต่เพราะขาดประสบการณ์ชีวิต
จึงกลายเป็นการกระทำที่ซื่อจนดูโง่เขลาไป
ไม่จงรักภักดีต่อเจ้านาย
ตอนที่ทำงานอยู่ค่ายอพยพผู้ลี้ภัยเขมรนั้น
ได้เกิดความคิดแตกแยกในหมู่ฝรั่งที่ทำงานอยู่ในค่าย ในเรื่องที่ว่าควรให้ประเทศที่สามรับเด็กกำพร้าเขมรไปเป็นบุตรบุญธรรมหรือไม่
กลุ่มหนึ่งเห็นควรเพราะคิดว่าควรให้โอกาสแก่เด็กไปใช้ชีวิตที่ดีกว่า
อีกกลุ่มเห็นไม่ควรเพราะคนเขมรตายไปเกือบครึ่งค่อนประเทศแล้ว เด็ก ๆ
เหล่านี้คืออนาคตของเขมร ควรจะให้เขาอยู่กับคนเขมร เราเห็นด้วยกับกลุ่มหลังซึ่งส่วนมากเป็นสมาชิกองค์กรระหว่างประเทศที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายองค์การสหประชาชาติที่เราทำงานให้
เมื่อการประชุมในเรื่องนี้มาถึง
เรากลับยืนขึ้นมาพูดในที่ประชุมและคัดค้านความเห็นขององค์กรที่เป็นเจ้านายของเราเอง
เป็นการแสดงออกถึงความไม่จงรักภักดีต่อเจ้านายตัวเอง
ทำให้กลายเป็นเป้าสายตาของทุกฝ่าย
คงจะมีคนเห็นแววแห่งความกล้าหาญในตัวเรา
ภายหลัง ในขณะที่เราทำงานอยู่กับผู้อพยพชาวเวียดนามที่สงขลานั้น
องค์กรระหว่างประเทศองค์กรหนึ่งมาจีบทาบทามให้เราไปทำงานให้เขา
แต่เราตัดสินใจแต่งงานเสียก่อน
ถูกไล่ออกจากร้านอาหาร
ความเป็นคนที่กล้าพูดและกล้าทำในสิ่งที่ตนเองคิดว่าถูกต้องนั้นจึงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
เมื่อมาอยู่อังกฤษ
ได้ไปทำงานร้านอาหารไทยแห่งหนึ่งเพื่อช่วยสามีหาเงินจุนเจือครอบครัวตอนที่ลูกอยู่ในวัยเรียนชั้นประถมมัธยมอยู่
ทำอยู่ร้านนี้หลายเดือนแล้ว เราก็กลับเมืองไทย พอกลับมาอังกฤษอีก
ก็คิดว่าจะได้ทำต่อตามที่เจ้าของร้านได้สัญญาเอาไว้ แต่ปรากฏว่าเขาไม่ทำตามสัญญา
แต่ไม่กล้าบอกเราตรง ๆ หลีกเลี่ยงที่จะพบและพูดกับเราแม้ทางโทรศัพท์
ส่วนเรานั้น
เนื่องจากเป็นคนที่ชอบใช้เหตุผล เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เราจำเป็นต้องเข้าใจว่าทำไมจึงเกิดปัญหา
ต้องการรู้เหตุผล วันหนึ่ง เมื่อมีโอกาสเจอเจ้าของร้านอาหารที่วัด
จึงเดินตรงไปถามว่าทำไมจึงกลับคำพูด ปรากฏว่าเจ้าของร้านหน้าซีด วิ่งหนี พูดไม่ออก
ไม่กล้าเผชิญหน้าเราเลย ตอนนั้น ยอมรับว่ามีความพอใจอยู่ลึก ๆ ว่าเขากลัวเรา
แต่ยังไม่เข้าใจชัดว่าทำไมเขาจึงกลัว ตอนนี้ จึงอธิบายได้ว่า
คนที่รู้ว่าตนเองทำผิดนั้น มักจะกลัวความตรงไปตรงมาของอีกฝ่ายหนึ่ง
กลัวการเผชิญหน้ากับความจริง
เหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้น
๑๐ ปีเศษมาแล้วเห็นจะได้ หญิงเจ้าของร้านอาหารนั้นได้หลบหน้าเราอยู่หลายปี
ในที่สุด เราเองเป็นฝ่ายที่พยายามทำให้เขารู้สึกดีขึ้นโดยเป็นฝ่ายพูดดี ๆ
กับเขาก่อน ไม่ขุดคุ้ยเรื่องเก่า
พูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบตามธรรมดาเหมือนคนรู้จักกันมาก่อน จนบัดนี้
เธอก็สามารถทักทายและคุยกับเราได้เป็นปกติ เรื่องก็จบลงด้วยดี
หลังจากที่ออกจากร้านอาหารนั้นแล้ว ก็ได้งานในร้านอาหารไทยอีกแห่งหนึ่ง
คราวนี้ เจ้าของร้านเป็นผู้ชายไทย ก็ทำงานเป็นพนักงานเสริฟอาหารเหมือนร้านก่อน
พอดีมีนักศึกษาไทยทำอยู่ก่อนสองคน ก็เหมือนกับสังคมร้านอาหารทั่วไป
เมื่อมีการอยู่ด้วยกัน มีลูกจ้างกับนายจ้าง การพูดคุย นินทา
ลับหลังคนนั้นย่อมมีเป็นธรรมดา การจะทำตัวไม่ยุ่งกับใครนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย
หลังจากที่ทำอยู่หลายเดือน ก็รู้ว่า
มีลูกจ้างกลุ่มหนึ่งที่ไม่พอใจนายจ้างด้วยเหตุผลบางอย่างที่เราเองก็ยังไม่รู้ชัด
วันที่เกิดเรื่องนั้น ที่จริงเราไม่ได้เข้าไปทำงาน
เพราะมีเพื่อนมาเยี่ยมจากเมืองไทย แต่ก็ถูกลากเข้าไปพัวพันจนได้
เพราะลูกจ้างที่ทำวันนั้นรวมทั้งนักศึกษาสองคนได้ตัดสินใจว่าจะประท้วงนายจ้างโดยไม่เปิดร้านอาหารให้เขา
และโทรบอกให้เราต้องเข้าไปร่วมการประท้วงนี้ให้ได้ ทั้ง ๆ
ที่เราเองก็ไม่รู้ปัญหาอย่างแท้จริง
แต่ก็ไปติดพันกับสถานการณ์จนถูกเจ้าของร้านไล่ออกเหมือนหมูเหมือนหมาด้วยความโกรธจัดในคืนนั้น ต่อมา มีข่าวมาเข้าหูว่า
เจ้าของร้านนี้ได้บอกกับร้านอาหารไทยในแถบนี้ว่า หากมีคนชื่อศุภวรรณมาสมัครงานละก็
อย่ารับเป็นอันขาด เพราะชอบก่อเรื่องวุ่นวาย
ปรากฏว่าเราก็ไม่ได้พบเจ้าของร้านนี้อีกเลย คงจะเป็นอีกราวหนึ่งหรือสองปีต่อมา
ได้พบชายคนนี้ที่วัด ตอนแรกเห็นแล้ว ก็นึกไม่ออกว่าเป็นใคร รู้แต่ว่า
หน้านี้เคยรู้จัก ด้วยความที่เป็นคนมืออ่อน เห็นหน้าคุ้น ๆ
ก็ยกมือไหว้ทักทายไปก่อนก็แล้วกัน แต่ก็สังเกตเห็นหน้าเฝื่อน ๆ
ของอีกฝ่ายหนึ่งที่ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร จะยกมือรับไหว้เราก็ไม่เชิง เก้อ ๆ เขิน ๆ
ยังไงชอบกล
เป็นการเห็นหน้าแล้วไหว้แล้วก็เดินสวนผ่านกันไป สักครู่ให้หลังจึงนึกออกว่า
ทำไมเขาจึงเก้อเมื่อเราไหว้เขาก่อน คน ๆ
นี้เคยไล่เราออกจากร้านอาหารเขาเหมือนหมูเหมือนหมานี่เอง เราสำรวจดูใจทันทีว่า
รู้สึกเสียดายมือที่ยกไหว้เขาหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีความรู้สึกเสียดายหรือตะขิดตะขวงใจเลย
จิตใจกลับโล่ง ปลอดโปร่งและดีใจเสียอีกว่า ได้ทำเช่นนั้นไป และคิดว่า
ถ้าเจอเขาอีกทีก็จะทักทายเขาอีก แต่หลังจากครั้งนั้นแล้ว ก็ไม่เคยพบอีกเลย[2]
[1] เนื่องจากหนังสือเล่มนี้มีต้นตอที่แปลกประหลาดดังที่อธิบายไว้ในบทนำแล้ว การเล่าเรื่องต่าง ๆ ในบทก่อน ๆ ยังมีความรู้สึกว่ากำลังคุยกับตนเอง จึงใช้สรรพนามว่า เรา มาตลอด เมื่อเขียนมาถึงบทนี้ เวลาได้ผ่านไปประมาณ ๗ เดือนหลังจากที่เริ่มเขียนและเริ่มยอมรับชื่อเรื่องของหนังสือแล้ว เมื่อยอมรับชื่อเรื่องของหนังสือ การเดินเรื่องและจัดหัวข้อต่าง ๆ จึงค่อย ๆ ชัดเจนมากขึ้น จึงเห็นว่า ควรพูดถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ไว้ด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดว่า ไม่ได้พูดกับตนเองอีกแล้ว แต่กำลังพูดกับผู้อ่าน และควรใช้สรรพนามว่า ดิฉัน มากกว่า แต่เนื่องจากได้ใช้สรรพนามว่า รา มาตั้งแต่ต้น จึงไม่มีทางอื่นนอกจากคงคำว่า เรา ต่อไป เพื่อความเสมอต้นเสมอปลายของการเขียน
[2] เมื่อต้นปี ๒๕๔๖ ได้ไปเรียนนวดไทยแผนโบราณที่วัดไทยแห่งหนึ่งในเบอร์มิ่งแฮม วันหนึ่งมีคนมาทักเราก่อน ถามว่า นั่นคือศุภวรรณใช่ไม๊ ปรากฏว่าเราจำไม่ได้ว่าคนทักคือใคร จนเจ้าตัวต้องบอกชื่อตนเองจึงจำได้ว่า คือบุคคลที่เป็นเจ้าของร้านอาหารนั่นเอง จำไม่ได้ เพราะทุกคนก็แก่ตัวลงไปมาก หลังจากที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมากกว่าสิบปี คราวนี้ก็พูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบเหมือนไม่เคยมีปัญหาต่อกันมาก่อน