บทที่สิบเก้า

พระ ฆราวาส กับเรื่องเพศ

 

พบพระยันตระครั้งแรกที่วัดสนามนอก

              ได้พบพระยันตระครั้งแรกที่วัดสนามนอก นนทบุรี ตอนนั้นยังเป็นนักศึกษาปีสามหรือปีสี่อยู่ ชื่อเสียงของพระยันตระเริ่มจะโด่งดัง พอพวกเราชาวชุมนุมพุทธทราบว่าพระยันตระจะมาเทศนาธรรมที่วัดสนามนอกแล้ว ก็ดีใจ พากันไปฟังท่านเทศน์ มีผู้คนหนาแน่นมาก ตอนนั้นท่านเป็นพระหนุ่มที่หน้าตาดี สำรวมมาก ไม่ค่อยมองหน้าญาติโยม เมื่อจะพูดกับญาติโยม ก็พูดอย่างนิ่มนวล ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก เวลาท่านเทศน์ธรรมะ ก็เทศน์ด้วยเสียงที่ราบเรียบ ฟังแล้วสงบมาก เรากับเพื่อน ๆ นั่งดูท่านอยู่ห่าง ๆ ในมือถือดอกบัว เพราะคนเอาไปถวายท่านมากเหลือเกิน มองท่านแล้ว รู้สึกปีติ อิ่มอกอิ่มใจ รู้สึกเหมือนกับคนส่วนมากในยุคนั้นว่า โชคดีเหลือเกินที่ได้พบและฟังธรรมจากพระอริยะรูปหนึ่ง แต่จะเป็นอริยะมากสักแค่ไหนนั้น เราไม่รู้ เพราะตอนนั้นก็ยังมองตัวเองเหมือนเพิ่งเดินเตาะแตะบนทางธรรม เห็นว่าพระต้องรู้มากกว่าฆราวาส โดยเฉพาะพระอย่างท่านยันตระ ต้องรู้มากทีเดียว ไม่กล้าตัดสินใครทั้งสิ้น จึงเคลื่อนไปตามระลอกคลื่นของสังคม

หลังจากนั้น ก็ไม่ได้พบพระยันตระอีกเลย จนกระทั่งมาอยู่อังกฤษ พอรู้จากเพื่อน ๆ ว่า พระรูปนี้ได้ดังเป็นพลุในเมืองไทยแล้ว เราก็ดีใจว่าเมืองไทยมักจะไม่ขาดจากพระดี ๆ ที่จะมากอบกู้พระศาสนา และยังนึกถึงภาพพจน์ของพระยันตระเหมือนครั้งสุดท้ายที่เห็นท่าน

 

พระยันตระมาพักที่บ้านเพื่อน

              วันหนึ่งในช่วงเดือนฤดูร้อนของปี ๒๕๓๖ เพื่อนสนิทได้โทรมาบอกอย่างตื่นเต้นว่า จะมีพระดังมากมาพักที่บ้าน ขอให้มาทำบุญร่วมกัน พอถามว่าพระดังนี่ชื่ออะไรหรือ เพื่อนก็ตอบว่าชื่อท่านอาจารย์ยันตระ ตอนนั้นเพื่อนก็ไม่รู้ว่าเป็นพระที่โด่งดังมากในเมืองไทยและถามว่าเรารู้จักอาจารย์องค์นี้หรือไม่ ฟังแล้วก็ไม่เชื่อหูตัวเองว่าท่านยันตระจะมาพักที่บ้านเพื่อนที่เบอร์มิ่งแฮม เมื่อไต่ถามว่าท่านรู้จักเพื่อนได้อย่างไร ปรากฏว่า พระลูกศิษย์ของท่านยันตระบวชที่อเมริกาได้มาพักที่วัดไทยในเบอร์มิ่งแฮม ท่านจึงเป็นคนติดต่อให้ จึงจับต้นชนปลายได้ถูก

ตอนนั้น รู้สึกดีใจมากที่แม้จะมาอยู่อังกฤษแล้ว ก็ยังมีโอกาสจะได้พบพระดี ๆ และยังคงนึกถึงภาพพจน์ของพระรูปนี้เหมือนที่เห็นท่านเมื่อสมัยเป็นนักศึกษา ตอนนั้น เรื่องอื้อฉาวของของพระรูปนี้ได้เริ่มแล้ว แต่เราไม่รู้ จึงไม่มีใจอคติต่อพระรูปนี้เลย ยังคิดว่า ท่านเป็นพระอริยเจ้าที่กำลังจะมาโปรดสัตว์ทั้งไทยและเทศ จึงเริ่มประชาสัมพันให้เพื่อน ๆ รับทราบ โดยเฉพาะสามีซึ่งไม่ค่อยสนใจเรื่องเข้าวัดพบพระมากนัก เราก็สามารถพูดให้เขายอมรับพระรูปนี้ให้ได้

           วันที่ไปรอรับท่านยันตระที่บ้านเพื่อน จึงทราบว่าท่านกับคณะได้ท่องเที่ยวไปตามประเทศต่าง ๆ ในยุโรปแล้ว และอังกฤษก็เป็นประเทศหนึ่งที่ท่านจะแวะ ท่านมาถึงเบอร์มิ่งแฮมในที่สุด วันนั้น บ้านของเพื่อนแออัดไปด้วยคนไทยที่ล้วนพาทั้งครอบครัวมาเพื่อชื่นชมบารมีของพระดังรูปนี้ ทุกคนตื่นเต้นดีใจและรอคอยอย่างอดทน กว่าคณะจะถึงบ้านเพื่อน ก็บ่ายมากเกือบเย็นแล้ว

 

ไม่ได้เป็นพระขี้อายอีกต่อไป         

ดูเหมือนว่าญาติโยมที่มากับคณะต่างรู้หน้าที่ของตนเองว่าต้องปรนนิบัติรับใช้พระอาจารย์ของตนอย่างไร ทันทีที่คณะมาถึง พระลูกศิษย์สองหรือสามรูปก็จำไม่ได้แล้ว ได้ปลีกตัวไปพักผ่อน เหลือแต่พระอาจารย์ใหญ่เข้าห้องรับแขกที่มีญาติโยมทั้งไทยและเทศคอยอยู่นานหลายชั่วโมงเพื่อหวังชมบารมีและฟังพระธรรมเทศนา ส่วนคณะที่มาด้วยก็เข้าครัวเตรียมอาหารทันที

ท่านยันตระได้คุยกับญาติโยมเรื่องการเดินทางของท่านอย่างเป็นกันเองทันที มีการเทศน์อย่างพอหอมปากหอมคอ เรานั่งชื่นชมบารมีของท่านเหมือนกับคนอื่น ๆ ในที่นั้น และเห็นได้ชัดว่า ท่านไม่ได้เป็นพระขี้อายที่มักก้มสายตามองต่ำเหมือนที่ได้เห็นเมื่อ ๑๗ ปีก่อนที่วัดสนามนอกอีกต่อไป แต่เป็นพระที่มีอาการผ่อนคลาย พูดเก่ง และเต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเอง หลังจากที่ฟังท่านคุยอยู่ได้พักใหญ่ ๆ แล้ว ญาติโยมที่มาด้วยก็เริ่มนำของว่างมาถวาย

ครั้งแรกที่เห็นพระขบฉันในยามวิกาล

ตอนแรกคิดว่าคงเป็นน้ำปานะและช๊อคโกแล๊ตบ้าง แต่ปรากฏว่าของว่างนั้นเป็นอาหารขบเคี้ยวที่ต้องเคี้ยวกันอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงแค่อมช๊อกโกแล๊ตเท่านั้น นั่นก็เป็นครั้งแรกที่เราเห็นพระฉันของขบเคี้ยวในยามวิกาลเช่นนั้น และต่อหน้าผู้คนมากมายด้วย มีความสงสัยว่า เอ…พระทำได้หรือ แต่ก็ปัดความคิดที่สงสัยออกทันที และคิดว่า พระองค์นี้ไม่ได้เป็นพระธรรมดา ท่านต้องทราบดีว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเหมาะสมหรือไม่ ถ้าท่านทำได้ แสดงว่าท่านต้องไตร่ตรองดีแล้ว ท่านต้องรู้เรื่องวินัยของพระมากกว่าเราที่เป็นฆราวาสแน่นอน ไม่ควรไปสงสัยในตัวท่าน จึงนั่งดูท่านฉันของว่างอย่างเอร็ดอร่อย และของว่างอื่น ๆ ก็ส่งทอดเข้ามาในห้องอยู่เรื่อย ๆ ท่านก็ส่งให้ญาติโยมทานบ้าง ดูแล้วก็เป็นบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเองมากจนอดชื่นชมไม่ได้ว่าพระดัง ๆ เช่นนี้สามารถทำตนเข้าถึงประชาชนได้ดีทีเดียว น่ายินดียิ่งนัก

 

พอได้ยินเสียงทัก รู้สึกสะอึกทันที

ในขณะที่เราคิดว่า ทุกคนในห้องนั้นกำลังชื่นชมบารมีของพระดังรูปนี้อยู่เหมือนเรานั้น สามีชาวอังกฤษของเพื่อนสนิทก็พูดขึ้นมาจากข้างหลังเราเป็นภาษาอังกฤษว่า “I thought monks are not supposed to eat after twelve o’clock.” (ผมเข้าใจว่าพระสงฆ์ฉันอาหารหลังเที่ยงไม่ได้) พอสิ้นเสียงประโยคนั้น เรารู้สึกสะอึกเหมือนมีอะไรติดคอทันที นั่นเป็นคำถามเดียวกับที่เราได้ถามตนเองเมื่อสักครู่นี่เอง ในขณะที่เราพยายามปัดคำถามของเราออกไปนั้น คนที่ไม่รู้ว่าพระองค์นี้โด่งดังแค่ไหนในเมืองไทยกลับสามารถมองได้อย่างตรงไปตรงมาว่าการขบฉันเช่นนั้นเป็นเรื่องผิดวินัยของพระ

ความเป็นคนไทยและเป็นชาวพุทธของเราทำให้รู้สึกอย่างรุนแรงในขณะนั้นว่าเราต้องปกป้องพระของเราไว้ก่อน จะไม่ยอมให้ฝรั่งเข้าใจท่านผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราเข้าใจว่าพระองค์นั้นเป็นพระอริยะเจ้าแล้ว จึงหันไปอธิบายให้สามีของเพื่อนฟังว่า วินัยของสงฆ์นั้นย่อมมีการยกเว้นให้แก่พระที่ต้องเดินทางไกล และไม่สามารถฉันอาหารตรงตามเวลาที่กำหนดได้ ซึ่งเราก็พูดไปทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้กฎวินัยอย่างแท้จริง ตอนนี้มานั่งคิดดูแล้ว ก็ยิ่งรู้ว่าไม่น่าเป็นไปได้ เพราะการเดินทางเป็นหมู่คณะที่มีคนไทยมากมายเช่นนั้น ต้องมีการเตรียมพร้อมเรื่องอาหารของพระเสมอ คนไทยเราจะไม่ยอมให้พระท่านอดเด็ดขาด

 

เทศน์น้ำมากกว่าเนื้อ

หลังจากวันนั้นแล้ว พวกเราก็ได้ติดตามคณะของท่านไปวัดอมราวดีซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นทั้งไทยและเทศ สามียอมพาเราและลูก ๆ ไปด้วยเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเรามาก เราได้เตรียมเทปบันทึกไปเพื่ออัดคำเทศนาของท่านในวันนั้น ด้วยความหวังว่าจะได้ยินธรรมะในระดับของพระอริยะเจ้าที่หาฟังได้ยากยิ่ง แต่ก็รู้สึกผิดหวังเพราะท่านพูดเรื่องน้ำมากกว่าเนื้อ บรรยายถึงบุญบารมีของตนเองมากกว่า แม้กระนั้น เราก็ไม่ได้ตั้งคำถามและสงสัยในพระดังรูปนี้เลยสักนิดเดียว

 

ชื่อเสียงเขาบดบังปัญญาเรา

วันที่พระยันตระกับคณะเดินทางออกจากเบอร์มิ่งแฮมนั้น เนื่องจากเป็นรถทัวร์ที่เช่าจากเบอร์มิ่งแฮม หลังจากส่งคณะถึงลอนดอนแล้ว จะต้องนำรถเปล่ากลับมาเบอร์มิ่งแฮมอีก เพื่อนที่เป็นเจ้าภาพจะไปส่งท่านยันตระกับคณะถึงลอนดอน จึงชวนเราไปด้วย จะได้เป็นเพื่อนกลับเบอร์มิ่งแฮมกับรถทัวร์คันนั้น เราจึงไปด้วยโดยแวะเที่ยวประสาทที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งที่เมืองวอริค Warwick castle ที่นี่เองที่เรามีโอกาสได้เห็นอิริยาบทต่าง ๆ ของพระยันตระที่ไม่คิดว่าจะเห็น นั่นคือ การชอบถูกถ่ายรูป

ตอนนั้น ถึงแม้จะเห็นท่าทางหลายอย่างที่ไม่เหมาะสมกับสมณะสารูปก็ตาม แต่ยังไม่กล้าคิดอะไรที่เป็นอกุศล เพียงคิดว่า นิสัยที่ชอบถูกถ่ายรูปนั้นเป็นนิสัยของคนไทยและคนเอเซียโดยทั่วไป โดยไม่มีความเฉลียวใจแม้แต่น้อยว่า ที่จริง การยืนเต๊ะท่าโน้นท่านี้ให้คนถ่ายรูปให้ตนนั้นเป็นเรื่องของปุถุชนมาก ซึ่งอย่าว่าแต่เป็นพระอริยเจ้าเลย แม้แต่พระสงฆ์ธรรมดาก็ยังไม่เหมาะไม่ควร แต่ก็อีกนั่นแหละ ตอนนั้น แม้จะมีปัญญาอยู่บ้าง แต่ปัญญานั้นก็ถูกบดบังด้วยชื่อเสียงอันโด่งดังอย่างมากมายของพระรูปนี้ ใครจะกล้าแม้คิดอกุศลต่อท่าน ตกลงว่าการมาอังกฤษของ“ท่านอาจารย์ยันตระ”ในฤดูร้อนของปีนั้น ประสบความสำเร็จมากในสายตาของเรา

 

ได้ยินข่าวลือเป็นครั้งแรก

หลังจากนั้นเพียงไม่ถึงสองเดือน ก็ได้รับจดหมายจากเพื่อนฉบับหนึ่งเขียนมาบอกว่า พระยันตระกำลังมีเรื่องอื้อฉาวเรื่องผู้หญิง เรารู้สึกเสียวสันหลังว๊าบทันที เพราะถ้าหากเรื่องนี้เป็นจริงแล้ว คนแรกที่จะหัวเราะเยาะเราและคนไทยอีกมากมายคือสามีเราเอง เพราะสามีเห็นเราโฆษณาและชื่นชมพระองค์นี้มาก จึงพลอยเออออห่อหมกไปกับเราด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นคนชอบเข้าวัด และเมื่อคิดถึงคนอังกฤษและคนต่างชาติอีกมากมายที่แห่แหนมาชื่นชมบารมีของพระยันตระที่วัดอมราวดีและวัดอื่น ๆ ที่ได้ไปแวะแล้ว เราก็ยิ่งนั่งไม่เป็นสุข รู้ว่าหากเรื่องนี้ดังมาถึงที่นี่แล้ว คนไทยจะต้องถูกคนอังกฤษหัวเราะเยาะอย่างทั่วถึงกันแน่นอน เขาต้องสรุปว่าทำไมคนไทยเราโง่จัง ถูกหลอกง่ายเหลือเกิน

 

รู้สึกรับผิดชอบมาก

ยิ่งกว่านั้น หลังจากที่พระยันตระได้กลับออกจากอังกฤษนั้น เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ท่านอาจารย์พุทธทาสได้ดับขันธ์ เราจึงได้รับแรงบันดาลใจที่จะบันทึกเหตุการณ์เหล่านั้นไว้ในงานเขียนของเราที่เริ่มเขียนมาตั้งแต่ลูกยังเล็กอยู่ โดยให้ชื่อเรื่องว่า “ท่านอาจารย์พุทธทาสไป ท่านอาจารย์ยันตระมา” ได้พูดยกย่องพระองค์นี้ไว้มากว่าจะช่วยประกาศพระพุทธศาสนาไปทั่วโลก ถึงแม้งานเขียนชิ้นนั้นยังไม่ได้รับการตีพิมพ์และยังไม่มีคนอื่นรู้เห็นก็ตาม แค่เพียงเรารู้ ก็รู้สึกรับผิดชอบทั้งต่อสิ่งที่ตนเองได้เขียนและสิ่งที่คนอื่นจะคิดเกี่ยวกับพระรูปนี้ขึ้นมาทันที เพราะการมาอังกฤษของพระยันตระครั้งนั้น ไม่ได้มาอย่างเงียบ ๆ เลย เป็นเรื่องที่นำคนมากมายทั้งไทยและเทศเข้าไปพัวพันด้วย

 

เขียนจดหมายถามทันที

ฉะนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ต้องรู้ให้ชัดเสียก่อนว่า เรื่องอื้อฉาวนั้นเป็นจริงหรือไม่ จึงเขียนจดหมายส่งโดยตรงไปถึงพระยันตระที่วัดป่าสูญตาราม กาญจนบุรี ทันที และถามท่านตรง ๆ ว่าเรื่องอื้อฉาวนั้นจริงหรือไม่ ก็ได้รับจดหมายตอบจากพระลูกศิษย์ที่ได้ติดตามมาอังกฤษว่า ขออย่าไปเชื่อข่าวลือ เพราะคนที่โด่งดังแล้วย่อมมีคนอิจฉาและมีศัตรูมาก ขอให้มีความมั่นใจในตัวท่านยันตระ แต่เมื่อมีความสงสัยอยู่ในใจแล้ว ก็กำจัดความสงสัยนั้นได้ยาก

          หลังจากนั้นไม่นาน เรื่องอื้อฉาวของพระยันตระก็ถูกเปิดเผยอย่างโจ่งแจ้งและกลายเป็นข่าวใหญ่ของเมืองไทย แต่เราก็ไม่รู้ว่ามันใหญ่แค่ไหนจนกระทั่งกลับเมืองไทยในปลายปีนั้น จึงรู้ว่าสถาบันศาสนาของเมืองไทยกำลังถูกสั่นคลอนชนิดจะถอนรากถอนโคนกันทีเดียวก็เพราะพระยันตระ นอกจากนั้น ความแตกแยกได้เกิดโดยทั่วไประหว่างกลุ่มที่เลือกเข้าข้างหรือไม่เข้าข้างพระยันตระ คนไทยมากมายตกอยู่ในสภาวะที่ไม่รู้จะเชื่อใครหรืออะไรอีกแล้ว สร้างความเสียหายต่อขวัญและกำลังใจของคนไทยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เราไม่เคยประสบมาก่อน เราก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่รู้จะเชื่อใครดี

 

อาจารย์โกวิทเรียก ยันตระ เฉย ๆ

ในช่วงสองสามวันแรกที่กลับถึงเมืองไทยนั้น ก็พยายามอ่านข่าวเพื่อเอาข้อมูลให้มากที่สุด และคิดว่าบุคคลที่จะฟังความเห็นได้ดีคืออาจารย์โกวิท จึงโทรไปคุยกับท่าน อาจารย์โกวิทเป็นคนไทยคนแรกที่เรียกชื่อยันตระเฉย ๆ ให้เราได้ยิน โดยไม่มีคำนำหน้าว่า พระ หรือ ท่าน หรือ ท่านอาจารย์ เราจึงรู้ทันทีว่าอาจารย์โกวิทต้องเชื่อในความผิดของพระองค์นี้แล้ว แต่เรายังไม่กล้าทำเช่นนั้น ยังรู้สึกกลัวบาปอยู่เพราะยังไม่ปักใจว่าจะเชื่อหรือไม่ แต่ก็รู้ว่า เรื่องอื้อฉาวนี้ได้เกิดแล้วในระหว่างการเดินทางท่องยุโรปของพระยันตระ แม้ช่วงที่มาถึงเบอร์มิ่งแฮมนั้น คนไทยในคณะก็รู้แล้วว่าพระรูปนี้กำลังมีปัญหาเรื่องการมั่วสีกาอยู่ ตอนนั้นยังไม่มีการพิสูจน์ เราจึงไม่รู้เหมือนกันว่าจะเชื่อหรือไม่ แต่เรื่องการลอกบทกวีของอาจารย์ระวี ภาวิไล นั้น ในฐานะที่เราเองก็ชอบเรื่องการขีดเขียน จึงรู้ว่า การทำเช่นนี้ผิดมาก เป็นเรื่องการขโมยของดี ๆ นี่เอง ความสั่นคลอนในพระรูปนี้เริ่มมีมากขึ้น ภายในสามอาทิตย์ที่เราอยู่เมืองไทยนั้น เรื่องราวของพระรูปนี้ก็ถูกเปิดเผยมากขึ้นตามลำดับ จนในที่สุด เราก็เป็นคนไทยอีกคนหนึ่งที่สามารถเรียกชื่อยันตระโดยไม่มีความตะขิดตะขวงใจอีกต่อไป เมื่อกลับมาอังกฤษ ก็ได้เขียนบทความฉบับหนึ่งตีพิมพ์ในเสียงไทย ประกาศตัวถอนความเคารพศรัทธาในตัวยันตระ

 

คนที่ทำลายศาสนาได้ดีคือพระ ไม่ใช่ฆราวาส

          มามองย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เราเห็นตำตาว่าไม่ถูกต้อง แต่ไม่สามารถแสดงออกถึงความคิดนั้น กลับปัดมันออกไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้ สามารถเห็นได้ชัดเจนว่ามีเหตุผลใหญ่สองประการคือ

) เพราะเห็นผ้าเหลืองอันเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า

) ความมีชื่อเสียงโด่งดังของพระรูปนี้

เหตุผลทั้งสองนี้เป็นผลพวงของสิ่งที่เราได้ถูกอบรมมาในกระแสของวัฒนธรรมไทย คนไทยเราเมื่อเห็นผ้าเหลืองแล้วก็มักมีจุดอ่อนในใจเสมอโดยเฉพาะคนเข้าวัด และถ้าผู้ห่มผ้าเหลืองเป็นคนที่มีชื่อเสียงในระดับประเทศอย่างที่ยันตระเป็นมานั้น คนไทยเรายิ่งไม่กล้าแตะต้องใหญ่ เพราะความกลัวบาป อันนี้ไม่ต้องพูดถึงคนทั่วไปที่เป็นชาวพุทธแต่เพียงขึ้นทะเบียนเท่านั้น คนเหล่านี้จะไม่มีปัญญามองผ่านผ้าเหลืองและชื่อเสียงนั้นได้ แม้คนที่มีปัญญาแล้ว ก็ยังไม่กล้าตัดสินอะไรง่าย ๆ หากไม่มีพยานหลักฐานที่ออกมาจากผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่ยันตระทำมิดีมิร้ายด้วย ฉะนั้น คนที่จะทำลายศาสนาพุทธได้ถึงรากถึงโคนนั้นไม่ใช่ฆราวาส แต่คือพระหรือผู้ห่มผ้าเหลืองนี่เอง  นี่จึงเป็นเหตุผลใหญ่ที่เปิดโอกาสให้เดีรถีร์คนแล้วคนเล่าทำลายพระพุทธศาสนาชนิดถอนรากถอนโคนเช่นนี้

 

พุทธศาสนาคือร่มโพธิ์ร่มไทรของคนไทย

เรื่องราวของเดีรถีร์มุ่งทำลายพระพุทธศาสนาในเมืองไทยนั้น ถ้ามองในแง่ลบคือ ทำให้คนไทยเสียขวัญ เสียกำลังใจและหมดที่พึ่งทางใจ ส่วนหนึ่งของความรู้สึกเป็นคนไทยคือ การสามารถพึ่งพาร่มโพธิ์ร่มไทรของพระพุทธศาสนาอันเป็นสมบัติอันล้ำค่าของชาติไทย ซึ่งเป็นความหมายที่ลึกซึ้งและซับซ้อนมาก ว่าจะพึ่งอย่างไรอย่างแท้จริง  คำตอบคือ การพึ่งพาที่เกิดอย่างเป็นธรรมชาติในกระแสวัฒนธรรมไทยนั่นเอง เมื่อใครรู้สึกไม่สบายใจ ฝันร้าย คิดอยากทำความดี ก็ตื่นเช้าหน่อยขึ้นมาใส่บาตรพระ หรือไม่ก็เข้าวัดทำบุญ ทำสังฆทาน แล้วก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น การที่คนไทยสามารถทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้ต้องนับว่าเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยทางจิตวิญญาณที่ฝรั่งหรือคนต่างวัฒนธรรมไม่สามารถทำได้ ฝรั่งเมื่อฝันร้ายแล้ว ไม่สามารถมานั่งแก้ฝันโดยการทำบุญเพื่อให้ตนเองสบายใจมากขึ้น ฝรั่งเมื่อกลุ้มใจแล้ว เขาจะต้องไปเสียเงินเพื่อระบายปัญหาให้กับนักจิตวิทยา Psychiatrist   ซึ่งเป็นอาชีพที่ทำกันอย่างแพร่หลายมากในสังคมตะวันตก เพราะคนป่วยด้วยโรคใจมีมากเหลือเกิน คนไทยเราเมื่อกลุ้มใจแล้ว เข้าวัด คุยกับพระ เงินก็ไม่ต้องเสีย แถมได้วิธีการแก้ปัญหาโรคใจที่ดีที่สุดด้วย เพราะพระส่วนมากก็จะสอนให้ญาติโยมปล่อยวาง ให้มองทุกอย่างเป็นเรื่อง ทุกขัง อนิจจัง และอนัตตา อย่าไปยึดถืออะไรมาก ปล่อยวางเสีย จะได้เบาอกเบาใจ ทางออกเช่นนี้ดีกว่าไปหาหมอโรคจิตอย่างเทียบกันไม่ได้ เพราะหมอโรคจิตส่วนมากก็อาจจะป่วยใจเอง คนไทยเราหาทางออกเช่นนี้ได้ง่ายมากเพราะวัฒนธรรมแห่งความเป็นชาวพุทธได้สร้างมาให้ วิถีชีวิตเช่นนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของคนไทย แม้คนที่ไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นชาววัดก็ยังได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัว แสดงให้เห็นว่าศาสนาพุทธได้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของคนไทยเราอย่างทั่วถึง เป็นความร่ำรวยอย่างเอนกอนันต์ของวัฒนธรรมไทยที่ต้องรักษาไว้ให้ดีที่สุด

 

วิถีชีวิตที่มั่นคงถูกทำลายเพราะเดีรถีร์

   ฉะนั้น เมื่อมีเดีรถีร์มาทำลายความมั่นคงของพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่อง เท่ากับทำลายวิถีชีวิตอันมั่นคงของคนไทยที่ได้สืบทอดมาร่วมพันปีแล้ว นั่นคือ เดี๋ยวนี้เมื่อคนไทยเราอยากทำบุญ ถ้าหากไม่มีเรื่องของพระเลว ๆ อย่างสมัยก่อนละก็ คนก็ใส่บาตรพระ ทำบุญไปด้วยใจที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง ไม่มีความลังเลและตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด ทำบุญก็ทำได้เต็มที่ทั้งผู้ทำและผู้รับ เดี๋ยวนี้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว เมื่อคิดอยากทำบุญ ก็ต้องคิดต่อว่าทำกับใครดีจึงจะไม่เสียข้าวสุก จึงจะได้บุญอย่างแท้จริง หลายคนคิดไม่ตก จึงไม่ทำเสียเลย เอาเงินไปให้ปอเต็กตึ้งดีกว่า อย่างน้อยก็รู้ว่าเขาเอาไปช่วยคนอย่างแท้จริง ศาสนาพุทธจะอยู่รอดได้ก็เพราะมีบริษัททั้ง ๔ หรือ ๓ ในเมืองไทย แต่ขณะนี้ บริษัททั้งสามนี้กำลังระส่ำระสายมาก โดยส่วนของเดีรถีร์นั้นย่อมนับว่าเป็นบาปอย่างมหันต์ที่มาทำลายพุทธศาสนาเช่นนี้

         

อาจเรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่นได้

แต่ถ้าจะมองเหตุการณ์เลวร้ายเหล่านี้ในแง่บวกก็ได้เช่นกัน เพราะคนอื่นที่อาจจะมีสถานะคล้ายกันสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดของคนเหล่านี้ได้ สิ่งที่เห็นได้ชัดว่าทำไมพระเหล่านี้จึงถูกทำลาย เหตุผลใหญ่คือ การพุ่งชนลาภสักการะอย่างเต็มที่นั่นเอง แม้ตอนนี้ เรายังอยากคิดว่า การเริ่มต้นในทางธรรมของยันตระนั้นเป็นความตั้งใจที่บริสุทธิ์ ต้องการแสวงหาธรรมเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง ไม่มีความคิดที่จะหลอกลวงใครทั้งสิ้น แต่ไม่มีใครเคยบอกว่าการเดินตามทางแห่งองค์มรรคนั้นเป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะหากไม่มีครูบาอาจารย์ที่ชี้แนะได้อย่างถึงแก่นแล้ว การหลงทางย่อมเกิดได้ง่ายมาก แม้หลงแล้ว หากเจ้าตัวมีลักษณะนิสัยที่อ่อนน้อมถ่อมตนและเรียบง่ายเป็นต้นทุนอยู่ ก็ยังอาจจะรอดตัวได้

บรรพชิตในวัฒนธรรมไทยเป็นเรื่องดาบสองคม

แต่ก็นั่นแหละ ความเป็นพระในวัฒนธรรมไทยจะเรียกว่าเป็นดาบสองคมของคนที่ต้องการบรรลุธรรมอย่างแท้จริงก็ได้ ในแง่ดีคือ เพศบรรพชิตคือวิถีชีวิตที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าจะเป็นทางลัดช่วยให้สาวกของท่านไปถึงนิพพานได้เร็วที่สุด คือตัดเรื่องทำมาหากิน เรื่องเพศสัมพัน เรื่องครอบครัวออกไปหมด จะได้ตั้งหน้าตั้งตาขูดเกลากิเลสให้เกลี้ยงได้เร็วขึ้น ซึ่งในสมัยพุทธกาล พุทธสาวกมากมายก็ทำได้จริง ๆ จนมีพระอริยเจ้าผุดขึ้นมามากมายเหมือนดอกเห็ด แต่นี่เป็นยุคที่เลยกึ่งพุทธกาลมาแล้ว แม้พระพุทธเจ้าเองก็ทรงทราบดีว่าวิถีชีวิตที่ประเสริฐ์นี้จะต้องถูกทำลายโดยสาวกที่ไม่ได้มุ่งปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลส

ฉะนั้น ในอีกแง่หนึ่งที่เป็นส่วนลบ โดยเฉพาะในวัฒนธรรมไทยของเราแล้ว วิถีชีวิตของบรรพชิตได้กลายเป็นประตูเปิดเข้าสู่ลาภสักการะได้ภายในพริบตา และทำได้ง่ายมากในสังคมไทยเรา บรรพชิตที่บวชเข้ามาแล้วยังไม่ทันได้ขูดเกลากิเลสอย่างแท้จริง และมาถูกเขี้ยวเล็บของลาภสักการะตะปบไว้แล้วละก็ จะรอดตัวได้ยากมาก ยันตระและวัดธรรมกายนั้นเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ชายห่มผ้าเหลืองที่มีหน้าตาดี วางท่าสงบ ลาภสักการะก็จะไหลมาเทมาอย่างล้นหลาม เมื่อได้ชิมรสชาดของสิ่งเหล่านี้แล้ว คนจริงที่อิงกับสัจจะจริง ๆ เท่านั้นจึงจะรอดตัวมาได้โดยไม่ถูกข่วน

 

คนไทยเสียขวัญเพราะทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามทฤษฎีอีกแล้ว

ถ้าเป็นคนที่เห็นสัจจะอย่างแท้จริงแล้ว ก็จะไม่เปิดโอกาสให้ตนเองวิ่งเข้าชนลาภสักการะเช่นนั้นเป็นอันขาด เพราะรู้เท่าทันว่านั่นเป็นเพียงหม้อใหญ่ที่บรรจุตัวหนอนไว้เต็มเท่านั้น จะไปโทษคนไทยเราก็ไม่ได้ เพราะโดยทฤษฎีแล้ว บรรพชิตคือผู้ที่ควรรู้ว่าอะไรดี สามารถแยกแยะความถูกออกจากความผิดได้ดีกว่าฆราวาส รู้ว่าอะไรคือความสว่างและความมืด จึงเป็นผู้นำและเป็นที่พึ่งทางใจของฆราวาสที่ยังอยู่อย่างมืด ๆ อย่างสุก ๆ ดิบ ๆ จึงก่อให้เกิดวัฒนธรรมที่คนไทยเราให้ความเคารพบูชาพบรรพชิตอย่างหมดหัวใจเช่นนี้ เพราะคนไทยเราเห็นผ้าเหลืองเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า

นี่เป็นความร่ำรวยของวัฒนธรรมไทยที่ปู่ย่าตาทวดได้สร้างไว้ให้ลูกหลานไทย แต่มาถูกเดียรถีร์อลัชชีอันเป็นกาฝากของพระพุทธศาสนาดูดซับความร่ำรวยนั้นไปเสียหมด ฉะนั้น ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามทฤษฎีเสียแล้ว เครื่องแบบของบรรพชิตไม่ได้เป็นที่พึ่งทางใจให้คนอย่างแท้จริงแสียแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังมาทำลายศรัทธาของคนอย่างยับเยินดังที่ยันตระได้ทำมา เรื่องจึงยุ่งกลับตะละปัดกันหมด ทำให้คนไทยตกอยู่ในสภาวะเคว้งคว้าง ไม่รู้จะเอาใจไปเกาะไว้ที่ไหนอีกต่อไป คืออยู่ในสภาวะเสียขวัญนั่นเอง

ในแง่ของวัฒนธรรมทางใจแล้ว  นี่เป็นความเสียหายอย่างมหันต์ คนรุ่นใหม่จะหันหลังให้กับศาสนาอย่างสิ้นเชิงเพราะไม่เห็นว่าศาสนามีคุณค่าอะไร เห็นเป็นเรื่องหลอกลวงชาวบ้าน คนเราเมื่อพึ่งศาสนาไม่ได้ ก็ต้องหาที่พึ่งทางอื่น เปิดโอกาสให้ลัทธิบริโภคนิยมเจริญงอกงาม  มอมเมาตนเองด้วยสิ่งเสพติดต่าง ๆ   นี่เป็นสภาวะที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยขณะนี้ และศาสนาพุทธก็จะค่อย ๆ หายไปจากวิถีชีวิตของคนไทยไปในที่สุดตามพุทธทำนายไม่มีผิด  

 

บรรพชิตกับเรื่องเพศ

           บรรพชิตนั้นหากไม่ถูกเรื่องลาภสักการระทำลายแล้ว ก็มักถูกสีกาทำให้เสีย ที่จริงจะโทษแต่สีกาฝ่ายเดียวนั้นไม่ถูก เราเชื่อว่า สีกาส่วนมากที่เข้าไปพัวพันกับพระนั้น ล้วนแต่ถูกพระหลอกทั้งสิ้น เพราะเบื้องหลังเครื่องแบบสีเหลืองนั้น ก็คือผู้ชายดี ๆ นี่เอง แต่ต่างจากผู้ชายโดยทั่วไปเพราะเป็นผู้ชายที่ได้ตั้งสัจจะไว้กับตนเองและหมู่สงฆ์ในวันอุปสมบทว่า จะต้องชักสะพานให้ได้อย่างน้อยก็ในระหว่างที่ตนเองห่มผ้ากาสาวพัตรอยู่

ฉะนั้น บรรพชิตแท้จริงแล้วจะต้องระมัดระวังตนเองอย่างยิ่งที่จะต้องไม่มอง ไม่พูดกับสีกา แต่ถ้าต้องมอง ต้องพูดด้วยแล้ว จะต้องมีสติดูใจอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าได้วางขั้นตอนการปฏิบัติให้อย่างละเอียดละออแล้วเพราะท่านทรงทราบดีว่าความรู้สึกทางเพศของผู้ชายนั้นรุนแรงมากแค่ไหน จึงทรงตรัสอย่างเด็ดขาดเลยว่า เรื่องเพศนั้นบรรพชิตต้องชักสะพานเสีย คือไม่ยุ่งกับมันเด็ดขาด

สิ่งเหล่านี้ผู้ชายที่บวชเข้ามาเป็นพระรู้ทั้งนั้นว่าต้องทำตนอย่างไร ฉะนั้น แม้จะมีสีกามายั่วยวนอย่างไร มันก็เป็นหน้าที่โดยตรงของพระที่จะต้องวิ่งหนีและดูใจตัวเอง จะมาโทษสีกาว่ามายั่วยวนพระนั้น เราไม่เชื่อ ถ้าพระหรือผู้ชายห่มผ้าเหลืองไม่ได้เกี้ยวสีกาก่อนแล้ว เรื่องบัดสีเหล่านี้เกิดไม่ได้แน่นอน เพราะพระมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะไล่ตะเพิดสีกาออกไปให้ไกลสุดกู่ แค่ไล่ตะเพิด สีกาก็กลัวแล้ว

กรณีของยันตระนั้นก็คือผู้ชายที่พูดเก่ง และใช้เสน่ห์ของตนเองเกี้ยวผู้หญิงเหมือนผู้ชายส่วนมากโดยทั่วไป ไม่มีอะไรต่างกันเลย แต่เพราะห่มผ้าเหลืองจึงสามารถกุเรื่องราวที่น่าฟัง หลอกล่อจนผู้หญิงเคลิ้มและยอมสมสู่ด้วย

                      

เป็นเรื่องฝืนธรรมชาติ

ทีนี้มามองต่อว่าทำไมบรรพชิตจึงชักสะพานไม่ได้ง่าย ๆ นี่ไม่ใช่เป็นปัญหาของพระสงฆ์เท่านั้น พระต่างศาสนาโดยเฉพาะบาทหลวงคริสต์นิกายแคทอริคที่ต้องถือศีลข้อละเมถุนก็มีปัญหาเรื่องนี้มาก บางกรณีถึงขนาดกระทำชำเราเด็ก ๆ ที่อยู่ในปกครองของตน ที่อังกฤษ ข่าวเช่นนี้เริ่มมีมากขึ้น และเป็นเรื่องที่เกิดมานานแล้ว แต่ไม่ถูกเปิดเผย

ถ้าการชักสะพานเป็นเรื่องง่าย พระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ คงไม่ถูกดึงลงมาถึงจุดต่ำสุดนี้แน่นอน จากการได้ผ่านการใช้ชีวิตคู่และได้เดินมาถึงจุดที่เกิดญาณแล้ว จึงสามารถเข้าใจชีวิตได้อย่างถ่องแท้ในระดับหนึ่ง รู้ว่าทำไมบรรพชิตจึงล้มเหลวในเรื่องเมถุนธรรม

เหตุผลง่าย ๆ คือ นี่เป็นเรื่องผิดธรรมชาติของมนุษย์อย่างรุนแรงนั่นเอง พูดไปแล้ว วิถีชีวิตของพระนั้นเป็นเรื่องฝืนธรรมชาติ เรื่องการสืบพันธุ์มิใช่เป็นเพียงธรรมชาติของมนุษย์เท่านั้น แต่เป็นธรรมชาติของสัตว์โดยทั่วไป แม้พืชที่ไม่มีชีวิตจิตใจก็ยังต้องมีการสืบพันธุ์เช่นกัน

 

เรื่องเพศเป็นสัญชาติญาณ

การสืบต่อเผ่าพันธุ์เป็นความต้องการของธรรมชาติ จึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า “สัญชาติญาณ” ซึ่งเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่รุนแรงมาก การทำอะไรตามสัญชาติญาณนั้นหมายถึงการกระทำที่เกิดเองโดยไม่ต้องสอน  เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลและวิทยาศาสตร์ก็อธิบายไม่ได้ เช่น การกิน การนอน การถ่าย การสืบพันธุ์ สิ่งเหล่านี้เป็นสภาวะบีบคั้นของร่างกายที่ต้องการการตอบสนอง มิเช่นนั้น จะตายได้ สัตว์ทั้งหลายจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของร่างกายเหล่านั้นโดยไม่ต้องสอนมาก เด็กแรกคลอด เมื่อเอาปากไปจ่อที่นมมารดาแล้ว เขาก็รู้จักดูดน้ำนมจากอกแม่โดยไม่ต้องสอนมาก เป็นเอง นี่คือสัญชาติญาณ การสมสู่เพื่อสืบพันธุ์นั้นก็เป็นสัญชาติญาณที่รุนแรงมากอย่างหนึ่ง ทั้งมนุษย์และสัตว์ทำได้โดยไม่ต้องสอน จะเรียกว่าเป็นสัญชาติญาณที่รุนแรงมากที่สุดก็ได้ในจำนวนสัญชาติญาณทั้งหลายที่สัตว์มีอยู่ เหตุที่มีระดับความรุนแรงมากที่สุดเพราะการสืบต่อเผ่าพันธุ์เป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด และธรรมชาติต้องให้แน่ใจว่าสัตว์บนพื้นโลกเหล่านี้จะทำหน้าที่สำคัญนี้ให้แก่ธรรมชาติได้ มิเช่นนั้นแล้ว ทุกอย่างจะสูญพันธุ์หมด ฉะนั้น การใช้ชีวิตคู่จึงเป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดาของสัตว์โดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นสัตว์สี่เท้า สัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์น้ำ หรือมาสัตว์สองเท้าอย่างมนุษย์ ล้วนต้องอยู่เป็นคู่ผัวตัวเมียด้วยกันทั้งนั้น 

สัญชาติญาณเป็นเรื่องง่ายที่เข้าใจยาก

สัญชาติญาณเป็นเรื่องดูเหมือนง่าย แต่ที่จริงเข้าใจได้ยากมาก ได้พูดเรื่องนี้อย่างละเอียดในเรื่องคู่มือชีวิต ภาคศีลธรรมแล้ว เป็นการมองออกจากตัวธรรมชาติ การบรรลุธรรมหรือ เข้าถึงธรรม คือการเข้าถึงตัวธรรมชาติ หรือ การเข้ามาอยู่ในบ้านใหญ่ของธรรมชาติแล้ว จึงสามารถมองเรื่องง่าย ๆ เหล่านี้ได้อย่างเข้าใจมากขึ้นเท่านั้น ยังไม่ใช่เข้าใจอย่างถึงที่สุด เพราะความลึกลับเป็นลักษณะเด่นสุดของธรรมชาติ คนที่ยังไม่บรรลุธรรม ก็เหมือนกับยืนอยู่นอกบ้านและพยายามจะมองเข้าไปในบ้านใหญ่ จะมองอย่างไรก็ไม่เห็นหมด จึงเข้าใจเรื่องง่าย ๆ เหล่านี้ไม่ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จึงบอกว่านี่เป็นเรื่องง่ายที่เข้าใจยากโดยเฉพาะถ้ามองจากนอกบ้านด้วยแล้ว

         

จำเป็นต้องฝืนถ้าอยากไปนิพพาน

จึงเห็นได้ว่า เรื่องการชักสะพานของบรรพชิตนั้นเป็นเรื่องฝืนธรรมชาติอย่างรุนแรง แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำถ้าใครต้องการไปให้ถึงพระนิพพาน  ถ้ามองในวงกว้างสุด คือระดับของสังสารวัฏแล้ว เรื่องเพศสัมพันก็คือปัจจัยที่สร้างแรงเหวี่ยงที่ทำให้สังสารวัฏหมุนต่อไปได้เรื่อย ๆ นั่นเอง

ขอให้คิดถึงละครสัตว์หรือการแสดงกายกรรมกลางแจ้ง ในสมัยที่เราเป็นเด็ก ๆ ยังมีการแสดงเช่นนี้อยู่ แต่เดี๋ยวนี้อาจจะไม่มีแล้วก็ได้ คือจะมีรังไม้ใหญ่ที่หมุนเร็วและคนเล่นจะสามารถเดินบนกำแพงไม้ที่กำลังหมุนติ้วได้ ถ้ารังไม้นั้นหยุดหมุน คนจะเดินไม่ได้ จะตกทันที 

สังสารวัฏนั้นหมุนอยู่ได้ก็เพราะกรรม ถ้าจะเจาะแต่เรื่องเมถุนธรรมอย่างเดียว ก็หมายความว่า เมถุนนั้นเป็นสิ่งที่ป้อนให้สังสารวัฏมีแรงเหวี่ยงและหมุนต่อไปได้เรื่อย ๆ ฉะนั้น หากใครต้องการออกจากสังสารวัฏก็ต้องหยุดปัจจัยที่ทำให้เกิดแรงเหวี่ยงนั้น หรือ หยุดเรื่องเมถุน ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก เพราะการอยู่ในวงโคจรของแรงเหวี่ยงมันย่อมง่ายกว่าการดีดตัวเองออกมา หรือ การได้เสพเมถุนย่อมง่ายกว่าการไม่เสพ หรือ การแหวกว่ายอยู่ในสังสารวัฏย่อมง่ายกว่าการไปนิพพาน

นี่จึงเป็นเหตุผลใหญ่ว่าทำไมคนไปถึงนิพพานจึงมีน้อยมาก เพราะนิพพานเป็นเรื่องที่ต้องดีดตัวเองออกจากสังสารวัฏซึ่งเปรียบกับการดีดตนเองออกจากรังไม้ที่หมุนติ้วอยู่อย่างรุนแรงซึ่งเป็นเรื่องยาก

ฉะนั้น เรื่องเพศเป็นเรื่องรุนแรงเพราะเป็นปัจจัยที่สร้างแรงเหวี่ยงของสังสารวัฏ ถ้าไม่ใช่เป็นสัญชาติญาณที่รุนแรงมากแล้ว โลกนี้คงไม่เดินมาถึงจุดที่ถึงกับมีอุตสาหกรรมขายมนุษย์เพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงเหวี่ยงให้สังสารวัฏทั้งสิ้น ฉะนั้น ใครที่ต้องการออกจากสังสารวัฏเพื่อไปนิพพานจึงต้องไม่มาเสียเวลากับเรื่องเพศ จะต้องดีดตัวเองออกมาจากสัญชาติญาณที่รุนแรงนั้น

นี่เป็นเหตุผลใหญ่ว่าทำไมบรรพชิตจึงต้องชักสะพานเสีย เพราะใครที่เข้ามาเป็นเพศนักบวชก็หมายความว่าคน ๆ นั้นต้องการสร้างปัจจัยไปนิพพาน ใช่หรือไม่ นี่เป็นเป้าหมายสูงสุดของบรรพชิต นี่เป็นเหตุผลเดียวที่พระพุทธเจ้าสร้างวิถีชีวิตของบรรพชิตขึ้นมา เพื่อบรรพชิตจะได้รับประโยชน์อันสูงสุด คือ ไปให้ถึงพระนิพพาน

 

เอาหินทับหญ้า

สิ่งหนึ่งที่บรรพชิตจะทดแทนสัญชาติญาณอันรุนแรงนี้ได้คือ วิมุตติสุข หรือ ปีติจากสมาธิ ซึ่งเป็นความสุขที่ละเอียดอ่อนกว่าเมถุนมากมายนัก ที่จริงความสุขจากเรื่องเพศและความสุขจากสมาธิเป็นความสุขคนละอย่างกัน ไม่ใช่เป็นความสุขที่ทดแทนกันได้อย่างแท้จริง

ความสุขทางเพศเหมือนเด็ก ๆ ที่ได้กินขนมโปรดแล้วเป็นสุขมาก ส่วนปีติและวิมุติจากสมาธินั้นเหมือนคนปวดท้อง  พอได้นั่งส้วมถ่ายแล้วก็เป็นสุข ทำให้ร่างกายเบาขึ้น เหตุผลที่แท้จริงคือ ปีติจากสมาธินั้นทำให้จิตใจไม่ถูกรบเร้า ไม่แกว่งและหวั่นไหว ทำให้ใจหยุดนิ่งและไม่หมกมุ่นอยู่กับความคิดเรื่องเพศ  เพราะถ้าไม่มีพลังสมาธิ ใจก็จะแกว่ง ส่ายหาที่ลง

บรรพชิตไม่ต้องห่วงเรื่องทำมาหารับประทานเหมือนชาวบ้าน ไม่ต้องห่วงเรื่องจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคาร หรือกลัวเจ้าหนี้มาเคาะประตูบ้าน ฉะนั้น จิตใจของบรรพชิตก็มักมาลงเรื่องขบฉันบ้าง เรื่องนอนบ้าง หรือไม่ก็มาลงที่เรื่องเพศเสมอ จะคิดหมกมุ่นกับเรื่องเพศ พอจิตคิดแล้ว ใจซึ่งเป็นส่วนนามก็จะไปกระตุ้นส่วนกายที่เป็นรูป เพราะรูปกับนามนี้อยู่เนื่องกัน คือกระตุ้นฮอร์โมนและกระตุ้นอวัยวะที่ก่อให้เกิดความรู้สึกทางเพศซึ่งล้วนเป็นเรื่องของกายทั้งสิ้น ถ้ามาถึงจุดที่ร่างกายถูกกระตุ้นแล้วละก็ เรื่องชักสะพานนี่ลืมได้แล้ว สู้ได้ยากมาก ถ้าร่างกายถูกกระตุ้นแล้ว มันเหมือนกับพยายามจะต้านพลังแม่เหล็กที่จะดูดทุกสิ่งที่ดูดได้เข้าไป จะไปต้านมันนั้นยากมาก 

อย่างไรก็ตาม หากพระฝึกฝนตนเองในเรื่องสมาธิเป็นอย่างดีแล้ว ก็ยังอยู่ได้อย่างสบายโดยไม่ถูกเรื่องเพศรบเร้ามากนัก เพราะปีติจากสมาธิสามารถทำให้จิตใจอิ่มเต็ม ฉะนั้น กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน (อนุสัย) หรือนิสัยเก่า ๆ ที่เคยชินไม่สามารถโผล่ขึ้นมาได้ เพราะปีติอันเหมือนหินก้อนใหญ่กำลังทับหญ้าอยู่ ความคิดหมกมุ่นกับเรื่องเพศหายไปได้พักหนึ่ง ฮอร์โมนในร่างกายก็ไม่ถูกกระตุ้น จึงอยู่รอดได้โดยไม่ต้องยุ่งกับเรื่องเพศ 

 

พระป่ายังไม่ปลอดภัย

ผู้ที่สามารถเข้าถึงวิมุติสุขได้อย่างแท้จริงจะสามารถผ่านเลย bypass เรื่องเพศได้ในระดับหนึ่ง แต่ตราบใดที่ยังไม่มีญาณปัญญาแทงทะลุเรื่องราวของชีวิตได้ทั้งหมดแล้วละก็ ปัญหายังหมดไม่ได้ และปีติจากสมาธิก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้หมดปัญหาได้อย่างสิ้นเชิง เพราะปีติจากสมาธิเหมือนเอาหินทับหญ้าไว้เท่านั้น หรือเหมือนโคลนที่ตกตะกอน ถ้าไม่ไปแกว่ง น้ำก็ไม่ขุ่น แต่ถ้ามีปัจจัยที่ทำให้น้ำต้องแกว่งแล้ว โคลนนั้นจะขุ่นขึ้นมาได้อีก

พระที่อยู่ป่าหาความสงบกับสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาตินั้นไม่ได้หมายความว่าท่านจะปลอดภัยจากเรื่องเพศแล้วเสมอไป การอยู่กับธรรมชาติที่เป็นป่าเขาลำเนาไพรนั้น ใจสงบได้ง่ายเพราะไม่มีผัสสะที่วุ่นวายมารบกวน ถ้าเน้นพูดแต่เรื่องเพศ ก็หมายความว่าไม่มีผู้หญิงที่นุ่งน้อยห่มน้อยมาเดินให้เห็น ไม่มีภาพโป๊ในหน้าหนังสือพิมพ์ให้ดู  ไม่มีโทรทัศน์หรืออินเตอร์เน็ทที่จะให้ดูหนังโป๊เมื่อใดก็ได้  เมื่อไม่มีผัสสะที่กระตุ้นให้ฮอร์โมนกำเริบเช่นนี้ ใจก็สงบราบเรียบได้ จนอาจจะเข้าใจว่าตนเองหลุดพ้นหรือบรรลุธรรมแล้วก็ได้ นั่นเป็นการสรุปที่เร็วเกินไป ถ้าพระพุทธเจ้ายังคงทรงเน้นให้สาวกที่เป็นพระอรหันต์ของท่านทำอานาปานสติเพื่อความมีสติและความสุขในปัจจุบันอยู่แล้วละก็ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่นอน หมายความว่า พระอรหันต์ที่ยังไม่ได้ดับขันธ์ ๕ นั้นก็ยังไม่ใช่ว่าหมดเรื่องอย่างสิ้นเชิง เพราะขันธ์ ๕ นี้ยังอยู่ภายใต้กฏอนิจจัง การถูกท้าทายจากสภาวะอนิจจังยังเกิดได้อยู่เสมอ การถูกท้าทายจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อขันธ์ทั้ง ๕ ดับสนิทโดยไม่มีส่วนเหลือเท่านั้น

นิทานเรื่องต่อไปนี้จะสามารถอธิบายเรื่องความปลอดภัยของพระป่าได้ดี

 

นักบวชผู้บรรลุฌาน 

ครั้งหนึ่ง มีนักบวชท่านหนึ่งได้เข้าป่าไปฝึกฝนตนเองทางใจตั้งแต่วัยหนุ่มจนล่วงเข้าสู่วัยกลางคน วันหนึ่งในขณะที่กำลังทำสมาธิอยู่อย่างสงบ ณ. ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งนั้น นกตัวหนึ่งได้มาเกาะอยู่ ณ. กิ่งไม้ใกล้เคียง ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว นักบวชผู้นั้นลืมตาขึ้นมา พลันคิดด้วยจิตที่ขุ่นมัวว่า นกตัวนี้ได้มาทำลายความสงบของตนเอง จิตพุ่งคิดออกไปว่า หากมีพลังของฌานแล้ว จะทำให้นกตัวนี้ตกจากกิ่งไม้และตายทันที คิดเพียงเท่านั้น นกตัวนั้นก็ตกลงมาจากกิ่งไม้ที่เกาะอยู่และตายต่อหน้าต่อตาชายนักบวชนั้นทันที เมื่อสำรวจอย่างถ้วนถี่แล้วว่านกตัวนั้นได้ตายไปจริง ๆ ชายนักบวชจึงรู้ว่าตนเองได้บรรลุฌานระดับสูงแล้ว สามารถชี้นกให้เป็นไม้และชี้ไม้ให้เป็นนกได้แล้ว เขาได้พยายามพิสูจน์อิทธิฤทธิ์ของตัวเองอยู่ในป่าอีกสามถึงสี่วัน และสามารถทำได้ทุกครั้งไป จึงคิดอย่างกระหยิ่มอยู่ในใจว่า บัดนี้ ถึงเวลาที่จะเข้าสู่เมืองได้แล้ว เพื่อจะได้แสดงฤทธิ์ของตนให้คนอื่นเกรงขาม คิดเช่นนั้นแล้ว นักบวชหนุ่มจึงเดินทางเข้าเมือง

เมื่อเดินทางมาถึงชายป่าอันเป็นเขตต่อเนื่องเข้าสู่เมืองนั้น นักบวชกระหายน้ำเป็นอย่างยิ่ง ทันทีที่เดินผ่านมาถึงบ้านแรกของหมู่บ้านนั้น จึงเข้าไปขอน้ำดื่มเพื่อดับกระหาย หญิงวัยกลางคนที่อยู่หน้าบ้านจึงตะโกนเข้าไปในบ้านขอให้ลูกสาวนำน้ำฝนสะอาดมาถวายนักบวชที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง และแล้ว หญิงสาวเพิ่งย่างเข้าวัยยี่สิบ นุ่งห่มผ้าส่าหรีสีสดใส มีใบหน้าสวยสดประดุจกุหลาบที่เพิ่งแรกแย้ม เดินออกจากห้องครัว ในมือถือขันน้ำ เธอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผู้เดินทางที่กำลังทอดสายตามองเบื้องต่ำอย่างสงบเสงี่ยมเยี่ยงนักบวช และแล้ว เธอก็ยื่นขันน้ำให้แก่นักบวชด้วยอากัปกิริยาที่ชดช้อยและอ่อนโยนพร้อมกับเชื้อเชิญให้นักบวชรับขันน้ำจากมือนาง ชายนักบวชซึ่งอยู่ในวัยเกือบสี่สิบปีแล้ว เมื่อได้ยินเสียงที่ดังกังวาลของหญิงสาวที่เชื้อเชิญให้ดื่มน้ำและเห็นฝ่าเท้าที่เรียวงาม มีผิวนวลเนียนดุจแสงจันทร์มายืนตรงหน้าแล้ว จึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นนักบวชเงยหน้าขึ้น หญิงสาวจึงส่งรอยยิ้มอันเป็นสัญลักษณ์แห่งการต้อนรับคนแปลกหน้าที่มาจากต่างถิ่น รอยยิ้มของนางยิ่งเพิ่มความสวยงามให้แก่ใบหน้าที่งามอยู่แล้วให้งามมากยิ่งขึ้น 

ทันทีที่เห็นใบหน้ารูปไข่ของหญิงสาวที่กำลังส่งรอยยิ้มอันสวยงามปานเทพธิดานั้น ชายนักบวชซึ่งใช้ชีวิตอยู่ป่าตั้งแต่วัยหนุ่มและยังไม่เคยมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดหญิงสาวเลยนั้น เหมือนถูกมนต์สะกด จ้องหน้าของนางด้วยตาที่ไม่กระพริบและยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น ไม่ไหวติง หมดแรง แขนทั้งสองเหมือนมีก้อนน้ำหนักถ่วงอยู่ ไม่สามารถเคลื่อนมือขึ้นมาหยิบขันน้ำจากหญิงสาวได้ พลังแห่งฌานสมาธิอันเปรียบเสมือนเกราะเหล็กที่แข็งแกร่งห่อหุ้มจิตใจของนักบวชนั้น มาบัดนี้ได้ถูกใบหน้าและรอยยิ้มของหญิงสาวอันเปรียบเหมือนความร้อนในเตาหลอมเหล็ก ได้หลอมเกราะเหล็กนั้นจนเหลวละลายไป ไม่มีแรงต้านทานใด ๆ เหลืออยู่เลย ฤทธิ์เดชแห่งกามราคะที่เปรียบเหมือนโคลนนอนแน่นิ่งอยู่ใต้ถุนใจนานหลายปีในช่วงอยู่ป่านั้น มาบัดนี้ ได้ถูกเขย่าจนใจกลายเป็นน้ำโคลนดำมืด ความรู้สึกทางเพศกำเริบและเผาผลาญจิตใจของนักบวชจนตั้งตัวไม่ติด

ในที่สุด แทนที่จะยื่นมือไปรับขันน้ำจากหญิงสาว นักบวชวัยกลางคนพูดอย่างอ่อนโยนว่า

“อาตมาขอยืมปิ่นปักผมบนศรีษะของหลานสักสองอันได้หรือไม่”

หญิงสาวไม่เข้าใจว่าทำไมนักบวชแปลกหน้าจึงขอปิ่นปักผมของนางแทนที่จะรับขันน้ำไปดื่ม แต่ก็ไม่ขัดใจ นางได้วางขันน้ำลงบนพื้น และแล้วก็ยื่นมือไปดึงปิ่นปักผมบนศรีษะออกมาสองอันตามคำขอร้องและยื่นให้แก่ผู้ขอ นักบวชรับปิ่นปักผมทั้งสองมาแล้วก็เสียบเข้าสู่ลูกตาทั้งคู่ของตนทันทีโดยไม่ลังเล แล้วก็เดินหันหลัง กลับเข้าสู่ป่า และไม่ออกจากป่าอีกเลย

 

เมื่อไม่มีข้อสอบ ก็ไม่รู้ว่าตนเองจะสอบได้หรือสอบตก

นิทานเรื่องนี้คงไม่ได้สอนให้นักบวชแก้ปัญหาเรื่องการคุกคามของกามราคะโดยการไปควักลูกตาออกเสียให้หมด การควักลูกตาไม่ได้แก้ปัญหาแต่อย่างใด แต่จะเป็นอุทาหรณ์ที่ดีให้กับพระป่าหรือแม้พระเมืองก็ตามที่คิดว่าใจของตนสงบราบเรียบอยู่นานหลายปีแล้ว จึงอาจจะคิดเข้าข้างตนเองว่า ใจของตนอยู่ในขั้นปลอดภัยแล้วก็ได้

เรื่องนี้อย่าว่าแต่พระป่าที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดชนิดรู้แจ้งแทงตลอดเลย เพราะความสงบจากการอยู่ป่านั้น อย่างที่บอกแล้วว่าเป็นเพียงเรื่องหินทับหญ้าเท่านั้น รากของปัญหายังไม่ได้ถูกถอนแต่อย่างใด ถ้าอยู่ป่าได้ตลอดชีวิตก็คงจะปลอดภัย คือไม่ต้องยุ่งกับคนเลย แต่จะหลุดพ้นได้หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

แม้พระป่าที่คิดว่าได้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้วในขณะที่อยู่ป่า ก็ยังต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่าปลอดภัยอย่างแท้จริงหรือไม่ เพราะตราบใดที่ยังไม่มีการทดสอบตนเองนั้น จะรู้ไม่ได้ว่าใจอาจจะกำเริบได้หรือไม่ การอยู่ป่านั้นไม่มีข้อทดสอบได้ดีเท่ากับการอยู่เมือง เมื่อไม่มีข้อทดสอบ ก็ไม่รู้ว่าตนเองจะสอบได้หรือสอบตก แม้จะเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม ตราบใดที่ขันธ์ ๕ ยังไม่ดับอย่างหมดเชื้อคือยังไม่ได้ปรินิพพานแล้วละก็ ขันธ์ ๕ นั้นก็ยังตกอยู่ภายใต้กฏแห่งอนิจจัง การเปลี่ยนแปลงยังเกิดได้อยู่ แต่พระอรหันต์สามารถรอดตัวได้ดีและเก่งกว่าผู้ยังไม่บรรลุธรรมเพราะทั้งชีวิตกำลังอิงกับสัจจะที่เป็นนิจจัง คือพระนิพพาน และมีสภาวะใจที่หลุดร่อนแล้วอย่างเป็นธรรมชาติ

ฉะนั้น ยิ่งพระอรหันต์ด้วยแล้ว ยิ่งต้องมีการพิสูจน์ตนเองตลอดเวลาว่าใจสามารถหลุดร่อนจากจิตได้เสมอหรือไม่ และจะต้องพิสูจน์เช่นนี้อยู่ทุกลมหายใจของทุกวันจนถึงวันดับขันธ์ เข้าสู่ปรินิพพาน จึงหมดเรื่องอย่างแท้จริง เรื่องนี้ ผู้ที่เป็นพระอรหันต์เท่านั้นจึงจะรู้ชัดว่าเรากำลังพูดเรื่องอะไร ฉะนั้น  พระอรหันต์ที่อยู่ป่าจะไม่มีข้อทดสอบที่จะพิสูจน์ให้ตนเองได้ว่า ใจของตนหลุดร่อนได้ทุกครั้งเสมอไปหรือไม่ จนกระทั่งมาเจอเหตุการณ์อย่างนักบวชในนิทานที่เล่านั่นแหละ จึงจะรู้ได้ว่าตนเองสอบได้หรือสอบตก

พระที่บรรลุธรรมขั้นสูงสุดในเมืองนั้นย่อมมีโอกาสได้ทดสอบตนเองบ่อยครั้งกว่าพระป่าแน่นอน เพราะผัสสะในเมืองย่อมมีมากกว่าในป่า

 

 ผ้าขี้ริ้วห่อทองยิ่งต้องทำข้อสอบมากกว่าพระ

ฆราวาสที่บรรลุธรรมในขณะที่อยู่กับความวุ่นวายของสังคมเมืองและยังใช้ชีวิตอย่างคนเมืองนั้นยิ่งต้องมีโอกาสถูกท้าทายและทำข้อสอบได้บ่อยกว่าพระที่บรรลุธรรมในเมืองอีกหลายเท่าตัวนัก พระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบนั้น ย่อมได้รับการเคารพ บูชา เทิดทูนไว้อย่างสูงส่ง ไม่มีใครกล้าเถียง ขัดแย้ง เหน็บแนม หรือวิพากย์วิจารณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคนพอรู้ว่าพระรูปนี้มีภูมิธรรมสูงด้วยแล้ว คนย่อมให้ความเคารพมากเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ต่างจากฆราวาสมาก

ฆราวาสที่บรรลุธรรมในเมืองและใช้ชีวิตอย่างผ้าขี้ริ้วห่อทอง คนมืดบอดย่อมไม่รู้ จะถูกเห็นว่าเป็นคนธรรมดาอีกคนหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้น การทดสอบจากคนรอบข้างย่อมเกิดตลอดเวลา ฆราวาสที่บรรลุธรรมจึงมีโอกาสทำข้อสอบบ่อยกว่าพระมากมายหลายเท่าตัวนัก และเป็นข้อสอบที่พระจะไม่มีโอกาสได้ทำ เพราะวิถีชีวิตต่างกันมาก 

คนที่มีโอกาสทำข้อสอบบ่อย สอบผ่านบ้างตกบ้าง ย่อมมีประสบการณ์ในการทำข้อสอบได้ดีกว่าคนที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำข้อสอบเลย ทำบ่อยเข้า เกิดความชำนาญ ในที่สุดก็จะสอบผ่านมากกว่าสอบตก  ตรงนี้เองที่เรามั่นใจมากขึ้นว่า พระพุทธเจ้าต้องทรงทราบว่าพระอรหันต์ที่เพิ่งบรรลุธรรมใหม่ ๆ ยังต้องระวังใจอยู่ในช่วงต้น ๆ  หลวงปู่หล้าก็ได้หลุดปากพูดออกมาอย่างที่เขียนไว้แล้ว เราเองเพราะมาเขียนหนังสือเล่มนี้ จึงได้มีโอกาสสำรวจใจอย่างถี่ถ้วนละเอียดละออในช่วง ๗ เดือนที่ผ่านมา  จึงยิ่งรู้ชัดมากขึ้นว่าแม้ใจของผู้บรรลุธรรมขั้นสูงแล้ว ยังต้องมีอะไรทำอยู่อีกหรือไม่

ตรงนี้เอง ที่ทำให้เรายิ่งรู้เหตุผลชัดขึ้นกว่าปีก่อนว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พระอรหันต์ยังคงทำอานาปานสติอยู่เพื่อความมีสติและความสุขในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเจาะเข้าสู่ธรรมในแง่ไหน ก็ต้องมาก้มหัวให้กับความรอบคอบของพระพุทธเจ้าเสมอ

 

ผู้บรรลุธรรมในป่ามักชักชวนคนเข้าป่า

อย่างไรก็ตาม พระป่าที่บรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้ว แม้ท่านจะไม่ได้ออกจากป่ามาทำข้อสอบในเมืองก็ตาม หากท่านเข้าสู่ปรินิพพานในป่าได้ ท่านก็หมดปัญหาอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน จะแตกต่างจากผู้ที่บรรลุธรรมในเมืองก็ในแง่ที่จะสอนคนให้ถึงนิพพาน พระป่าจะไม่เข้าใจวิถีชีวิตของคนเมือง และถนัดบอกให้คนเข้าป่า อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้แล้ว คนที่บรรลุธรรมในเมืองจะสามารถสอนคนในเมืองได้ดีกว่าคนบรรลุธรรมในป่า

 นี่เป็นเหตุผลใหญ่ที่ทำให้คนล่าช้าต่อการเข้าสู่กระแสพระนิพพาน เพราะพระดัง ๆ ส่วนมากเป็นพระป่า หรือแม้จะเป็นพระเมืองก็ตาม บางองค์ก็บวชมานานมาก เมื่อเข้าถึงธรรมแล้ว ถึงแม้จะแสดงออกถึงความหนักแน่นในธรรม แต่ก็ยังอยู่ในขอบข่ายของการสอนตามประเพณี ได้อ่านหนังสือคำถามคำตอบของพระป่าในขั้นพระอริยเจ้าชั้นสูงรูปหนึ่ง บางคำถามท่านก็สามารถตอบได้อย่างตรงเผ๋ง แต่บางคำถามที่เนื่องกับวิถีชีวิตของฆราวาสนั้น ท่านตอบอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้ เป็นการตอบคำถามชนิดเกาไม่ถูกที่คัน มิเช่นนั้น ก็เป็นคำตอบที่นำมาปฏิบัติไม่ได้ เป็นเรื่องอุดมคติของพระมากกว่าจะเป็นภาคปฏิบัติของฆราวาส เพราะวิถีชีวิตของพระกับฆราวาสนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ต้องเผชิญปัญหาคนละอย่างกัน แม้จะบรรลุธรรมขั้นสูง ก็ไม่ใช่จะเข้าใจปัญหาจุกจิกของฆราวาสได้เสมอไป 

 พระป่าที่เจริญก้าวหน้าในธรรมได้เพราะการอยู่ป่าที่เงียบสงบ จึงถนัดจะสอนให้คนหลีกเร้น แต่เรื่องการหลีกเร้นเข้าป่าเพื่อขัดเกลากิเลสนั้นมิใช่เป็นเรื่องง่ายสำหรับคนสมัยนี้เสียแล้ว และไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผู้หญิงจะทำกันได้ทันทีเหมือนครั้งพุทธกาล อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย แม้ฆราวาสชายก็ยังทำไม่ได้ทันที จะทำได้ก็คนกลุ่มน้อยที่มีบารมีสูงและพร้อมจะสู้ตายเพื่อให้ได้นิพพานเท่านั้น เรื่องนี้ต้องพูดกันมากหน่อย เพราะเป็นเรื่องใหญ่    

 

พระอิสระมุนี

เราไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของพระรูปนี้เลยจนกระทั่งสามเดือนก่อนนี่เอง มีคนส่งหนังสือของพระอิสระมุนีมาให้อ่าน เพราะเห็นว่าธรรมะของท่านลึกซึ้งและอยากให้หนังสือเล่มนี้มาอยู่ที่อังกฤษเพื่อเป็นประโยชน์แก่คนไทยคนอื่น ๆ ต่อไป เราได้เปิดอ่านแล้วคร่าว ๆ ก็เห็นด้วยว่าธรรมะของท่านนั้นเน้นไปที่แก่นของพระพุทธศาสนาจริง แสดงให้เห็นว่าผู้พูดต้องมีภูมิธรรมจริง มิเช่นนั้น ก็สอนธรรมะในระดับนั้นไม่ได้ หลังจากอ่านหนังสือเล่มนั้นเพียงไม่ถึงอาทิตย์ดี ผู้ส่งคนเดียวกันก็ได้ส่งหนังสือพิมพ์ที่ตีแผ่ปัญหาของพระรูปนี้ว่ามีเรื่องอื้อฉาวเรื่องเสพเมถุน และเราก็รู้แต่เพียงว่า นี่เป็นข่าวระดับประเทศ 

 

ถึงบัดนี้เราก็ไม่รู้ว่าการถูกกล่าวหาของพระอิสระมุนีนั้นมีมูลความจริงหรือไม่ จึงยังคงให้ความเคารพท่านในฐานะที่ท่านเป็นสมมุติสงฆ์และเรียกท่านว่าพระอิสระมุนีอยู่ เพราะยังไม่รู้ข้อเท็จจริง เรื่องพระอิสระมุนีจะผิดจริงหรือไม่นั้น ท่านเองเท่านั้นที่รู้ ถ้าพระอิสระมุนีไม่ได้ผิดจริงตามคำกล่าวหา มันก็ไม่มีปัญหาในตัวท่าน เป็นปัญหาของคนอื่น ท่านก็สามารถอยู่กับตนเองได้ตามปกติ และจะเห็นเรื่องอื้อฉาวนี้เป็นอีกข้อสอบหนึ่งที่ต้องสอบให้ผ่านตราบใดที่ยังอยู่กับโลก ถึงแม้ไม่อยากทะเลาะกับโลก โลกก็จะทะเลาะกับเราเอง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของโลกที่ผู้รู้ทั้งหลายเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว

          เหตุที่ต้องการพูดเรื่องพระอิสระมุนี เพราะน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีกับเรื่องที่เราเพิ่งพูดไปข้างบนนี้ คือ พระที่บรรลุธรรมขั้นสูงก็ยังต้องทำข้อสอบเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองจะสอบได้หรือสอบตก ฉะนั้น สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้เป็นเรื่องสมมุติทั้งสิ้น ต้องใช้คำว่า “ถ้า”  

ถ้าพระอิสระมุนีผิดจริงตามคำกล่าวหาแล้ว ก็เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเรื่องที่เราพูดมาทั้งหมดเกี่ยวกับสัญชาติญาณทางเพศที่รุนแรง และเรื่องแม้พระป่าที่คิดว่าบรรลุธรรมขั้นสูงแล้วก็ตาม หากยังไม่ได้ผ่านการทำข้อสอบต่าง ๆ แล้ว จะไม่มีทางรู้ว่าตนเองจะสอบได้หรือสอบตก ต่อเมื่อได้ทำข้อสอบแล้วนั่นแหละ จึงจะรู้ได้อย่างแท้จริง ฉะนั้น เมื่อพูดในแง่นี้แล้ว จะเห็นว่า ยิ่งผู้ที่บรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้ว ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ตราบนั้น ก็จะต้องทำข้อสอบอย่างไม่หยุดหย่อน ยิ่งเป็นผู้ที่บรรลุธรรมในเมืองและเป็นฆราวาสด้วยแล้ว การทำข้อสอบย่อมต้องเกิดขึ้นอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เพื่อพิสูจน์สภาวะหลุดพ้นของตนเอง

นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้รู้อย่างแท้จริงจะไม่ยอมเรียกตนเองว่าเป็นพระอรหันต์โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ด้วยแล้ว อย่าว่าแต่เรียกตนเองเลย แม้คิดว่าตนเองเป็นก็ไม่เกิด เมื่อทุกความคิดหลุดร่อนออกจากใจแล้ว จะเหลืออะไรให้คิดอีก  และเพราะรู้อยู่แก่ใจว่า ยังมีข้อสอบให้ทำอยู่เสมอตราบใดที่ยังมีขันธ์ ๕ อยู่ เรื่องการสรุปว่าใครต่อใครเป็นพระอรหันต์หรือไม่ในยุคนี้นั้น ล้วนเป็นบทสรุปของคนที่ยังไม่รู้จริงทั้งสิ้น ไม่ใช่เป็นการสรุปของเจ้าตัวแต่อย่างใด  

 

    จึงเห็นได้ชัดว่า ชายที่จะครองเพศบรรพชิตได้ตลอดรอดฝั่งนั้นเป็นเรื่องยากมาก ต้องเป็นผู้ที่มุ่งขัดเกลาจิตใจและพอใจอย่างยิ่งกับความสุขอันละเอียดอ่อนของสมาธิ ต้องตั้งสัจจะกับตนเองอย่างแรงกล้าว่าไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใดนอกจากความหลุดพ้นเท่านั้น จึงจะสามารถพาตนเองไปได้ตลอดรอดฝั่ง แม้กระนั้น หากยังไม่มีข้อสอบให้ทำ ก็ยังไม่อาจรู้ได้ว่าตนเองปลอดภัยจริงหรือไม่ เรื่องการไปให้ถึงนิพพานเป็นเรื่องยากยิ่ง

 

เปรียบเทียบความยากง่ายของพระและฆราวาสต่อเรื่องเพศ

 ฆราวาสที่มีใจมุ่งมั่นต่อความหมดทุกข์ในยุคสมัยนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับวิถีชีวิตของพระสงฆ์ที่ถูกวางไว้เพื่อการหลุดพ้นอย่างรวดเร็วนั้น จะว่ายากกว่าพระสงฆ์ก็ยากจริงอยู่ ในแง่เรื่องการทำมาหากินเพื่อปากท้อง พระไม่ต้องมาห่วงเรื่องหาเงินจุนเจือครอบครัวอย่างฆราวาส แต่ในเรื่องเพศแล้ว จะว่าง่ายกว่าพระสงฆ์ก็พูดได้เช่นกัน ฉะนั้น ลองมาวิเคราะห์ดูข้อเปรียบเทียบในเรื่องความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างพระกับฆราวาสที่ต้องการเอาชนะความรุนแรงของเรื่องเพศเพื่อมุ่งพระนิพพาน

ฆราวาสต่างจากพระตรงที่ไม่มีวินัยมาบังคับให้อยู่อย่างมีกฎเกณฑ์ในชีวิตประจำวัน ศีลทั้ง ๒๒๗ ข้อของพระนั้นเป็นเรื่องการเตรียมใจของนักบวชให้เข้าถึงธรรม ก็เท่านั้นเอง  ไม่ว่าจะมีศีลมากข้อเพียงใดก็ตาม ถ้าใครจับหลักการปฏิบัติวิปัสสนาได้แล้ว จะรู้ว่าต้องทำอย่างรวบยอดเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น คือ การมีสติดูใจอยู่ตลอดเวลา ทำเพียงเท่านั้น พระไตรปิฎกทั้งเล่มจะมารวมอยู่ที่เดียวกันหมด ซึ่งการปฏิบัติเช่นนี้แม้เป็นฆราวาสก็ทำได้โดยไม่ต้องคิดเรื่องการรักษาศีลให้มากข้อ แต่คนที่ทำได้ถึงระดับนั้นคงยังเป็นส่วนน้อยมากอยู่ อย่างไรก็ตาม คนกลุ่มน้อยนี้เป็นกลุ่มคนที่เราต้องการนำมาเปรียบเทียบกับพระในหัวข้อนี้ 

 ร่างกายที่ถูกผ้าเหลืองปกปิดนั้นไม่ได้ต่างจากร่างกายที่นุ่งกางเกงกับเสื้อเชิ๊ตเลย ยังมีความต้องการทางเพศอยู่ แต่เพราะได้ตั้งสัจจะที่จะไม่เสพเมถุนอันเป็นวินัยที่เคร่งครัดของสงฆ์ พระที่มุ่งทำสมาธิจนเกิดปีตินั้นก็อาจรอดตัวได้ในระดับหนึ่งอย่างที่พูดไว้แล้ว แต่พระที่ไม่ได้ปฏิบัติสมาธิอย่างจริงจังจะมีปัญหามาก เมื่อไม่มีปีติจากสมาธิ ใจจะเร่าร้อน กวัดแกว่ง และถ้าเป็นพระหนุ่ม ๆ แล้ว คงไม่พ้นที่จะต้องแก่วงไปสู่เรื่องเพศ เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองทางเพศแล้ว ก็จะเป็นการเก็บกด ทำให้สุขภาพใจเสียได้เหมือนผู้ชายทั่วไป เรื่องเพศนี่เมื่อยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ บรรพชิตที่มีปัญหาเรื่องเพศและมั่วสีกานั้น เราเชื่อแน่ว่า ส่วนมากต้องเป็นพระที่บวชมานานอาจจะตั้งแต่เป็นสามเณรแล้วก็ได้ จึงไม่มีประสบการณ์ในเรื่องเพศและการอยู่ใกล้ผู้หญิงเลย เมื่อมีโอกาสได้อยู่ใกล้สีกาแล้ว ตบะจึงแตกได้ง่ายมาก

พระพุทธเจ้าตรัสเองว่าสิ่งที่ชายปรารถนามากที่สุดคือหญิง และสิ่งที่หญิงปรารถนามากที่สุดคือชาย ชายหญิงนั้นเหมือนเป็นแม่เหล็กสองขั้วที่จะดูดเข้าหากันตลอดเวลา การห่มผ้าเหลืองไม่ได้ทำให้ความรู้สึกเหล่านี้ลดลงเลย อาจจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นด้วยซ้ำไป พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ดี จึงทรงห้ามสาวกไม่ให้เข้าใกล้หญิง ถ้าต้องเข้าใกล้ก็ไม่มอง ถ้าต้องมองก็ไม่พูด ถ้าต้องพูดแล้วต้องมีสติดูใจตลอดเวลา

พระที่มีจิตสำนึกดี เมื่อรู้ว่าตนเองไม่สามารถขัดขืนความต้องการทางเพศที่รุนแรงแล้ว ก็จะลาสิกขาบทออกมาแต่งงาน เคยรู้จักพระธุดงค์รูปหนึ่ง คิดว่าท่านคงบวชตั้งแต่เป็นสามเณรจนเข้าสู่วัยสี่สิบเศษแล้ว เวลาท่านเทศน์ ท่านจะหลับตา เวลาคุยกับโยมผู้หญิงก็จะมองพื้นเสมอ ไม่สบตา เป็นพระที่เมื่อดูภายนอกแล้วสงบมาก หลายปีต่อมา ได้ข่าวว่า พระธุดงค์รูปนี้ได้ลาสิกขาออกมาแต่งงานใช้ชีวิตคู่ทำไร่ไถนาอยู่ในชนบท ลูกศิษย์คนสนิทที่เป็นนักศึกษาและเคยไปเดินธุดงค์กับท่านนั้น ตอนแรกไม่ยอมเชื่อ จนกระทั่งไปหาและเห็นด้วยตนเองจึงยอมเชื่อ

เรื่องของพระธุดงค์รูปนี้เป็นตัวอย่างที่น่าสรรเสริญมากกว่าจะตำหนิ  พระที่ไม่มีหิริโอตตัปปะก็จะมั่วสีกาอย่างลับ ๆ ถ้าเป็นพระดัง ๆ ตราบใดที่มั่วสีกาแล้วไม่ถูกจับก็รอดตัวไป ถ้าถูกจับได้ก็หมดหนทางทำมาหากิน  เราเชื่อว่าพระที่ทำตัวเลวทรามเช่นนี้อย่างลับ ๆ และไม่เป็นข่าวนั้นต้องมีมาก พระอลัชชีที่กล้ามากกว่านั้น ก็จะออกไปเที่ยวซ่องโสเภณีในตอนกลางคืนและห่มผ้าเหลืองหากินในตอนเช้าต่อไป

แม้พระที่มีใจแข็งแกร่งและสามารถฝืนจิตใจตนเองที่จะไม่ยุ่งกับสีกานั้น ตรงนี้ เราแน่ใจว่า พระส่วนมากอาจจะต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้านี้ด้วยการสำเร็จความใคร่ให้ตัวเองบ้าง แล้วค่อยมาปลงอาบัติกันทีหลัง มิเช่นนั้นแล้ว ไปไม่รอดแน่ เรื่องนี้เราไม่มีความรู้ ใครอยากรู้ต้องไปคุยกับพระอย่างเปิดอกเอง นี่พูดในแง่ทฤษฎีเท่านั้น  สิ่งเหล่านี้เกิดเพราะโดยทฤษฎีแล้วเรื่องเพศเป็นสัญชาติญาณอันรุนแรงนั่นเอง

 

ฆราวาสได้เปรียบกว่าพระในเรื่องเพศ

 

ในส่วนของฆราวาสนั้น ก่อนอื่น ขอให้เข้าใจว่าเราไม่ได้พูดถึงกลุ่มคนที่ถูกถ่วงหนักด้วยราคะตัณหาอย่างโลก ๆ จนโงหัวไม่ขึ้นซึ่งเป็นคนส่วนมากของสังคม คนกลุ่มนี้จะอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่รู้เรื่องอยู่ดี จึงไม่ต้องพูดถึง จะพูดเจาะถึงกลุ่มคนที่มีความปรารถนามุ่งหลุดพ้นอย่างแท้จริงทั้ง ๆ ที่อยู่ในฐานะของฆราวาส ซึ่งอาจจะเป็นหยิบมือเดียวของสังคมเท่านั้น และอาจจะมีพระดี ๆ ที่ต้องลาสิกขาออกมาเพราะทนการรังควานของเรื่องเพศไม่ได้รวมอยู่ด้วย   

ฆราวาสกลุ่มน้อยนี้จะได้เปรียบกว่าพระ เพราะไม่ต้องมานั่งห่วงเรื่องอาบัติชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาบัติปราชิกในข้อเสพเมถุน เขาจะปฏิบัติตนต่อเรื่องเพศอย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาตราบใดที่ไม่ได้ล่วงละเมิดศีลธรรมขั้นพื้นฐานและกฏหมายของสังคม เช่น ไม่ไปมีเมียน้อย ไม่ไปผิดลูกผิดเมียของคนอื่น เป็นต้น คนกลุ่มนี้ก็จะใช้ชีวิตอย่างฆราวาส ดำเนินชีวิตไปตามขั้นตอนของธรรมชาติ คือ แต่งงาน มีลูก ฉะนั้น คนกลุ่มนี้จะไม่มีความเก็บกดทางเพศแต่อย่างใด เมื่อเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว ความรู้สึกทางเพศที่เคยรุนแรงมาก่อนในวัยหนุ่มสาวหรือวัยเจริญพันธุ์ก็จะค่อย ๆ น้อยลง ใจจะไม่กวัดแกว่ง ทุรนทุราย เหมือนที่เคยเป็น ผู้หญิงนั้น ความต้องการทางเพศไม่รุนแรงเท่าฝ่ายชาย ยิ่งหลังจากมีลูกแล้ว ร่างกายจะบอกปฏิเสธเรื่องเพศเอง 

โดยธรรมชาติแล้ว เมื่อผ่านวัยเจริญพันธุ์ ความต้องการทางเพศย่อมน้อยลง แต่ที่ไม่น้อย ส่วนหนึ่งเราเห็นว่ามาจากความเหลวแหลกของสังคมที่เน้นแต่เรื่องเพศ ผัสสะที่เข้ามาทางตาอันเนื่องกับเรื่องเพศนั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง  หนีไม่พ้น แม้ร่างกายสู้ไม่ไหวแล้ว แต่ใจก็ยังอยากอยู่ เพราะผัสสะเหล่านี้

อีกสาเหตุหนึ่งคือ การขาดปัญญา เข้าใจชีวิตผิดพลาด ผู้ชายมักคิดว่า หากความรู้สึกทางเพศน้อยลงแล้ว ความเป็นชายย่อมหมดไปด้วย จะพิสูจน์ความเป็นชายของตนได้ก็ต้องแสดงออกว่าตนมีสมรรถภาพในเรื่องเพศอยู่ จึงเกิดค่านิยมแห่งการมีเมียน้อยในหมู่คนไทย คนจีน นอกจากเป็นเรื่องแสดงให้คนเห็นว่าตนเองยังมีสมรรถภาพทางเพศดีอยู่แล้ว ยังได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการมีอำนาจ ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องการอวด “ตัวตนของผู้ชาย” male ego ทั้งสิ้น  ผู้ชายไม่น้อยที่เข้าวัยสี่สิบเศษจะรู้สึกกลัวเมื่อความรู้สึกทางเพศน้อยลง และอวัยวะเพศไม่ค่อยอยากทำงาน เพราะคิดว่า ถ้าไม่มีความสุขทางเพศ ชีวิตก็เหี่ยวเฉา ความกลัวเหล่านี้ล้วนมาจากเรื่องการไม่เข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้ทั้งสิ้น เป็นอาการของอวิชชา หรือ ความหลงผิด

ถ้าเข้าใจชีวิตอย่างถูกต้องโดยการเริ่มมีสัมมาทิฏฐิในทางธรรมแล้ว การหมดความรู้สึกทางเพศจะไม่เป็นปัญหาเลย กลับเห็นเป็นเรื่องดีเสียอีก เพราะนิวรณ์ในทางกามราคะก็น้อยไปอย่างหนึ่ง ฉะนั้น ฆราวาสชายที่มีสัมมาทิฏฐิและมุ่งขัดเกลากิเลสเพื่อมุ่งนิพพานนั้น เมื่อเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิตที่ไม่มีปัญหากับเรื่องเพศแล้ว เพราะได้ผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมาหมดแล้ว ไม่มีอะไรสงสัยแล้วนั้น จะเป็นวัยที่สามารถทำความก้าวหน้าในทางธรรมได้อย่างรวดเร็วมาก จะไม่มีปัญหาเหมือนพระสงฆ์โดยเฉพาะสงฆ์ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทางเพศก่อนบวช จึงยังสงสัยอยู่ ยังอยากลองอยู่ และยังอาจต้องผ่อนคลายเรื่องเพศอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ฆราวาสชายในวัยนี้ ถ้ายังมีความอยากทางเพศหลงเหลืออยู่บ้าง แม้จะมีการร่วมรักกับภรรยาบ้างเป็นครั้งคราวก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพราะยังอยู่ในกรอบแห่งการใช้ชีวิตอย่างฆราวาส จะไม่มีปัญหาเรื่องผิดศีลข้อปราชิกเหมือนอย่างบรรพชิต

เมื่ออายุมากขึ้น ก็จะยิ่งเข้าใจเรื่องเพศได้มากขึ้น และเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่งโดยไม่มีอะไรติดขัด สงสัย พอเข้าใจแล้ว ก็สามารถผ่านเลยมันไปโดยไม่มีอะไรติดข้องหมองใจ

ใช้ชีวิตจนสุดสายป่านแล้ว จะเข้าถึงธรรมได้เร็วขึ้น

ฉะนั้น ชายที่เข้าสู่วัยสี่สิบปลาย ๆ หรือ ห้าสิบ มีปัญญาพอจะเข้าใจชีวิตอย่างถูกต้อง และต้องการมุ่งเรื่องการหลุดพ้นแล้วไซร้ จะมีโอกาสดีมากที่จะทำความก้าวหน้าทางธรรม หากมีภรรยาที่เข้าใจดีและไม่ถูกภาระทางครอบครัวผูกมัดมากจนเกินไป สามารถละเพศฆราวาสและบวชเข้าสู่พระธรรมวินัยได้ในวัยนี้ละก็ จะเป็นบุญอย่างเอนกอนันต์ เพราะหมดสงสัยในชีวิตคู่แล้ว

คนประเภทนี้เรียกว่าได้ใช้ชีวิตมาจนสุดสายป่านของมันแล้ว เข้าใจเรื่องโลกธรรม ๘ ว่ามันก็เท่านั้นเอง จึงสามารถหยั่งรากลงสู่พระธรรมวินัยและทำความก้าวหน้าในทางธรรมได้ดียิ่ง คิดว่าหลวงพ่อเทียน จิตสุภโภ น่าจะจัดอยู่ในกลุ่มคนประเภทนี้ ท่านสามารถเข้าใจธรรมะก่อนบวช และภรรยาเป็นผู้สนับสนุนให้ท่านบวช

ฆราวาสหญิงก็ยิ่งไม่มีปัญหาใหญ่ อายุ ๔๐ ปลาย ๆ นั้นเป็นวัยที่ร่างกายเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัยชรา โดยเฉพาะผู้ที่ฝึกสมาธิมานานนั้น ความต้องการทางเพศอาจจะหมดไปนานก่อนหน้านั้นแล้ว หญิงที่แต่งงานจะติดขัดอยู่ก็แต่สามี แต่ถ้ามีสามีที่เข้าใจและมีระดับภูมิธรรมที่ใกล้เคียงกันแล้ว ก็ต้องเรียกว่าเป็นคู่ครองที่โชคดีมาก มีบุญมากยิ่ง สามารถช่วยกันประคับประคองใจเพื่อบรรลุพระนิพพาน 

แต่ก็อย่างที่พูดแล้วว่า ฆราวาสในวัยนี้ อาจจะต้องมาถูกถ่วงด้วยเรื่องทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว เพราะนั่นเป็นวัยที่ต้องส่งลูกเรียนหนังสือและสร้างหลักฐานที่มั่นคงให้ครอบครัว นี่ก็เป็นเรื่องดีอย่างเสียอย่างระหว่างพระกับฆราวาส         

 

วัฒนธรรมทางศาสนาสอนให้มองเรื่องเพศเป็นของต่ำทราม

ฆราวาสที่เป็นชาววัดมักจะถูกวัฒนธรรมทางศาสนาสอนให้มองเรื่องเพศเป็นเรื่องต่ำทราม สกปรก และหยาบคายนั้น เป็นเรื่องที่ต้องระวังมาก จริงอยู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าสอนโดยตรง แต่ที่จริงแล้ว นั่นเป็นการสอนพระภิกษุสาวกที่มุ่งหาทางลัดไปพระนิพพานต่างหาก  เพราะพระพุทธเจ้าทรงทราบดีว่าการผ่านเลยเรื่องเพศนี่เป็นเรื่องยากมากโดยเฉพาะสาวกที่เป็นหนุ่ม ผู้อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ทั้งหลาย จึงทรงสอนให้สาวกของท่านไม่เข้าใกล้หญิงเลย ให้มองหญิงเป็นศัตรูของพรหมจรรย์ ถ้าต้องเข้าใกล้หญิงก็ไม่มอง ถ้าต้องมองก็ไม่พูดด้วย ถ้าต้องพูดด้วยก็ต้องดูใจให้ดี นอกจากนั้น ท่านยังพยายามให้สาวกของท่านมองเรื่องเมถุนเป็นเรื่องสกปรก หยาบคายและต่ำทราม ซึ่งเป็นความคิดที่สามารถทำลายความรู้สึกต้องการทางเพศที่รุนแรงได้ในระดับหนึ่งอีกเช่นกัน

ยิ่งกว่านั้น ท่านยังให้สาวกของท่านไปมองซากศพที่เน่าเปื่อย ครั้งหนึ่ง ท่านทราบว่าสาวกหนุ่มรูปหนึ่งไปหลงรักนางศิริมาซึ่งเป็นหญิงงามเมืองที่สวยและมีเสน่ห์มากที่สุดของกรุงราชคฤห์ในยุคนั้น จนถึงขนาดฉันอาหารไม่ได้ นอนเพ้อหาแต่ศิริมา พอดีนางศิริมาตายอย่างปัจจุบันทันด่วน พระบรมศาสดาจึงทรงเกณฑ์สาวกทั้งหมดในวัดเวฬุวัน และทรงสั่งให้พระเจ้าพิมพิสารเกณฑ์ชาวเมืองทั้งหมดยกเว้นเด็กและคนเฒ่าชราเท่านั้น ให้คนเหล่านี้ไปดูซากศพของนางศิริมาที่ป่าช้าผีดิบ ๓ วันหลังจากที่นางตาย ซึ่งเป็นวันที่ศพกำลังพอง เนื้อเริ่มแตก น้ำเหลืองเริ่มไหลออกจากรอยแตกของเนื้อ เป็นภาพที่น่าสะอิดสะเอียนมาก เป็นการสอนให้คนเห็นความไม่เที่ยงของรูปกายนี้ จากหญิงที่เคยสวยสดงดงาม เป็นที่หมายปองของชาย เมื่อครั้งที่ยังเป็นหญิงงามเมืองอยู่นั้น ชายทั้งหลายต้องเข้าคิวเพื่อจองตัวนางไปบำเรอด้วยค่าจ้างถึง ๑๐๐๐ กหาปนะต่อวัน มาบัดนี้หญิงที่สวยหยดย้อยนั้นกลับกลายเป็นซากศพที่เปื่อยเน่า พุพอง ส่งกลิ่นเหม็น แม้ให้ฟรีก็ไม่มีใครเอาเสียแล้ว  การสอนเช่นนี้ นอกจากให้ชาวเมืองทั่วไปเห็นถึงความไม่เที่ยงของรูปกายสังขารแล้ว พระบรมศาสดายังต้องการเน้นให้บรรพชิตผ่านเลยเรื่องเพศด้วย จึงให้มองเป็นเรื่องสกปรก หยาบคาย ต่ำทราม

(เรื่องอสุภะกรรมฐานนี่ ฝรั่งรับไม่ได้ เป็นเรื่องผิดศีลธรรมโดยมาตรฐานของคนตะวันตกด้วยซ้ำไป ฝรั่งเห็นเรื่องการไปมองซากศพเป็นเรื่องตาบู taboo ทำไม่ได้ เขาจะตีความว่าพุทธศาสนาเป็นเรื่องเพี้ยนผิดธรรมชาติทันที จุดนี้ต้องระวังมาก คนพูดต้องเน้นและสรุปให้ถูก ถ้าไม่แน่ใจ ไม่ควรพูดเรื่องอสุภะกรรมฐานเลยจะดีกว่า มิเช่นนั้นแล้ว เสี่ยงที่จะทำให้ฝรั่งเข้าใจผิด)

ต้องแยกแยะให้ถูก

การสอนดังกล่าวของพระพุทธเจ้านั้น จุดประสงค์ที่แท้จริงคือช่วยให้พระภิกษุสาวกที่ส่วนมากก็ยังอยู่ในวัยหนุ่มสามารถผ่านเลยเรื่องเพศได้ เพราะวิถีชีวิตของบรรพชิตคือทางลัดไปพระนิพพาน ใครอยากไปนิพพาน ก็ต้องละเรื่องเพศให้ได้ จึงต้องมองเรื่องเพศว่าเป็นเรื่องสกปรก ต่ำทราม

แต่ชีวิตของฆราวาสมิใช่เป็นวิถีชีวิตที่ลัดสั้นไปสู่พระนิพพาน เป็นชีวิตที่ต้องดำเนินไปตามขั้นตอนของธรรมชาติ ถ้ามามองเรื่องเพศเป็นเรื่องต่ำทรามแล้ว อาจเกิดความขัดแย้งในใจจนเป็นปัญหาที่ตนเองก็ไม่เข้าใจและแก้ไม่ตกได้

 การสอนดังกล่าวของพระพุทธเจ้าได้ก่อให้เกิดแนวคิดเช่นนี้ในหมู่คนเข้าวัดเป็นส่วนมาก กลุ่มที่เน้นให้ปฏิเสธเรื่องเมถุนธรรมมากที่สุดในเมืองไทยเห็นจะเป็นกลุ่มของชาวอโศก เราเคยไปสันติอโศกเมื่อราว ๒๖ ปีก่อน ไปนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องหนึ่งที่มีหนุ่มสาวชาวอโศกกลุ่มหนึ่งนั่งคุยกัน หนุ่มสาวกลุ่มนั้นเต็มไปด้วยพลังแห่งการสร้างสรร และคงได้ตั้งสัจจะเรื่องการละเมถุนธรรมอย่างเด็ดขาด คือ ไม่แต่งงาน เขาได้พูดถึงการเสพเมถุนว่าเป็นเรื่องของคนที่มีจิตใจหยาบมาก เพราะถ้าใจของคนไม่หยาบแล้ว จะทำการร่วมเพศไม่ได้เด็ดขาด แต่เพราะใจหยาบ จึงไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสกปรก ต่ำทราม

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาวิเคราะห์เรื่องเพศเหมือนกับเป็นผู้เชี่ยวชาญยิ่ง เรานั่งหันหลังฟังหนุ่มสาวกลุ่มนี้คุยอย่างตั้งใจ ตอนนั้น รู้สึกยกย่องพวกเขามาก และอดเปรียบเทียบไม่ได้ว่า ตนเองยังใช้ไม่ได้ แค่การละเมถุนเท่านี้ เราก็ยังไม่กล้าคิดว่าจะละได้อย่างเด็ดขาดเหมือนพวกเขา นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เราไม่เคยรู้สึกสบายและผ่อนคลายเมื่ออยู่ท่ามกลางชาวอโศก เพราะถูกกำหนดให้คิดเปรียบเทียบเสมอว่า เราไม่ดีเท่าเขา

 

สงสัยนางวิสาขา

ในส่วนลึกของจิตใจนั้น เราก็ถูกค่านิยมของชาววัดนี้กระทบเอาเช่นกัน เพราะเห็นและจัดตนเองว่าเป็นชาววัด จึงควรมองเรื่องเพศเป็นเรื่องต่ำทราม หยาบคาย สกปรก นึกสงสัยอยู่เสมอว่า ทำไมนางวิสาขาซึ่งเป็นพระโสดาบันแล้ว ยังมีลูกมีเต้าเป็นโขยง เพราะคิดว่าระดับพระโสดาบันแล้ว ก็น่าจะละเรื่องหยาบ ๆ อย่างเรื่องเพศได้แล้ว จึงมีบางสิ่งบางอย่างที่เรารู้สึกว่าจับต้นชนปลายไม่ถูก  ตอนที่ตัดสินใจแต่งงานจึงยังมีความรู้สึกนี้ตกค้างอยู่มาก มีความรู้สึกแคร์มากว่าเพื่อน ๆ ที่ไปวัดด้วยกันจะคิดถึงเราอย่างไร เราเป็นคนสุดท้ายที่เพื่อน ๆ คิดว่าจะแต่งงาน เพื่อนมักมองเราในลักษณะที่จะเป็นสาวโสดเข้าวัดมากกว่า แต่ไป ๆ มา ๆ กลับเป็นคนแรกที่แต่งงาน จึงคิดมากว่าคนอื่นคงเห็นว่าเราไม่ได้จริงจังต่อเรื่องธรรมะเลย

ตอนที่แต่งแล้ว และมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนรุ่นน้องที่เคยไปวัดด้วยกันคนหนึ่ง น้องก็พูดขึ้นมาว่า เรานี่ใจกล้าจัง กล้าตัดสินใจแต่งงาน และมีลูกเช่นนี้ พูดเปรยว่า จำไม่ได้แล้วหรือ พระพุทธเจ้าตรัสว่า การเกิดเป็นทุกข์ แล้วทำไมจึงยังต้องการให้มีการเกิดอีก ยอมรับว่า ตอนนั้น ฟังแล้วใจเสียและสับสนมาก ตำหนิตัวเองว่า ได้ตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่ของชีวิตไปแล้วใช่หรือไม่ ในช่วงสองปีแรกของการแต่งงาน ซึ่งทุกข์มาก ก็ได้ยอมรับกับตนเองว่าเราได้ล้มเหลวในทางธรรมอย่างสิ้นเชิง จากชีวิตที่เคยสงบ กลับเอาครัวมาครอบและแบกทุกอย่างจนหนักหน่วงไปหมด

 แต่หลังจากที่เราแต่งงานเพียง ๕ ปี ทุกครั้งที่กลับเมืองไทย ก็ได้ข่าวว่าเพื่อนคนนั้นแต่งกับคนนี้อยู่เสมอ แม้เพื่อนรุ่นน้องที่เคยพูดเช่นนั้นกับเราก็มาแต่งงานกับฝรั่งในอีก ๑๗ ปีต่อมา

 

เอาหัวคนแก่มาวางบนบ่าของเด็กไม่ได้

ตอนนี้มานั่งมองกลับจึงดูออกว่า หนุ่มสาวเหล่านั้นกำลังคิดเพ้อฝันในสิ่งที่เป็นอุดมคติที่คิดง่ายแต่ทำยาก เป็นการคิดและพูดตามพระพุทธเจ้าเท่านั้น เป็นการคิดที่ขาดประสบการณ์ชีวิตจริง เรื่องราวของชีวิตที่ดูพื้น ๆ ไม่มีอะไรนี่แหละ เป็นเรื่องดูง่ายที่เข้าใจได้ยากมากที่สุด  ฉะนั้น ไม่ควรรีบด่วนตัดสินคนหรืออะไรลงไปง่าย ๆ ยิ่งเป็นหนุ่มเป็นสาวด้วยแล้ว ยิ่งไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไร พูดตาม ๆ เขาก็เท่านั้นเอง ใครอ่านมากก็พูดตามหนังสือ เราก็เป็นเช่นนั้น พูดตามอาจารย์อย่างเป็นตุเป็นตะ คิดว่าตนเองเก่งเหลือเกิน มานั่งมองย้อนกลับจึงรู้ว่ายังโง่อยู่มาก อยากเตือนเด็ก ๆ ที่เป็นชาววัดว่าอย่าเพิ่งไปด่วนตัดสินใครง่าย ๆ เพียงเพราะคนอื่นทำไม่ได้เหมือนตน พูดผิดหรือตัดสินคนอย่างผิด ๆ แล้วจะบาป ใครที่ทำได้อย่างตลอดรอดฝั่ง (ซึ่งจะต้องพิสูจน์ตนเองไปจนถึงวันตาย) ก็ขออนุโมทนาด้วย แต่หากทำไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง ก็ไม่ต้องเสียใจ ถือเป็นบทเรียนแห่งชีวิต 

เรื่องราวของชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ไปตามขั้นตอนของมัน และมีเรื่องต้องเรียนจนวันตาย ตายแล้วก็ยังเรียนไม่หมด จะเอาหัวของคนแก่มาไว้บนบ่าของเด็กนั้นเป็นไปไม่ได้ ไปข้ามขั้นตอนของชีวิตไม่ได้

แต่แม้จะเรียนรู้เรื่องง่าย ๆ ของชีวิตโดยผ่านประสบการณ์อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ยังเป็นคนภายนอก ยังไม่ได้เข้ามาอยู่ในบ้านใหญ่ของธรรมชาติแล้ว ก็ยังเข้าใจเรื่องง่าย ๆ เหล่านี้ไม่ถึงแก่นของมันอยู่ดี ฉะนั้น คนแก่บางคนจึงยังทำอะไรโง่ ๆ ได้   

 

มองจากหน้าต่างบ้านของธรรมชาติ

การเข้าถึงธรรม คือการเข้าถึงบ้านใหญ่ของธรรมชาติ คือการได้เข้ามาเป็นคนในบ้านและไม่ใช่คนนอกบ้านอีกต่อไป เพราะการได้ใช้ชีวิตอย่างฆราวาสของเรานี่แหละ เมื่อเข้ามาอยู่ในบ้านใหญ่ของธรรมชาติแล้ว จึงสามารถนั่งมองแต่ละขั้นตอนของชีวิตอย่างเข้าใจเหตุผล จึงสามารถอธิบายกลไกของธรรมชาติได้และมองเรื่องเพศสัมพันจากหน้าต่างบ้านของธรรมชาติ  ทำไมเราจึงกล้าพูดว่า วิถีชีวิตของบรรพชิตที่ต้องผ่านเลยเรื่องเพศนั้นเป็นเรื่องฝืนธรรมชาติอย่างรุนแรง และทำไมพระมากมายจึงล้มเหลวในธรรมข้อละเมถุนดังที่ได้อธิบายมาเบื้องต้น   ทำไมเราจึงรู้ว่า ฆราวาสชายในวัย ๕๐ หากมีใจมุ่งมั่นไปนิพพานแล้ว จะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติได้เร็วมาก ในเรื่องคู่มือชีวิต เราได้พูดเรื่องความรู้สึกของความเป็นแม่ไว้อย่างละเอียด และกล้าพูดว่า รู้สึกโชคดีที่ได้เป็นแม่คน ซึ่งเป็นคำพูดที่ดูเหมือนขัดแย้งกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่าการเกิดเป็นทุกข์ ที่จริงไม่ขัดเลย

สิ่งที่คนต้องเข้าใจให้ถูกต้องคือ เรื่องการเข้าถึงธรรมหรือถึงนิพพานนั้นเป็นเรื่องโดยตรงของคนทุกคน แม้คนที่คิดว่าตนเองไม่ต้องการนิพพานและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระนิพพานเลย เรื่องนิพพานก็ยังเป็นเรื่องโดยตรงของเขาอยู่ดี แต่ที่เขาพูดเช่นนั้นเพราะถูกอวิชชากลบไว้หนามาก เป็นประเภทบอดลึก  ฉะนั้น ไม่ใช่ทุกคนจะมีบุญมากพอที่จะเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าได้ และรู้ว่าการไปพระนิพพานเป็นเรื่องโดยตรงของตน ผู้ที่เลือกหนทางของนักบวชนั้นคือ ผู้ต้องการมุ่งไปนิพพานอย่างรวดเร็วและลัดสั้นที่สุด ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่พระพุทธเจ้าทรงสร้างให้และเป็นความร่ำรวยของสังคมไทยเราที่ยังมีวิถีชีวิตแห่งบรรพชิตอยู่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ฆราวาสจะไม่มีสิทธิ์ไปนิพพานเหมือนอย่างบรรพชิต

วิถีชีวิตของเราเป็นเรื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า แม้ฆราวาสหญิงที่ยังใช้ชีวิตคู่อยู่ หากตั้งใจจริงแล้ว ก็สามารถบรรลุเป้าหมายของชีวิตได้เช่นกัน จะยากหรือง่ายกว่าพระนั้น มันก็มีข้อได้ข้อเสียดังที่เปรียบเทียบมาแล้วเบื้องต้น

 

ทำไมพระทำผิดแล้วไม่ยอมสึก

ชายที่บวชเป็นพระได้ย่อมนับว่าได้สร้างบุญบารมีมาไม่น้อย จึงมีโอกาสได้บวชเข้าสู่พระบวรพุทธศาสนาเพื่อสร้างบารมีต่อไปจนถึงวันแห่งความหลุดพ้น ใครที่ทำได้ก็น่าอนุโมทนาอย่างยิ่งยวด แต่ในยุคค่อนกึ่งพุทธกาลนั้น ชายที่ได้ทำลายบุญบารมีที่ตนเองได้สร้างสมมาก็มีไม่น้อย ชายที่ทำตัวเป็นเพียงกาฝากของพระพุทธศาสนามีมากขึ้น จึงถือโอกาสพูดเพื่อขจัดกาฝากของพระพุทธศาสนา

พระที่ไม่ยอมสึกออกมาทั้ง ๆ ที่ได้ทำผิดศีลขั้นปราชิกแล้วนี้ เราว่าเหตุผลใหญ่อยู่ที่ไม่รู้จะออกมาทำมาหากินอะไร อย่างไรดี การใช้ชีวิตฆราวาสไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย ต้องปากกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอด ชายที่บวชเป็นพระนาน ๆ ได้ใช้ชีวิตที่สุขสบายในแง่ที่ไม่ต้องทำมาหากินเสียจนชิน ยิ่งเป็นพระดัง ๆ แล้ว ลาภสักการระก็ไหลมาเทมาอย่างไม่หมดไม่สิ้น จะไปไหนก็ขึ้นรถเบนซ์ จะพูด จะต้องการอะไรก็มีแต่คนพยักหน้ารับตลอดเวลา ใครจะไม่อยากอยู่อย่างนั้น กลายเป็นวิถีชีวิตที่เคยชินไปอย่างไม่รู้ตัว ความคิดที่จะออกมาแข่งขันกับคนอื่น ๆ เพื่อหาทางทำมาหากินนั้นย่อมเป็นเรื่องน่ากลัวมาก

 จุดนี้เอง ฆราวาสที่มุ่งขัดเกลากิเลสอย่างไม่ลดละนั้น จะไปไกลกว่าพระที่เอาแต่ลาภสักการะมากมายนัก เพราะอยู่กับความทุกข์อย่างแท้จริง จึงต้องการการดับทุกข์อย่างรุนแรง และถ้าฆราวาสทำได้ละก็ หมายความว่าจะต้องทำงานหนักกว่าพระหลายเท่าตัว พระที่มุ่งชนลาภสักการะและอยู่อย่างสบายจนเคยชินจะไปเอาพลังที่ไหนมาขัดเกลากิเลส  พระที่ลำบากหน่อยอย่างมากก็ไม่มีคนใส่บาตรไม่มีคนเอาซองให้ก็เท่านั้น แต่ไม่เคยอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ เหมือนคนจนส่วนมากที่ต้องอดมื้อกินมื้อ ฉะนั้น จะให้พระที่บวชนาน ๆ สึกออกมาเผชิญโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเพื่อความอยู่รอดนี้ แค่คิดเท่านั้น ก็ขนลุกแล้ว แต่ครั้นจะทู่ซี้อยู่ในเครื่องแบบผ้าเหลืองโดยไม่มีความตั้งใจมุ่งขัดเกลากิเลส อยู่อย่างเป็นกาฝากของพระพุทธศาสนาแล้วละก็ สึกออกมาดีกว่า การต่อสู้กับชีวิตจริงในสถานะของฆราวาสนั้นอาจจะช่วยทำให้เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าได้ดีขึ้นก็ได้ ขึ้นอยู่ที่ปัจจัยสำคัญข้อเดียวเท่านั้นว่า มีความอยากจะหลุดพ้นจากความทุกข์มากแค่ไหน ถ้ามีมาก ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสก็มีสิทธิ์ปฏิบัติจนถึงขั้นหลุดพ้นได้ทั้งนั้น จึงถือโอกาสนี้พูดตรง ๆ เพื่อขจัดกาฝากที่มาเกาะกินความร่ำรวยของวัฒนธรรมพระพุทธศาสนาในเมืองไทย