บทที่สอง ประสบการณ์หลุดพ้นครั้งที่สอง

                  

เหตุเกิดที่บ้านพรานนก

จำได้ว่า หลังจากเหตุการณ์ที่ท่าน้ำผ่านไปได้ประมาณเกือบปีหรือไม่ถึงขวบปีดี ตอนนั้นคงยังเรียนอยู่ปลายปีสามซึ่งเป็นปีที่เรายุ่งกับกิจกรรมของกลุ่มศึกษาชีวิตมากที่สุด เรารับเรื่องการตอบจดหมายปรึกษาปัญหาชีวิตของคนที่เขียนเข้ามานับร้อย พานักศึกษารุ่นน้องไปสวนโมกข์บ้าง ไปหาอาจารย์โกวิทที่หาดทรายแก้ว จังหวัดสงขลาบ้าง ไปถ้ำโพธิสัตว์ที่สระบุรีบ้าง หรือไม่ก็ไปหาหลวงพ่อเทียนที่วัดสนามใน พาน้อง ๆ เดินจงกรมเข้าไปในวัดที่อยู่ลึกเข้าไปในสวนของจังหวัดนนทบุรี เราเองก็ทำสมาธิบ่อยมาก  

                    มีเย็นวันหนึ่ง อยู่ที่บ้านพรานนก จำได้ว่ากำลังนอนอยู่บนเตียงที่เคยใช้เป็นที่นอนสระผม พี่สาวเป็นช่างทำผมเปิดร้านอยู่ข้างล่าง คงจะนอนอย่างเป็นสมาธิตั้งแต่ท้องฟ้ายังโพล้เพล้ใกล้เย็น นอนจนกระทั่งมืดค่ำ จึงไม่ได้เปิดไฟเพราะอยู่คนเดียวข้างบน พอรู้สึกตัวตื่น ลืมตาขึ้นมาก็ไม่เห็นอะไรนอกจากห้องที่มืดสนิท ใจสงบดิ่งนิ่งเป็นสมาธิ จึงนอนดูความมืดอย่างสงบอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจลุกขึ้น

ในช่วงที่กำลังเอามือยันเตียงและเอาเท้าหย่อนลงกับพื้นเพื่อนั่งขึ้นนั้น (ในท่าที่ก้ำกึ่งระหว่างนอนกับนั่ง) เกิดปรากฏการณ์พิสดารทางใจอย่างรุนแรง มีสภาวะที่อธิบายได้ชัดเจนด้วยคำเพียงคำเดียวคือ “หลุดพ้น” ใจของเราหลุดออกมาจากจิตอีก หลุดออกมาเฉย ๆ โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย มันทั้งหลุดและทั้งพ้น เป็นสภาวะที่รุนแรงและชัดเจนมาก ทำให้พบความอิสระทางใจอย่างมหันต์ เป็นประสบการณ์ที่รุนแรงกว่าที่เกิดขึ้นบนท่าน้ำพรานนกมากมายหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นเท่าตัว เปรียบเทียบไม่ถูก จู่ ๆ ก็เหมือนกับว่าใจถูกผลักออกจากจิตหรือความคิดตลอดจนความรู้สึกอื่น ๆ  ใจกับจิตหรือความคิดเป็นอิสระจากกันอย่างเด็ดขาดและสิ้นเชิง เหมือนเล็บหลุดออกจากเนื้อ เหมือนแม่เหล็กต่างขั้วที่เคยดูดเข้าหากันอย่างสนิทแนบเนื่อง จู่ ๆ พลังแม่เหล็กหมด มันก็หลุดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ไม่มีความแยแสต่อกันอีก

 

ทุกความคิดกลายเป็นฝุ่นละอองที่ไร้ค่า

ครั้งนี้ไม่ได้เห็นความคิดไหลเป็นเส้น ๆ เหมือนกับคราวที่เกิดขึ้นที่ท่าน้ำ แต่เห็นโลกทั้งโลกไม่ได้เหมือนโลกที่เราเคยอยู่ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนเมื่อเย็นนี้ มันเป็นคนละโลกกันอย่างสิ้นเชิง คนละเรื่องกันเลย  แม้ห้องจะมืดดำสนิท แต่ใจกลับสว่างไสวเหมือนมีดวงอาทิตย์ขึ้นอยู่ภายใน ทำให้รู้สึกโล่งเบาสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต ความรู้สึกชิมลอง ๕ นาทีที่ท่าน้ำนั้น นับว่าใกล้ความรู้สึกนี้มาก แต่ก็ยังไม่เหมือนเสียทีเดียว เราจึงนั่งอยู่ข้างเตียงนั้น พยายามจะย่อยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเข้าใจประสบการณ์ที่อัศจรรย์นั้น

                   จำได้ว่า ในตอนนั้น อยากคิดว่า นี่ต้องเป็นสภาวะของพระอรหันต์แล้ว นี่ต้องเป็นนิพพานแน่แล้ว แต่แม้ความคิดนั้นก็ไม่ติดที่ใจ แม้จะสงสัยว่านั่นเป็นสภาวะของพระอรหันต์ แต่ก็ไม่ตื่นเต้น  รู้แต่ว่าทุกอย่างหลุดออกจากใจหมด ไม่มีความรู้สึกอะไรเหลืออยู่เลย พยายามใช้ความคิด แต่ทุกความคิดกลับกลายเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่มีแก่นสาร และหลุดลุ่ยออกไปเองเหมือนฝุ่นละอองเล็ก ๆ ที่ปลิวว่อนอยู่ทั่วไป ไร้คุณค่าอย่างสิ้นเชิง รู้สึกว่าเหมือนถูกโยนมาอยู่ในโลกใบใหม่ แต่มันคือโลกใบเก่าที่ดูใหม่

                  

ใครจะมารู้เรื่องอย่างนี้ได้

อีกความรู้สึกหนึ่งที่จำได้แม่นยำคือ ตะลึงต่อสภาวะนั้นว่ามีสิ่ง ๆ นี้อยู่ในโลกจริง ๆ ด้วยหรือ รำพึงในใจว่า “ตายละ ใครจะมารู้เรื่องอย่างนี้ได้”  รู้ว่าคนธรรมดาจะเข้าใจสภาวะนั้นได้ยากมาก เพราะมันละเอียดอ่อนเกินไป พูดหรืออธิบายไม่ได้ เหลือวิสัยของชาวโลก รู้ว่า ธรรมที่อัศจรรย์ระดับนี้เข้าถึงได้ยากจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองวิเศษวิโสแม้แต่น้อยนิด กลับรู้สึกว่าธรรมดามาก ไม่เคยรู้เลยว่าความรู้สึกที่แสนจะธรรมดาเช่นนี้มีอยู่ในจิตใจของมนุษย์ด้วย รู้สึกแต่ความเป็นอิสระของใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน สภาวะนั้นไม่ได้หายไปภายใน ๕ นาทีเหมือนคราวก่อน จำไม่ได้แน่ชัดว่าทำอะไรกับตนเองบ้างหลังจากที่นั่งอยู่ในความมืดเพื่อพิจารณาสภาวะที่อัศจรรย์อย่างยิ่งยวดนั้น เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียวในบ้าน พี่ ๆ อยู่ข้างล่างกันและเพิ่งหัวค่ำอยู่ คิดว่าคงจะนั่งอยู่ในความมืดนั้นนานทีเดียว

 

หลุดเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง

จำได้แม่นยำว่า แม้เช้าวันรุ่งขึ้น สภาวะหลุดพ้นนั้นยังอยู่ ยังไม่ได้หายไปไหน พอดีได้รับปากกับพี่สาวว่าจะไปปากคลองตลาดด้วยในตอนเช้า จึงต้องไป จำได้ชัดว่า พี่สาวพูดด้วยก่อนออกจากบ้าน แต่เราไม่อยากพูดอะไรทั้งสิ้น เพราะเหมือนกับว่าสิ่งที่พูดออกมานั้นไม่จริง ทุกคำพูดที่หลุดออกจากปากไม่มีอะไรจริงเลยสักคำเดียว รู้สึกฝืนมากเมื่อจะพูด มองหน้าพี่สาวที่กำลังพูดอยู่เหมือนเป็นของแปลกมาก แปลกว่าเขาพูดกันได้ยังไง

จำได้ว่า กำลังยืนอยู่ที่หัวมุมถนนสักแห่งแถวปากคลองตลาด ยืนมองโลกที่อยู่ข้างหน้า ทั้ง ๆ ที่ทุกอย่างดูสับสนวุ่นวาย ทั้งเสียงรถเสียงคนตะโกนกันให้ลั่นไปหมด แต่เรากลับเห็นทุกอย่างเงียบและว่างอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับยังอยู่บนโลกใบเก่า แต่ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนอยู่อีกมิติหนึ่งที่ซ้อนโลกเก่าอยู่ และเรากำลังอยู่ในมิตินั้นคนเดียว ไม่มีใครรู้เห็นด้วย จึงสัมผัสความเงียบอย่างมหันต์ เป็นโลกที่แปลกมาก เป็นมิติใหม่ที่เรายังไม่ชิน เห็นทุกคนสามารถพูดอะไรต่ออะไรออกมาอย่างง่ายดาย พี่สาวก็พูดกับเราเหมือนที่เคยพูด ๆ กัน แต่เราทำไม่ได้ เราพูดออกมาทันทีเหมือนคนอื่นไม่ได้ ไม่มีอะไรจะพูด ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะความคิดมันหลุดหมด ไม่มีอะไรติดที่ใจ จึงไม่มีคำพูด

 

เราคิดว่าประสบการณ์นั้นคงจะไม่อยู่กับเรานานนัก แต่เมื่ออาทิตย์หนึ่งผ่านไป เราก็เริ่มชินที่จะอยู่ในโลกใหม่ที่ไม่มีอะไรสามารถข่วนใจได้เลย

                   จำได้ว่าสภาวะนั้นอยู่กับเรานาน ๔ ถึง ๕ เดือนเห็นจะได้ แล้วมันก็ค่อย ๆ เลือนหายไปอย่างช้า ๆ ในช่วงต้น ๆ นั้น ไม่มีอะไรมากระทบหรือข่วนใจได้เลย เพราะเหมือนกับไม่มีใจ สามารถเข้าใจเรื่องความว่าง อนัตตา ตถตา ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ที่เข้าใจได้เพราะเรากำลังอยู่กับมัน รู้ว่า ใครจะเข้าถึงธรรมนั้นได้จะต้องหลุดจากความคิดให้ได้เสียก่อน ถ้าไม่หลุดแล้วก็เข้าถึงธรรมที่เป็นอัศจรรย์อย่างยิ่งยวดนั้นไม่ได้ เห็นหนังสือธรรมะเป็นอุปสรรคอย่างมหันต์ต่อการเข้าถึงสภาวะธรรมที่อัศจรรย์นั้น

 

บอกพี่ละเอียดให้เลิกอ่านหนังสือ

จำได้ว่า วันหนึ่ง เดินไปพบพี่ละเอียดที่ท่าพระจันทร์ พี่เขากำลังยืนอ่านหนังสืออยู่ที่แผงขายหนังสือแถวท่าน้ำ จึงเดินเข้าไปทักพี่ละเอียด เห็นกำลังดูหนังสือธรรมะอยู่ จึงพูดออกมาทันทีว่า

“พี่ยังอ่านหนังสือธรรมะอยู่หรือ ยิ่งอ่านก็ยิ่งไม่รู้นะ หยุดอ่านได้แล้ว”

เราก็ไม่รู้ว่าพี่เขาจะคิดกับเราอย่างไร คงคิดว่าเราบ้าก็ได้ เพราะพี่ละเอียดเป็นรุ่นพี่ที่ชุมนุมพุทธและเป็นคนชี้แนะเรามากมาย และจู่ ๆ เราก็มาพูดสอนพี่ พูดไปโดยไม่รู้สึกอะไร เป็นการพูดตามข้อเท็จจริงเท่านั้น เพราะเรารู้อย่างแน่ชัดมากว่า อ่านหนังสือธรรมะเป็นอุปสรรคอย่างมหันต์ต่อการเข้าถึงพระนิพพาน ต้องไม่อ่าน ยิ่งอ่านก็ยิ่งเข้าถึงความอัศจรรย์ของใจไม่ได้ ใจที่หลุดพ้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวหนังสือเลย อยากบอกให้พี่เขารู้ว่า หนังสือธรรมะกับตัวธรรมะมันคนละเรื่องกัน อย่าเสียเวลาอ่านหนังสือเลย ไม่ได้ประโยชน์ รู้สึกว่า คนที่อ่านหนังสือ ยังอยู่ไกลแก่นแท้ของธรรมมาก

 

ฟ้าผ่าไม่ถูกใจ

อีกสิ่งหนึ่งที่จำได้คือ วันหนึ่งเรานั่งดูฝนตกอยู่ที่ระเบียงบ้านพรานนก เป็นช่วงเดือนมรสุม มีทั้งฟ้าร้อง ฟ้าแล๊บ ฟ้าผ่า วุ่นไปหมด ตั้งแต่เด็กมาจนโต ทุกครั้งที่ฟ้าผ่า จะต้องผ่าเข้าที่ใจเสมอ ใจต้องเคลื่อนทุกครั้งแม้จะเตรียมใจให้ดีอย่างไรก็ตามแต่ ใจต้องถูกข่วนไม่มากก็น้อยทุกครั้งไปแม้ช่วงที่เริ่มทำสมาธิแล้วก็ตาม 

แต่วันนั้น จำได้แม่นยำว่า ใจไม่ไหวติงเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับที่เคยไหวทุกครั้งที่ฟ้าผ่า ใจไม่ถูกแตะเลย ไม่ว่าฟ้าจะผ่าลงมาดังมากอย่างไรก็ตาม ผ่าไม่ถึงใจ เหมือนไม่มีใจ จึงถามตัวเองว่า เอ…เราเป็นพระอรหันต์แล้วหรือ? เพราะเรื่องนี้เคยคุยกันในหมู่พวกเราชาววัด ถ้าจำไม่ผิดอาจารย์โกวิทเป็นคนพูดให้ฟังว่า การตัดสินความเป็นพระอรหันต์นั้นอยู่ที่การถอนผมแล้วไม่สะดุ้ง หรือไม่ก็ดูที่ ฟ้าผ่าไม่ถูกใจ แต่แม้เราถามตัวเองเช่นนั้น ซึ่งมิใช่เป็นคำถามธรรมดาเลย  เป็นเรื่องที่ควรสร้างความตื่นเต้นอย่างมหันต์ให้เจ้าของ เพราะถ้าคิดอย่างคนธรรมดาคิดแล้วละก็ ล้วนต้องคิดว่า วันไหนเป็นพระอรหันต์แล้วก็ต้องฉลองกันให้สุดเหวี่ยง ยังคิดเปรียบเทียบเหมือนการถูกล๊อตเตอรี่ทำนองนั้น เมื่อได้มาแล้วต้องดีใจ ต้องตื่นเต้น แต่เราก็ไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างมันธรรมดาไปหมด ซึ่งเป็นความแตกต่างระหว่างการคิดถึงสิ่งนั้น กับการได้สิ่งนั้นมาครองแล้ว

                   ที่จริงเรื่องถอนผมแล้วไม่สะดุ้งนั้น ยังไม่ได้เป็นการตัดสินที่ดีที่สุด ถ้าคนต้องการเอาสิ่งนี้มาตัดสินบุคคลที่เป็นพระอรหันต์นั้น อาจตัดสินผิดพลาดได้ เพราะพระอรหันต์อาจจะยังมีความสะดุ้งกายให้เห็นอยู่ แต่ความสะดุ้งทางกายนั้น ไม่ได้หมายความว่าใจจะสะดุ้งตามด้วย ตรงนี้พระอรหันต์เท่านั้นที่รู้ คนอื่นรู้ไม่ได้

 

ตั้งคำถามกับอาจารย์โกวิท

จำได้ว่า เราได้ตั้งคำถามกับอาจารย์โกวิทว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่คนอยู่ในเมืองจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะในความคิดของเราในตอนนั้น ยังคิดว่าคนที่จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้นั้น ต้องเป็นพระ ต้องอยู่ป่าเท่านั้น หรือไม่ก็ต้องอยู่ที่สัปปายะมาก ไม่วุ่นวาย ไม่เคยคิดว่า สภาวะวุ่นวายของเมืองจะทำให้คนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ คิดว่าเป็นไปไม่ได้

จำไม่ได้ชัดว่าอาจารย์ตอบคำถามเราอย่างไร คงไม่ได้คำตอบที่ตรงไปตรงมา รู้แต่ว่าอาจารย์ไม่ได้ซักถามเราเป็นส่วนตัวเลย ไม่คิดสงสัยถึงสภาวะใจของเราเลย ซึ่งช่วงนั้น เราอยากพูดเรื่องนี้กับอาจารย์โกวิทมาก อยากให้ท่านเน้นสภาวะนั้นให้เราว่าใช่หรือไม่ แต่เราก็พูดไม่ออก ไม่อยากให้ใครคิดว่าเราบ้า หรือ เห็นเราเป็นคนทะเยอทะยานใฝ่สูงมากจนเกินตัว จึงต้องเก็บประสบการณ์นั้นไว้คนเดียวอย่างเงียบ ๆ ไม่เคยปริปากกับใครเลย

 

เล่นลิเกไม่ได้

อีกสิ่งหนึ่งที่จำได้คือ พี่หลวงซึ่งเป็นประธานชุมนุมปาฐกถาและโต้วาทีซึ่งเราได้ตีตัวออกห่างแล้วในช่วงนั้น กลับมาขอร้องให้เราไปเล่นลิเกภาษาไทยปนอังกฤษเรื่องจันทโครพอีก โดยจะเล่นที่หอประชุมใหญ่ ธรรมศาสตร์ จะจัดเป็นงานใหญ่ ลิเกจะเป็นส่วนหนึ่งของงานในวันนั้น เราบอกปฏิเสธพี่หลวงทันที รู้ว่าเล่นไม่ได้ เพราะไม่มีอารมณ์สนุกเหลืออยู่เลย หัวเราะไม่เป็น ไม่รู้สึกว่าในโลกนี้มีอะไรน่าขำ ใจราบเรียบปราศจากคลื่นลม แล้วจะไปเล่นลิเกให้คนหัวเราะได้อย่างไร แต่พี่หลวงขอร้องเราว่า ขอเป็นครั้งสุดท้ายจริง ๆ เพราะถ้าเราไม่เล่นแล้ว ก็ไม่รู้จะหาใครมาเล่น จะหาตัวแทนได้ยาก

ในที่สุด เราก็ใจอ่อน ยอมเล่นให้ จำได้ว่าวันที่ไปซ้อมกับอู๊ดด้าครั้งแรกนั้น เรารู้สึกฝืดมาก ต้องฝืนทุกอย่าง ไม่มีอารมณ์จะร้องเพลงเลย ไม่อยากร้อง จะบอกเลิกกับพี่หลวงก็เกรงใจเพราะตกลงแล้ว และไม่รู้จะอธิบายเหตุผลว่าทำไมจึงไม่อยากเล่นลิเกครั้งนี้ จึงต้องฝึกตนเองให้อยู่ในโลกสมมุติอีก เหมือนเรียนรู้ใหม่ว่า อย่างนี้เรียกว่าเล่นละคร อย่างนี้เรียกว่าสนุก ถึงตอนนี้ต้องยิ้ม ต้องหัวเราะให้ได้ เราก็ทำไปอย่างฝืน ๆ แต่ก็ทำได้ตามที่เคยทำในอดีต เพราะเป็นบทบาทที่ได้เล่นมาหลายต่อหลายครั้งตอนไปทัวร์ภาคใต้ วันเล่นจริงก็ทำให้คนหัวเราะได้กันครึน ๆ ทั้งหอประชุม แม่ก็ไปดูด้วย มีคนมาชมว่าเล่นเก่งเหมือนชูศรี แต่เราเท่านั้นที่รู้ว่า ไม่เห็นจะขำ ไม่เห็นจะสนุกเลย เป็นความรู้สึกที่แห้ง ๆ  ไม่เข้าท่าเลย

 

สภาวะอัศจรรย์ค่อย ๆ จางลง

                   จำได้ว่า ความรู้สึกอิสระของใจนั้นค่อย ๆ จางหายไปอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป ยังจำวันที่สำรวจใจตนเองได้ดี วันนั้น เวลาคงจะผ่านไปไม่น้อยกว่าสามเดือนแล้ว มีความเคยชินกับสภาวะอิสระนั้นนานพอสมควรแล้ว เรากำลังเดินไปหาแม่ที่วัดซอยข้างวัดบพิตรพิมุข แถวสำเพ็งตัดกับสะพานหัน เดินไปก็ดูใจที่เป็นอิสระนั้นอยู่ ได้พูดกับตนเองว่า “นี่ก็สามเดือนกว่าแล้ว ใจยังเป็นอย่างนี้อยู่ ไม่รู้จะอยู่อีกนานเท่าไหร่”

จากความที่ไม่มีอะไรสามารถข่วนใจได้เลยในช่วงเดือนสองเดือนแรกนั้น ความเข้มข้นและชัดเจนของสภาวะค่อย ๆ อ่อนตัวและจางลง แต่ก็เกิดอย่างเชื่องช้ามาก ค่อยเป็นค่อยไปจนไม่เห็นรอยต่อที่ชัดเจน จากสภาวะใจที่เป็นอิสระอย่างสูงสุดในวันที่เกิดปรากฏการณ์พิสดารจนถึงวันที่รู้สึกว่าจิตกลับมาแนบกับใจอีกนั้น คิดว่ากินเวลาประมาณ ๖ ถึง ๗ เดือนเห็นจะได้

โดยเริ่มจากการสังเกตเห็นฝุ่นละอองค่อย ๆ มาจับที่ใจ ตอนแรกจิตจะแตะใจอย่างแผ่วเบามาก เดี๋ยวเดียวแล้วก็หายไปทันที แล้วก็ค่อย ๆ สังเกตเห็นอาการที่ใจถูกข่วนเล็กน้อยบ้าง และความหวั่นไหวของใจค่อย ๆ เริ่มกลับมา แต่ก็ยังอยู่ในลักษณะที่เราเห็นแล้วมันก็จะหายไปเร็วมาก 

 

เหลืออยู่แต่ปัญญา 

ในที่สุด สภาวะอัศจรรย์นั้นก็เลือนหายไปอย่างสิ้นเชิง  จิตกับใจไม่ได้เป็นอิสระอย่างที่เคยเป็น เนื้อกับเล็บกลับมาอยู่แนบแน่นกันอีก ความรู้สึกจึงสามารถแตะและข่วนใจให้มันเจ็บได้ แต่ก็มีบางสิ่งที่เหลืออยู่ คือ ปัญญาที่ทำให้รู้แน่ชัดมากว่า สภาวะหลุดพ้นมีลักษณะเช่นนั้น รู้ชัดว่าเป้าหมายการปฏิบัติธรรมคือ ต้องทำให้ตัวเองไปถึงจุดนั้นอีก ต้องหลุดจากความคิดให้ได้อีก ต้องเป็นอิสระจากความคิดอย่างสิ้นเชิง

สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในช่วง ๖ ถึง ๗ เดือนนั้น เหมือนกับเริ่มต้นด้วยการเดินอยู่บนชั้นหนึ่งของตึก และจู่ ๆ ก็มีพลังเด้งขึ้นไปอยู่บนตึกชั้นที่สิบ ได้เห็นวิวของกรุงเทพที่ชัดมาก ครั้งนี้อยู่ชั้นสิบได้อย่างสบายนานถึงสองเดือน แล้วค่อย ๆ เคลื่อนลงมาอยู่ชั้น ๙ แล้วก็ชั้น ๘ ชั้น ๗ และเคลื่อนลงมาเรื่อยอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนหกเจ็ดเดือนผ่านไป เราก็หล่นลงมาอยู่ที่ชั้น ๓ อย่างถาวร ไม่กลับไปอยู่ชั้น ๑ หรือ ๒ อีกแล้ว เพราะเกิดความมั่นใจในการเดินทางทางจิตวิญญาณมากขึ้นกว่าเก่าหลายเท่าตัวนัก เป็นส่วนของปัญญาที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตในส่วนเป้าหมายมากขึ้น แต่พลังสมาธิถดถอย ใจจึงถูกความรู้สึกข่วนเอา

 

สูตรสำเร็จของชีวิต

                    เราได้นำปัญญาที่ทำให้เข้าใจเป้าหมายของชีวิตอย่างชัดเจนมาใช้ในการตอบปัญหาให้กับผู้ที่เขียนจดหมายมาปรึกษาปัญหาชีวิต งานนี้พี่ละเอียดเป็นคนเริ่มหลังจากที่มีการคุยปรึกษากับอาจารย์โกวิทแล้ว จึงตั้งกลุ่มศึกษาชีวิตขึ้น โดยลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ แต่เอาชื่อเราและที่อยู่ที่คณะสังคมวิทยา เราจึงรับจดหมายนับร้อย เมื่อรับมาแล้ว อ่านปัญหาของคนที่เขียนเข้ามาแล้ว มีความรู้สึกรับผิดชอบมาก และเพราะมีความมั่นใจในสิ่งที่ตนเองรู้ จึงไม่ได้ปรึกษาพี่ละเอียด ตอนนั้น พี่ละเอียดก็จบออกไปแล้ว จึงห่างออกไป เราจึงรับผิดชอบการตอบจดหมายเองคนเดียว โดยหิ้วเครื่องพิมพ์ดีดกระเป๋าไปมหาวิทยาลัยทุกวัน เรียนก็ไม่ค่อยจะเรียน ช่วงนั้นเห็นเนื้อหาของสิ่งที่ต้องเรียนแล้ว รู้สึกอยากอาเจียน ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกัน ไม่เห็นมีอะไรเกี่ยวข้องกับชีวิตเลย ไม่สามารถเปรียบเทียบกับความรู้ที่เราได้สัมผัสมาแม้เพียงนิดเดียว เบื่อมาก เห็นเป็นเรื่องเสียเวลาอย่างสิ้นเชิง จึงไม่ได้สนใจเรียน ทุ่มเทเวลาให้กับกิจกรรมของเราเอง กลับมาบ้านก็จะนั่งตอบจดหมายจนดึกดื่น จนแม่เป็นห่วง เห็นเราไม่หลับไม่นอน ทำแต่งาน

การตอบจดหมายทุกฉบับของเรา เมื่อมาถึงช่วงหนึ่ง เราจะมีสูตรสำเร็จของชีวิตให้เขา เพราะในใจรู้ชัดว่าทุกคนจำเป็นต้องรู้เป้าหมายของชีวิตและต้องไปให้ถึง  จึงมักเริ่มต้นจดหมายด้วยการพูดปลอบใจคนโดยเฉพาะคนที่มีเรื่องผิดหวัง บอกให้เขาอดทนและมองชีวิตเป็นของไม่เที่ยง บอกทุกคนว่า ความทุกข์ของเขาเป็นผลของการไม่รู้เป้าหมายของชีวิต พูดให้เขาเข้าหาธรรมะ เอาธรรมมาเป็นที่พึ่งทางใจ และหาความสงบ และส่งหนังสือของท่านอาจารย์พุทธทาสชุดมองด้านในให้เขาอ่านกัน บางคนก็ส่งให้เล่มหนึ่ง บางคนก็สองเล่ม ด้วยความหวังว่าอาจจะมีบางคนที่คล้ายเรา คือ พอได้อ่านหนังสือที่มีคุณค่าแล้วก็แสวงหาต่อไปเหมือนที่เราได้ทำกับตนเองจนมีประสบการณ์ดี ๆ เกิดขึ้น มีบางคนเขียนมาคุยกับเราด้วยเป็นประจำ คนหนึ่งคิดว่าเราเป็นศาสตราจารย์ของแผนกสังคมวิทยา จ่าหน้าซองเต็มยศทุกครั้ง

พี่ละเอียดมาเห็นจดหมายที่เราตอบในตอนหลัง ตำหนิเราว่า จะตอบเป็นสูตรสำเร็จเช่นนี้ให้กับทุกคนไม่ได้ ตอนนี้มามองย้อนกลับ จึงรู้ว่าประสบการณ์ชีวิตที่แท้จริงของเรายังไม่พอ เพราะตอนนั้นอายุเราเพียง ๒๒ หรือ ๒๓ ปีเท่านั้น ยังอ่อนหัดต่อชีวิตมาก จะไปรู้อะไรเกี่ยวกับชีวิตของคนที่แก่กว่า หรือชีวิตของคนที่มีครอบครัวแล้ว แต่แม้จะไม่รู้ในรายละเอียดของประสบการณ์ชีวิตของคนที่อายุมากกว่าก็ตาม สิ่งเดียวที่เรารู้อย่างแน่ชัดคือ ทุกคนล้วนต้องเดินทางไปสู่เป้าหมายชีวิตที่เหมือนกันหมด นั่นคือ สภาวะหลุดพ้นจากความคิดเหมือนที่เราได้ประสบมาแล้ว เป็นการกระโดดข้ามขั้นตอนการเรียนรู้ของชีวิต

 

กลับมาเป็นปุถุชนเต็มที่

จำได้แน่ชัดว่า เมื่อเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ มาถึง เราเป็นนักศึกษาปีสุดท้าย ได้เห็นความอยุติธรรมของผู้ปกครองบ้านเมือง เห็นเพื่อนนักศึกษาถ้าไม่ถูกฆ่าตายก็ถูกจับเข้าคุกหรือไม่ก็หนีเข้าป่า ไม่รู้จะได้เห็นหน้ากันอีกหรือไม่ ความคับขันของสภาพบ้านเมืองที่เหมือนตกอยู่ในยุคมืดนั้น ทำให้เราไม่มีพลังต้านความทุกข์เลย ใจถูกบดขยี้อย่างรุนแรงโดยเฉพาะในเช้าวันที่ ๖ ตุลาคม ที่ธรรมศาสตร์ถูกทหารล้อมและยิงกราด เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว เราควรจะอยู่กับน้อง ๆ ที่ชุมนุมพุทธ แต่เพราะบุญบารมีของคุณแม่คุ้มครอง มาตามหาเราที่ธรรมศาสตร์ในวันที่ ๕ ตุลา ท่ามกลางคนนับแสน หาเราจนเจอ ขอร้องให้เรากลับไปนอนบ้านในคืนนั้น เช้าวันที่ ๖ วิ่งมาถึงท่าน้ำก็รู้ว่าพวกเราเสร็จมือทหารแน่แล้ว ความเจ็บปวดกัดลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ เศร้าหมองเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ถึงตอนนั้น เรารู้แล้วว่าได้กลับมาเป็นปุถุชนอย่างเต็มที่แล้ว ไม่มีพลังต่อกรกับความทุกข์ได้เลย ประสบการณ์แห่งความหลุดพ้นเหลืออยู่แต่ในความทรงจำที่เรารู้เพียงคนเดียวเท่านั้น ได้แต่คิดย้อนกลับไปถึงวันแห่งความสุขที่ใจมีอิสระอย่างแท้จริง ไม่มีอะไรแตะต้องได้ แต่ถึงตอนนั้น มันก็เหลือแต่เพียงความทรงจำที่ไม่ใช่ของจริงอีกต่อไป