บทที่ยี่สิบ ปัญหากับครอบครัวของสามี
หลังแต่งงาน
ได้อยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่ของสามีเกือบสองปีก่อนจะย้ายมาอยู่บ้านของตนเอง
นั่นเป็นช่วงเวลาที่เราทุกข์มาก เพราะเป็นช่วงการปรับตัวที่จะเป็นทั้งภรรยา แม่
และการอยู่อย่างคนต่างด้าวในสภาพแวดล้อมใหม่ที่แตกต่างจากบ้านเกิดเมืองนอน
ทำให้คิดถึงบ้านมาก จึงเกิดเรื่องระหองระแหงกับสามีบ่อย
ถึงแม้เรารู้สึกว่าไม่สามารถพูดคุยอย่างเปิดใจกับแม่ของสามีก็ตาม
แต่ก็มีความรู้สึกว่าแม่ของสามีได้ช่วยให้สถานการณ์ชีวิตของเราดีขึ้นทุกครั้งที่เรามีเรื่องบาดหมางกับสามี
ตอนนั้น
รู้สึกว่าตนเองโชคดีที่แต่งงานเข้ามาในครอบครัวที่ดีและอบอุ่น
ไม่มีการพูดร้ายลับหลังกัน
แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาอีกหลายปีเรียนรู้เกี่ยวกับความเป็นคนอังกฤษที่แท้จริง
คุณย่าเป็นผู้นำ
ครอบครัวนี้
คุณย่าเป็นผู้นำ คุณปู่เป็นคนที่อยู่หลังฉาก เมื่อตอนที่คลอดลูกทั้งสามคนนั้น
หลังคลอด
คุณย่าจะแวะมาที่บ้านเกือบทุกวันในช่วงเดือนแรกเพื่อช่วยงานบ้านและดูแลลูกให้
หลังจากนั้นคุณย่าได้มีส่วนเข้ามาใกล้ชิดและช่วยเราเลี้ยงลูกในยามที่เราติดขัดเสมอ
เด็ก ๆ รักคุณย่ามาก เรารู้สึกโชคดีมากที่แม้จะอยู่ไกลบ้าน
แต่ก็มีแม่สามีคอยช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดเช่นนั้น เมื่อลูกคนโตอายุได้สามขวบ
คุณย่าก็พาหลานไปโบสถ์ทุกเช้าวันอาทิตย์
เพราะคุณย่าเป็นครูสอนโรงเรียนวันอาทิตย์ของโบสถ์ เมื่อลูกคนกลางและคนเล็กโตขึ้น
พวกเขาก็ไปโบสถ์กับคุณปู่และคุณย่าหมด หลังจากเสร็จพิธีที่โบสถ์
คุณปู่คุณย่าก็จะพาหลานมาส่งที่บ้านและดื่มกาแฟสักถ้วยก่อนกลับ
เหตุการณ์ก็เป็นเช่นนี้มาตลอดเกือบทุกวันอาทิตย์ จนเด็ก ๆ
โตขึ้นและเลิกไปโบสถ์ตอนอายุราว ๘ ขวบโดยเริ่มจากลูกคนโตก่อนจนถึงลูกคนเล็ก
ถึงแม้ลูก
ๆ จะไม่ได้ไปโบสถ์แล้ว
คุณปู่คุณย่าก็ยังคงแวะมาเยี่ยมพวกเราเกือบทุกวันอาทิตย์นอกจากท่านจะติดธุระไปที่อื่นเท่านั้น
เพราะในจำนวนลูกทั้งสามคนของพ่อแม่สามีนั้น
ก็มีครอบครัวเราที่อยู่ใกล้บ้านพ่อแม่มากที่สุด เมื่อมีงานเทศกาลต่าง ๆ
เช่นคริสมาส อีสเตอร์ หรือ วันสำคัญของครอบครัวนั้น การรวมญาติมักเกิดขึ้นเสมอ
มีบางอย่างที่ไม่ลงตัว
โดยธรรมชาติแล้ว
เมื่อคุณย่ามาช่วยเลี้ยงหลานตั้งแต่เล็ก และไปมาหาสู่อยู่ทุกอาทิตย์เช่นนี้
เมื่อเด็กทั้งสามคนโตขึ้น ย่อมมีความสนิทสนมกับคุณย่ามากขึ้นเป็นธรรมดา คือเด็ก ๆ
ย่อมอยากจะแวะไปหาย่าและนั่งคุยกับย่าเองบ้าง
แต่เราเริ่มสังเกตว่าเหตุการณ์เช่นนั้นไม่เกิด เมื่อเด็กโตขึ้น ความเคอะเขินกลับมีมากขึ้น
ไม่รู้จะคุยอะไรกับคุณย่า ไม่มีความผูกพัน ใกล้ชิด สนิทสนมกันเลย
เรารู้สึกเสียดายแทนลูก ๆ ถึงความสัมพันอันใกล้ชิดที่มีกับคุณย่ามาตั้งแต่เด็ก จู่
ๆ ปล่อยให้มันหลุดมือไปได้อย่างไร มีบางอย่างที่เห็นได้ชัดว่าไม่ลงตัว
ซึ่งเราก็เพิ่งสังเกตเห็นเมื่อราว ๕ - ๖ ปีมานี้เอง พยายามจะคิดปัดออกไปว่า นี่คือวิสัยของคนอังกฤษกระมัง
แต่เราก็เคยเห็นคนอังกฤษที่แสดงออกถึงความอบอุ่นต่อลูกหลานก็มาก
เพราะรู้ว่าเราไม่มีญาติพี่น้องของเราอยู่ทางนี้ให้ลูก ๆ ได้ใกล้ชิด
จึงเห็นความสำคัญที่ลูกต้องใกล้ชิด สนิทสนมกับครอบครัวของฝ่ายพ่อให้มาก
เพื่อจะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไป รู้สึกผิดหวังมากว่า
ย่ากับหลานไม่สามารถสนิทสนมกันฉันญาติ
เรื่องนี้จะตำหนิเด็กก็ไม่ถูก
เพราะถ้าผู้ใหญ่ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นและเป็นกันเองออกมาแล้ว เด็ก ๆ
ย่อมสัมผัสได้ ฉะนั้น แม้เราจะผลักลูกให้ไปหาคุณย่าเองบ้างอย่างไร ลูกก็ไม่ยอมไป
บอกว่า ไม่รู้จะคุยอะไร ทุกวันนี้ ปู่กับย่าซึ่งอยู่ในวัยเกือบเข้า ๗๐ กันแล้ว
แต่ยังแข็งแรงอยู่ แทนที่ลูกกับหลานจะเป็นฝ่ายไปหาคุณปู่คุณย่าที่บ้าน
ท่านยังกลับเป็นฝ่ายมาหาพวกเราที่บ้านในวันอาทิตย์ เรากับสามีก็มีแวะไปหาท่านบ้าง
แต่สามีเป็นฝ่ายที่ไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าใด
น้องสาวของสามีก็มีลูกไล่เลี่ยกัน
น้องสาวของสามีก็มีลูกสามคนเช่นกัน
ลูกคนที่สองของเขาก็เกิดไล่เลี่ยกับลูกคนโตของเรา
และลูกคนเล็กของเราทั้งสองคนก็เกิดห่างกันเพียงสองเดือนเท่านั้น
เมื่อลูกคนโตอยู่ในวัยเข้าโรงเรียนอนุบาลและประถมต้นนั้น
ก็มักเดินไปส่งลูกด้วยกันเสมอเพราะช่วงนั้นบ้านยังใกล้กัน เราคิดว่า
ชีวิตเช่นนี้ก็น่าจะเรียกว่ามีความสนิทสนมกันในฐานะญาติ
แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกไม่ลงตัว
เมื่อเริ่มสังเกตเห็นว่าอาไม่ค่อยได้ชวนหลานชายไปเล่นกับลูกที่มีอายุไล่เลี่ยกันเลยทั้ง
ๆ ที่เด็กสองคนก็โตมาด้วยกัน และเมื่อได้อยู่ใกล้กันก็เล่นด้วยกันดีเสมอ
นอกจากเป็นลูกพี่ลูกน้องกันแล้ว
ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ดีถ้ามีโอกาสได้ไปมาหาสู่กันบ่อยขึ้น
พยายามเข้าใจวิถีชีวิตของคนอังกฤษ
สิ่งที่แม่ ๆ ทั้งหลายในวัยที่ลูกยังเล็กทำกันบ่อยก็คือ
การเชื้อเชิญเพื่อนสนิทของลูกมาทานอาหารเย็นที่บ้านและบางทีก็มานอนค้างด้วย
เรานั้นคิดว่าไม่มีญาติของตัวเอง จะนับญาติกันได้ก็แต่ครอบครัวของสามีเท่านั้น
ย่อมอยากให้ลูก ๆ ใกล้ชิดกับอาและลูกพี่ลูกน้องเขา
แต่นี่คือเมืองอังกฤษซึ่งเราได้เรียนรู้ว่า แม้เป็นญาติกัน
หากเขาไม่ได้เชิญชวนไปบ้านเขาละก็ จะไปจุ้นจ้านเขามากไม่ได้ ฉะนั้น
ถ้าเขาไม่ได้ชวนลูกเราไปทานข้าวเย็นหรือนอนค้างที่บ้านเขา เราจะไปเสนอหน้าไม่ได้
เมื่อลูกยังเล็ก เขาไม่เข้าใจ
ชอบรบเร้าแม่ให้พาไปบ้านอาเพราะอยากเล่นกับลูกพี่ลูกน้อง เราก็ไม่รู้จะอธิบายให้ลูกเข้าใจได้อย่างไรดี
ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมให้เราสนิท มันก็สนิทไม่ได้ถึงแม้เราได้ทำในสิ่งที่ต้องทำ
คือชวนเขามาที่บ้านก่อนแล้วก็ตาม
ยังจำได้ว่าวันหนึ่งย่าก็เห็นว่าหลานนั้นเศร้าสร้อยเพียงใดที่ไม่ได้ถูกชวนไปบ้านอาเมื่อเห็นคนอื่นถูกชวน
ย่ายังบอกเองว่า บางทีคราวหน้า อาคงชวน เป็นการพูดปลอบใจหลาน
แต่วันนั้นก็ไม่เคยมาถึง ไป ๆ มา ๆ
ชีวิตวัยเด็กของลูกคนโตนั้นไม่เคยถูกชวนไปนอนค้างกับลูกพี่ลูกน้องที่บ้านเขาเลย
จำได้ว่าเราเคยนอนร้องไห้สงสารลูกคนโตอย่างจับใจ แต่ช่วงนั้น
เป็นช่วงที่เราเองก็ยังใหม่กับวิถีชีวิตของชาวอังกฤษ เคยพูดเรื่องนี้กับสามี
แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มาก เป็นการคุยปรับทุกข์กันเท่านั้น
เพราะเป็นครอบครัวที่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอย่างตรงไปตรงมา เวลาพูดด้วยกัน
ก็จะพูดแต่เรื่องดี ๆ ของคนอื่น ไม่มีการติฉินนินทาให้ฟังกัน
เราจึงไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่ควรพูด ควรถามหรือไม่ควรถาม รู้สึกสับสน งงมาก
ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรดี แต่ก็ไม่เคยคิดว่า
ครอบครัวสามีจะไม่ชอบเราเนื่องจากเราเป็นคนต่างด้าว เพราะดูภายนอกแล้ว
ทุกคนดีและหวานกับเรามาก ดูทุกอย่างราบรื่น
แต่ทำไมเราจึงมีความรู้สึกสงสารลูกอย่างจับใจในตอนนั้น เป็นเหตุผลใหญ่ข้อหนึ่งที่ทำให้ชีวิตไม่ลงตัว
เป็นทุกข์
ประวัติศาสตร์เริ่มซ้ำรอยเมื่อมาถึงลูกคนเล็ก
เนื่องจากลูกคนกลางไม่มีลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ในวัยเดียวกัน
จึงไม่มีปัญหาให้คิดมากว่าทำไมเขาไม่ชวนลูกเราไปเล่นกับลูกเขา
และแล้วเวลาก็ผ่านพ้นไปจนถึงลูกคนเล็กซึ่งส่วนมากมักเป็นหัวแก้วหัวแหวนของแม่ ๆ
ทุกคนและเกิดหลังลูกพี่ลูกน้องที่เป็นชายเหมือนกัน ๓ เดือนเท่านั้น
เมื่อเข้าสู่วัยที่เด็กทั้งสองเข้าโรงเรียนอนุบาลและประถมแล้ว
ประวัติศาสตร์เริ่มซ้ำรอยอีก ทุก ๆ ฤดูร้อนตั้งแต่เด็กทั้งสองอายุราว ๔-๕ ขวบ
เราจะชวนหลานมาเล่นกับลูกที่บ้านและให้นอนค้างคืนหนึ่งหรือสองคืนบ้าง
ซึ่งโดยธรรมชาติของเด็ก ๆ แล้ว ย่อมอยากไปค้างบ้านของคนอื่นด้วย
ในช่วงนั้น
อาของลูกเป็นครูสอนเด็ก ๆ ก่อนเข้าอนุบาล
จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะอ้างว่าไม่เข้าใจความรู้สึกของเด็ก ลูกเราก็มักคอยว่า
เดี๋ยวอาคงชวนเขาไปนอนกับพี่ที่บ้านเขาบ้าง แต่เมื่อฤดูร้อนใกล้หมดแล้ว
และเห็นอายังไม่ชวน จึงรบเร้าแม่เสมอว่า ขอไปเล่นกับพี่และนอนที่บ้านอาได้ไม๊
ทุกครั้งที่ลูกถามเช่นนั้น
เรารู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกที่ลำคอ อยากร้องไห้
พยายามอธิบายเหตุผลว่าต้องรอให้อาชวนก่อน แต่เด็ก ๕-๖ ขวบจะเข้าใจเหตุผลได้อย่างไร ตอนลูกอายุ ๘ ขวบ
พอดีมีลูกศิษย์ชาวคามารูนมาเยี่ยมและพักกับเราสองคืน
จึงเห็นเป็นโอกาสที่จะให้ลูกคนเล็กไปนอนค้างบ้านอา โดยอ้างว่าที่บ้านแคบมาก
จำเป็นต้องสละห้องหนึ่งกับแขก จึงขอฝากหลานให้นอนที่บ้านเขาสักคืนหนึ่ง เขาก็ยินดี
และลูกเราก็ดีใจ แต่ต้องยอมรับว่านั่นเป็นการสร้างสถานการณ์ของเราเท่านั้นเพื่อเปิดโอกาสให้ลูกมีประสบการณ์ในการไปนอนค้างกับลูกพี่ลูกน้องที่บ้านอา
เอาไว้วันหลังนะ!!!
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้อยู่จนกระทั่งลูกคนเล็กอายุ
๑๐ ขวบ เด็ก ๆ ปิดเทอมในช่วงฤดูร้อนอีก ลูกคนกลางขอไปอยู่วัดป่ากับหลวงพ่อ แต่คนเล็กไม่อยากไป
จึงโทรศัพท์ให้อา
ขอฝากลูกคนเล็กให้เล่นกับลูกพี่ลูกน้องเขาด้วยในขณะที่เอาลูกคนกลางไปส่งวัด
พอกลับมารับลูก ก็เห็นเด็กสองคนเล่นกันอย่างสนุกสนาน ลูกเราไม่อยากกลับบ้าน
เห็นลูกเรากระซิบบอกพี่ให้ไปขอแม่ชวนเขานอนค้างที่บ้าน ลูกของอาจึงเดินไปหาแม่ซึ่งกำลังนั่งคุยกับเราอยู่
และถามแม่ว่าให้น้องนอนค้างได้ไม๊ตามคำยุของลูกเรา เรานั่งดูปฏิกิริยาของอา
ความคิดแล่นไปก่อนว่าไม่น่ามีปัญหา เด็กกำลังเล่นสนุกด้วยกัน
บ้านก็ใหญ่โตกว่าบ้านเรามาก แต่แล้ว
สันหลังเราต้องเสียวว้าบขึ้นมาทันทีเมื่อแม่ตอบลูกเขาด้วยหน้าตายิ้มแย้มว่า
ไม่ได้หรอกลูก
เพราะคืนนี้เพื่อนของพี่ชายหนูจะมานอนค้างอีกหลายคน เอาไว้วันหลังนะ
มองหน้าลูกชายของเราแล้ว หัวใจเหมือนถูกฟ้าผ่า
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเมื่อสักครู่ถูกลบหายไปหมด
เหลือแต่ใบหน้าที่แสดงความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด นึกสงสารตัวเองและลูกว่า หากอยู่บ้านเรา
ลูกจะไม่มีวันเจอสถานการณ์ที่เย็นชาและเจ็บปวดเช่นนี้ในครอบครัวเป็นอันขาด
แม่จะไม่ยอมให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด
เราจึงหันไปพูดกับลูกชายของเราด้วยคำพูดที่เสียดสีอาสาวของเขาทันทีว่า
ไม่เป็นไรลูก
วันหนึ่งคงจะถึงคิวของลูกบ้าง และแสดงความมีน้ำใจตอบโดยเป็นฝ่ายชวนลูกเขามาเล่นและค้างกับลูกเราเสียเอง
ซึ่งเขาตอบตกลงทันที ซึ่งนั่นเป็นปีที่ ๕ หรือ ๖
ที่ลูกเขามานอนค้างกับลูกเราในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน
อ่านหัวใจของลูกได้ทะลุปรุโปร่ง
คืนนั้น
เราดูออกว่าลูกเราไม่สนุกเลยแม้จะมีลูกพี่ลูกน้องมาเล่นที่บ้านด้วย
เราก็รู้เต็มอกว่าทำไม ประมาณ ๓ ทุ่ม เราทำงานก่อกแก่กอยู่ในครัว
เด็กสองคนเล่นอยู่ในห้องนอน แต่แล้ว ก็เห็นลูกเรามายืนมองเราอยู่ใกล้ ๆ
ใบหน้าเศร้าสร้อย เห็นได้ชัดว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
พยายามเรียบเรียงคำพูดว่าจะพูดหรือถามแม่อย่างไรดี และแล้ว ลูกก็พูดอย่างช้า ๆ
ระมัดระวังการใช้คำพูด
แม่ครับ
ถ้าเรามีความเมตตากับคนอื่นแล้ว คน ๆ นั้นเขาควรมีเมตตาตอบเราหรือไม่ (Mummy, if
we are kind to a person, should that person be kind back to us?)
เราฟังลูกถามเพียงเท่านั้น
ก็อ่านหัวใจของลูกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง คว้าลูกมากอดไว้แน่น อยากร้องไห้
แต่ก็ต้องคุมตัวเองไม่ให้ลูกเห็นน้ำตาของแม่ โถ
ลูกตัวเท่านี้นะ
รู้จักคิดเรียบเรียงคำพูดอย่างระมัดระวัง ถามอ้อม ๆ
เพื่อพยายามปกป้องความรู้สึกของคนอื่น แทนที่จะถามตรง ๆ ว่า
เราได้ชวนลูกของอามานอนค้างด้วยตั้งหลายครั้งแล้ว ทำไมอาไม่ยอมชวนลูกซะที
จะอธิบายให้เด็กที่เพิ่งย่าง ๑๐ ขวบฟังได้อย่างไร สงสารลูกอย่างจับใจจนรู้สึกโกรธคนที่มาทำให้ลูกเราเจ็บเช่นนั้น
ได้พยายามพูดปลอบใจลูกโดยพูดว่า สิ่งสำคัญคือ เราได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องกับอาแล้ว เราก็ต้องพอใจในการกระทำของเรา แต่ถ้าหากอาไม่ยอมชวนลูกไปบ้านเขา
นั่นก็เป็นปัญหาของอาที่เราทำอะไรไม่ได้มาก ต้องขอให้ลูกยอมรับ
และบอกลูกว่าแม่เองก็อยากจะเข้าใจว่าทำไมอาจึงไม่เคยชวนลูกเลย
แต่ก็พยายามพูดให้ลูกสบายใจขึ้นและพาลูกเข้านอน
ทำนบใจพัง
เมื่อพาลูกเข้านอนแล้ว
เราก็ลงมานั่งข้างล่างคนเดียวและรอสามีกลับจากทำงานราวสี่ทุ่มเศษ
เมื่อมีโอกาสได้คุย หัวใจเหมือนทำนบที่มีน้ำล้น กำลังจะพัง บอกกับสามีว่า
เราเป็นคนมีเหตุผล มีชีวิตอยู่ได้เพราะเข้าใจเหตุผลของสิ่งต่าง ๆ
ที่จำเป็นต้องเข้าใจ ฉะนั้น
จำเป็นต้องรู้เหตุผลจากน้องสาวของเขาว่าทำไมจึงทำกับหลานเช่นนี้ จะมาบอกว่าไม่เข้าใจความรู้สึกของเด็กนั้นไม่ได้
เพราะตัวเองทำงานอยู่กับเด็ก เป็นคนที่ดูแล้วมีเมตตากับคนทั่วไปโดยเฉพาะเด็ก ๆ
ที่เขาทำงานด้วย จึงนึกไม่ออกว่า ทำไมเมื่อมาถึงหลานแท้ ๆ ของตนเอง
ความอบอุ่นของครอบครัวไปไหนหมด ถ้าเขาไม่ชอบเราเพราะเราเป็นคนต่างด้าว ก็บอกตรง ๆ
อย่างน้อยเรายอมรับได้ อธิบายให้ลูกฟังได้ว่าทำไมอาจึงไม่ชวนลูก
หรือถ้าเราเคยทำผิดอะไรกับเขาในอดีตโดยที่เราไม่รู้ตัว ทำให้เขาไม่พอใจ
เขาก็ควรบอก เราจะได้ขอโทษ แต่อย่ามาลงโทษลูกเราเช่นนี้ มันไม่ยุติธรรมกับเด็ก
บอกสามีว่า เราไม่ยอมแล้ว เรื่องนี้เกิดมาตั้งแต่ลูกคนโตแล้ว
เราจำเป็นต้องรู้เหตุผลให้ได้
แต่ก็ยังคิดถึงหัวอกน้องสาวว่าจะเสียหน้ามากเกินไปถ้าเรากับสามีไปเผชิญหน้าพูดเอง
จึงบอกสามีว่า ทางออกที่ดีที่สุดคือ สามีต้องไปคุยกับแม่ก่อน ให้แม่รู้ปัญหาว่า
ตอนนี้เรากำลังรู้สึกเช่นนี้ ซึ่งเราคิดว่า เมื่อแม่พูดกับลูกสาวตนเองอีกต่อหนึ่ง
เขาต้องพูดได้ดีกว่าเราพูดหรือสามีพูด ฝรั่งพูดกันเอง แม่ลูกพูดกันเอง
แม่ทุกคนจะต้องช่วยเอาน้ำมาราด ไม่ให้เกิดเรื่องลามปามใหญ่โต
เราก็หวังที่แม่ว่าจะต้องช่วยหาทางออกให้กับปัญหานี้โดยบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น
เหมือนภูเขาไฟระเบิด
คนที่ฟังเรื่องนี้ ถ้าเป็นครอบครัวเรา แม่เรา
พี่น้องเรา มันก็คงไม่ถึงจุดนี้หรอก หรือถ้าถึง ก็แค่พูดขอโทษว่า
ไม่เคยรู้ว่าหลานอยากมาค้าง ถ้าอย่างงั้นก็มาค้างก็แล้วกัน แค่นี้ เรื่องก็จบ
เราก็ยอมอยู่แล้ว ลูกเราก็สบายใจ ซึ่งคนที่จะทำได้คือแม่ จะต้องพูดให้ลูกสาวเห็นทางออกเช่นนี้เพื่อความปกติสุขของครอบครัว
หรือไม่ก็สร้างสถานการณ์อะไรบางอย่างที่ดี ๆ เพื่อเป็นทางออก
และไม่ให้ลูกสาวต้องเสียหน้ามากเกินไป
เมื่อสามีไปพูดกับแม่สองต่อสอง
แม่ก็รับฟังอย่างสงบ และไม่คิดว่าลูกสาวตนต้องการแกล้งหลานอย่างตั้งใจ
จึงบอกว่าจะคุยกับลูกสาวเอง แต่เมื่อแม่กับลูกสาวคุยกันแล้ว ปรากฏว่า
สถานการณ์กลับหน้ามือเป็นหลังมือ
เหมือนภูเขาไฟที่ยังไม่พร้อมจะระเบิดก็ระเบิดออกมาอย่างทันทีทันใด
เริ่มต้นด้วยน้องสาวโทรศัพท์มาหาพี่ชายอย่างโกรธเคือง บอกว่าไปกล่าวหาเขา
หาว่าเขาทำผิด ร้องห่มร้องไห้ ตีโพยตีพาย เราก็ไม่รู้ว่าแม่เขาพูดอะไรกับลูกสาว
จึงทำให้ลูกสาวคิดเช่นนั้น และโกรธมากจนร้องไห้ เมื่อแม่เห็นลูกสาวร้องไห้
แทนที่จะคุมสถานการณ์ให้อยู่ ก็ทำไม่ได้ ตนเองกลับร้องไห้ตาม
จึงโทรศัพท์มาคุยกับลูกชาย ร้องห่มร้องไห้อย่างกลั้นไม่อยู่เช่นกัน
เป็นสภาวะที่ฝรั่งเรียกว่า hysteria พูดง่าย ๆ ว่าเป็นสภาวะที่ใจคุมอารมณ์ไม่อยู่ จึงระเบิดออกมา
นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในสองวันก่อนวันสารทจีนในเดือนสิงหาคม
๒๕๓๙ เป็นช่วงที่เรากำลังต้องเตรียมงานเลี้ยงคนสิบกว่าคนในวันสารทจีน
เพราะต้องการไหว้พ่อที่เพิ่งเสียชีวิตไปราว ๑ ปีตามประเพณีคนจีน
เป็นการสืบทอดประเพณีให้ลูก ๆ เห็น ต้องทำอาหารมากมาย จึงถือโอกาสนั้นเชิญเพื่อน ๆ
มาทานอาหารที่บ้านด้วย ฉะนั้น สามีจึงเป็นคนพูดโทรศัพท์กับคนนั้นคนนี้
ในช่วงนั้น
ทุกคนในครอบครัวคิดว่าเรื่องนี้มาจากสามีของเรา และไม่ใช่มาจากเรา
ที่จริงเราก็ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกันจริง ๆ เรื่องจึงลามปามออกมาเช่นนี้
ถึงตอนนั้น สามีก็โกรธทั้งแม่และน้องสาวมาก
เพราะเห็นตำตาว่า แม่กำลังเข้าข้างลูกสาว และไม่ได้เห็นความเจ็บปวดของหลานชายอายุ
๑๐ ขวบเลย ไม่มีใครพูดถึง วันก่อนสารทจีน แม่มาที่บ้าน หน้าตาเศร้าสร้อย
เรากำลังยุ่งทำอาหารอยู่ สามีไม่ยอมพูดกับแม่ แม่จึงบอกเราว่า
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้รับฟัง
แต่ก็ไม่ได้พูดว่าจะเอาทุกคนที่เกี่ยวข้องมาคุยกันเพื่อแก้ไขปัญหา
จึงไม่เข้าใจว่าจะให้รับฟังใคร
งงงันต่อเหตุการณ์
เราต้องยอมรับว่า
รู้สึกงงงันกับการแก้ปัญหาของครอบครัวนี้มาก ถ้าคิดอย่างมีเหตุผลแล้ว
หากมีคนนำปัญหาหนึ่งขึ้นมาพูด และกระทบถึงเราแล้ว เราย่อมอยากรู้รายละเอียด
และต้องขอให้คน ๆ นั้นมาพูดด้วยกันอย่างเห็นหน้ากัน
ถูกผิดว่ากันไปตามเหตุผลและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ใครผิดก็ขอโทษ และขอแก้ตัวใหม่
ซึ่งปัญหานี้ควรแก้เช่นนั้น
ครั้งแรกที่น้องสาวรู้ว่าพี่ชายพูดเช่นนั้น
ก็ควรเอาเรากับพี่ชายมาพูดด้วยกันซึ่ง ๆ หน้า เรื่องมันก็อาจจะจบได้
แต่ทำไมเขาไม่ทำ ไม่ขอพบ เอาแต่ร้องไห้และทำตัวเหมือนว่าตนเองถูกพี่ชายข่มขู่เอา
แม่ก็ช่วยคลี่คลายเหตุการณ์ไม่ได้
ในขณะที่ยุ่งเตรียมงานสารทจีนอยู่นั้น ใจของเราก็สงบได้อย่างประหลาดทั้ง ๆ
ที่กำลังอยู่ในวิกฤตการของปัญหาครอบครัว ใจสงบมากพอที่จะคิดใคร่ครวญ
เรียบเรียงเหตุการณ์ที่ยุ่งเหยิงนั้นอยู่ ทำงานไป จึงคิดไปว่า
ขอให้เสร็จงานนี้ก่อน
แล้วเราจะนั่งเขียนจดหมายเล่าให้น้องสาวรับรู้ถึงตัวปัญหาจริง ๆ เพราะในใจยังคิดว่า
เขายังไม่รู้ปัญหาชัดเจน
เอามีดคว้านแผลสด
หลังจากเสร็จงานวันสารทจีนแล้ว
เราจึงนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เรียบเรียงเหตุการณ์ตั้งแต่ลูกคนโตจนถึงลูกคนเล็กว่าปัญหาคืออย่างนี้
และบัดนี้ เราก็ต้องการคำตอบจากน้องสาวว่าทำไม เราจำเป็นต้องรู้เหตุผล
ถ้าหากเป็นความผิดของเรา เราก็ต้องการแก้ไข จะขอโทษ แต่ขออย่าลงโทษเด็กเช่นนั้น
เพราะไม่ใช่ความผิดของเด็กเลย แล้วเราก็ส่งสำเนาจดหมายให้แม่และพี่ชายรับรู้ด้วย
ในความเห็นของเรา จดหมายฉบับนั้น เป็นการพูดตรง
ๆ ถามตรง ๆ ไม่มีการอ้อมค้อม ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยส่วนตัวที่ชอบทำอะไรตรงไปตรงมาและมีเหตุผลเสมอ
แต่สิ่งที่เราคิดไม่ถึงและไม่รู้คือ ผู้รับเขาไม่มีนิสัยเหมือนเราแม้แต่น้อย การพูดอะไรตรง ๆ เช่นนั้น
เท่ากับเอามีดไปคว้านแผลเน่าออกมาอย่างสด ๆ โดยไม่ได้ใช้ยาชา
มันอาจจะเหมาะกับบางคน แต่กับบางคนที่ไม่ชินกับนิสัยตรง ๆ เช่นนี้แล้ว
สามารถให้ผลลบจนอาจทำให้คน ๆ นั้นเข้าโรงพยาบาลได้
ช่างโชคร้ายว่า
น้องสาวจัดเป็นบุคคลประเภทนั้นเสียด้วย
เราไม่เคยรู้เลยว่าเบื้องหลังใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แจ่มใสและดูเป็นคนแข็งแกร่งนั้น
มีสภาวะใจที่เหมือนไข่ในหิน
จดหมายฉบับนั้นของเราเหมือนมีดที่กรีดเข้าไปในหัวใจเขาอย่างลึกและสร้างความเจ็บปวดมากเกินกว่าเขาจะทนได้
ความเจ็บนั้นต้องเป็นผลจากการเผชิญหน้ากับความจริงอย่างแน่นอน
เพราะรู้ว่ามันจริง จึงเสียหน้าและขายหน้ามากเมื่อถูกเผชิญหน้าอย่างตรง ๆ
ด้วยตัวหนังสือเช่นนั้น เพราะถ้าไม่จริง ก็ย่อมไม่เจ็บ
และสามารถหาเหตุผลมาโต้ตอบกับเราได้อย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน เพราะมันจริง
จึงไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร ได้แต่เจ็บเพราะความอับอาย
ลุกไม่ขึ้น
ปรากฏว่า ก่อนหน้าอ่านจดหมายของเรา
น้องสาวยังอยู่ในลักษณะที่ยังพอประทังตัวเองไว้อยู่
แต่หลังจากอ่านจดหมายของเราแล้ว ปรากฏว่าลุกไม่ขึ้นเลย นอนซม ไม่ยอมกินข้าวปลาอาหาร
วันรุ่งขึ้น
สามีของน้องสาวเขียนจดหมายมาด่าเราว่า คงสะใจแล้วที่ได้ทำให้ครอบครัวนี้แตกแยกกัน
บอกเราว่า เราได้ทำลายความสุขของครอบครัวนี้มากเกินกว่าที่จะแก้ไขอะไรได้แล้ว
สองวันต่อมา แม่มาหาเราที่บ้าน ใบหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์และความกลัว บอกว่า ลูกสาวเขากำลังจะตาย
ตั้งแต่อ่านจดหมายแล้ว ไม่ยอมลุกจากเตียงเลย ข้าวปลาไม่ยอมกิน พูดแล้วก็น้ำตาไหล
พี่ชายกับพี่สะไภ้มาหาหลังจากที่ได้อ่านจดหมาย
เราก็บอกแนะกลาย ๆ ว่า เขาควรเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้ทุกคนเข้าหากัน
โดยการจัดนัดพบให้มาคุยกันอย่างเป็นทางการเพื่อแก้ปัญหา แม้จุดนั้น
เรายังไม่คิดว่ามันจะสายเกินแก้ เพราะรู้ใจตัวเองดีว่ายังไง
เราจะยอมอ่อนข้อให้เสมอ ขอให้พูดกันอย่างมีเหตุผลเท่านั้น แต่พี่ชายก็ทำไม่ได้
ไม่มีความแข็งแกร่งพอ
ความรู้สึกของเราตอนนั้นคละกัน
ใจหนึ่งก็สงสารลูก แต่อีกใจหนึ่งก็สงสารคุณย่า แม่ที่เราเคยคิดว่าเป็นคนแข็งแกร่ง
สามารถควบคุมสถานการณ์ต่าง ๆ ให้อยู่มือเหมือนที่ทำกับคนภายนอกนั้น
เมื่อมาเจอเหตุการณ์วิกฤตในครอบครัวตนเองแล้ว แม่กลับทำอะไรไม่ได้เลย
และไม่สามารถมองปัญหาอย่างเป็นคนกลางได้แท้จริง รู้สึกเคว้ง และ มืดสนิท
ไม่มีทางออก
ถ้าปัญหาไม่เกิด ก็ไม่รู้ความอ่อนแข็งของใจคน
ในที่สุด
มันก็ต้องมาลงที่เราอีกว่าจะช่วยยุติวิกฤตการณ์ในครอบครัวนี้ได้อย่างไรทั้ง ๆ
ที่เราเองเป็นคนก่อมันขึ้นมา ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แมวจับหนูได้เก่งแล้ว เป็นช่วง ๑
ปีก่อนจะเห็นธรรมขั้นสูงสุด ฉะนั้น แม้เหตุการณ์ในครอบครัวจะเหมือนถูกไฟเผาล้อมอยู่รอบข้าง
แต่เราก็ยังสามารถคุมใจให้เป็นปกติได้อยู่ และสามารถมองเหตุการณ์อย่างเป็นกลาง
ๆ objective ได้ไม่ยากนัก ก็โดยการคิดถึงตัวเองให้น้อยที่สุด
ซึ่งที่จริงเป็นเรื่องยากมาก
เพราะเรื่องนี้มันคือเรื่องของเรากับความทุกข์ของลูกเราโดยตรง
คนที่ฝึกใจมาน้อย และมีคุณธรรมน้อยละก็
ถ้าเจอเรื่องเช่นนี้ ก็ต้องฟาดฟันให้มันแตกหักไปเสียข้างหนึ่งแน่นอน
ยิ่งถ้าได้เห็นอีกฝ่ายต้องล้มหมอนนอนเสื่อเช่นนั้นแล้ว
ก็ยิ่งสะใจตนเองซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ปุถุชน ใครมาทำให้เราเจ็บ
เราก็ทำให้เขาเจ็บตอบ ถ้าทำได้ ก็สะใจตัวเอง
แต่เราไม่ได้เป็นมนุษย์ปุถุชนเหมือนคนอื่น
จดหมายฉบับนั้นไม่มีจุดประสงค์เพื่อให้น้องสาวล้มหมอนนอนเสื่อ
ไม่เคยรู้ว่าใจของเขาจะเปราะมากเท่านี้
เขียนเพราะคิดว่าเขาอาจจะยังไม่รู้ตัวปัญหาที่แท้จริงก็ได้
ไม่ได้คิดว่าจะแก้แค้นให้เขาเจ็บปวดแต่อย่างใด ถ้าไม่มีเรื่องเช่นนี้
เราก็ไม่มีวันรู้ว่าจิตใจของทั้งแม่และน้องสาวเปราะมากแค่ไหน
คนดีไม่ได้หมายความว่ามีปัญญาเสมอไป
ชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขา มีแต่การพูดเรื่องดี ๆ
ต่อกัน ไม่เคยนินทาลับหลังกัน ไม่เคยพูดเผชิญหน้ากับตัวปัญหาจริง ๆ ใครเริ่มจะพูด
อีกฝ่ายก็จะพยายามเปลี่ยนเรื่องพูด แม้มีปัญหา เขาคิดว่าถ้าไม่พูด
ปัญหามันก็จะอันตรธานหายไปเอง
นี่คือวิถีชีวิตของครอบครัวนี้และคนอังกฤษอีกมากมายที่เราเองต้องใช้เวลาหลายปีมากถึงจะดูออก
นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับว่าคนนั้นดีหรือเลว
เราไม่เคยคิดว่าแม่กับน้องสาวเป็นคนไม่ดี แม้เกิดเรื่องเช่นนั้น
เรายังต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนดี ดีมากด้วย แม่เป็นนักสังคมสงเคราะห์ตัวยง
ช่วยเหลือคนมากมาย มักจัดงานกุศลหาเงินให้โรงพยาบาล
จนถูกเลือกให้เป็นแขกของราชินีอังกฤษในงานเลี้ยงน้ำชาจัดขึ้นที่สวนของพระราชวังบัคคิ่งแฮมในเดือนกรกฎาคม
๒๕๔๕ น้องสาวสามีก็เช่นกัน เป็นคนมีเมตตา ชอบช่วยเหลือคนเหมือนแม่
แต่การเป็นคนดีไม่ได้หมายความว่าคนนั้นจะมีปัญญามองชีวิตได้ถูกต้องเสมอ
การหลีกเลี่ยงปัญหาชีวิตโดยการกวาดทุกอย่างเข้าใต้พรมนั้น
ไม่ได้แก้ปัญหาอย่างแท้จริง และสร้างความเปราะให้จิตใจมากขึ้น
เมื่อเจอเหตุการณ์วิกฤตเช่นนี้ หัวใจจึงแตกสลาย ปกป้องตนเองไม่ได้
จึงเป็นเรื่องที่เราเพิ่งเข้าใจเมื่อเกิดเรื่องเช่นนั้น เริ่มรู้สึกเสียใจว่าไม่ควรเขียนจดหมายฉบับนั้นเลย
เราเท่านั้นที่จะคลี่คลายวิกฤตการณ์ได้
เรามองแล้ว เห็นว่า มีทางออกอยู่เพียงทางเดียว คือ
ในฐานะที่เราเป็นคนมีใจแข็งแกร่งกว่าพวกเขา
และมีปัญญามากพอที่จะแก้เหตุการณ์ร้ายแรงนี้ให้เบาขึ้น
เพราะถ้าน้องสาวเกิดอกแตกตายหรือเป็นอะไรขึ้นมาจริง ๆ จนต้องเข้าโรงพยาบาล
ซึ่งมีความเป็นไปได้มากทีเดียว แม่ก็จะล้มไปด้วยอีกคนแน่นอน
ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับแม่แล้ว บาปจะต้องมาตกที่เรา เหตุการณ์วิกฤตในครอบครัวนี้เกิดเพราะความรักลูกของเรา
แม่ก็ย่อมรักลูกสาวของแม่เช่นกัน เมื่อเห็นลูกสาวทุกข์เช่นนั้น
แม่ก็ย่อมอยากให้ลูกสบายใจขึ้น
แต่จะไม่มีใครสามารถทำให้ลูกสาวของแม่สบายใจขึ้นได้นอกจากเราเท่านั้น
เมื่อคิดทบทวนได้เช่นนั้นแล้ว
จึงปรึกษากับสามีว่า เพื่อเห็นแก่คุณย่าและเป็นการแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น เราจะเขียนจดหมายไปขอโทษน้องสาว
ไม่อยากให้แม่ต้องทุกข์อีกต่อไป สามีฟังแล้วโกรธเรา บอกว่า เราไม่ได้ทำผิดอะไรเลย
เรื่องทั้งหมดนี้มาจากความไม่ยุติธรรมของน้องสาวเขา และความที่แม่เลือกเข้าข้างลูกสาวจนมองข้ามความเจ็บปวดของลูกชายและหลานชาย
ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้เกิดเพราะลูกของเราเป็นเหยื่อที่ถูกกระทำ
แต่ก็ไม่มีใครพูดถึงจนกลายเป็นว่าน้องสาวเป็นเหยื่อที่ถูกเราทั้งสองกระทำชำเราทางจิตใจอย่างยับเยิน
สามีโกรธมากและพูดกับเราอย่างจริงจังว่า
จะขอโทษน้องเขาไม่ได้เด็ดขาด เขาไม่ยอมให้เราทำ ถ้าเราเป็นฝ่ายขอโทษแล้ว
ทุกคนในครอบครัวต้องมองว่าเราเป็นคนผิด เป็นคนก่อเรื่อง แต่เราไม่ได้ผิด
แล้วจะไปขอโทษเขาทำไม เขาควรเป็นฝ่ายต้องมาขอโทษเราต่างหาก
เอาธรรมมายุติปัญหา
แม้สามีไม่ยอมให้ทำ
เราจำเป็นต้องทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องต่อตนเองและคนอื่น สิ่งที่ถูกต้องต่อแม่และน้องสาวคือ
จำเป็นต้องช่วยยกสภาวะใจของเขาทั้งสองให้ดีขึ้นมาบ้าง
เป็นการผ่อนคลายสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ให้ทุเลาลง
แม้การกระทำนั้นจะเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของเราเองและอาจทำให้ญาติเข้าใจผิดในตัวเราก็ตาม
เราคิดว่านี่แหละคือการเอาธรรมมายุติปัญหา หรือ ความยุติธรรม
และจำเป็นต้องทำโดยไม่บอกสามี
ห้าวันหลังจากที่เขียนจดหมายฉบับแรกอันมีเนื้อหาเหมือนกับผลักน้องสาวตกลงไปในเหวลึกนั้น
เรานั่งเขียนจดหมายอีกฉบับหนึ่ง
มีเนื้อหาเหมือนหยิบยื่นมืออันแข็งแกร่งของเราให้น้องสาวเกาะและดึงตนเองขึ้นมาจากเหวลึกที่น่ากลัวนั้น
โดยพูดให้เขาเข้าใจว่าทำไมเราจึงต้องถามคำถาม แต่ถ้าเขาไม่พร้อมที่จะตอบ
ก็ไม่เป็นไร
ขอให้มองเหตุการณ์นี้เหมือนเป็นบทเรียนที่จะทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจกันได้ดีขึ้น
เราคิดว่ามันยังไม่สายเกินแก้ที่จะทำความรู้จักกันอย่างแท้จริง
และขอโทษที่จดหมายฉบับนั้นทำให้เขาต้องทุกข์มากเช่นนั้น บอกเขาว่า
เราไม่ได้คิดว่าเขาเป็นคนไม่ดีเลย และพูดถึงส่วนดีของเขาซึ่งที่จริงมันก็มีมาก
ขอให้เขามีกำลังใจ และพยายามทำให้ตนเองดีขึ้น เพื่อแม่ สามี และลูก ๆ
ของเขาจะได้สบายใจด้วย
เสร็จแล้ว ก็ส่งสำเนาให้แม่กับพี่ชายอีก
ปรากฏว่าได้ผลทันตาเห็น แม่โทรมาหา มีน้ำเสียงดีขึ้น
บอกขอบใจเราที่เขียนจดหมายฉบับนั้น น้องสาวก็เขียนถึงเรา
บอกเราว่าเขารู้สึกเจ็บมาก เมื่อได้อ่านจดหมายฉบับก่อน
แต่หลังจากอ่านจดหมายฉบับหลังแล้ว เขาสบายใจขึ้น และบอกขอบใจเรา
สามีรู้หลังจากที่คนอื่นอ่านจดหมายแล้ว
โกรธเรามาก บอกว่า การทำเช่นนั้นของเราเท่ากับยอมรับกับทุกคนว่าเราผิด
เราเป็นคนก่อเรื่องยุ่ง เราก็รับฟังอย่างเข้าใจความรู้สึกที่ขมขื่นของสามี
และอดทนจนกว่าความโกรธของเขาจะคลายตัว
ปัญหาถูกกวาดเข้าใต้พรมอย่างถาวร
หลังจากจดหมายฉบับนั้นแล้ว เรื่องก็จบทันที ทุกอย่างถูกกวาดเข้าใต้พรมจนถึงทุกวันนี้
ไม่มีใครยกขึ้นมาพูดถึงอีกเลย
สถานการณ์ในครอบครัวกลับเข้าสู่ความเป็นปกติอย่างผิวเผินเหมือนอย่างที่เคยเป็นก่อนเกิดเรื่อง
คือ พ่อแม่ยังคงมาหาครอบครัวเราทุกวันอาทิตย์หลังจากกลับจากโบสถ์
เมื่อมีการพูดคุยกัน จะพูดแต่เรื่องของคนอื่น จะไม่พูดเรื่องของเรากันเอง
ทุกคนเล่นบทบาทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
สามีเราไม่ยอมพูดกับแม่ตัวเองอยู่ถึงสามเดือนหลังจากจดหมายฉบับนั้น
เราต้องเป็นฝ่ายรับหน้าแม่ทุกครั้งที่แม่มาหา แม่ก็คิดว่า เขาจะทนมาบ้านเราเรื่อย
ๆ เพื่อเอาชนะใจลูกชายตัวเอง เราก็เห็นแม่เจ็บปวด และบอกให้สามีอ่อนข้อ
แต่แม่ลูกก็ไม่เคยนั่งคุยปรับทุกข์ ปรับความเข้าใจกันเลย
ปล่อยให้ความรู้สึกของแต่ละฝ่ายซาไปตามกาลเวลาจนเข้าสู่ระดับปกติของมันเอง
กับครอบครัวของน้องสาวนั้น
ก็ห่างเหิรกันไปเป็นธรรมดาโดยเฉพาะในช่วงสองสามปีแรก พยายามหลีกเลี่ยงไม่พบกันโดยเรากับสามีปฏิเสธการไปงานรวมญาติ
มาบัดนี้ก็เกือบ ๖ ปีแล้ว การพบปะพูดคุยมีมากขึ้นจนดูเหมือนเป็นปกติ
ต่างฝ่ายต่างก็พยายามเพราะความเห็นแก่พ่อแม่ที่เข้าสู่วัยชราแล้ว
ท่านย่อมอยากเห็นครอบครัวอยู่อย่างกลมกลืน รักใคร่สามัคคีกัน
เป็นละครที่ไม่มีต้นไม่มีปลาย
ทุกวันนี้ เราก็ยังไม่รู้คำตอบว่า
น้องสาวเขาไม่ชอบเราเพราะเราเป็นคนต่างด้าวหรือไม่ หรือมีเหตุผลอย่างอื่น
นี่คงเป็นเรื่องที่เราไม่อาจรู้ได้ตลอดชีวิตนี้ คงต้องปล่อยไว้ตรงนั้น
ไม่จำเป็นต้องลื้อฟื้น เพราะเด็ก ๆ ก็โตเป็นหนุ่มกันหมดแล้ว
ทุกคนยังสามารถพูดคุยกันได้ตามปกติเหมือนไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อน
แม้จะไม่มีการพูดถึงปัญหานี้ เราเชื่อแน่ว่า
ทุกฝ่ายในครอบครัวย่อมเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ไม่มากก็น้อย
สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือ
วิถีชีวิตของครอบครัวนี้เป็นลักษณะเด่นของชาวอังกฤษ
เป็นวิถีชีวิตที่ต่างจากคนไทยและคนจีนที่เราได้เติบโตขึ้นมา
เป็นอีกวิถีชีวิตหนึ่งของโลกสมมุติที่เราได้เรียนรู้และต้องยอมรับหากยังต้องการอยู่ร่วมกันแล้ว
เชื่อว่า หญิงไทยไม่น้อยที่แต่งงานกับคนต่างชาติ ต่างวัฒนธรรม ต่างภาษา
ต้องมีปัญหาที่คล้ายคลึงกันเช่นนี้ไม่มากก็น้อย
เป็นเรื่องที่เราซึ่งเป็นคนต่างด้าวต้องเป็นฝ่ายปรับตัว พยายามเข้าใจเขา
เพื่อการอยู่รอดของตนเองและครอบครัว
ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นละครบนเวทีแล้ว
ก็จัดเป็นละครชนิดที่ไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีใครรู้ว่ามาจากไหนและจะไปไหน
มีแต่การเล่นไปตามบทบาทที่ตนเองเคยชินเท่านั้น ไม่มีเหตุผลและเนื้อหาที่เป็นแก่นสารจริง
ๆ ตอนนี้มานั่งมองแล้ว จะว่าขำก็ขำ
เศร้าก็เศร้า ลักษณะเช่นนี้คืออาการอันมืดมิดของอวิชชา
ทุกคนที่หลงพลัดเข้ามาในโลกล้วนต้องเล่นบทบาทไปตามขั้นตอนของชีวิต
แต่ไม่มีใครรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรคือต้นคือปลาย เราก็พลอยติดเข้าไปในร่างแหของละครชีวิตบทหนึ่งของคนกลุ่มหนึ่ง
ก็ถือเป็นบทเรียนของชีวิตอีกบทหนึ่ง
ภาพที่ทำให้อุ่นใจมาก
เพราะรู้ดีว่า
ลูกคนเล็กชอบการอยู่อย่างห้อมล้อมด้วยเครือญาติที่อบอุ่น
มีความรู้สึกว่าเป็นหนี้ลูกในข้อนี้ที่ไม่สามารถสร้างเครือญาติอันอบอุ่นให้ลูกได้ที่อังกฤษ
หลังจากเหตุการณ์ที่เห็นผู้ใหญ่ทะเลาะกันนั้น แม้ลูกคนเล็กอายุเพียง ๑๐ ขวบ
แต่เขาก็เข้าใจเหตุการณ์ได้และเศร้าซึมไปมาก อ่านหัวใจน้อย ๆ ของลูกได้ว่า
ลูกตำหนิตัวเองที่ทำให้แม่ต้องเขียนจดหมายถึงอาจนทำให้เหตุการณ์ลามปามเช่นนั้น
เหตุการณ์นี้เกิดปลายเดือนสิงหาคม ๒๕๓๙
เดือนธันวาคมของปีนั้นเอง
เราจึงตัดสินใจพาลูกคนเล็กกลับเมืองไทยไปเยี่ยมคุณยายซึ่งตอนนั้นอายุ ๘๐ แล้ว
นั่นเป็นครั้งที่สามที่คุณยายได้เห็นหลานคนนี้
ถึงแม้คุณยายไม่ได้ช่วยเลี้ยงหลานเหมือนกับที่คุณย่าได้ทำ
แต่เราก็สังเกตเห็นความสนิทสนมและอบอุ่นระหว่างคุณยายกับหลานทั้ง ๆ ที่ทั้งสองคนก็พูดกันไม่รู้เรื่องเลย
เช้าวันหนึ่ง
เรานั่งมองแม่พยายามอธิบายโดยใช้ภาษาจีนแต้จิ๋ว บอกให้หลานฝรั่งฟังว่า
อาหารจานนี้เรียกอะไร และคะยั้นคะยอให้หลานกินโดยเอาตะเกียบตักใส่ชามข้าวของหลาน
ลูกเราฟังไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อยายตักให้กิน ก็ลองกินดู และแม่เราก็พูดไปเรื่อย
เล่าโน่น เล่านี่ให้หลานฟังอย่างเป็นวรรคเป็นเวน เป็นการแสดงออกที่เป็นธรรมชาติมาก
ไม่มีอาการเคอะเขินเลย
เป็นการหยิบยื่นความอบอุ่นและสนิทสนมให้แก่หลานอย่างเป็นธรรมชาติ
หลานฝรั่งฟังไม่รู้เรื่อง แต่ก็สุภาพพอที่จะยิ้มและพยักหน้างึก ๆ
ให้คุณยายจนเราอดขำไม่ได้ เพราะรู้ว่าลูกเราฟังคุณยายไม่รู้เรื่องเลย นี่เป็นภาพที่เราเห็นแล้วอุ่นใจมาก
เป็นความสุขขั้นพื้นฐานของคนที่มีครอบครัวอันอบอุ่น
และเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นระหว่างคุณย่าชาวอังกฤษกับหลานเลยทั้ง ๆ
ที่พูดภาษาเดียวกัน
การกลับมาเมืองไทยครั้งนั้น ลูกคนเล็กมีความสุขมากที่ถูกห้อมล้อมได้รับความสนใจจากญาติ
ๆ โดยเฉพาะกับลูกพี่ลูกน้องที่เมืองไทย แม้เด็ก ๆ เหล่านี้จะไม่ได้เติบโตมาด้วยกัน
ทุกคนก็สามารถเข้ามาคุยและทำตัวสนิทเหมือนญาติได้ทันทีโดยไม่มีอาการเคอะเขิน
นี่คือบรรยากาศอันอบอุ่นของครอบครัวที่เรารู้ดีว่าลูกอยากได้อยู่เสมอ
จึงทำให้เราเองก็รู้สึกดีขึ้นเหมือนได้ใช้หนี้ให้แก่ลูกแล้ว
นั่นเป็นการเห็นแม่ครั้งสุดท้ายของเรา
หลังจากที่พาลูกกลับอังกฤษเพียง ๗ อาทิตย์เท่านั้น
แม่ก็เสียชีวิตอย่างสงบโดยไม่มีความเจ็บป่วยเลย
เราได้ส่งลูกชายคนเล็กมาเมืองไทยคนเดียวอีกครั้งหนึ่งในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนเป็นเวลาสองเดือนของปี ๒๕๔๓ เมื่อเขาอายุเพิ่งย่าง ๑๔ ปี โดยให้อยู่กับครอบครัวที่กรุงเทพบ้าง และไปอยู่เป็นเด็กวัดที่วัดเขายายแสง โคราช ในความดูแลของหลวงพ่อสนอง กตปุญโญด้วย ลูกชายชอบมาก เมื่อกลับอังกฤษ สามารถพูดภาษาไทยกับแม่ได้คล่องแคล่วขึ้น
เขียนเพิ่มเติมครั้งสุดท้าย ธันวาคม ๒๕๔๖
หัวข้อนี้เป็นการเขียนเพิ่มเติมหลังจากที่เล่าเหตุการณ์ข้างต้น บัดนี้เวลาผ่านไปอีกสองปีแล้ว จึงเห็นว่าควรเขียนเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้อ่านทราบสถานการณ์ของครอบครัว
ถึงแม้เรากับสามีไม่เคยมีโอกาสได้อธิบายความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองกับใครเลยในครอบครัวนี้ คงปล่อยให้ญาติ ๆ คิดอะไรก็ได้ตามที่เขาอยากคิด โดยเฉพาะเราซึ่งเป็นคนนอก เหตุการณ์ครั้งนั้นอาจทำให้ญาติ ๆ สงสัยในตัวเราบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่มีวันรู้ว่าเขาคิดอะไร อย่างไรกับเรา แต่นั่นมิใช่เป็นปัญหาสำหรับเราเลย และเวลาย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์คุณภาพที่แท้จริงของมนุษย์
เราไม่เคยคิดว่าจำเป็นต้องพิสูจน์ตนเองให้คนอื่นรู้ถึงคุณความดีของเรา สิ่งไหนที่ทำไป ก็เพราะเห็นว่าเป็นความถูกต้องต่อตนเองและต่อผู้นั้น สิ่งหนึ่งที่เราได้ทำอย่างเสมอต้นเสมอปลายกับญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งของครอบครัวนี้คือ การไปเยี่ยมเยียนคุณป้าทวด ท่านเป็นคุณป้าของแม่สามี เป็นน้องสาวของคุณยายของสามี จึงเป็นรุ่นทวดของลูก ๆ เรา
เยี่ยมเยียนคุณป้าทวด
เมื่อคุณป้าทวดอายุ ๘๐ ปีและคุณลุงยังมีชีวิตอยู่นั้น เราได้ไปทำความสะอาดบ้านให้ท่านอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง ก่อนไปทำ ท่านบอกว่า เราต้องยอมรับค่าตอบแทนนิด ๆ หน่อย ๆ เพื่อเป็นค่าขนมให้เด็ก ๆ ที่ยังเล็กอยู่ นี่คือบ้านที่ปรากฏการณ์พิสดารทางใจ แมวจับหนูอย่างเป็นอัตโนมัติเกิดขึ้น
หลังจากที่คุณลุงเสียชีวิตและพี่น้อง ๙ คนในรุ่นเดียวกันเสียชีวิตหมด เหลือแต่คุณป้าทวดเท่านั้น ชีวิตของท่านจึงเงียบเหงามาก อยู่คนเดียว ไม่มีลูกของตนเอง จึงเป็นหน้าที่ของแม่กับป้าคนโต (แม่มีพี่สาวสองคน) ที่อยู่ใกล้เคียง คอยเยี่ยมเยียนและดูแล ฉะนั้น การไปทำความสะอาดบ้านให้ป้าทวดเท่ากับไปคุยเป็นเพื่อนแก้เหงาให้ท่านด้วย เมื่อทำงานเสร็จ คุณป้าทวดก็จะชงกาแฟ และเราสองคนก็จะนั่งคุยกันไต่ถามเรื่องราวของกันและกัน เรามักรู้ข่าวของญาติ ๆ ที่ห่างออกไปก็ผ่านคุณป้าทวดนี้ มีความรู้สึกว่า สามารถคุยได้อย่างเปิดอกกับคุณป้าทวดมากกว่าใครในหมู่ญาติ
เราทำความสะอาดให้ท่านอยู่ถึง ๘ ปี จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุ แขนหลุด ทำให้แขนไม่สามารถยกของหนักอยู่พักหนึ่ง ประกอบกับงานเขียนมีมากขึ้นด้วย จึงหยุดทำงานนั้น คุณป้าจึงจ้างคนอื่นมาทำแทน แม้ไม่ได้ไปทำงานให้ท่าน เราก็ยังคงแวะไปเยี่ยมเยียนท่านอย่างสม่ำเสมอ และมักพาลูกชายคนเล็กไปด้วย พยายามกระตุ้นให้ลูกถามคำถามป้าทวด ให้ท่านเล่าถึงชีวิตของท่านในวัยเด็กและการใช้ชีวิตระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ท่านเกิดปี ๒๔๕๐/๑๙๐๗ ได้ยินเรื่องราวของญาติสองคนที่เดินทางไปในเรือไททานิคซึ่งจมในปี ๑๙๑๒ ญาติทั้งสองจมน้ำตายไปกับเรือ และญาติ ๆ ของสามีซึ่งเป็นเด็กกำพร้าได้ถูกส่งไปทำงานในออสเตรเลีย (ต้นศตวรรษที่๒๐ชาวอังกฤษส่งนักโทษไปออสเตรเลียเพื่อทำงานเหมือง นำแร่ธาตุกลับเมืองอังกฤษ อันเป็นการลงโทษนักโทษวิธีหนึ่ง นักโทษเหล่านี้ได้กลายเป็นบรรพบุรุษของชาวออสเตรเลียทุกวันนี้ ในจำนวนคนที่ถูกส่งไปออสเตรเลียนั้น เด็กกำพร้าที่โตหน่อยก็ถูกส่งไปทำงานเช่นกัน) เพราะอยากให้ลูกมีประสบการณ์ และความทรงจำดี ๆ ที่เขาสามารถมองย้อนกลับได้
เมื่อคุณป้าทวดอายุ ๙๐ ปี ยังแข็งแรง ทำอาหารให้ตนเองได้ ท่านเหงามาก พูดเสมอว่าทำไมจึงถูกทิ้งไว้เป็นคนสุดท้ายในหมู่พี่น้องเช่นนี้ การไม่มีลูกหลานของตนเองทำให้รู้สึกเป็นภาระให้กับแม่และป้ามากเกินไป รู้สึกเกรงใจ เราก็ยิ่งเห็นความจำเป็นที่ต้องเยี่ยมเยียนท่านบ่อยขึ้น ท่านมักขอบคุณเราเสมอทุกครั้งที่ไปเยี่ยมท่าน เพราะนอกจากแม่และป้าที่มาดูแล เยี่ยมเยียนอย่างสม่ำเสมอแล้ว ในรุ่นหลาน ก็มีเราเท่านั้นที่ยังคงเยี่ยมเยียนท่านอย่างเสมอต้นเสมอปลายมาตลอด และเราเป็นเพียงหลานสะใภ้เท่านั้น การไปเยี่ยมป้าทวดบางครั้งก็ได้มีโอกาสพบคุณป้าและสามีด้วย
คุณป้าทวดท่านเสียชีวิตอย่างสงบในคืนวันคริสมาสของปี ๒๕๔๓ อายุ ๙๓ ปี โดยไม่มีความเจ็บป่วยที่เรื้อรังแต่อย่างใด
เยี่ยมเยียนแจนเน็ท
บุคคลอีกคนหนึ่งในครอบครัวที่ควรกล่าวถึงคือ แจนเน็ท ซึ่งเป็นลูกสาวของคุณป้า (พี่สาวคนโตของแม่สามีที่ดูแลคุณป้าทวดอย่างดีมาตลอด) จึงเป็นลูกพี่ลูกน้องของสามีเรา อายุแก่กว่าสามีเพียงปีเดียว มีสามีและลูกสาวสองคนในวัยยี่สิบเศษ และหลานอีกหนึ่งคน สามปีก่อน แจนเน็ทเป็นมะเร็งที่เต้านม ได้ผ่าตัดและฉายแสง คิดว่าจะดีขึ้น แต่มะเร็งกลับมาอีก เมื่อปลายปี ๒๕๔๕ อาการจึงเริ่มทรุดมาตั้งแต่นั้น เราได้ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลครั้งหนึ่ง แต่เมื่อกลับมาบ้านแล้ว ก็ไม่ค่อยได้ไปเยี่ยม เนื่องจากไม่ได้สนิทกัน และเพราะหลังจากเกิดเรื่องกับน้องสาวครั้งนั้นแล้ว สามีซึ่งเป็นประเภทที่ไม่ค่อยอยากยุ่งกับญาติอยู่แล้ว ก็ยิ่งทำตัวห่างเหินมากขึ้น ในใจมักคิดว่าคนอื่นต้องคิดตำหนิตนในเรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องสาว โดยเฉพาะแจนเน็ทกับมิคมีความสนิทสนมกับน้องสาวและน้องเขยมาก สามีจึงยิ่งรู้สึกประหม่า ถูกโลกธรรมกระทบอย่างแรง ฉะนั้น แม้จะอยู่ห่างกันเพียงถนนถัดไปเท่านั้น ก็ไม่เคยไปมาหาสู่กันเลยทั้ง ๆ ที่โตมาพร้อมกัน เล่นด้วยกันตอนเด็ก ๆ บัดนี้ จะพบกันก็เพราะมีงานสำคัญของครอบครัว การรวมญาติจึงเกิดขึ้น จึงพบกันสักครั้งหนึ่ง เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย จะให้ไปหาเขา สามีก็ดูเขิน ๆ ทำไม่ได้ เราจึงเป็นฝ่ายไปเยี่ยมแจนเน็ทเองที่บ้าน เหมือนเป็นตัวแทนให้สามี
เมื่อเห็นแจนเน็ทแล้ว รู้สึกสงสารมาก กำลังรอความตาย แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เนื่องจากสามีของแจนเน็ทซึ่งมีอาชีพขับรถแท็กซี่ต้องทำงานน้อยลงเพื่อมาดูแลภรรยา เราจึงตัดสินใจเอาเงิน ๕๐ ปอนด์ใส่ซองและนำไปให้ลุงกับป้า บอกให้ท่านนำเงินนั้นไปใช้อะไรก็ได้ให้แจนเน็ทโดยไม่ต้องบอกว่าเราเป็นคนให้ เพราะรู้ว่าแจนเน็ทกับสามีคงรับเงินเราไม่ได้ และเราก็ขอร้องลุงกับป้าด้วยว่า ไม่ต้องบอกใคร ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้นอกจากเราสามคนเท่านั้น ป้าพูดไม่ออก กอดเราแน่นและร้องไห้ สงสารป้ามาก เพราะคุณลุงก็เจ็บป่วยอยู่ ต้องดูแลทั้งสามีและลูกสาว หลังจากการเยี่ยมแจนเน็ทครั้งแรกในต้นเดือนพฤศจิกายนนั้น เราก็เริ่มทำอาหาร เช่นข้าวผัดส่งให้มิค สามีของแจนเน็ทบ้างเป็นครั้งคราว เป็นการถือโอกาสเยี่ยมแจนเน็ทด้วย
ทุกวันอาทิตย์ที่พ่อกับแม่มาหาพวกเราที่บ้าน เรื่องของแจนเน็ทจึงเป็นเรื่องหนึ่งที่พูดถึงเสมอ เราคิดอยู่ในใจเสมอว่า หากแจนเน็ทสามารถทำสมาธิได้ ก็จะดีมากทีเดียว อาจช่วยให้จิตสงบและกลัวตายน้อยลง ได้แต่พูดเปรยกับสามีเช่นนั้น เดือนธันวาคม ๒๕๔๕ แจนเน็ทอายุครบ ๕๐ ญาติ ๆ ไปเยี่ยมและอวยพรวันเกิดกันหลายคน เราไปเยี่ยมแล้วก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน จึงไม่ได้ไปในวันเกิดจริง คุณป้าโทรมาชวนให้เรากับสามีและลูกไป เพราะมีอาหารเตรียมไว้มากมาย พวกเราสามคนจึงไป นั่นเป็นครั้งแรกที่สามีและลูกคนเล็กได้เห็นแจนเน็ทตั้งแต่ที่เขาเริ่มป่วยมาหลายเดือนแล้ว ตอนนั้นผมของแจนเน็ทได้ล่วงหมดแล้วเนื่องจาการฉายแสง และแขนสองข้างก็บวมมาก แต่ก็ยังคุยกับผู้คนได้อยู่ คืนนั้นเอง สามีได้นั่งคุยกับแจนเน็ทและบอกเธอว่า เราสามารถมาช่วยสอนสมาธิเพื่อผ่อนคลายจิตใจให้สบายขึ้นได้ แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าแจนเน็ทต้องการเรียนจริง ๆ หรือไม่ เพราะไม่ได้คุยเอง เรื่องเช่นนี้จะยัดเยียดให้กันไม่ได้ จึงให้แม่ถามให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเธอก็บอกว่าอยากลองดู แม่บอกอีกว่า เท้าของแจนเน็ทเริ่มชา ไม่มีความรู้สึก พอดีเป็นช่วงที่เรากำลังเรียนนวดไทยแผนโบราณอยู่ จึงเห็นเป็นโอกาสดีที่จะได้นวดคลึงฝ่าเท้าให้แจนเน็ทด้วย คนเป็นมะเร็งนั้นนวดแรงไม่ได้ ได้แต่ลูบคลึงเบา ๆ เท่านั้น
ครั้งแรกที่ไปนวดฝ่าเท้าให้แจนเน็ทนั้น เมื่อมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ดูออกว่าเธออยากพูดความรู้สึกในใจให้เราฟัง แต่ก็ไม่สามารถทำได้เต็มที่ เพราะยังเขินอยู่ ที่คุย ๆ กันมาตลอดก็คุยแต่เรื่องอื่นทั้งสิ้นที่ไม่ใช่ความคิดและความรู้สึกจริงของตนเอง แต่เราดูออกไม่ยากนักว่า แจนเน็ทอยู่ในโลกที่โดดเดี่ยวของตนเอง คนที่กำลังจะตายนั้น ต้องเผชิญความรู้สึกมากมายคนเดียว นอกจากกลัวตายแล้ว ยังกลัวสารพัดอย่าง กลัวความคิดที่ต้องทิ้งสามีและลูก ๆ ไว้ข้างหลัง พูดเปิดอกกับใครก็ไม่ได้ เพราะฝรั่งไม่ชอบพูดเรื่องความตาย จะเลี่ยงหัวข้อนี้เสมอ บางคนเห็นเป็นเรื่องน่าอับอายด้วยซ้ำไป แม้ความตายกำลังรออยู่หน้าประตูบ้านก็ตาม
ครอบครัวนี้ก็ไม่ต่างจากคนอังกฤษโดยทั่วไป เดือนตุลาคม มีพยาบาลที่ทำหน้าที่เหมือนบาทหลวงด้วยมาเยี่ยมแจนเนท หน้าที่ของเธอคือการคุยกับคนไข้ที่หมดหนทางรักษาแล้ว เพื่ออำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้หากจำเป็น เช่น ถ้าร่างกายเจ็บปวดมาก ก็จะหาเตียงให้ในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยที่ต้องตายแน่ โรงพยาบาลเช่นนี้เขาไม่เรียก hospital จะเรียก hospice ถ้าเข้าได้แล้ว หมอกับพยาบาลจะช่วยคนไข้ให้มีความเจ็บปวดน้อยที่สุด และช่วยให้ตายอย่างสงบ พยาบาลคนนี้ไม่คิดว่าแจนเน็ทจะอยู่จนถึงคริสมาส แต่ไม่ได้พูดตรง ๆ กับแจนเน็ท เพียงแต่แนะนำให้เธอเขียนจดหมายทิ้งให้ลูกและสามีได้แล้วในขณะที่ยังพอเขียนได้ ปรากฏว่าทั้งครอบครัว ญาติ ๆ โกรธพยาบาลคนนี้มาก เพราะนั่นเป็นการพูดเรื่องความตายอย่างอ้อม ๆ ตอนนั้น เราดูปฏิกิริยาของคนทั้งครอบครัวแล้ว ก็รู้สึกแปลก ๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมฝรั่งจึงไม่ยอมรับความจริง ทั้ง ๆ ที่ในใจลึก ๆ ของทุกคนก็รู้อยู่เต็มอกว่า มะเร็งของแจนเน็ทนั้น รักษาไม่ได้อีกแล้ว หมอได้บอกเองแล้ว
ถ้าเป็นชาวพุทธที่เข้าวัดและมีปัญญาแล้ว การรู้ว่าตนเองกำลังจะตายในเร็ววันนี้ต้องนับว่าเป็นบุญมหาศาล จะได้เตรียมตัวตายกันอย่างจริงจัง น้อยกว่านั้น คนที่ไม่ได้จัดตนเองเป็นชาววัด ก็ยังมีวิธีการพูดมากมายที่จะช่วยให้ผู้กำลังจะตายปล่อยวาง และเตรียมใจไปสู่สุคติภูมิเป็นอย่างน้อย อย่างมากก็ช่วยให้ตกกระไดพลอยโจน ชาวพุทธเราจึงมักเอาเทปธรรมะมาเปิดให้ผู้ป่วยฟัง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ร่ำรวยมาก แต่นี่เป็นเมืองอังกฤษ และแจนเน็ทก็ไม่ใช่คนเข้าโบสถ์ หัวข้อเรื่องความตายก็พูดไม่ได้ จึงนึกสงสัยว่า จะพูดธรรมะให้เขาฟังได้อย่างไร
เมื่อมีโอกาสไปนวดให้เธอเป็นครั้งแรก เราเห็นว่าไม่ควรเสียเวลา ต้องพยายามให้ปัญญาและสมาธิแก่เธอให้ได้ แต่ตระหนักชัดว่าต้องระวังคำพูดมาก จึงบอกแจนเน็ทว่า เราจะอธิบายเหมือนที่ได้พูดกับนักศึกษาของเราที่มหาวิทยาลัย จึงพูดอย่างเป็นกลาง ๆ ให้เธอฟังว่า แม้ตัวกายจะเจ็บป่วย แต่ทุกคนมีตัวใจที่ไม่จำเป็นต้องเจ็บป่วยตามตัวกาย หากรู้จักดูแลรักษา ใจเจ็บป่วยเพราะคิดมาก คิดสารพัด กลัวต่าง ๆ นา ๆ บอกเธอว่าจะรักษาใจให้หายเจ็บ หายคิดมาก และหายกลัวได้ก็โดยการทำสมาธิ พยายามเน้นให้เธอเห็นว่าความเจ็บป่วยของใจนั้น เกิดกับทุกคน ไม่ใช่เธอเท่านั้น คนมากมายที่ร่างกายไม่เจ็บป่วย มีสุขภาพดี แต่ใจเจ็บป่วยมากจนทุกข์มาก อยากฆ่าตัวตายก็มี ดังที่เห็น ๆ กันอยู่ แจนเน็ทฟังอย่างตั้งใจ การอธิบายเช่นนี้ เท่ากับให้ความหวังว่า หากเธอทำสมาธิได้ ก็จะทำให้ใจเป็นสุข สบายขึ้น
และแล้วก็นำให้เธอเข้ามาสู่เทคนิคการทำสมาธิทันที บอกให้เธอหลับตา และกำหนดสติอยู่ที่ลมหายใจหรือไม่ก็ความรู้สึกที่เท้าในขณะที่เรานวดอยู่ และได้เตือนให้เธอพยายามอย่าคิดออกไปไกลเหมือนที่เราสอนนักศึกษา เรานำให้แจนเน็ททำสมาธิเช่นนั้นอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมง แม้เราเองก็พยายามแผ่เมตตาให้เธอในขณะที่นวดฝ่าเท้าให้เธออยู่ เมื่อลืมตาขึ้น เธอสามารถยิ้มน้อย ๆ ให้เราเห็น บอกว่าสามารถสัมผัสกับความสงบได้บ้าง ในช่วงสั้น ๆ ซึ่งนับว่าเป็นบุญมาหาศาลแล้ว ก่อนกลับ เราบอกให้แจนเน็ทพยายามหลับตาและกำหนดลมหายใจเหมือนที่เราสอนเมื่อเวลาที่อยู่คนเดียว
อีกสามวันต่อมา เราก็ไปนวดให้แจนเน็ทอีก เธอบอกว่าทำยากมากเมื่อเวลาอยู่คนเดียว จึงหาอุบายอื่นให้เธอทำ บอกให้เธอท่องหรือพูดย้ำคำ ๆ เดียวว่า heal ซึ่งแปลว่ารักษา หรือ หายจากโรคภัยไข้เจ็บ อธิบายให้เธอฟังว่า เมื่อใจสามารถกำหนดอยู่ที่คำ ๆ นี้แล้ว ใจก็จะสบาย เมื่อใจสบาย ร่างกายก็จะมีปฏิกิริยารักษาตัวเอง healing เป็นการให้ความหวังแก่เธอบ้างว่า หากท่องคำนี้ได้แล้ว ร่างกายอาจจะดีขึ้น เห็นว่า นี่เป็นอุบายที่จะหลอกล่อให้แจนเน็ททำสมาธิได้ดีขึ้น แม้ร่างกายจะไม่ดีขึ้นก็ตาม เมื่อใจกำหนดอยู่ที่มนต์นั้นได้แล้ว จิตใจจะชำรุดน้อยลง มีพลังมากขึ้น สามารถต่อกรกับความคิดด้านลบได้มากขึ้น วันนั้น ในขณะที่เรานวดขาและเท้าให้เธออยู่ ก็นำให้เธอทำสมาธิโดยท่องบ่นมนตรา หรือสวดมนต์นั้นเอง แต่ใช้คำเดียวว่า heal ทำอยู่ราวชั่วโมงเศษ เธอสามารถหลับตาเช่นนั้นได้อย่างสงบ เมื่อลืมตา ดูออกว่าหน้าตาสดใสมากขึ้น บอกว่าทำง่ายมากขึ้นกว่าการดูลมหายใจ ก่อนกลับ เราจึงบอกให้เธอท่องคำ ๆ นี้อยู่ในใจตลอดเวลาที่อยู่คนเดียว รวมทั้งเวลาเข้านอนด้วย ย้ำว่า พยายามท่องตลอดเวลา วันรุ่งขึ้นได้ข่าวจากแม่ที่รู้จากป้าว่า แจนเน็ทนอนติดต่อกันได้เกือบ ๕ ชั่วโมงซึ่งเธอไม่เคยทำได้มาก่อนตั้งแต่ที่เริ่มเจ็บป่วย เมื่อไปนวดให้เธอในครั้งต่อไป เธอบอกว่า การนอนหลับในคืนนั้นเหมือนได้สมบัติอันล้ำค่า แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้นทุกคืน เพราะเธอหายใจลำบากมาก ปรากฏว่าเราได้ไปนวดและนำแจนเน็ททำสมาธิเช่นนั้นอยู่ ๕ ครั้งในเดือนธันวาคม เธอก็เล่าให้ฟังว่า จิตใจเธอรู้สึกดีขึ้นเมื่อทำได้ เธอยอมรับว่าได้รับประโยชน์จากการทำเช่นนั้นในเวลาอันสั้น แต่ก็บอกอีกว่ายากมากที่จะทำให้ได้เช่นนั้นตลอดเวลา เราคิดในใจว่าจะไม่ยากได้อย่างไร นี่เป็นการปฏิบัติเพื่อเอามรรค เอาผลกันทันทีเลย เป็นสิ่งที่ชาวพุทธเราฝึกฝนกันหลาย ๆ ปีกว่าจะง่ายขึ้น แจนเน็ทมาเริ่มเอาตอนที่เกือบสายมากแล้ว แต่ถ้าทำได้ ก็ยังนับว่าเป็นบุญมากโขอยู่
หลังคริสมาสของปีก่อน น้องสาวของสามีชวนพี่ชายและพี่สะใภ้รวมทั้งแจนเน็ทกับมิคไปทานอาหารที่บ้าน คืนนั้น ทั้ง ๆ ที่เหนื่อย แจนเน็ทก็คุยไม่หยุด คุยเรื่องอดีต สมัยเด็ก ๆ ที่ใช้เวลากับคุณยาย น้องชาย และลูกพี่ลูกน้อง เมื่ออยู่กันหลายคน แจนเน็ทจะไม่พูดความรู้สึกในใจแม้กับญาติตนเอง
ต้นปีใหม่ ๒๕๔๖ เราได้กลับไปนวดให้แจนเน็ทอีก แต่การคุยเปิดเผยความรู้สึกในใจเหมือนในเดือนธันวาคมไม่เกิดอีกแล้ว เนื่องจากมีเพื่อนมาเยี่ยมอยู่ในขณะที่เราไป จึงนวดฝ่าเท้าให้เธอเฉย ๆ โดยไม่ได้นำให้ทำสมาธิ นั่งฟังเขาคุยกัน จะว่าขำก็ได้ หรือเศร้าก็ได้ แล้วแต่การมอง คนที่กำลังจะตายนั้น ที่จริงหาเรื่องคุยได้ยากมาก แต่ฝรั่งก็ยังคงคุยเรื่องธรรมดาอย่างที่ผู้หญิงจับกลุ่มคุยกัน ตั้งแต่เรื่องอากาศ ครอบครัว ซื้อของ จ่ายตลาด ทำกับข้าว คือคุยทุกเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยของแจนเน็ท และต้องไม่พูดเรื่องความตาย เรามองแจนเน็ทแล้ว รู้สึกเศร้ามากกว่า ในขณะที่เพื่อน ๆ คิดว่า มาคุยกับแจนเน็ทเพื่อให้เขาลืมความเจ็บไข้ของตนเอง แต่คนที่รู้ว่ากำลังจะตายนั้น จะสามารถลืมความเจ็บและความตายของตัวได้มากแค่ไหน ลืมไม่ได้ รู้สึกเสียดายเวลาของแจนเน็ทมากว่า แทนที่จะมานั่งคุยเรื่องสัพเพเหระที่ไม่เข้าเรื่อง ในช่วงเวลาที่เหลือน้อยนิดนี้ควรรีบเตรียมใจ ฝึกฝนใจหาความสงบดีกว่า อย่างน้อยที่สุด เมื่อตายแล้วเข้าสู่สุคติภูมิได้ ไม่ใช่ไปทุคติภูมิ นี่คือสิ่งที่เรามอง แต่ฝรั่งต่างวัฒธรรมจะเข้าใจเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเขายังอยู่ห่างไกลปัญญาเช่นนี้มากทีเดียว และเราก็ทำอะไรมากไม่ได้ หากเขาไม่พร้อมจะรับ
แม้แจนเน็ทได้รับประโยชน์จากที่เรานำให้ทำสมาธิในเดือนธันวาคมก็ตาม เธอก็ไม่ได้เป็นฝ่ายขอร้องให้เราสอนอีกในเดือนมกราคมเมื่อมีเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง มีความรู้สึกว่า ความเก้อเขินกลับมาอีก จึงนวดให้แจนเน็ทโดยไม่ได้นำให้เธอทำสมาธิ คุยเรื่องอื่นเหมือนที่เพื่อน ๆ เขาคุยกัน และเราก็ห่างไปอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะหลังจากทีโทรให้แจนเน็ทเพื่อนัดเวลานวด มีครั้งหนึ่งที่เธอมีอาการทรุด ขอผลัดไปก่อน หลังจากนั้น เราโทรอีกสองหรือสามครั้ง แจนเน็ทก็ดูไม่พร้อม ขอผลัดไปอีก เราไม่อยากให้เขาอึดอัดใจ ถ้าไม่อยากให้เราไป จึงบอกแจนเน็ทว่า เราพร้อมที่จะไปนวดให้เสมอ ขอให้โทรบอกเราเท่านั้น แต่แจนเน็ทกับมิคก็ไม่ได้โทรให้เราเลย และเราก็ต้องกลับเมืองไทยในปลายเดือนมีนาคม ๒๕๔๖ วันเดินทาง เราคิดถึงแจนเน็ท จึงเขียนจดหมายขอโทษเธอที่ไม่มีโอกาสมาเยี่ยม บอกเธอว่า ขอให้พยายามท่องบ่นมนตราดังที่เราสอนไว้ เพื่อทำให้จิตใจสบายและมีพลังมากขึ้น เราบอกว่า เราไม่รู้ว่าเธอมีความเชื่อในเรื่องพระเจ้ามากเพียงใด แต่หากมีความเชื่อในพระเจ้าแล้วละก็ เธอสามารถท่องคำว่า God หรือ peace แทนคำว่า heal ก็ได้ เป็นอุบายช่วยให้เธอคิดถึงพระเจ้าเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง เท่ากับสอนให้เธอเตรียมตัวตายอย่างอ้อม ๆ นั่นเอง บอกลูกชายให้เอาจดหมายพร้อมข้าวผัดไปให้มิคกับแจนเน็ท
เรากลับอังกฤษในเดือนพฤษภาคม สามีกำลังตกแต่ง ซ่อมแซมบ้าน จึงยุ่งกับงานบ้าน จึงไม่ได้เห็นแจนเน็ทเกือบสามเดือน ต้นเดือนมิถุนายน เราทำข้าวผัดใส่กล่องแล้วก็เดินไปบ้านแจนเน็ท เพื่อถือโอกาสเยี่ยมเยียน เธอนั่งอยู่ในสวนคนเดียว ถึงช่วงนั้น แจนเน็ทต้องนั่งคนเดียวในบ้านนานมาก มิคยังต้องไปขับแท็กซี่รับส่งนักเรียนบ้าง ลูกสาวก็ยังต้องทำงาน มาหาแม่ได้ตอนเลิกงาน และยังมีคู่ครองและลูกต้องดูแล คนที่เราสงสารมากที่สุดคือ ป้า แม่ของแจนเน็ท เพราะเธอต้องดูแลทั้งสามีที่เจ็บป่วย และยังห่วงลูกสาวที่กำลังจะตาย ทั้ง ๆ ที่อายุ ๗๕ แล้ว เธอยังต้องขับรถเพื่อมาหาลูกสาวทุกวัน และพยายามใช้เวลากับเธอให้มากที่สุด
วันนั้น ดูออกว่า ร่างกายเธอหดลงกว่าที่เราเห็นครั้งสุดท้าย ไม่สามารถยืดคอได้ตรง เพราะเส้นเอ็นงอ เราจึงคว้าเก้าอี้ที่ต่ำกว่ามานั่งตรงหน้าเธอ แจนเน็ทร้องไห้ ยอมรับกับเราว่า เธอกลัวมาก แต่ก็ไม่ปล่อยตัวเองบรรยายความรู้สึกให้มากกว่านั้น พอหยุดร้องไห้แล้ว ก็ชวนเราคุยเรื่องอื่น แต่ดูไม่ยากว่าสภาวะใจของเธอชำรุดมาก เราอยากถามเธอว่า กลัวตายใช่หรือไม่ แต่ก็ยั้งเอาไว้ รู้ว่าเป็นเรื่องที่เธอเองยังไม่อยากยอมรับ เพราะถ้าเธอยอมรับกับเราได้ว่ากลัวตาย เราสามารถพูดให้เธอหายกลัวได้ และเตรียมตัวตายอย่างสงบได้ แต่ถ้าเธอไม่ได้เป็นฝ่ายพูดและขอให้เราสอนสมาธิให้ก่อนแล้ว เราก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร จึงนั่งนวดฝ่าเท้าให้เธอ และถามว่าเจ็บปวดมากหรือไม่ เธอพยายามจะอธิบายถึงความปวดเมื่อยของร่างกายโดยเฉพาะหลัง และเอวว่ามันปวดเมื่อยมากแค่ไหน เนื่องจากเส้นเอ็นงอ จึงทำให้ไม่สามารถยืดตัวได้เต็มที่ และจากการนั่งนาน ๆ ด้วย เมื่อนวดฝ่าเท้าเสร็จ เราจึงนวดส่วนหลังและเอวให้เธอด้วย เธอบอกว่า รู้สึกดีเหลือเกิน ผ่อนคลายความปวดเมื่อยให้เธอได้บ้าง
เรามานั่งคิดแล้ว ก็ไม่เข้าใจฝรั่งเลย การปรนนิบัติต่อคนเจ็บป่วยเช่นนี้ ควรเป็นหน้าที่โดยตรงของสามี โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสาวทั้งสองคน เราได้ถามแจนเน็ทว่า มิคกับลูกสาวนวดเช่นนี้ให้หรือเปล่า เธอบอกว่า พวกเขาทำไม่เป็น ซึ่งจริงมาก การปรนนิบัติคนเจ็บด้วยการนวดเช่นนี้ คนไทยเราสามารถทำได้อย่างเป็นธรรมชาติมากกว่า โดยเฉพาะคนอังกฤษไม่ชอบเรื่องการถูกเนื้อต้องตัว แม้จะเป็นพ่อแม่ลูกกันก็ตาม นอกจากนั้น พยาบาลที่เคยคิดว่าแจนเน็ทอยู่ไม่เลยคริสมาสนั้น ถึงตอนนั้น ก็เลยคริสมาสมา ๕ เดือนแล้ว คนป่วยนาน ๆ เช่นนี้ คนมาเยี่ยมเยียนย่อมน้อยลงเป็นธรรมดา แม้น้องชาย และน้องสะไภ้ของแจนเน็ทก็ไม่ได้มาเยี่ยมพี่สาวนานเป็นเดือน นอกจากแม่ ลูกสาว ก็มีเพื่อนสนิทสองคนที่ยังมาเยี่ยมอย่างสม่ำเสมอ น้องสาวและน้องเขยของสามีก็มาเยี่ยมบ้างเช่นกัน แจนเน็ทจึงใช้เวลานั่งนาน ๆ คนเดียวทุกวัน ทุกข์มาก เราจึงกลับไปเยี่ยมแจนเน็ทบ่อยขึ้น ทุกครั้งจะนวดทั้งฝ่าเท้าและบั้นเอวให้เธอ แต่ไม่ได้นำให้เธอทำสมาธิอีก
ช่วงนั้น เราได้คุยกับลูกชายคนเล็กบ่อยมากว่า แม่รู้สึกสับสน ไม่รู้จะช่วยแจนเน็ทให้เต็มที่ได้อย่างไร บอกลูกว่า สิ่งที่แจนเน็ทต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือ การเตรียมตัวตายอย่างสงบ ใจจริงของแม่นั้นอยากเอาหนังสือเรื่อง The User Guide to Life ให้แจนเน็ทอ่าน และอยากคุยเรื่องการเตรียมตัวตายกับแจนเน็ทอย่างตรงไปตรงมา อยากสอนเธอว่าเมื่อความตายมาถึงแล้ว ควรทำใจอย่างไร เพราะเรารู้ว่าเรื่องนี้สำคัญมาก บอกลูกว่า จะมีคนสักกี่คนในโลกนี้ที่เขียนหนังสือสอนให้คนเตรียมตัวตาย แม่ก็คนหนึ่งละ แต่ดูซิ มาถึงญาติที่ใกล้ชิดเช่นนี้ แม่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ถามลูกว่า แม่ควรพูดเรื่องนี้กับแจนเน็ทหรือไม่
ลูกชายคนเล็กซึ่งบัดนี้เป็นหนุ่มอายุ ๑๗ ฟังแม่พูดแล้วตกใจมาก เพราะรู้ว่าเราเป็นคนตรงและทำอะไรแผลง ๆ จึงบอกแม่ด้วยหน้าตาที่พะวงมากว่า แม่ต้องไม่พูดเรื่องความตายกับแจนเน็ทอย่างเด็ดขาดนะแม่นะ ถ้าแม่ไม่อยากให้เกิดเรื่องในครอบครัวเหมือนที่เกิดกับอาอีก หัวเด็ดตีนขาด แม่ต้องไม่พูดเรื่องนี้ ถ้าแม่พูดขึ้นมาแล้ว ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีก เตือนให้แม่นึกถึงสิ่งที่พยาบาลพูด แม้เขาไม่พูดเรื่องความตาย ทุกคนในครอบครัวยังโกรธพยาบาลคนนั้นมาก ย้ำให้แม่ฟังว่า เรื่องความตายเป็นเรื่องเปราะมากในหมู่คนอังกฤษ ไม่มีใครอยากฟัง และถ้าแม่มาสอนให้แจนเน็ทเตรียมตัวตายอย่างที่แม่เขียนในหนังสือแล้ว แม่ลองหลับตาดูนะว่า ญาติ ๆ จะมองแม่อย่างไร ต้องทะเลาะกันในหมู่ญาติอีก ลูกชายขอร้องแม่ให้สัญญาแก่เขาว่าต้องไม่พูดเรื่องการเตรียมตัวตายกับแจนเน็ทอย่างเด็ดขาด
ในที่สุด เราต้องรับฟังลูกชาย เพราะในหมู่ญาตินั้น ไม่มีใครรู้เรื่องงานเขียนของเราเลย จึงทำตัวลำบากมาก ไม่สามารถเปิดเผยความรู้ของตนเอง ต้องทำตัวเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองต่อไป และต้องยอมรับว่า บุญบารมีของเขามีมาเท่านั้นเอง จึงได้แต่ไปนวดให้แจนเน็ทพร้อมกับแผ่เมตตาให้เธอ ในช่วงสองเดือนที่เราไปนวดประมาณอาทิตย์ละสองครั้งนั้น แจนเน็ทมีแต่ทรุดลง ความปวดเมื่อยของกายมีมากจนอธิบายให้ใครรู้ไม่ได้ ไม่มีคำพูด ฉะนั้น การไปนวดให้เธอแต่ละครั้ง จึงสามารถผ่อนคลาย ทำให้สบายกายได้บ้าง นึกตำหนิลูกสาวอยู่ในใจว่าทำไมไม่ปรนนิบัติมารดาเช่นนี้ ไม่เพียงเท่านั้น
สิ่งที่เรานึกไม่ถึงคือ ประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อน คนอังกฤษได้วันพักร้อน ส่วนมากมักจองตั๋วเครื่องบินและที่พักล่วงหน้าเพื่อไปพักผ่อนตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เรากับสามีได้วางแผนจะไปหาเพื่อนที่ประเทศฮอลแลนด์ ไปหนึ่งอาทิตย์ ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน แม่ของสามีมาที่บ้านและบอกว่า ลูกสาวคนเล็กของแจนเน็ทจะพาลูกอายุ ๕ ขวบไปพักผ่อนที่สเปญ เราฟังแล้วสะอึก มองหน้าลูกชายซึ่งดูออกว่าเขาก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน แม่ก็รู้ว่าพวกเราคิดอย่างไร จึงให้เหตุผลว่า แจนเน็ทเป็นคนอยากให้ลูกสาวไปพักผ่อนเอง เพราะเขาได้วางแผนและจองที่พักไว้หนึ่งปีก่อนที่จะรู้ว่าแม่เป็นมะเร็งด้วยซ้ำ แจนเน็ทจึงไม่อยากให้ลูกสาวยกเลิกแผนการณ์ไปพักผ่อนครั้งนี้ อยากให้ลูกไปจากบรรยากาศที่เศร้าสร้อยและความเจ็บป่วยของแม่ และคงรู้ด้วยว่าลูกสาวกำลังมีปัญหาเรื่องคู่ครองด้วย นี่คงเป็นเหตุผลที่แจนเน็ทพูดเอง เพื่อไม่อยากให้ใครคิดไม่ดีกับลูกสาว
เมื่อแม่ไปแล้ว เราถามลูกชายคนเล็กว่า หากแม่ป่วยจะตายแล้ว ลูกจะไปพักผ่อนถึงสเปญไม๊ลูก ลูกชายบอกว่า ไม่ไปเด็ดขาดถึงแม้แม่อยากให้ไปก็ตาม เขาก็ไม่ยอมไป เออ ลูกเราพูดถูก บอกลูกว่า ถ้าเป็นแม่แล้ว แม่จะไม่ยอมอยู่ไกลมารดาที่กำลังจะตายเลย จะใช้เวลาทุกนาทีอยู่ปรนนิบัติท่านอย่างใกล้ชิด ไม่ยอมห่างเด็ดขาด เรื่องสเปญนั้น ควรบอกยกเลิกตั้งแต่ที่รู้ว่าแม่เป็นมะเร็งแล้ว แต่นั่นคือเราและวิถีชีวิตของคนไทยที่ต่างจากฝรั่งมาก ในปลายอาทิตย์นั้นเอง ลูกสาวแจนเน็ทไปสเปญซึ่งกะจะไปสองอาทิตย์ เรากับสามีไปฮอลแลนด์หนึ่งอาทิตย์ น้องชายของแจนเน็ทพาครอบครัวไปเที่ยวฝรั่งเศส กะไปสองอาทิตย์เช่นกัน
หลังจากที่ลูกสาวและหลานไปสเปญในวันศุกร์ แจนเน็ทนอนหลับอย่างสงบบนโซฟาที่เราไปนวดให้ทุกครั้ง เธอนอนตั้งแต่เช้าวันอาทิตย์และไม่ตื่นอีกเลยจนหยุดหายใจอย่างสนิทในเช้าวันจันทร์ที่ ๒๑ กรกฎาคม เรารู้ข่าวในวันอังคารหลังจากที่โทรหาแม่ แม่บอกว่า มิคต้องโทรศัพท์หาตัวลูกสาว เพื่อให้เธอกลับบ้านหลังจากที่บินไปเสปญเพียงสองวันเท่านั้น น้องชายของแจนเน็ทอยากจะกลับจากฝรั่งเศส แต่ป้าบอกว่า กลับมาก็ทำอะไรมากไม่ได้ ไม่มีอะไรต้องทำอีกแล้ว นอกจากรอจนถึงวันงานศพ จึงอยู่เพียงหนึ่งอาทิตย์แทนที่จะเป็นสองอาทิตย์ เพื่อกลับมางานศพของพี่สาว
คนอังกฤษ เมื่อตายแล้ว ญาติสนิทจะติดต่อบริษัทจัดงานศพ เขาจะมาทำทุกอย่างให้ตั้งแต่เอาศพไปแต่งตัวจนถึงวันงาน เขาจะเอารถมารับญาติไปที่สุสานเพื่อทำพิธีซึ่งนานเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น และแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกลับ ญาติและเพื่อนสนิทเท่านั้นจึงจะกลับมาที่บ้านของมิคกับแจนเน็ทเพื่อทานอาหารว่างเช่น แซนวิช ที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว เท่านี้ก็เสร็จงานศพของฝรั่ง
เรากับสามีกลับมาก่อนงานศพหนึ่งวัน คืนนั้น ฝันถึงแจนเน็ท หน้าตาสวยเหมือนอยู่ในวัย ๓๐ ยิ้มให้เห็น สวยมาก จึงบอกลุง ป้า มิค และลูกสาวสองคนของแจนเน็ทว่า เธอได้มาหาเราในฝัน หน้าตาสวยมาก บอกว่านั่นเป็นสัญญาณว่า แจนเน็ทได้ไปอยู่สวรรค์แล้ว ปรากฏว่าไม่มีใครฝันถึงแจนเน็ทเลยในช่วง ๗ วันหลังจากที่เธอตายจนถึงวันงาน นอกจากเราเท่านั้น ได้แต่หวังว่าสิ่งที่เราได้สอนให้แจนเน็ทนั้น เธอได้พยายามนำมาใช้และทำให้ใจสงบตอนก่อนตาย และได้ไปสู่สุคติภูมิ
นิยายที่จบลงด้วยดี
ไม่เคยคิดว่าจำเป็นต้องพิสูจน์ความดีของตนเองให้ใครรู้ เวลาเท่านั้นย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์คุณภาพของมนุษย์ บัดนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวเราและของน้องสาวดีมากขึ้นกว่าที่เขียนเมื่อปีที่แล้ว มีการเยี่ยมเยียน ไปมาหาสู่มากขึ้น สามารถมองหน้ากันและคุยกันได้โดยไม่รู้สึกว่ามีความขมขื่นต่อกันเหมือนปีแรก ๆ หลังเกิดเรื่อง ซึ่งมิใช่เป็นเพียงความพยายามของเราเท่านั้น แต่เป็นความพยายามของน้องสาวและน้องเขยของสามีด้วย เธอเป็นฝ่ายที่ชวนเรากับสามีไปงานรวมญาติที่บ้านเธอก่อน ตอนแรกสามีรู้สึกอึดอัดและไม่อยากไป แต่ก็ค่อย ๆ ทำได้ง่ายขึ้นเพราะเห็นแก่พ่อแม่ที่ย่างสู่วัยชราแล้ว
หลังจากที่เราไม่ได้จัดงานรวมญาติในบ้านนี้ตั้งแต่หลังเกิดเรื่องด้วยเหตุผลต่าง ๆ ซึ่งเหตุผลหนึ่งคือ การตกแต่งและซ่อมแซมบ้านที่ยืดเยื้ออยู่นาน อย่างไรก็ตาม เดือนธันวาคมปีนี้ (๒๕๔๖) มีสาเหตุที่ต้องให้จัดงานฉลองอยู่สี่ข้อ คือ คุณปู่อายุครบ ๗๕ ปี เรากับสามีแต่งงานครบรอบ ๒๓ ปี สามีอายุครบ ๕๐ ปี และลูกชายคนกลางย่าง ๒๐ ในเดือนมกราคม กำลังรอการเรียกตัวเข้ารับราชการทหารเรือ พร้อมกับบ้านเพิ่งตกแต่งเสร็จ และเป็นเทศกาลคริสมาสด้วย จึงเห็นเป็นโอกาสดีที่จะจัดงานรวมญาติที่บ้านนี้ ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ญาติพี่น้องมาเกือบ ๓๐ คน เราทำทั้งอาหารไทยและฝรั่งเลี้ยงกันอย่างอิ่มหนำสำราญ ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ๆ ซึ่งบัดนี้ก็โตเป็นผู้ใหญ่มีแฟนกันแล้ว ทุกคนสามารถหาเรื่องคุยกันอย่างสนุกสนานในคืนวันงาน คุณปู่คุณย่ามีความสุขมากที่เห็นลูกหลานมีความสมานกลมกลืนกัน
มีเพื่อนทักท้วงถึงการนำเรื่องนี้มาเล่าในหนังสือเล่มนี้ จุดสำคัญที่เราต้องการเน้น มิใช่เพื่อประจานญาติของตนเอง แต่ต้องการให้เห็นถึงวิธีการแก้ปัญหาของเราเพราะเห็นว่านี่เป็นปัญหาชีวิตที่สะไภ้มากมายต้องประสบโดยเฉพาะหญิงไทยที่อยากแต่งงานกับฝรั่ง การที่หญิงคนหนึ่งแต่งงานเข้าไปเป็นสมาชิกในครอบครัวหนึ่งนั้นมิใช่เป็นเรื่องง่ายต่อการปรับตัว โดยเฉพาะการทำตัวให้เป็นที่รักของครอบครัวสามีก็มิใช่จะเป็นไปได้เสมอไป ยิ่งในกรณีของเราแล้ว เป็นเรื่องต่างวัฒนธรรมด้วย การเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างถ่องแท้ย่อมยากขึ้น แต่เราก็พาตนเองออกจากปัญหาจนได้ จะเรียกว่าเป็นนิยายที่จบลงด้วยดีก็ยังได้ A drama with a happy ending. จึงเป็นเรื่องที่เห็นว่าควรเล่าทิ้งไว้ให้คนไทยรู้ เพราะเป็นปัญหาโดยตรงของชีวิตเรา ถ้าไม่มีปัญหาเหล่านี้ในครอบครัว การต่อสู้เพื่อให้อยู่เหนือความทุกข์คงไม่เกิด
อย่างไรก็ตาม หากเรื่องนี้มีการแปลและพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษแล้ว เพื่อเห็นแก่ความสงบของครอบครัวนี้ เรื่องนี้อาจจะต้องถูกตัดออก หรือไม่ก็ต้องเขียนใหม่แบบสรุปรวบยอดเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาภายหลังในขณะที่เขียน เพราะสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้คือ ไม่ควรทะเลาะกับญาติสนิทของตนเอง เขียนถึงตรงนี้แล้ว เพิ่งจำได้ว่าแม่เราได้พูดไว้แล้วตอนเรายังสาวอยู่ แต่ตอนนั้นไม่เข้าใจ แม่พูดว่า
ญาตินั้น อย่าไปทะเลาะกับเขาจนมองหน้าไม่ติด เก็บไว้คบกันเล่น ๆ ดีกว่า