บทที่ยี่สิบเอ็ด มีปัญหากับพระ 

           

วัดแรกที่พานักศึกษาไปปฏิบัติธรรม

            เรื่องนี้เกิดประมาณปลายปี ๒๕๔๐ เจ้าอาวาสของวัดป่าแห่งหนึ่งซึ่งมีครูบาอาจารย์เป็นที่เคารพอย่างสูงของคนไทย จึง  ได้รับการสนับสนุนจากคนไทยมาตั้งแต่ต้น เป็นวัดแรกที่เราได้พานักศึกษาไปปฏิบัติธรรมในปีที่สอง (๒๕๓๒) ที่เริ่มสอนไท้เก็ก โดยพานักศึกษาไปค้างที่วัดหนึ่งคืน ปีต่อมาก็ได้พานักศึกษาไปค้างสองคืน พอปีที่สาม จะทำเช่นนั้นอีก พระฝรั่งที่เป็นเจ้าอาวาสได้แสดงออกถึงความหนักใจ เมื่อเราซักถามปัญหา จึงรู้ว่าคณะกรรมการวัดซึ่งประกอบด้วยฝรั่งชาวอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ไม่ยินดีให้เราพานักศึกษาไปค้างคืนที่วัดเช่นนั้น เพราะเขาไม่รู้ว่าเราทำอะไรอย่างแท้จริง

เพื่อความสบายใจของเจ้าอาวาส เราจึงเสนอทางออกให้ท่านว่า ถ้าเช่นนั้น จะขอพานักศึกษาไปวัดแบบเช้าไปเย็นกลับก็แล้วกัน เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เห็นพระสงฆ์และประเพณีการทำบุญใส่บาตรของชาวพุทธ พระท่านก็เห็นด้วย เพราะท่านก็อยากมีโอกาสได้ใกล้ชิดนักศึกษา จึงได้พานักศึกษาไปวัดนี้ติดต่อกันหลายปี ความสัมพันระหว่างเรากับพระเจ้าอาวาสนี้ก็เรียกว่าดีมาตลอด ท่านพูดเองว่า เห็นเราเป็นคนในคนหนึ่งของวัด เราก็สนับสนุนท่านเท่าที่ทำได้ ลูก ๆ ก็เติบโตมากับวัดนี้ ตอนลูกคนโตอายุ ๘ ขวบ เราก็เริ่มส่งให้เขามาอยู่วัดนี้ในช่วงปิดเทอม ลูกคนที่สองและที่สามก็ทำเช่นกัน

 

สามีไม่ชอบไปวัดนี้

            ถึงแม้เราจะมีความสัมพันที่ดีกับพระฝรั่งรูปนี้ สามีกลับไม่ค่อยถูกโฉลกกับท่านเลย รวมทั้งฝรั่งชาวอังกฤษซึ่งส่วนมากเป็นชนชั้นกลางที่ประกาศตนเป็นชาวพุทธของวัดนี้ เหตุผลของสามีคือ เขาเห็นว่าฝรั่งเหล่านี้เป็นชาวพุทธเพราะความอยากเท่ห์มากกว่า ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่รู้ว่าชาวพุทธที่แท้จริงควรเป็นอย่างไร เรามักคัดค้านสามีเสมอว่าทำไมจึงมองคนในแง่ร้าย แต่ก็พยายามเข้าใจว่า อาจเป็นเพราะมีสถานะทางสังคมที่ต่ำกว่าก็ได้ จึงอดหมั่นไส้คนที่อยู่ในชนชั้นที่สูงกว่าไม่ได้ ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เราจึงปฏิเสธที่จะมองพระฝรั่งรูปนี้ในแง่ลบ รวมทั้งฝรั่งคนอื่น ๆ ที่อุปถัมภ์วัดนี้ด้วย ทั้ง ๆ ที่มีเรื่องราวให้มองในแง่ลบได้มากมาย

เมื่อใจปฏิเสธที่จะมอง จึงมองไม่เห็น และคิดเสมอว่า ควรให้โอกาสแก่พระท่านด้วย ท่านเป็นพระ เป็นผู้นำคน ท่านต้องรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ และคงต้องพยายามแก้ไขตนเองหากเห็นข้อบกพร่องอะไร สามีไม่ชอบไปวัดนี้ แต่ตอนนั้นเรายังขับรถไม่ได้ จะไปวัดก็ต้องอาศัยสามีขับรถให้ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่อยากไป แต่เมื่อเราขอร้อง เขาก็พาเรากับลูกไปทุกครั้ง

นินทาลับหลังเจ้าอาวาส

จนกระทั่งในช่วงสองปีก่อนเกิดเรื่องใหญ่นั้น การซุบซิบนินทาพระฝรั่งรูปนี้มีมากจนหนาหู และคนเก่า ๆ ที่เคยอุปถัมภ์วัดมาตั้งแต่เริ่มแรกนั้น แต่ละคนก็ค่อย ๆ หายหน้าเข้ากลีบเมฆ พระไทยที่เคยมาอยู่ก็มักมีปัญหากับเจ้าอาวาสจนอยู่นานไม่ได้ ถึงจุดหนึ่ง ในจำนวนคนไทย เหลือหน้าเก่า ๆ ไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงไปวัดอยู่ จึงเริ่มเห็นว่า ที่จริงแล้ว การวิเคราะห์ปัญหาของสามีนั้นไม่ผิดจากข้อเท็จจริงมากนัก เพราะคนอังกฤษ เขาย่อมรู้จักคนอังกฤษกันเองดีกว่าคนต่างด้าวอย่างเรา

ปัญหาของวัดนี้สาวมาที่จุดเดียวกันหมดคือ เจ้าอาวาสเป็นคนมีอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธง่าย ทุกครั้งที่มีงานบุญที่วัด สามีมักเล่าให้ฟังเสมอว่า ในหมู่สามีฝรั่งที่พาภรรยาไทยไปวัดนั้น เขามักรวมกลุ่มกันนินทาพระฝรั่งรูปนี้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าการนินทาลับหลังคนเป็นเรื่องไม่ดี แต่ถ้าหากสิ่งที่คนพูดลับหลังเป็นความจริงแล้ว จะมานั่งหลับหูหลับตาก็ไม่ได้ เราฟังแล้วไม่สบายใจมาก รู้สึกเห็นใจพระฝรั่ง อยากให้ท่านทราบปัญหา ท่านอาจจะพยายามปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น และการนินทาก็คงจะหายไปในที่สุด

 

หาคนเตือนเจ้าอาวาสไม่ได้

ปัญหาอยู่ที่ว่า ใครล่ะจะเป็นคนกล้าไปเตือนเจ้าอาวาสว่าท่านมีข้อบกพร่องในตนเองที่ต้องแก้ไข ไม่มีใครกล้า ตอนนั้น เราก็ไม่เห็นว่ามีเหตุการณ์อะไรร้ายแรงที่จะเป็นตัวนำขึ้นมาพูด เพราะการที่คนหายหน้าหายตาไป มันก็แล้วแต่ศรัทธาของแต่ละคน จะไปบังคับให้คนเข้าวัดนั้นไม่ได้ จึงได้แต่คุยปัญหากับเพื่อนคนไทยที่สนิทกัน และก็มาจบที่ว่าหาคนเตือนท่านตรง ๆ ไม่ได้ ปัญหาจึงค้างอยู่เช่นนั้น

พระท่านก็ไม่ได้ปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น เพราะความเป็นเจ้าอาวาส จึงมักมีแต่คนพยักหน้ารับคำสั่งอย่างเดียว ฝรั่งที่ไม่เคยรู้จักวัดอื่นก็ไม่รู้ว่าพระควรทำตัวอย่างไร และความเป็นชาวพุทธอยู่ที่ไหน จึงอยู่ในลักษณะคนตาบอดจูงคนตาบอด

ควรใช้หลักพรหมวิหารเพื่อยุติปัญหา

            ปี ๒๕๔๐ มีพระไทยรูปหนึ่งมาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าแห่งนี้ ในช่วงก่อนออกพรรษาของปีนั้นเอง พระไทยรูปนี้ได้ขออนุญาติพระฝรั่งเจ้าอาวาสไปกราบนมัสการครูบาอาจารย์ที่เป็นพระฝรั่งของอีกวัดหนึ่ง เจ้าอาวาสไม่พอใจทันที และบอกพระไทยว่า ถ้าไม่อยากอยู่วัดนี้ ก็กลับเมืองไทยไปเลย ไม่เพียงเท่านั้น ได้สั่งให้โยมฝรั่งที่มาอุปฐากจองตั๋วเครื่องบินให้พระไทยทันที จะต้องกลับภายในหนึ่งอาทิตย์ พระไทยท่านยังไม่อยากกลับเมืองไทย เพราะวีซ่ายังไม่หมด เมื่อมาถูกบังคับให้กลับเช่นนั้นจึงทุกข์มาก โทรหาคนไทยเพื่อขอคำปรึกษาและช่วยเหลือ เราก็เป็นคนหนึ่งที่พระไทยได้โทรมาถามความคิดเห็น

 ถึงแม้พระไทยจะทำผิดกฏระเบียบของพระธรรมวินัยในการขออนุญาติไปวัดอื่นในช่วงที่ยังไม่ออกพรรษาก็ตาม ซึ่งเป็นกฏของสงฆ์ที่เราเองก็ไม่รู้เรื่องมากนัก แต่นั่นไม่ได้เป็นตัวปัญหา ตัวปัญหาอยู่ที่ว่า การบังคับให้พระลูกวัดกลับเมืองไทยทันทีนั้นไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านยังไม่อยากกลับ และมาบังคับให้ท่านต้องกลับวันนั้นวันนี้ เท่ากับเป็นการใช้อำนาจบังคับข่มขู่ผู้น้อยจนเกินไป ไม่ได้ให้เกียรติแก่ผู้น้อยเลย

เรามาคิดได้ว่า หากลูกเราไม่อยากทำอะไรแล้ว เราไปบังคับเขาก็ยังไม่ได้ แล้วทำไมพระรูปหนึ่งจึงมาบังคับพระอีกรูปหนึ่งให้ทำในสิ่งที่ท่านไม่อยากทำเล่า ทั้งสองฝ่ายนอกจากเป็นผู้ใหญ่ที่พูดกันรู้เรื่องได้แล้ว ยังเป็นพระที่สมควรจะมีคุณธรรมและสามารถยุติปัญหาด้วยธรรมได้อย่างง่ายดาย เป็นเรื่องที่เจ้าอาวาสซึ่งเป็นผู้อาวุโสกว่าทั้งวัยและสถานะควรใช้หลักพรหมวิหารกับลูกวัดผู้มีอาวุโสน้อยกว่า เป็นเรื่องที่พูดอธิบายกันดี ๆ ได้

เป็นเรื่องปกป้องศักดิ์ศรีของคนไทย

การแสดงออกถึงอารมณ์โกรธของเจ้าอาวาสต่อพระลูกวัดนั้น นอกจากจะบ่งบอกถึงความล้มเหลวในธรรมที่ตนปฏิบัติแล้ว ยังชี้ให้เห็นว่าไม่มีภูมิปัญญาเพียงพอที่จะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ นี่เป็นปัญหาที่สามารถยุติได้ในวัด ระหว่างเจ้าอาวาสกับพระลูกวัดโดยที่คนภายนอกไม่จำเป็นต้องรู้เห็นเลย แต่การที่พระไทยต้องโทรศัพท์ขอร้องให้คนไทยเข้ามาช่วยเหลือนั้น แสดงออกถึงความคับแค้นใจอย่างมาก เราเห็นว่า พระฝรั่งเจ้าอาวาสได้ทำเกินเหตุ มันก็เป็นธรรมชาติอยู่เองว่า คนไทยเราก็อยากปกป้องพระไทยด้วย ไม่อยากเห็นพระไทยถูกพระฝรั่งข่มขู่เอาเช่นนี้ นอกจากไม่ยุติธรรมแล้ว ยังเป็นเรื่องการปกป้องศักดิ์ศรีของคนไทยด้วย และท่านก็มาขอความช่วยเหลือแล้ว หากเราอยู่ในสถานะอย่างท่าน เราก็คงอยากให้มีคนมาช่วยเหลือเราบ้าง

แต่ใครล่ะที่จะเป็นผู้ออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของพระไทยและคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คู่กรณีไม่เพียงแต่เป็นฝรั่งเจ้าของประเทศเท่านั้น แต่ยังอยู่ในสถานะของพระภิกษุที่คนยกย่องเคารพบูชาก็มาก คนที่จะรับอาสาไปพูดกับพระฝรั่งรูปนี้ นอกจากจะต้องพูดภาษาอังกฤษได้เก่งพอที่จะโต้ตอบอย่างทันทีทันควันซึ่งเป็นสิ่งที่พระไทยคู่กรณีทำไม่ได้แล้ว ยังต้องรู้ว่าตนเองกำลังพูดเรื่องอะไรด้วย จะต้องพอรู้หลักธรรม และอ้างอิงข้อธรรมเพราะนี่เป็นปัญหาของพระ ไม่ใช่ฆราวาส มิเช่นนั้น จะถูกตอกกลับจนหน้าแตก แล้วจะไปหาคน ๆ นั้นได้ที่ไหน

 

รับอาสาไปคุยกับเจ้าอาวาส

เราได้คิดอยู่สองสามวันว่าควรทำอย่างไรที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน โดยให้เจ้าอาวาสเปลี่ยนใจ ไม่ส่งพระไทยกลับเมืองไทย จึงตัดสินใจว่าจะเป็นคนรับอาสาไปคุยกับเจ้าอาวาสเอง เพราะคิดว่าตนเองมีปัจจัยพร้อม ทั้งสองอย่าง และคิดว่าเราเองก็อยู่ในฐานะที่เป็นคนเก่าแก่ของวัดและยังไม่เคยมีข้อบาดหมางใจกับเจ้าอาวาสเลย คิดว่า ท่านคงต้องรับฟังเราบ้าง

ในที่สุด เราได้โทรคุยกับพระไทยว่า ถ้าท่านยังไม่อยากกลับเมืองไทย ก็ยังไม่ต้องกลับ ถึงแม้ตั๋วจะจองแล้วก็ตาม พวกเราคนไทยจะช่วยกันซื้อตั๋วเครื่องบินให้ตอนหลัง และเราจะไปคุยกับพระฝรั่งในคืนนั้นให้ ซึ่งเป็นคืนก่อนที่พระไทยต้องไปจับเครื่องบินในเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องคุยกับเจ้าอาวาสให้ได้ในคืนนั้น

 

เรียบเรียงคำพูดอย่างระวัง

จึงคิดต่อว่า จะต้องพูดอย่างไรจึงจะไม่ทำให้พระฝรั่งรู้สึกว่าพวกเราคนไทยมาตั้งป้อมโจมตีท่าน คิดว่า จะเริ่มต้นพูดเรื่องคนนินทาลับหลังท่านอย่างเปิดเผย จนเราเห็นว่ามันไม่ยุติธรรมต่อท่าน ถ้าท่านรู้ ท่านจะได้พยายามมองเห็นปัญหาของตนเองที่เป็นตัวก่อเหตุให้ญาติโยมหนีหายกันไปมากจนเกิดการนินทาลับหลัง กรณีของพระไทยที่กำลังเกิดอยู่นั้นเป็นเหมือนเส้นฟางเส้นสุดท้ายเท่านั้นที่ทำให้ถึงจุดระเบิด จึงเห็นว่า นี่เป็นโอกาสที่จะเตือนพระฝรั่งถึงนิสัยส่วนตัวที่ชอบมีอารมณ์เสียของท่านจนกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านอยู่เสมอ ด้วยความหวังว่าท่านจะยอมรับฟังด้วยใจที่ห้าวหาญและเริ่มสำรวจตนเอง

 

พยายามปกป้องความรู้สึกของเจ้าอาวาส

ปรากฏว่า เมื่อเราไปถึงวัดในคืนนั้น บรรยากาศในวัดก็อยู่ในสภาวะตึงเครียดมาก ญาติโยมฝรั่งที่เคยทักทายเราด้วยดีก็ล้วนแสดงออกถึงความเย็นชา ไม่พอใจ ไม่ยอมทักทาย เราเข้าใจดีว่า การไปชี้ข้อบกพร่องของคน ๆ หนึ่ง นอกจากเป็นเรื่องที่เจ็บปวดแล้ว เจ้าตัวยังต้องรู้สึกอับอายขายหน้ามากด้วย เราไม่ใช่เป็นคนมีนิสัยฉีกหน้าคนเล่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคน ๆ นั้นเป็นพระด้วย จึงคิดว่าทางที่ดีที่สุด ควรจะพูดกับท่านเป็นส่วนตัว ให้คนรับรู้น้อยที่สุด หากแก้ปัญหาได้แล้ว เรื่องจะได้จบอยู่ในคนไม่กี่คนนั้น ไม่ต้องให้เรื่องรั่วไหลออกภายนอก เป็นการปกป้องความรู้สึกของพระฝรั่ง ตอนนั้นมีพระไทยอีกรูปหนึ่งอยู่ในวัดด้วยซึ่งท่านก็รู้ปัญหาดีและสนับสนุนการไปพูดกับพระฝรั่ง  ฉะนั้น เราจึงขอร้องให้ท่านอยู่ด้วยในขณะที่เราพูดกับเจ้าอาวาส

 

ถ้าไม่ผิด ย่อมไม่กลัว

เมื่อเจ้าอาวาสเห็นเราและรู้ว่าเราต้องการคุยด้วยนั้น หากท่านมั่นใจในการกระทำของท่านว่าไม่มีอะไรที่น่าตำหนิติเตียนแล้ว โดยธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่ได้ทำอะไรผิดนั้น ย่อมไม่กลัว ไม่ประหม่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นพระที่ได้รับการขัดเกลาจิตใจมาเป็นเวลาถึง ๒๐ ปีเศษด้วยแล้ว ย่อมสามารถข่มใจและรักษาความสงบของใจได้ดี

แต่พระฝรั่งไม่ได้มีอาการดังกล่าวเลย สีหน้าของท่านแสดงออกถึงความเครียดและประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีแววแห่งความสงบให้เห็นเลย เพียงเห็นใบหน้าที่แสดงออกถึงความไม่พอใจของท่านเท่านั้น เราก็รู้ทันทีว่ากำลังเจอศึกหนัก

เพื่อช่วยให้พระฝรั่งคลายความประหม่า เรายิ้มและกราบนมัสการท่านตามประเพณีของชาวพุทธ และเริ่มการพูดด้วยการบอกเจตนาของตัวเองว่า เพราะมีความหวังดีต่อท่านและวัดโดยส่วนรวม เรื่องพระไทยที่ท่านต้องการให้กลับเมืองไทยนั้นไม่ใช่เป็นตัวปัญหาใหญ่ของการพูดในคืนนั้น นั่นเป็นเพียงฟางเส้นสุดท้ายเท่านั้น สิ่งสำคัญคือต้องการเตือนให้ท่านรู้ว่า มีคนพูดติฉินนินทาท่านลับหลังมากมาย และเป็นเรื่องที่ได้เกิดมานานแล้วและเกิดในวัดของท่านด้วย ซึ่งเราเห็นว่าเป็นความเสียหายทั้งต่อท่านและวัด และภาพพจน์ของพระพุทธศาสนาในต่างแดนด้วย ฝรั่งที่ยังไม่เข้าใจศาสนาพุทธดีพอจะเข้าใจผิดได้ หากท่านทราบ จะได้พยายามแก้ไขตนเองให้ดีขึ้น

 

พูดกับบัณฑิต ง่ายมาก

คนที่เป็นบัณฑิตนั้น หากมีใครมาเตือนอย่างตรงไปตรงมาเช่นนั้น ย่อมรับฟังโดยดุษณี จะต้องสำรวจตนเองว่า สิ่งที่คนอื่นกล่าวหานั้นมีความจริงมากเพียงใด ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่จริง ก็จะต้องรับฟังอย่างถ้วนถี่ และใช้เวลาพิจารณาตนเองให้ดีพอ เพราะโดยธรรมชาติมนุษย์นั้น เมื่อผงเข้าตาตัวเอง ย่อมเขี่ยเองไม่ได้ ต้องอาศัยคนอื่นเขี่ยออกให้ เหมือนต้องอาศัยกระจก จึงจะเห็นเงาตนเองได้

อีกสิ่งหนึ่งที่พระท่านควรมองออกคือ ผู้เตือนคือเรา แม้จะเป็นหญิงก็ตาม แต่ท่านก็ได้รู้จักและเห็นกิจกรรมของเรามาเกือบสิบปีแล้ว จนท่านเคยยอมรับกับเราเองว่า ท่านเห็นเราเป็นคนในของวัด และเราก็ไม่เคยมีเรื่องขัดใจหรือบาดหมางใจกับท่านจนกระทั่งต้องมาคิดแก้แค้นอะไรทำนองนั้น ฉะนั้น ท่านควรดูออกว่า เราไม่มีเจตนาร้ายกับท่านเลย นอกจากความหวังดีเท่านั้น หากพระฝรั่งรูปนี้เป็นบัณฑิตอย่างแท้จริงแล้ว ท่านต้องมองออกในเหตุผลเหล่านี้ และคงพูดกันง่ายมาก 

 

พูดกับคนพาล ยากมาก

ในทางตรงกันข้าม การพูดกับคนพาลย่อมเป็นเรื่องยากมาก คืนนั้น เพราะความเป็นคนผิวขาว เมื่อโกรธแล้ว หน้าจึงแดงอย่างเห็นได้ชัด พระฝรั่งแสดงออกถึงความโกรธ ไม่พอใจในคำพูดของเราอย่างรุนแรง นอกจากนั้น ท่านก็ยังโต้เถียงและแก้ต่างอย่างข้าง ๆ คู ๆ พยายามจะให้เราบอกว่าใครพูดเช่นนั้นเช่นนี้ คนที่โกรธย่อมพูดอะไรออกมาผิด ๆ จับต้นชนปลายไม่ถูก และพยายามโยนความผิดให้คนอื่นอยู่ร่ำไป บางสิ่งที่ท่านพูดออกมานั้น เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างเห็นได้ชัด เพราะเรารู้ข้อเท็จจริงคืออะไร สรุปว่า พูดกันไม่รู้เรื่องเลย

 

ใจที่ฝึกไม่ดีย่อมซัดส่ายไปตามคลื่นลมของโลกธรรม

ถึงจุดหนึ่ง เราเห็นว่าใจของท่านชำรุดมากแล้ว จึงพยายามปลุกให้ท่านตื่นจากความหลง เพราะจิต (ความคิด ความรู้สึก) มาเกาะใจจนแน่น สลัดไม่หลุด ซึ่งถ้าคนฝึกวิปัสสนาแล้ว จะมีความชำนาญในการนำใจกลับสู่ฐาน  พอใจกลับสู่ฐานเช่นกำหนดลมหายใจทันที ใจจะสามารถสลัดหลุดจากจิต(ที่ทำให้หลง)ได้ ทำให้สามารถควบคุมใจอยู่  ใจที่ฝึกมาดีแล้วจึงสามารถคงความสงบเยือกเย็นได้แม้กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนั้น จึงดูออกว่าการฝึกใจของพระรูปนี้ยังไม่ได้ไปไกล ใจของท่านจึงซัดส่ายอย่างแรงไปตามคลื่นลมของโลกธรรมชนิดคุมไม่อยู่ เห็นท่านแล้วก็นึกสงสารท่านมาก เรื่องการซัดส่ายของใจไปตามครรลองของจิตนั้น ทุกคนต้องช่วยตัวเองทั้งนั้น คนอื่นช่วยทำให้ใจหลุดจากจิตไม่ได้ ต้องทำเองโดยการนำใจกลับสู่ฐานของสติทันที[1]

สิ่งที่เราพอทำให้ท่านได้คือ พูดให้ท่านมีความกลัวน้อยลง คนเราเมื่อไม่กลัวแล้ว ก็จะคุมใจได้ง่ายขึ้น  จึงพยายามบอกให้ท่านมองเจตนาของเราให้ดี เน้นให้ท่านฟังว่าเราไม่ได้เป็นศัตรูกับท่านเลย ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาสิบกว่าปีนั้น เราก็ได้สนับสนุนวัดของท่านมาตลอด พานักศึกษามาปฏิบัติธรรม เราเป็นมิตรที่หวังดี ไม่ได้มาด้วยเจตนาร้ายแต่อย่างใด จึงกล้ามาพูดเตือนท่านเช่นนั้น และเราก็ชูมือทั้งสองขึ้นมาให้ท่านเห็นว่า มือเราไม่ได้สั่นเลย ซึ่งหมายความว่า หัวใจของเราก็นิ่ง ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อยนิด อธิบายว่า เหตุที่เราทำเช่นนั้นได้ เพราะเราไม่ได้คิดร้ายอะไรต่อท่านเลยจริง ๆ  พยายามให้ท่านมองให้ออกในขณะนั้นว่า เราไม่ได้เป็นศัตรู แต่เป็นมิตร ฉะนั้น ไม่ต้องกลัว และอยากให้เรื่องจบอยู่เพียงเราสี่คนเท่านี้ (หลังจากที่คุยได้หนึ่งชั่วโมง ก็มีเพื่อนคนไทยอีกคนหนึ่งมาช่วยเราพูดด้วย)

พยายามจะพูดให้ใจของท่านอ่อนลง และยอมรับฟังมากขึ้น แต่ไม่ว่าเราจะพูดอย่างไร เมื่อความโกรธและความกลัวได้ครอบงำจิตใจของพระฝรั่งเช่นนั้นแล้ว จึงมีแต่การถกเถียงกัน ปรากฏว่าสองชั่วโมงผ่านไป ไม่สามารถตกลงอะไรกันได้ จึงเห็นว่า พูดต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์ ใจของท่านถูกอกุศลจิตครอบงำ ไม่ยอมรับฟังอะไรแล้ว เรากับเพื่อนจึงตัดสินใจกลับ

 

คำพูดที่ขาดภูมิปัญญาและเมตตา

เช้าวันรุ่งขึ้น เราโทรไปที่วัดแต่เช้า ด้วยความเป็นห่วงสภาวะใจของเจ้าอาวาส รู้ว่าใจของท่านต้องเจ็บปวดมากหลังจากที่คุยกันเมื่อคืน กลัวท่านจะทำอะไรที่โง่เขลาลงไปเพราะความมืดมิดของจิต คิดเตรียมไว้ว่า หากใจของท่านชำรุดมาก เราต้องพยายามพูดให้ท่านรู้สึกดีขึ้น และอยากรู้ด้วยว่าพระไทยที่ต้องกลับเมืองไทยในเช้าวันนั้น ตกลงท่านกลับหรือไม่ จึงขอคุยกับพระไทยอีกรูปหนึ่ง

ท่านจึงเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวัดในเช้ามืดวันนั้น ว่าเจ้าอาวาสพยายามจะบังคับให้พระไทยลูกวัดขึ้นรถไปสนามบินอย่างไร จนพระไทยต้องขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ยอมออกมา ซึ่งฟังแล้ว นึกไม่ถึงว่านั่นเป็นการกระทำของพระเจ้าอาวาส

ท่านยังเล่าด้วยว่า หลังจากที่เรากลับแล้ว พอดีคืนนั้นมีฝรั่งมารอทำสมาธิ แต่ถูกการคุยของเราขัดจังหวะไป พวกเขาซึ่งส่วนมากเป็นกรรมการวัดยังคงคอยอยู่นอกห้อง เจ้าอาวาสจึงเรียกฝรั่งกลุ่มนั้นเข้าไปพูดด้วย พระไทยยังคงนั่งอยู่ สิ่งหนึ่งที่ท่านพูดหลุดปากออกมาด้วยความโกรธคือ บอกว่าไม่แคร์คนไทยอีกต่อไป เพราะนี่คือเมืองอังกฤษ ซึ่งเป็นการพูดที่ขาดทั้งปัญญา ภูมิธรรมและความเมตตาอย่างรุนแรง จะพูดว่าไม่แคร์คนไทยได้อย่างไรในเมื่อวัดนี้เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้ก็เพราะเงินบริจาคและการสนับสนุนของคนไทย ซึ่งเรื่องเงินก็ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ที่สำคัญยิ่งคือ ครูบาอาจารย์ของท่านเองก็เป็นครูที่คนไทยเราให้ความเคารพบูชาอย่างสูงสุด การที่พระฝรั่งรูปนี้โด่งดังขึ้นมาได้ก็เพราะอาศัยชื่อเสียงของครูบาอาจารย์ไทยมิใช่หรือ แล้วทำไมมาพูดว่าไม่แคร์คนไทย เพราะนี่คือเมืองอังกฤษ

 

ขุดหลุมฝังตัวเองอีก

ภายในไม่กี่วันนั้น เจ้าอาวาสก็ได้ทำให้โยมอุปฐากไทยคนหนึ่งที่จงรักภักดีกับท่านมาหลายปีกลายเป็นฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับท่านเสียเอง เพราะความระแวงและไม่ไว้วางใจคนไทย เป็นการเน้นถึงบุคลิกในแง่ลบของท่านซึ่งเป็นตัวปัญหามาตั้งแต่ต้น  เท่ากับเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองให้ลึกมากขึ้นทุกที

ในช่วงไม่กี่วันนั้น พระไทยที่เป็นคู่กรณีต้องอยู่ในวัดอย่างหวานอมขมกลืน อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว เป็นที่เพ่งเล็งของฝรั่งทั้งพระและฆราวาส ในที่สุด ท่านเองเป็นฝ่ายที่เอาธรรมมาเป็นเครื่องยุติปัญหา จึงตัดสินใจกลับเมืองไทย เพราะเห็นว่าวัดนี้ไม่สามารถอยู่เพื่อปฏิบัติให้ใจสงบได้อีกต่อไปในท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตรเช่นนั้น อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ส่วนพระไทยอีกรูปหนึ่ง ถึงแม้จะไม่มีปัญหากับเจ้าอาวาส โดยธรรมชาติของใจย่อมรู้สึกอึดอัด โยมคนไทยจึงนิมนต์ท่านไปพักที่บ้านจนกระทั่งถึงวันที่ต้องกลับเมืองไทยในอีกประมาณสองหรือสามอาทิตย์หลังจากนั้น

 

เหตุผลที่ต้องเข้ามาพัวพัน

พระฝรั่งเจ้าอาวาสคิดอย่างตื้น ๆ ว่า ตัวปัญหาอยู่ที่พระไทยไม่กลับเมืองไทย เมื่อท่านยอมกลับ เรื่องก็จะเงียบ แต่ท่านคิดผิดมาก การกระทำของเจ้าอาวาสในไม่กี่วันนั้นได้ชี้ให้เห็นว่าการปฏิบัติในเรื่องการขัดเกลากิเลสของท่านนั้นยังไม่ได้ไปถึงไหนเลย ยังถูกโทสะขี่คออย่างโงหัวไม่ขึ้น จึงเริ่มเข้าใจปัญหาของวัดที่เรื้อรังมาหลายปีว่าทำไมทั้งพระอาคันตุกะและฆราวาสจึงอยู่วัดนี้นานไม่ได้ ต้องมีปัญหาขัดแย้งกับเจ้าอาวาสจนต้องจากไปเสมอ เพราะคนไทยที่นี่ก็อยากให้พระไทยมาอยู่นาน ๆ  แสดงออกถึงความไม่เหมาะสมในการเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของเจ้าอาวาสเป็นอย่างมาก  เมื่อเราเข้าไปพัวพันและเห็นความไม่ถูกต้องเกิดขึ้นเช่นนั้น จะให้เราปล่อยทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีข้อยุตินั้น เราทำไม่ได้ ด้วยสาเหตุดังนี้คือ

) หากเราคิดว่ามีความหวังดีต่อพระพุทธศาสนาแล้ว  การปล่อยให้เรื่องนี้เงียบไปโดยไม่พยายามทำอะไรนั้น เท่ากับเปิดโอกาสให้คนตาบอดจูงคนตาบอด  คนที่สนใจศาสนาพุทธอย่างแท้จริง เมื่อมาเจอพระที่มีเครื่องแบบ แต่ไม่มีธรรมในใจให้สอนนั้น เขาจะเรียนรู้พุทธศาสนาได้อย่างไร ที่นี่เป็นเมืองอังกฤษและไม่ใช่เป็นเมืองพุทธ จึงมิใช่เป็นเรื่องง่ายสำหรับคนอังกฤษที่จะสรรหาครูบาอาจารย์อื่น ๆ เหมือนที่คนไทยทำได้ในเมืองไทย

) ตอนที่เกิดเรื่องนั้น คงเป็นช่วงที่ไล่เลี่ยกับการเกิดญาณของเรา จึงมองออกชัดว่าการปฏิบัติของพระฝรั่งรูปนี้ยังไม่ได้อยู่ในขั้นที่ปลอดภัย ยังต้องพึ่งพาครูบาอาจารย์ชี้แนะให้ การมาเปิดวัดตั้งตัวเป็นเจ้าอาวาสอยู่คนเดียวนั้นไม่ได้ช่วยให้ท่านเห็นธรรมในตนเองเลย ตรงกันข้าม เป็นการเปิดโอกาสให้ติดยึดในลาภ สักการะ อันเป็นโลกธรรมที่ละได้ยากมากหากไม่มีความรู้ที่แท้จริง

พระรูปนี้ ที่จริงได้ทำงานด้านสังคมสงเคราะห์มากจนมีชื่อเสียง คนมากมายอาจจะทักท้วงว่า ก็น่าจะมองส่วนดีของท่านบ้าง แต่นี่คือจุดสำคัญที่คนต้องเข้าใจให้ถูกต้อง เป้าหมายของการเป็นพระนั้น ไม่ใช่เพื่อมาทำงานสังคมสงเคราะห์ เป้าหมายหลักคือการปฏิบัติธรรมเพื่อขูดเกลากิเลส เอาโลภ โกรธ หลง ออกไปให้มากที่สุด งานสงเคราะห์ผู้อื่นนั้น จะทำหรือไม่ทำก็ได้ แม้พระไม่ทำ ฆราวาสก็ทำได้ พระที่ปฏิบัติเพื่อขูดเกลากิเลสดีแล้ว แม้ท่านจะไม่ทำงานสังคมสงเคราะห์ ท่านก็ไม่ผิด เพราะท่านได้ทำหน้าที่ต่อตนเองถูกต้องแล้ว พระพุทธเจ้าทรงสร้างวิถีชีวิตของสงฆ์ขึ้นมาก็เพราะต้องการให้สาวกของท่านเร่งขูดเกลากิเลส อันเป็นการเดินทางลัดไปสู่พระนิพพาน ไม่ใช่ให้มาเสียเวลาทำงานอย่างอื่นที่มีความสำคัญน้อยกว่าการหลุดพ้นของตนเอง พระนั้นเมื่อไม่ขูดเกลากิเลสแล้ว ก็คือลูกชาวบ้านที่เอาผ้าเหลืองมาทำมาหารับประทานเท่านั้น เพราะเจ้าอาวาสองค์นี้มัวแต่ทำงานสังคมสงเคราะห์มากกว่าขูดเกลากิเลสตนเอง ปัญหาจึงเกิดขึ้น

ฉะนั้น หากเรามีความหวังดีต่อพระฝรั่งเจ้าอาวาสนี้อย่างแท้จริงละก็  มิใช่ปล่อยให้ท่านจมปลักอยู่กับความมืดของอวิชชามากขึ้น แต่ต้องพยายามทำให้ท่านเห็นความผิดพลาดของตนเองและรีบแก้ไขเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอยู่ในสถานะที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ สามารถช่วยคนอื่นได้มาก หากท่านสามารถขัดเกลากิเลสได้อย่างแท้จริงแล้ว ท่านย่อมมีปัญญาทางธรรมช่วยนำคนเดินตามทางแห่งองค์มรรคเพื่อไปสู่การหลุดพ้นได้ คนอื่น ๆ โดยเฉพาะคนอังกฤษก็จะได้รับประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลจากพระพุทธศาสนา การชี้ข้อผิดของท่านจึงเท่ากับช่วยพระฝรั่งรูปนี้เป็นส่วนตัว และช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนาด้วย

) การกระทำของเจ้าอาวาสเท่ากับไม่ได้ให้เกียรติคนไทย เป็นการดูถูกคนไทยอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงนั้น จึงเริ่มมองออกว่า สิ่งที่สามีและคนอังกฤษอื่น ๆ นินทาและวิจารณ์พระรูปนี้ลับหลังนั้น ที่จริงเขามองถูก แต่เรามองไม่ออกอยู่หลายปีเพราะใจเราไม่อยากมอง เพราะการมองของเราไปติดอยู่ที่ผ้าเหลือง คิดเสมอว่ามิใช่วิสัยของนักปฏิบัติธรรมที่จะไปจับผิดพระ เหมือนที่ได้เกิดขึ้นกับยันตระ ปัญหาสำคัญอยู่ที่ว่า พระรูปนี้ได้คิดว่าวัดที่เขาสร้างขึ้นมานี้เป็นบ้านของเขาที่ไม่ต้องการให้คนอื่นมาจุ้นจ้านวุ่นวายกับเขามากนัก ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยของคนอังกฤษโดยตรง ปัญหาเกิดเมื่อมีพระอาคันตุกะมาพักอาศัยนานหน่อย การอยู่อย่างใกล้ชิดทำให้เห็นนิสัยส่วนตัวของกันและกัน เจ้าอาวาสจึงไม่ชอบให้คนอื่นมาอยู่นาน นอกจากคนใกล้ชิดที่ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ได้แล้วเท่านั้น เมื่ออยู่นาน ๆ เข้า ท่านจึงเริ่มเข้าใจผิดว่าวัดนี้เป็นบ้านของท่าน นี่คือจุดที่เราจะต้องทำให้พระฝรั่งรูปนี้เข้าใจว่า วัดคือสถานที่ของประชาชนที่มาหาความสงบทางใจ กุฏิอันเป็นที่จำวัดของท่านคือบ้านของท่าน ท่านต้องไม่เข้าใจผิดว่าวัดนี้คือบ้านของท่านทั้งหมด

การเอาผ้าเหลืองมาห่มไม่ได้ทำให้ความเป็นคนอังกฤษหายไปแต่อย่างใด และไม่ได้ทำให้ความมีอคติต่อคนต่างชาติหายไปด้วย  คนที่สามารถชนะความมีอคติได้ คือคนที่ขูดเกลากิเลสจนเห็นสัจธรรมอันสูงสุด จึงจะสามารถเห็นเพื่อนมนุษย์ล้วนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นได้อย่างแท้จริง มิเช่นนั้นแล้ว ยากมาก โดยเฉพาะคนที่เกิดในเชื้อชาติอารยันที่มักคิดว่าคนเชื้อชาติอื่นด้อยกว่านั้นมักไม่รู้ตัวว่าตนเองชอบทำตัวเหนือกว่า เพราะการปฏิบัติธรรมของพระรูปนี้ยังย่อหย่อนมาก ท่านจึงไม่สามารถขจัดนิสัยของคนอังกฤษออกไปจากตนเอง ท่านจึงมีอคติต่อคนไทยโดยที่ท่านเองก็ไม่รู้ตัว

ยิ่งกว่านั้น เมื่อเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา คนที่มีเผ่าพันธุ์ด้อยกว่าก็มักแสดงออกถึงความเจียมเนื้อเจียมตัวในบ้านเมืองเขา เพราะพูดภาษาเขาไม่ได้ดี จึงต้องปล่อยเพราะเถียงไม่เป็น เถียงสู้เขาไม่ได้ การแสดงออกถึงความไม่พอใจพระไทยจนแทบจะลากให้ท่านออกจากวัดตลอดจนการพูดว่าไม่แคร์คนไทยทั้ง ๆ ที่ทุกอย่างในวัดนี้ล้วนแต่เชื่อมโยงกับคนไทยและเมืองไทยอย่างใกล้ชิดนั้น เป็นการแสดงออกถึงการดูถูกและหมิ่นคนไทยอย่างให้อภัยกันไม่ได้ โดยเฉพาะครูบาอาจารย์ของตนเองก็เป็นคนไทยและเป็นที่เคารพบูชาของคนไทยอย่างสูง การที่คนไทยไม่ยอมทำอะไรเสียเลย ยอมก้มหัวและปล่อยให้เรื่องนี้เงียบไป ก็เท่ากับไม่ได้ช่วยปกป้องศักดิ์ศรีของคนไทย ซึ่งในบางเหตุการณ์ดังกรณีนี้จำเป็นต้องทำ

การมีธรรมในตนเองย่อมหมายถึงมีความกล้าหาญทางจริยธรรม กล้าที่จะยืนขึ้นมาตำหนิสิ่งที่ผิด และพูดในสิ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม การแสดงออกถึงความกล้าหาญทางจริยธรรมจึงเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของคนที่มีธรรมและเข้าถึงธรรมแล้ว

 

เข้าพบพระผู้ใหญ่

ในช่วงนั้น มีคนไทย ๓ คนและพระไทยรูปที่ไปอยู่บ้านโยมที่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างเต็มที่ในช่วงต้น คนหนึ่งคือโยมอุปฐากที่จงรักภักดีกับพระฝรั่งรูปนี้มานานหลายปีแต่ถูกทำร้ายน้ำใจอย่างรุนแรง ที่จริงพี่คนนี้ได้พยายามปกป้องเจ้าอาวาสหลังจากที่ทราบว่าเราได้ไปเผชิญหน้าคุยกับเจ้าอาวาสในคืนนั้น แต่เพราะความระแวงคนไทยของเจ้าอาวาส จึงทำสิ่งที่โง่เขลาลงไปอย่างไม่รู้ตัวจนเสียสัมพันธมิตรที่ดียิ่งไปคนหนึ่ง หญิงไทยอีกคนหนึ่งก็ได้สนับสนุนช่วยเหลืองานบุญของวัดนี้มานานมาก นับเป็นคนในของวัดคนหนึ่ง และก็มีเรา ที่จริงมีคนไทยอีกคนหนึ่ง คือคนที่ไปช่วยคุยกับเจ้าอาวาสในคืนนั้น และไปคุยกับพระพม่าด้วย แต่จำเป็นต้องถอนตัวหลังจากนั้นเพราะไม่มีเวลาให้ พวกเราจึงปรึกษาว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องยาก เพราะนี่คือเมืองอังกฤษ และเขาก็เป็นเจ้าของประเทศ นอกจากนั้น เรายังอยู่ในสถานะที่ไม่เป็นเพียงฆราวาสเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้หญิงด้วย จะเข้ามาแก้ปัญหาของพระสงฆ์ได้อย่างไร

สิ่งแรกสุดที่พวกเราตัดสินใจทำคือ การเข้าพบพระผู้ใหญ่ที่รู้จักพระฝรั่งเจ้าอาวาสนี้ และขอร้องให้ท่านช่วยพูดคุยกับพระที่กำลังเป็นปัญหาอยู่และช่วยกันหาทางออก

      เราจึงตัดสินใจไปพบพระผู้ใหญ่ชาวพม่ารูปหนึ่งที่รู้จักเจ้าอาวาสองค์นี้มาตั้งแต่ท่านกลับจากเมืองไทยมาอยู่อังกฤษใหม่ ๆ  คุยแล้ว จึงทราบว่า ท่านก็ทราบถึงบุคลิกด้านลบของพระฝรั่งรูปนี้ ยอมรับว่า จะให้ไปคุยนั้นคุยได้ แต่เจ้าอาวาสจะรับฟังหรือไม่นั้นอีกเรื่องหนึ่ง

พระผู้ใหญ่อีกรูปหนึ่งที่พวกเราสามคนไปหาด้วยกันนั้น เป็นพระฝรั่งที่มีอาจารย์องค์เดียวกับเจ้าอาวาส ซึ่งพวกเราคิดว่า ท่านจะสามารถช่วยคลี่คลายปัญหานี้ให้พวกเราได้ดีที่สุด เพราะเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์องค์เดียวกัน และท่านก็มีฐานอำนาจอยู่ที่นี่ มีวัดใหญ่โต วันที่ไปคุย เราเป็นคนพูดถึงปัญหาให้ท่านฟังซึ่งมีพระเลขาของท่านร่วมฟังอยู่ด้วย เราได้พยายามเน้นมาสู่บทสรุปที่ว่า การกระทำของเจ้าอาวาสไม่ได้ช่วยสร้างภาพพจน์ที่ดีงามให้แก่ศาสนาพุทธและจะทำให้คนเข้าใจผิด อยู่ในลักษณะคนตาบอดจูงคนตาบอด พระผู้ใหญ่ท่านรับฟังเรื่องที่เราพูดอย่างระมัดระวัง จากการสนทนากับพระทั้งสองรูปในวันนั้น พวกเราก็ทราบอีกว่า ในหมู่พระด้วยกันแล้ว ล้วนแต่รู้จักนิสัยฝ่ายลบของเจ้าอาวาสทั้งสิ้น

ในระหว่างการสนทนา เลขาของท่านได้พูดชมเราว่ามีความกล้าหาญมากที่เข้าไปเผชิญหน้าพูดกับเจ้าอาวาสในคืนนั้น นั่นเป็นครั้งแรกที่เราตระหนักว่าสิ่งที่เราทำไปเป็นความกล้า คิดว่าทำเพราะเห็นว่าเป็นความถูกต้องและหวังดีต่อเจ้าอาวาสมากกว่าที่จะแสดงออกให้ใครเห็นถึงความกล้าหาญของตนเอง

ในที่สุด พระผู้ใหญ่และพระเลขาของท่านก็ไม่ได้รับปากกับพวกเราโดยตรง ไม่ได้บอกให้พวกเราวางมือ แล้วท่านจะรับเรื่องนี้ไว้เป็นปัญหาของท่านที่จะสางต่อระหว่างพระกับพระด้วยกันเอง พระเลขาได้แนะนำให้พวกเราเอาพลังของคนไทยเป็นเครื่องต่อรองกับเจ้าอาวาส เพราะวัดนี้อยู่ได้ก็จากการสนับสนุนของคนไทยเป็นส่วนมาก คนไทยควรจะรับรู้ถึงปัญหาที่พระไทยไม่ได้รับความยุติธรรมจากเจ้าอาวาส และแนะนำให้พวกเราลองคุยกับกรรมการของวัดดู เพราะถ้ากรรมการวัดเข้าใจปัญหาของพวกเรา เขาก็จะต้องช่วยกันพูดกับเจ้าอาวาสอีกทีหนึ่ง

เขียนแถลงการณ์

ก่อนหน้าที่พวกเราสามคนจะไปพบพระผู้ใหญ่กับพระเลขานั้น เราได้เขียนจดหมาย ๓ ฉบับให้กับเจ้าอาวาสโดยตรง เพื่อขอพบและพูดคุยเพื่อแก้ปัญหานี้อย่างเงียบ ๆ แต่เจ้าอาวาสก็ไม่ยอมติดต่อเราเลย เมื่อได้รับคำแนะนำจากพระเลขาเช่นนั้น วิธีเดียวที่จะทำให้คนไทยที่นี่รับรู้คือ การเขียนแถลงการณ์ออกมาเพื่อให้คนไทยรับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นในวัดนี้ เมื่อมีการเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือแล้ว ย่อมหมายความว่า ชื่อเสียงของคน ๆ หนึ่งจะต้องถูกกระทบอย่างรุนแรง จะต้องมีการเตรียมพร้อมว่าเรื่องอาจจะบานปลายจนอาจจะถึงขั้นฟ้องร้องกันได้ เราจึงตัดสินใจใช้ชื่อของเราเพียงคนเดียวในแถลงการณ์ฉบับนั้น และเราเองเป็นผู้เขียนออกมาทั้งภาษาไทยและอังกฤษ มีความยาว ๕ หน้า พูดถึงจุดเริ่มต้นของปัญหาและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเขียนไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทุกอย่าง ชี้ให้คนเห็นว่าพระฝรั่งรูปนี้ไม่เหมาะสมที่จะเป็นเจ้าอาวาสต่อไป เราได้ใส่ความเห็นส่วนตัวในแถลงการณ์ฉบับนั้นโดยแนะนำให้เจ้าอาวาสหลบตัวไปหาครูบาอาจารย์เพื่อมุ่งปฏิบัติขัดเกลากิเลส หากท่านยังอยากเป็นพระต่อไป และขอความสนับสนุนและความเห็นจากคนไทย

เมื่อเขียนออกมาแล้ว พวกเรา ๓ คนกับพระไทยอีก ๑ รูปจึงได้อ่านตรวจสอบแถลงการณ์ฉบับนั้นด้วยกันเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เขียนลงไปเป็นเรื่องจริงที่มีผู้รู้เห็นและตรวจสอบได้ทุกประการ

 

ให้โอกาสแก่เจ้าอาวาส

เพื่อเปิดโอกาสให้แก่เจ้าอาวาสอีกครั้งหนึ่ง พวกเราตกลงกันว่า จะต้องให้เจ้าอาวาสอ่านแถลงการณ์นั้นก่อนที่จะออกสู่สายตาของสาธารณชน หากท่านอ่านแล้ว เห็นว่าควรตกลงกันอย่างเงียบ ๆ ในกลุ่มพวกเราแล้ว เรื่องก็จะจบได้ทันที ไม่ต้องให้มันบานปลายโดยไม่จำเป็น จึงตกเป็นหน้าที่ของพระไทยที่จะนำแถลงการณ์ฉบับนั้นไปยื่นให้แก่พระฝรั่งด้วยตนเองเพื่อให้แน่ใจว่าท่านได้อ่านและด้วยความหวังว่า พระไทยรูปนี้ซึ่งได้รู้จักกับเจ้าอาวาสหลายปี จะช่วยพูดให้พระฝรั่งเปลี่ยนใจและยอมอ่อนข้อ รับฟังความเห็นของพวกเราบ้าง

ในที่สุด เจ้าอาวาสได้อ่านแถลงการณ์นั้น ท่านต้องทราบดีว่าไฟกำลังลามมาถึงตัวท่านแล้ว แทนที่ท่านจะรีบเอาน้ำมาดับไฟ ซึ่งในช่วงนั้นก็ยังไม่สายเกินไปเลย เพราะคนหมู่มากยังไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพราะถูกความโกรธและความหลงครอบงำอย่างเต็มที่จนเกิดความกลัว กลัวจะต้องสูญเสียวัดซึ่งท่านได้หลงคิดว่านี่คือบ้านของตนเองมาเสียนาน พยายามจะปกป้องสมบัติพัสถานของตน หาคนพูดคุยปรึกษาก็ไม่ได้ เพราะตนเองเป็นผู้นำเขาแล้ว คนที่ตั้งตัวเองอยู่ในที่สูงมากเท่าไร ก็จะยิ่งเหงาและโดดเดี่ยวมากเท่านั้น นอกจากสามารถอิงธรรมะตัวจริงได้เท่านั้น จึงพารอดตัวได้ มิเช่นนั้นแล้ว ก็ไปไม่รอดเหมือนพระดัง ๆ ทั่วไปในเมืองไทย 

หากพระฝรั่งมีธรรมะในใจอย่างแท้จริงแล้วละก็ การยอมรับความจริงและข้อบกพร่องของตนเองนั้นย่อมเป็นสิ่งที่บัณฑิตสรรเสริญ แสดงออกถึงความมีภูมิธรรมในระดับหนึ่ง ท่านจะไม่แข็งข้อต่อพลังต้านที่มาแรงเช่นกัน เพราะโดยกฎทางฟิสิกส์แล้ว เมื่อนำของแข็งสองอย่างมาฟาดฟันกัน สิ่งที่แข็งน้อยกว่าย่อมต้องแตกหัก อย่างเลี่ยงไม่ได้ 

พวกเราคิดว่าได้ทำดีที่สุดแล้วในแง่เปิดโอกาสให้เจ้าอาวาสอ่านสิ่งที่คนอื่นจะรับรู้เกี่ยวกับตนเอง หากท่านมีปัญญาสักนิด ท่านต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตัวหนังสือเหล่านี้ออกไปให้คนเห็นเด็ดขาด น่าเสียดายว่าท่านเองก็ถูกความมืดแห่งอวิชชาปกคลุมและถูกกิเลสครอบงำ เมื่ออ่านเสร็จแล้ว แทนที่จะเล่นไม้อ่อน ลดทิฏฐิมานะของตนเอง ท่านกลับแสดงความโกรธและ คำว่า “จะฟ้องร้อง” ได้หลุดออกมาจากปากของเจ้าอาวาสซึ่งพวกเราก็ไม่แปลกใจนัก ถึงแม้พระไทยได้บอกว่า แถลงการณ์ฉบับนี้จะไปถึงวัดของครูบาอาจารย์ของท่านที่เมืองไทย และสมเด็จพระสังฆราชก็จะรับรู้ด้วย ท่านก็ยังไม่มีปฏิกิริยาที่อ่อนลงแต่อย่างใด

พวกเรารอปฏิกิริยาฝ่ายบวกจากเจ้าอาวาสอยู่สองสามวัน เพราะยังอยากจะให้โอกาสแก่ท่านจนถึงที่สุด ก่อนที่จะตัดสินใจส่งแถลงการณ์ฉบับนั้นออกไปสู่สายตาของคนไทยในอังกฤษ วัดทุกวัด สถานทูต ศูนย์ข่าวไทย และคนอังกฤษที่ไปวัดบางคนด้วยเท่าที่จะหาที่อยู่ของคนได้  พระไทยก็ได้กลับเมืองไทย และได้ตกลงกันว่าท่านจะเป็นผู้นำแถลงการณ์ฉบับนั้นไปถวายแด่สมเด็จพระสังฆราชด้วยตนเอง แต่ในที่สุด ท่านเองเป็นผู้เปลี่ยนใจด้วยเหตุผลบางประการที่เราก็ไม่รู้ชัด

 

หาคนสนับสนุนไม่ได้

ถึงจุดนั้น ชื่อของเราก็กระฉ่อนไปทั่วในวงการวัด แน่นอน การพูดคุยถึงเราย่อมเกิดขึ้นโดยทั่วไปทั้งในแง่บวกและลบซึ่งเป็นเรื่องธรรมดามาก จะให้คนมาเห็นด้วยกับเราหมดย่อมเป็นไปไม่ได้ หลวงพ่อของวัดใหญ่ในเมืองหลวงก็ได้โทรมาคุยด้วย แสดงออกถึงความห่วงใย คุยกันนาน ที่จำได้แม่นคือ ท่านพูดเป็นคำพังเพยที่เราผูกเองไม่ได้ เนื้อหานั้นพูดถึงทิฏฐิมานะของพระว่าเมื่อมีแล้วกำจัดได้ยากมาก ฟังแล้ว ท่านก็ทราบดีถึงบุคลิกในฝ่ายลบของพระฝรั่งรูปนี้เช่นกัน

ไม่มีคนไทยสักคนเดียวที่กล้าเขียนจดหมายตอบเราและบอกว่าจะขอสนับสนุนเราในเรื่องนี้อย่างเปิดเผย แม้คนที่เคยมีปัญหาโดยตรงกับเจ้าอาวาสในอดีตและตำหนิเจ้าอาวาสอย่างรุนแรงมาก่อนนั้น เมื่อเราโทรศัพท์หาเพื่อขอความสนับสนุน หากมีการรวมกลุ่มกันเพื่อเข้าพบเจ้าอาวาส กลับไม่มีใครกล้าออกมาสนับสนุนเรื่องนี้อย่างเต็มที่ แต่ละคนล้วนมีเหตุผลและความกลัวแฝงอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น

มีจดหมายตอบมาสองฉบับ ฉบับแรกจากชาวพุทธอังกฤษคนหนึ่งที่เราได้รู้จักตั้งแต่มาอยู่อังกฤษใหม่ ๆ ในจดหมายของเธอนั้นได้โจมตีและด่าเราอย่างรุนแรง อีกฉบับหนึ่ง จากกรรมการวัดที่เป็นนักกฏหมาย ก็เขียนมาด่าเราเช่นกัน มีผู้สนับสนุนชาวอังกฤษคนเดียวที่โทรมาคุยด้วย และบอกถึงความขัดแย้งที่ตนเองได้มีกับเจ้าอาวาส จึงรู้ว่าเรื่องราวที่เราเขียนในแถลงการณ์ต้องเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องกุขึ้นมา และขอสนับสนุนเราเต็มที่หากต้องการตัวเขาเมื่อไรก็บอกได้ นอกจากนั้นก็มีสามีชาวอังกฤษของเพื่อนคนไทยอีกคนหนึ่งโทรมาสนับสนุนเรา ชมเราว่ากล้าหาญชาญชัยมากที่นำเรื่องนี้ขึ้นมาพูด

 

ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงของภูมิปัญญา

หลังจากที่แถลงการณ์ออกมาแล้ว เจ้าอาวาสจึงโต้กลับบ้าง เมื่อข่าวสารประจำเดือนของวัดฉบับต่อไปออกมา ในบทบรรณาธิการนั้น ท่านก็ได้เล่านิทานให้คนอ่าน โดยพูดถึงหญิงคนหนึ่งที่ชอบนินทา สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นและไม่สามารถกลับเหตุการณ์ให้เหมือนเดิมได้อีก ทำให้คนต้องเสียหาย คนอ่านแล้ว ก็ต้องรู้ทันทีว่าเจ้าอาวาสเขียนกระทบเรา เรามานั่งคิดแล้วก็นึกสงสารเจ้าอาวาสมากขึ้นไปอีก ในขณะที่เราเขียนแถลงการณ์บอกชื่อเสียงเรียงนามและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมาไม่มีอะไรอ้อมค้อมเลยนั้น ท่านกลับโต้ตอบเราด้วยการเล่านิทานอย่างอ้อม ๆ ให้คนฟัง ซึ่งที่จริงแล้ว หากสิ่งที่เขียนไปในแถลงการณ์เป็นเรื่องเท็จทั้งหมด ท่านสามารถเอาเราขึ้นศาล ฟ้องร้องให้เรายับเยินไปต่อหน้าต่อตา และท่านก็มีนักกฏหมายเป็นคนของท่านอยู่แล้ว ทำไมจึงไม่ทำ จึงนึกเห็นใจว่าท่านโต้ตอบเราได้เพียงการเล่านิทานเท่านี้หรือ เป็นการแสดงออกถึงความเหลื่อมล้ำต่ำสูงของภูมิปัญญาของทั้งสองฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด

 

ทำตามคำแนะนำของอาจารย์โกวิทไม่ได้

ในช่วงที่กำลังรอว่าจะเกิดอะไรขึ้นนั้น เราได้โทรศัพท์หาอาจารย์โกวิทเพื่อขอคำปรึกษาจากท่าน เมื่อท่านฟังเรื่องราวแล้ว ท่านบอกให้เราละมือทันที บอกว่า คนที่ถูกเตือนแล้วมักโกรธและไม่พอใจทุกครั้งนั้น คนเช่นนั้น ช่วยไม่ได้ ต้องปล่อยให้ธรรมชาติสอนเอง แต่เราก็ไม่สามารถทำตามสิ่งที่อาจารย์แนะนำได้ เพราะไม่ใช่นิสัยของเรา เราเป็นคนที่เมื่อทำอะไรแล้ว จะต้องมีต้นกับมีปลาย เมื่อเริ่มแล้ว จะต้องสางต่อจนกระทั่งมีบทสรุปให้ตนเองได้เสียก่อน จะไม่ทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ เป็นอันขาด ในช่วงนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นกำลังคาราคาซัง ยังไม่มีบทสรุป จะให้เราทิ้งไปเฉย ๆ นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้

 

ข้อเสนออันเป็นทางออก

ในช่วงรอปฏิกิริยาจากเจ้าอาวาสและกรรมการวัดว่าจะยอมคุยกับพวกเราหรือไม่นั้น พวกเราก็ได้คุยกับพระหลาย ๆ องค์ด้วย ส่วนมากออกความเห็นว่า จะบังคับให้ท่านออกจากวัดของท่านนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะวัดนี้ท่านสร้างขึ้นมา ถึงตอนนั้น พวกเราก็เห็นด้วย ฉะนั้น หากเจ้าอาวาสและกรรมการวัดยอมคุยกับพวกเราแล้ว  สิ่งที่พวกเราต้องการเสนอ คือ แทนที่จะให้เจ้าอาวาสออกไปหาครูบาอาจารย์ตามที่เราเสนอแนะในแถลงการณ์ฉบับแรกนั้น พวกเราอยากให้โอกาสแก่เจ้าอาวาสอีกครั้งหนึ่งโดยแนะนำให้มีพระอย่างน้อย ๔ ถึง ๕ รูปผลัดกันมาอยู่วัดนี้ จะเป็นพระไทยหรือพระต่างชาติก็ได้ เพราะการที่พระอยู่รวมกันเป็นหมู่กลุ่มนั้นย่อมดีกว่าการอยู่องค์เดียวโดด ๆ ในขณะที่การปฏิบัติยังไม่อยู่ในขั้นปลอดภัย เพราะสามารถทำกิจกรรมสงฆ์ด้วยกันได้ เช่น การทำวัตรสวดมนต์เช้าเย็นและทำสมาธิ หากมีพระอยู่องค์เดียว กิจกรรมเหล่านี้ก็อาจจะถูกละเลยบ้าง เพราะถ้าไม่ทำก็ไม่มีใครรู้เห็นด้วย เมื่อไม่ทำนาน ๆ ก็จะขี้เกียจทำ การขัดเกลากิเลสจึงไม่เกิด อย่างน้อย เมื่ออยู่กันเป็นหมู่กลุ่มแล้ว การเตือนซึ่งกันและกันไม่ว่าจะโดยการพูดหรือโดยการกระทำย่อมเกิดขึ้นได้ เป็นการช่วยขัดเกลากิเลสซึ่งกันและกัน และการที่มีพระไทยมาอยู่ในวัดนี้ได้อย่างเป็นสุขนั้น ย่อมเป็นที่พึ่งให้แก่คนไทยในแถบนั้นได้ดี คนไทยก็อยากเห็นอยากคุยกับพระไทย และวัดนี้อยู่ในสถานที่ที่ไปได้ง่ายมาก ลงจากทางด่วนนิดเดียวเท่านั้น และสภาพแวดล้อมของวัดก็สวยมากด้วย เหมาะแก่การไปปฏิบัติธรรมและหาความสงบใจยิ่ง

 

แสดงออกมาอีกครั้งหนึ่งถึงการขาดภูมิปัญญาอย่างรุนแรง

 หลังจากแถลงการณ์ฉบับแรกนั้นแล้ว เรายังได้เขียนจดหมายส่วนตัวถึงเจ้าอาวาสอีก พยายามเน้นให้ท่านติดต่อและพูดกับเราอีกเพื่อคลี่คลายปัญหา เพราะพวกเราก็อยากให้เรื่องจบเร็ว ๆ แต่นอกจากนิทานที่ท่านเล่าให้คนอ่านแล้ว ท่านก็ไม่ยอมติดต่อพวกเราเลย เราจึงเขียนจดหมายไปอีกฉบับหนึ่งบอกให้ท่านทราบว่า ถ้าเช่นนั้น เราจะมาร่วมประชุมคณะกรรมการวัดในครั้งต่อไปซึ่งจะเกิดขึ้นในอีกราว ๓ อาทิตย์ข้างหน้า เพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายได้คุยกันอย่างเปิดเผยและช่วยกันหาข้อยุติปัญหา ซึ่งเราคิดว่า การคุยกันด้วยเหตุผลเพื่อยุติปัญหาเป็นการกระทำของผู้ใหญ่ที่มีการศึกษาทั้งหลาย แต่เจ้าอาวาสกลับไม่คิดเช่นนั้น ท่านให้โยมฝรั่งเขียนจดหมายตอบเรามาสั้น ๆ ว่า เราไม่ได้เป็นกรรมการวัด และคณะกรรมการวัดก็ไม่อยากฟังเรื่องของเรา ฉะนั้น อย่ามาวัด Don’t come to the temple.

เราอ่านจดหมายนั้นแล้ว ก็อดขำไม่ได้ อดถามตัวเองไม่ได้ว่านี่เรากำลังเล่นเกมส์กับเด็กหรือกับพระที่เป็นทั้งผู้ใหญ่และเป็นผู้มีการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรมกันแน่ ถ้าท่านเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ทำไมจึงเล่นเกมส์เหมือนเด็ก ๆ ทำไมจึงไม่กล้าเผชิญหน้าและคุยกับเราอย่างผู้ใหญ่และใช้เหตุผล กลัวอะไร ทำไมจึงมาบอกให้เราอย่าไปวัดเพราะเขาไม่อยากพูดด้วย แล้วคิดว่าเราจะทำตามอย่างว่าง่ายเหมือนพูดกับเด็ก ๆ หรือ แสดงออกมาอีกครั้งหนึ่งถึงการขาดภูมิปัญญาอย่างรุนแรง

เราจึงเขียนตอบไปว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยปิดวัดใส่หน้าใคร หรือห้ามคนไปวัด และท่านก็ไม่มีสิทธิ์มาห้ามเราไม่ให้ไปวัด เพราะวัดนี้เป็นวัดของประชาชน ไม่ใช่บ้านของท่าน เน้นให้เห็นอีกว่าท่านเข้าใจผิดอย่างมากว่าวัดนี้เป็นบ้านของท่าน เราจึงเขียนย้ำไปว่า เราจะมาร่วมประชุมคณะกรรมการวัดแน่นอน

หลังจากนั้น จำไม่ได้ว่า เจ้าอาวาสได้ตอบจดหมายหรือให้คนโทรให้เรา โดยบอกเรื่องไม่ให้เราไปวัดอีก พร้อมกับเสนอแนะว่าจะส่งกรรมการวัดสองคนมาคุยกับเราแทน เราได้บอกปฏิเสธไป เพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องคุยกันหลายทอด หลายต่อ เป็นการเปิดโอกาสให้บิดเบือนสิ่งที่พูดได้ง่าย ในเมื่อกรรมการทั้งหมดมี ๑๐ คน ก็คุยพร้อมกันหมดไม่ได้หรือ ทำไมต้องส่งคนมาคุยให้มากเรื่อง และเราต้องการให้เจ้าอาวาสอยู่ด้วย เพราะท่านคือตัวปัญหา หากท่านเห็นว่าสิ่งที่เราพูดนั้นไม่เป็นความจริง ท่านก็แก้ต่างได้ต่อหน้าทุกคน

 

รู้หรือไม่ว่ากำลังจะเดินเข้าไปในดงงูเห่า

หลังจากนั้น เจ้าอาวาสก็เงียบไปอีก ไม่ยอมติดต่อกับพวกเรา จึงเป็นช่วงการรอคอยถึงวันประชุมคณะกรรมการวัด ช่วงนั้น เหตุการณ์ได้ยืดเยื้อเข้าสู่เดือนมกราคมของปี ๒๕๔๑ แล้ว ใจเราก็เหนื่อยอ่อนกับเรื่องนี้มาก อยากให้มีข้อยุติเร็ว ๆ และหวังอยู่ในใจว่า คณะกรรมการวัดทั้งสิบคนที่ล้วนประกาศตนเองเป็นชาวพุทธจะยอมรับฟังเราบ้าง ในขณะที่รอวันประชุมอยู่นั้น เราได้พยายามหาคนไทยที่จะไปวัดด้วยกัน เป็นการให้กำลังใจเราบ้าง แต่ปรากฏว่า หาไม่ได้เลย และ ในจำนวนหญิงไทย ๓ คนที่เริ่มเรื่องนี้มาแต่ต้นนั้น คนหนึ่งเป็นกรรมวัด (คนที่จงรักภักดีกับเจ้าอาวาสมาก่อน แต่ต้องเปลี่ยนใจเมื่อเจ้าอาวาสระแวง) ซึ่งเป็นคนไทยคนเดียวในกลุ่มคณะกรรมการ นอกนั้นเป็นฝรั่งหมด และเธอก็จะไปในฐานะเป็นกรรมการวัด ส่วนหญิงไทยอีกคนหนึ่งไปร่วมประชุมไม่ได้เพราะติดงานอื่น ตกลงว่าเหลือเราคนเดียวที่จะไปพูดในที่ประชุมกรรมการวัดในวันนั้น

สามีได้ถามเราว่า เรารู้หรือไม่ว่ากำลังจะเดินเข้าไปในดงงูเห่า และจะถูกงูเห่าฉกกัดอย่างยับเยิน เตือนเราว่า ไม่มีอะไรจะร้ายกาจเท่ากับการเข้าไปในหมู่ชนชั้นกลางชาวอังกฤษที่ไม่ได้เป็นมิตรกับเรา ตอนนั้น เราฟังแล้ว รู้สึกว่าสามีไม่ได้ให้เกียรติคนอังกฤษเท่าที่ควรและมองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป จึงให้เหตุผลแก่สามีว่า คณะกรรมการชาวอังกฤษทั้ง ๙ คนได้ประกาศตนเองว่าเป็นชาวพุทธ ฉะนั้น เราจะพยายามไม่มองพวกเขาว่าเป็นชาวอังกฤษ แต่เป็นชาวพุทธที่รู้หลักของความมีเมตตากรุณาเป็นพื้นฐาน นอกจากนั้น พวกเขายังเป็นชนชั้นกลางที่ล้วนแต่มีการศึกษาดี เมื่อบวกกับการเป็นชาวพุทธ เขาย่อมอยากฟังเหตุผลมากกว่าการใช้อารมณ์ และมีอคติต่อเรา พยายามปลอบสามีว่า ในจำนวนคนอังกฤษ ๑๐ คน (รวมเจ้าอาวาสด้วย) อย่างน้อยที่สุด ก็ต้องมีสักสองหรือไม่ก็หนึ่งคนที่จะพูดขึ้นมาว่า ควรฟังสิ่งที่คุณศุภวรรณพูดเสียก่อน ถ้าเราได้การสนับสนุนจากแม้เพียงคน ๆ เดียวในที่นั้น เราก็จะอุ่นใจและมีกำลังใจพูดในสิ่งที่เราต้องพูด

 

ถ้าไม่มีวิปัสสนาญาณ คงทำไม่ได้

ในช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้าวันประชุมนั้น เห็นได้ชัดว่า จิตที่ประหม่าได้พยายามเข้ามาครอบงำใจ แต่ก็เข้ามาไม่ได้ เพราะวิปัสสนาญาณสามารถจัดการกับมันได้หมด แมวยังจับหนูได้เก่งอยู่ คงจะมีบางครั้งเท่านั้นที่แมวปล่อยให้หนูรอดเข้ามาได้ในช่วงสั้น ๆ ก่อนที่จะจับหนูอยู่มือ แต่ในช่วงสั้น ๆ ที่หนูรอดเข้ามาแตะใจได้นั้น เราจึงรู้ว่า มันเป็นความรู้สึกของนักโทษที่กำลังรอการเดินเข้าสู่ที่ประหาร เพราะนึกถึงสิ่งที่สามีได้เตือนไว้ ดีว่าวิปัสสนาญาณของเรายังแก่กล้าอยู่ จึงมีพลังผจญมารเหล่านั้นได้ ความรู้สึกเหล่านั้นจึงไม่สามารถอยู่ได้นาน ถูกฆ่าทิ้งหมดในเวลาอันรวดเร็ว มิเช่นนั้น เราคงไม่มีพลังที่จะเดินต่อไปข้างหน้าแน่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รู้ด้วยว่าเราต้องทำงานชิ้นนี้คนเดียว เคยเข้าใจว่า การผจญมารของพระพุทธเจ้านั้นหมายถึง มีมารเป็นตัวเป็นตนมาหลอกหลอนอยู่ต่อหน้าต่อตา ที่แท้แล้ว มารอันเป็นความคิด ความรู้สึกที่ไม่ต้องการ ที่เจ็บปวด ที่มาเกาะติดใจนี่แหละ เป็นมารที่ร้ายกาจและน่ากลัวที่สุด จะสู้มารชนิดนี้ได้ก็ต้องอาศัยความสว่างแห่งธรรม หรือ วิปัสสนาญาณเท่านั้น จึงจะปราบมารชนิดนี้ได้อย่างราบคาบ

ในที่สุด ได้ขอให้ลูกศิษย์ซึ่งมีเชื้อสายแขกอินเดียซึ่งมาเรียนไท้เก็กกับเราหลายปีจนสนิทกันให้ไปกับเราด้วย เพื่อให้เจ้าอาวาสและคณะกรรมการเห็นว่านี่ไม่ใช่เป็นเรื่องขัดแย้งระหว่างคนไทยกับคนอังกฤษเท่านั้น

 

เตือนแล้วว่าอย่ามา!!!

วันประชุมมาถึง สามีได้ขับรถพาเรากับลูกศิษย์ไปวัด คณะกรรมการส่วนมากก็มาถึงแล้ว ซึ่งมีมากกว่าที่เราคิด ยืนกระจัดกระจายอยู่ที่ลานจอดรถพร้อมกับเจ้าอาวาส ทุกสายตามองมาที่เราอย่างไม่เป็นมิตร เราโปรยยิ้มให้ทุกคน และเดินเข้าไปกราบนมัสการเจ้าอาวาสอย่างยิ้มแย้ม วันนี้ เจ้าอาวาสมีใบหน้าที่ต่างจากครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับท่านประมาณสองเดือนก่อนหน้านั้น ท่านยิ้มกับเราเช่นกัน แต่ไม่ได้เป็นรอยยิ้มที่ออกจากความเป็นมิตรแต่อย่างใด เป็นรอยยิ้มที่เราสามารถอ่านความคิดเบื้องหลังได้ว่า  วันนี้จะเป็นวันพ่ายแพ้ของเรา และเป็นวันชนะของท่าน

หลังจากที่เรากราบท่านแล้ว ท่านได้บอกเราว่า

“อาตมาได้เตือนแล้วว่า อย่ามา I have warned you not to come.” 

คำพูดนั้นได้ย้ำการตีความในรอยยิ้มของท่านอย่างถูกต้อง ท่านรู้สึกพอใจที่เห็นเรากำลังเดินเข้ามาในดงงูเห่า เราก็ตอบท่านอย่างยิ้มแย้มเช่นกันว่า “ท่านก็รู้ว่า โยมไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องหาข้อยุติให้แก่เรื่องนี้” You know that I have no choice but to find a solution for this matter.

 

ถูกงูเห่ากัด

พอพูดเสร็จ ท่านก็เดินจากไป เห็นท่านอีกที จึงรู้ว่าท่านเดินไปหยิบเทปเพื่อมาอัดคำพูดของเรา เรากับลูกศิษย์จึงเดินเข้าไปในห้องพระอันเป็นที่ใช้การประชุมซึ่งมีคนนั่งอยู่แล้วกลุ่มหนึ่ง และเจ้าอาวาสก็ยืนอยู่ทางด้านเหนือสุดของห้อง ก่อนจะเข้าห้องพระ เราต้องเดินผ่านห้องครัวก่อน ซึ่งมีฝรั่งชายหญิงอีกหลายคนยืนอยู่ เราไม่ได้นับว่ากี่คน แต่รู้ว่ามีจำนวนมากกว่าที่คิดไว้ สายตาทุกคู่มองเราอย่างเหยียดหยาม บางคนก็ยิ้มที่มุมปากแล้วหันไปกระซิบกับคนข้างเคียง  เราทอดสายตาลงต่ำ พยายามไม่สบสายตากับใคร ทันทีที่เรากับลูกศิษย์เข้าไปในห้องพระ กรรมการหญิงคนหนึ่งซึ่งได้ปลดเกษียณจากการเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนและเป็นโยมอุปฐากของเจ้าอาวาสและเราก็รู้จักเธอมาตั้งแต่เปิดวัด ไม่เคยมีเรื่องขัดใจกันเลย เธอรีบพูดขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เครียดและดุดันว่า

“คุณเข้ามาที่นี่ไม่ได้ คุณไม่ได้เป็นกรรมการของวัด”  และก็มีเสียงฮือ ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับหญิงคนนั้น

ในท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตรอย่างรุนแรงนั้น เราต้องรีบพูดขึ้นมาว่า “ขอให้โอกาสเราพูดในสิ่งที่จำเป็นต้องพูด เพราะไฟกำลังไหม้เข้ามาถึงหน้าวัดแล้ว ทำไมจึงไม่ช่วยกันดับไฟ เดินหนีทำไม….”

ในขณะที่เรากำลังพยายามจะพูดอยู่นั้น กรรมการอีกคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนและพูดเสียงดังขึ้นมากว่า

“ถ้าเช่นนั้น เราควรบอกเลิกการประชุม ขอให้ทุกคนออกจากห้อง”

เสร็จคำพูดนั้น ทุกคนยืนขึ้น และชายหญิงประมาณ ๓ ถึง ๕ คนก็เดินออกจากห้องพระ ในช่วงที่โกลาหลนั้นเอง เราก็ยังพยายามพูดออกมาดัง ๆ ว่า ขอความกรุณาฟังเราด้วย คุณจะวิ่งหนีทำไม ถ้าคุณวิ่งหนี คุณก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่เหมือนไฟกำลังไหม้วัดอยู่ ทำไมไม่ช่วยกันดับไฟ หนีทำไม…

นั่นไม่ได้เป็นวิธีที่เราได้เตรียมจะพูดเลย ต้องพูดตะโกนเช่นนั้น แต่ก็เป็นสิ่งที่เราต้องทำเพื่อเรียกร้องความสนใจของคนไม่เป็นมิตรเหล่านั้น ปรากฏว่าคนที่ออกไปแล้วก็ออกไปเลยและไปรวมกลุ่มกันอยู่ในห้องครัว

 

ถูกฝรั่งหัวเราะเยาะ

ในขณะที่คนกลุ่มแรกได้เดินออกไปแล้ว และเราพยายามจะพูดเพื่อให้คนที่เหลือฟังเรานั้น ปรากฏว่าอีกราว ๕ ถึง ๖ คนยอมอยู่ บางคนนั่ง บางคนยืน แต่มันไม่ได้เป็นบรรยากาศที่เราสามารถพูดอย่างเป็นระบบและเป็นเหตุเป็นผลได้ เพราะเขาไม่ยอมฟัง จึงเป็นการพูดที่เหมือนกับโต้เถียงและสวนกันมากกว่า จุดหนึ่ง เราพยายามพูดให้เขาเห็นว่า เหตุผลที่เรากล้าเป็นตัวยืนให้กับความขัดแย้งนี้คือ เพราะเราเข้าใจศาสนาพุทธดีพอ และรู้ว่าพระที่ดีควรปฏิบัติตัวอย่างไร สองประโยคนี้ พวกเขาชอบใจมาก เพราะเปิดโอกาสให้พวกเขาหัวเราะเยาะเราได้อย่างเต็มที่ คนที่เป็นผู้นำให้คนอื่นหัวเราะตามคือ โยมอุปฐากที่เป็นครูใหญ่มาก่อน ปลดเกษียณและมาปรานิบัติรับใช้เจ้าอาวาสอยู่ที่วัดพร้อมกับโยมผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เมื่อเราพูดเช่นนั้น เขาพูดใส่เราทันทีว่า เราเป็นใคร มีคุณวุฒิอะไรจึงมาบอกว่ารู้จักศาสนาพุทธดีกว่าพระ (หมายถึงเจ้าอาวาส) พูดเสร็จแล้วก็หัวเราะเยาะเราออกมาอย่างดัง ๆ คนอื่นเห็นก็หัวเราะตาม ทุกคนพอใจที่เห็นเราถูกต้อนเข้ามุม เรามองจ้องไปยังอดีตครูใหญ่คนนั้นที่เราไม่เคยมีข้อขัดแย้งกับเธอเลยในช่วงสิบปีกว่าที่รู้จักกันมา นึกไม่ถึงว่าเธอสามารถทำเช่นนั้นกับเราได้

และแล้ว เราก็มองไปที่เจ้าอาวาสที่ยืนเป็นประธานอยู่ และยังไม่ได้พูดอะไรเลย ในมือถือเทปอยู่ เห็นท่านยิ้มที่มุมปากและมองเราอย่างพอใจและสะใจ ไม่มีแววแห่งความเป็นพระที่มีเมตตาแม้แต่น้อย พี่คนไทยที่เป็นกรรมการนั้นไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำเดียว ก้มหน้ามองพื้น ปล่อยให้งูเห่าในที่นั้นรุมกัดเรา ความหวังของเราที่ว่าน่าจะมีฝรั่งอย่างน้อยสักหนึ่งคนที่จะพูดสนับสนุนเรานั้น ถึงจุดนั้น จึงตระหนักชัดว่า เราหวังมากเกินไปเสียแล้ว นึกถึงคำเตือนของสามีว่าเดินเข้ามาในดงงูเห่า บัดนั้น จึงรู้ว่ามันเป็นจริง ถ้าไม่มาเจอกับตนเองเช่นนี้ก็ยังไม่รู้พิษสงของชนชั้นกลางชาวอังกฤษที่ประกาศตนเองเป็นชาวพุทธ ในขณะที่พวกเขาหัวเราะเยาะเราอยู่นั้น รู้สึกสงสารลูกศิษย์ที่พาเขามาเห็นเราถูกคนถล่มเช่นนั้น

 

แม้กำลังถูกงูกัด สติก็ยังอยู่กับฐาน

แม้จะถูกหัวเราะเยาะต่อหน้าคนเหล่านั้น เราคนเดียวที่รู้ว่าขณะนั้นใจของเราไม่ได้ซัดส่ายและหวั่นไหวเลย ยังสามารถอยู่กับฐานของสติได้ ปากจึงไม่สั่น ลิ้นจึงไม่แห้ง ไม่มีความรู้สึกเสียวสันหลังดังที่ควรเป็น นอกจากนั้น ยังไม่มีความโกรธต่อคนเหล่านั้น เพราะเห็นชัดว่า การแสดงออกของพวกเขาออกมาจากความโง่เขลาเบาปัญญาเพราะมีผู้นำที่ยังไม่รู้จริงในทางธรรม  มิเช่นนั้น เราคงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และยังพยายามจะพูดต่อ การที่ใจเราไม่สั่นไหว เพราะแม้ขณะนั้น เรายังเชื่อในเจตนาดีและความหวังดีของตัวเองที่มีต่อพระ วัด และศาสนาพุทธโดยส่วนรวม รู้ว่าเราไม่ได้มาด้วยเจตนาร้ายแต่อย่างใด เรามาเพื่อต้องการหาข้อยุติปัญหาโดยหวังว่าจะสามารถพูดกันได้แบบผู้ใหญ่ที่เป็นปัญญาชนและมีธรรมะ เพราะฝรั่งเหล่านั้นล้วนประกาศตัวเป็นชาวพุทธทั้งสิ้น เราจึงกล้ารั้นพูดต่อไปอย่างท้าทาย ปรากฏว่าเราอยู่ห้องนั้นและพูดอยู่ประมาณ ๒๕ นาทีเศษเห็นจะได้

 

ครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกมือหนัก กราบพระไม่ได้

ในที่สุด รู้ว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดต่อไป ข้อเสนอที่เตรียมจะพูดให้คณะกรรมการพิจารณานั้นต้องพับไป ไม่มีใครยอมรับฟัง เราจึงลุกขึ้นยืน มองจ้องตรงไปยังเจ้าอาวาสที่กำลังมองเราด้วยรอยยิ้มที่มุมปากอีก แสดงออกถึงความพอใจในสถานการณ์เป็นอย่างมาก แต่ก็ยังแฝงความรู้สึกที่ประหม่าอยู่ เราเดินออกจากห้องโดยไม่ได้กราบคารวะพระตามประเพณี นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีความรู้สึกว่ามือหนักมาก กราบพระสมมุติสงฆ์องค์นี้ไม่ได้ และเพื่อต้องการแสดงออกให้ฝรั่งเหล่านั้นเห็นว่า เราไม่ได้ให้ความเคารพพระรูปนี้อีกต่อไปแล้ว ในใจขณะนั้นบอกว่า คน ๆ นี้ไม่ได้เป็นพระ เขาเป็นลูกชาวบ้านที่เอาผ้าเหลืองมาใส่เพื่อทำมาหากินเท่านั้น

ถ้าราเป็นเขา และให้เขามาเป็นเราในห้องนั้น เราจะไม่ยอมให้ “คนของเรา” มาหัวเราะเยาะและทำกับเราเช่นนั้นเป็นอันขาด การเอาผ้าเหลืองมาห่ม อย่างน้อยก็ต้องแสดงออกถึงความเมตตาต่อ “คนพลัดถิ่น” บ้าง ถ้าเป็นเรายืนอยู่ในสถานะอย่างเขา เราจะทำตัวเป็นผู้นำที่ใช้ธรรมมาวิเคราะห์และยุติปัญหาอย่างเป็นธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าอาวาสไม่ได้ทำ เพราะเขาทำไม่ได้ ทำไม่เป็น และที่ทำไม่ได้เพราะเขาไม่มีธรรมในใจนั่นเอง ที่จริง ถ้าเขามีธรรมะ มีปัญญาแล้ว เรื่องราวก็คงไม่ดำเนินไปถึงจุดนั้นแน่นอน ท่านต้องยอมคุยกับเราอย่างเงียบ ๆ เพื่อยุติปัญหาตั้งแต่คืนแรกที่คุยกันแล้ว

 

อาการหลังช๊อค ถูกกองทัพหนูกระหน่ำ

 เหมือนการเกิดอุบัติเหตุ ส่วนมากคนจะบอกว่า ในขณะที่เกิดอุบัติเหตุนั้น เจ้าตัวจะไม่รู้สึกเจ็บและกลัวเพราะร่างกายเกิดอาการช๊อค จนกระทั่งเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว ความคิด ความทรงจำและความรู้สึกต่าง ๆ ค่อย ๆ ทะลักเข้ามาในภายหลัง flashback ตอนนั้น จึงจะรู้สึกเจ็บและกลัวมากขึ้นกว่าตอนเกิดเหตุเสียอีก นั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ตอนที่ขับรถกลับบ้านนั้น เรากับลูกศิษย์ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในห้องประชุมให้สามีฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสด ๆ ร้อน ๆ นั้นเอง ภาพที่ทุกคนหัวเราะเยาะและมองเราอย่างเหยียดหยามนั้นได้ทะลักเข้ามา มองออกว่าใจกำลังถูกมารผจญ มารอันคือภาพจน์ที่ยังอุ่น ๆ อยู่พยายามจะเข้ามาหลอกหลอนให้เราตกใจกลัว เราต้องใช้วิปัสสนาญาณกำหนดสิ่งเหล่านั้นในขณะที่พูดไปด้วย ต้องกำหนดอย่างถี่ยิบ ปล่อยไม่ได้แม้ช่วงขณะสั้น ๆ เห็นชัดว่า นั่นเป็นช่วงที่ต้องปกป้องและรักษาใจอันเป็นบ้านให้ดีที่สุด มิเช่นนั้นแล้ว ใจต้องเสีย บ้านต้องพังแน่ แต่เพราะความชำนาญในการอบรมบ่มนิสัยใจนี้มานาน แมวจึงสามารถตะปบหนูอยู่มือทุกครั้งไปทั้ง ๆ ที่หนูเข้ามาเป็นกองทัพที่ใหญ่มาก

 

เหมือนมองสิ่งที่อยู่แค่เอื้อม

ถึงแม้จะทำได้เช่นนั้นก็ตาม จำได้ว่า วันรุ่งขึ้น ใจถูกโหมหนักมากยิ่งขึ้น เพราะผัสสะที่รับมาในวันก่อนนั้นมีมากเหลือเกิน กองทัพหนูได้เพิ่มพลังตนเองมากขึ้น ความรู้สึกหลากหลายพยายามหาทางเล็ดลอดเงื้อมมือของแมว (ปัญญา) ที่สู้อยู่ตัวเดียว เพื่อเข้ามาเกาะใจเรา ประสบการณ์แปลกใหม่ที่เราเพิ่งสังเกตเห็นได้เกิดขึ้น คือ เหมือนกับเห็นความรู้สึก และรู้ด้วยว่าความรู้สึกเหล่านี้ต้องสร้างความเจ็บปวด อับอายและความกลัวให้แก่เจ้าของใจเป็นอย่างมาก แต่ความรู้สึกเหล่านั้นเกาะใจไม่ติด มันเป็นสองอย่างที่แยกจากกัน เหมือนกับมองความรู้สึกอันเป็นเหมือนวัตถุที่ห่างแค่เอื้อม ฉะนั้น แม้จะเห็นความรู้สึกฝ่ายลบอยู่ แต่ใจเราก็ไม่เจ็บปวด แปลกมาก พูดได้อย่างเดียวว่าแปลกมากจริง ๆ 

เพราะจำได้ว่าความรู้สึกเหล่านี้ควรทำให้เราต้องร้องไห้ เราควรร้องไห้ จึงจะถูก  พอคิดเท่านั้น ก็เห็นตัวเองร้องไห้โฮออกมา เป็นการร้องไห้ครั้งแรกหลังจากที่ได้เกิดญาณครั้งสุดท้ายแล้ว แต่เป็นการร้องไห้ที่ใจเราไม่ได้เจ็บปวดแต่อย่างใดเลย แปลกมาก จะเรียกว่าเป็นนิสัยเก่า ๆ หรือเปล่า ร้องอยู่ไม่นาน ไม่ถึงนาทีดี สามีและลูก ๆ เข้ามาปลอบประโยนด้วยความสงสารภรรยาและแม่ คิดว่าเราต้องเจ็บปวดมาก แต่นี่คือข้อเท็จจริงที่เขาไม่รู้ และยังเป็นสิ่งที่เรากำลังเรียนรู้อยู่

 

คิดทบทวนเหตุการณ์

 จิตเราคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้สามวัน ในช่วงนั้น เรามาคิดได้ว่า ที่จริงในหมู่พระที่อังกฤษทั้งพระไทย พระเอเซีย พระฝรั่ง ต่างก็รู้เกี่ยวกับพระรูปนี้ไม่น้อย แต่ทำไมจึงไม่มีใครทำอะไร ถึงจุดนั้น เรามานั่งคิดว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ควรเป็นเราที่เป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ มาวิ่งเต้นเลย ควรเป็นเรื่องของพระที่จัดการกันเองมากกว่า น่าจะพูดง่ายกว่าระหว่างพระกับพระ เราไม่ควรยุ่งเลย ทั้ง ๆ ที่เราก็ได้พยายามทำให้ถูกขั้นตอนทุกอย่างโดยเข้าหาพระผู้ใหญ่ก่อน แถลงการณ์ก็ได้ออกมาแล้ว พระที่นี่ก็รู้กันหมด แต่ที่ต้องยุ่ง เพราะไม่มีพระรูปไหนที่กล้าติดต่อเราและออกมาพูดว่า

“เอานะโยม…โยมละมือได้แล้ว อาตมาจะจัดการเรื่องนี้เอง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของพระ ให้พระกับพระเตือนกันเองดีกว่า”

ไม่มีเลย เราจึงเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายอย่างมหันต์ เพราะมีแต่คนที่ถนัดดูอยู่ห่าง ๆ แต่ไม่กล้าเข้ามาร่วมงานด้วย เริ่มคิดว่าเราทำผิดหรือเปล่าที่เข้ามายุ่งเรื่องนี้ ซึ่งที่จริงเป็นเรื่องใหญ่ ใหญ่เกินกว่าจะมาวิ่งเต้นคนเดียวเช่นนี้

 

ไม่มีใครรู้ระดับภูมิธรรมของเราอย่างแท้จริง

ไม่ว่าจะคิดจากแง่มุมไหนก็ตาม ก็มาลงที่ข้อเท็จจริงว่า เหตุผลที่เรากล้าเข้ามาพัวพันเรื่องนี้อย่างเต็มที่เพราะเราเข้าใจพุทธศาสนาดีพอ และรู้ว่าพระที่ดีควรทำตนอย่างไร มิเช่นนั้นแล้ว เราจะเอาความกล้าหาญชาญชัยมาจากไหน มาทำตัวเป็นหมอรักษาโรคจิตวิญญาณ ชี้ข้อบกพร่องของผู้ห่มผ้าเหลืองเช่นนี้ เพราะเราเชื่อเรื่องการตกนรกหมกไหม้ ย่อมไม่กล้าแตะต้องพระแน่นอน ถ้าไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่

และนี่คือจุดที่เจ้าอาวาสและคนของเขาไม่รู้ จึงหัวเราะเยาะเราได้อย่างสนุกสนาน ไม่เพียงแต่เจ้าอาวาสและคนของเขาเท่านั้น คนอื่น ๆ ก็ไม่รู้ นอกจากลูกศิษย์ของเราเท่านั้นที่พอรู้ว่าเรามีความรู้ทางพุทธศาสนา แต่แค่ไหนนั้น เขาก็ไม่รู้ ไม่มีใครรู้ระดับภูมิธรรมของเราอย่างแท้จริงนอกจากเราเท่านั้น ฉะนั้น เมื่อมีกรณีพิพาทระหว่างคนห่มผ้าเหลืองกับผู้หญิงแม่บ้านคนหนึ่งอย่างเราเช่นนี้ จะให้คนเลือกเชื่อฝ่ายใด เขาต้องเลือกเชื่อคนห่มผ้าเหลืองก่อนแน่นอน ซึ่งเป็นเรื่องถูกต้องของเขาและเป็นธรรมดามาก คนไทยที่ไม่กล้าออกมาสนับสนุนเราอย่างเปิดเผย เขาก็ไม่แน่ใจว่า เราคือใคร ทำไมจึงกล้ามาแหย่พระเช่นนี้ ยิ่งเป็นคนไทยก็ยิ่งกลัวเรื่องนรก จึงสามารถมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องประชุมนั้นอย่างเข้าใจ และไม่มีความโกรธขึ้งในกลุ่มคนฝรั่งหรือคนไทยที่ไม่สนับสนุนเราแต่อย่างใด

 

คว้านแผลสดโดยไม่ใส่ยาชา  

วันที่สามหลังจากเหตุการณ์ในห้องประชุมนั้น เรามีความรู้สึกอย่างรุนแรงว่า ในเมื่อเจ้าอาวาสและคณะกรรมการวัดไม่ยอมพูดกับเราดี ๆ เราจำเป็นต้องเขียนไปให้ท่านอ่าน และจะเป็นการเขียนครั้งสุดท้าย แถลงการณ์ฉบับแรกของเราเหมือนการเอาทิงเจอร์ใส่แผลที่อักเสบอยู่ ย่อมเจ็บ แต่ก็ยังเจ็บน้อยกว่าสิ่งที่เรากำลังจะเขียนต่อไป เราได้เขียนสิ่งที่ต้องพูดออกมาเป็นข้อ ๆ มีความยาวทั้งหมด ๕ หน้า ครั้งนี้เขียนเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น ไม่คิดว่าคนไทยจะสนใจในสิ่งที่เราทำอีกต่อไป ข้อหนึ่ง บอกให้เจ้าอาวาสรู้ว่า เราไม่ได้ต้องการไล่ท่านออกจากวัดท่านเลย แต่ต้องการเสนอแนะเรื่องการมีพระมาอยู่ที่วัดเป็นหมู่กลุ่มเพื่อจะได้ปฏิบัติกิจการของสงฆ์ได้ดีขึ้น จะได้ช่วยเหลือตักเตือนซึ่งกันและกัน เป็นการช่วยพัฒนาตนเองไปในตัว และญาติโยมก็มักยินดีที่ได้เห็นพระหลายรูป และพยายามให้ท่านมองอย่างถูกต้องว่าวัดไม่ใช่บ้านของท่าน แต่เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของทั้งพระและคนทั่วไป ฉะนั้น ท่านจะมาทำตนเป็นเจ้าของบ้านและกีดกันคนที่ตนเองไม่ชอบออกไปอย่างที่ทำมานั้นย่อมไม่ได้ เป็นการเน้นให้เจ้าอาวาสเห็นปัญหาที่แท้จริงว่าเกิดจากความเข้าใจผิดของท่าน

 เพียงการพูดความจริงและชี้ให้เจ้าตัวเห็นความผิดของตนเองนั้นก็เท่ากับการเอามีดมาคว้านแผลที่เน่าออกมาโดยไม่ได้ใช้ยาชา จะมีผลได้เพียงสองอย่างเท่านั้น คือ ถ้าคนไข้ยอมรับว่าตนเองมีพิษไข้ และยอมให้คว้านแผลสดออก คนไข้ย่อมหายจากพิษไข้ได้ทันที แต่หากคนไข้ไม่ยอมรับว่าตนเองป่วยเพราะมีแผลที่เป็นพิษแล้ว ยังดื้อรั้นไม่ยอมให้คว้านแผลสดออก คนไข้นั้นก็จะเจ็บป่วยต่อไป นี่เป็นแผลของจิตวิญญาณ ไม่ใช่แผลทางร่างกาย ย่อมบอกได้ยากว่าอาการเช่นไรจึงเรียกว่าเจ็บไข้ทางจิตวิญญาณ หมอที่จะมาบอกต้องรู้จริง จึงจะรู้อาการไข้ได้ดี และถ้าคนไข้ไม่ยอมรับ เขาก็จะโกรธหมอ เคียดแค้นหมอนั้นไปตลอดชีวิต

 เพราะท่านเลือกที่จะไม่ทำเรื่องนี้อย่างเงียบ ๆ เราจึงส่งข้อเขียนฉบับนั้นไปให้วัดไทยและวัดสาขาในอังกฤษ และวัดใหญ่ของท่านที่เมืองไทยด้วย คิดว่า วัดเหล่านั้นควรรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากแถลงการณ์ฉบับแรกของเรา ได้เขียนจดหมายสั้น ๆ ไปบอกพระผู้ใหญ่ที่เราได้เข้าพบและพระเลขาของท่านได้แนะนำให้ไปคุยกับคณะกรรมการวัด จึงเรียนให้ท่านทราบว่า นี่คือผลจากการแนะนำของท่าน

หลวงพ่อของวัดไทยในเมืองหลวงได้โทรมาคุยด้วยหลังจากที่ได้อ่านข้อเขียนฉบับหลัง ได้บอกถึงความห่วงใยในตัวเราและบอกด้วยว่าทางสถานทูตก็เป็นห่วงว่าเรื่องนี้จะก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างคนไทยกับคนอังกฤษมากขึ้น แต่ทางสถานทูตก็ไม่มีความประสงค์จะพูดคุยกับเราโดยตรง ปัญหานี้ได้เป็นหัวข้อของการพูดคุยกันในหมู่คนไทยและคนอังกฤษที่รู้เห็นด้วย มีการพบและประชุมกันระหว่างคนไทยที่วัดไทยกันอีกครั้งหรือสองครั้งหลังจากนั้น และเริ่มพูดเรื่องการตั้งวัดใหม่ เราจึงเริ่มตีตัวออกห่างตั้งแต่บัดนั้น เพราะไม่เห็นว่าการสร้างวัดใหม่จะมีประโยชน์อะไร และเพราะเหนื่อยใจกับเรื่องนี้มานานหลายเดือน

 

ผิดหรือไม่ผิด ก็ยอมขอโทษ

หลังจากข้อเขียนฉบับคว้านแผลสดของเรานั้น ปรากฏว่าไม่มีการโต้ตอบจากเจ้าอาวาสเลย หากเจ้าอาวาสและคนของท่านเห็นว่าเรื่องที่เราเขียนนั้นไม่จริงและต้องการฟ้องร้องเรานั้น เขาย่อมทำได้ง่ายมาก แต่ที่ไม่ทำเพราะสิ่งที่เขียนลงไปนั้นเป็นความจริงทุกประการ เขาจึงทำไม่ได้

ต่อมา มีข่าวมาเข้าหูว่า มีคนพูดว่าพระไทยอยู่เบื้องหลังการกระทำของเรา เราไม่ได้ทำอะไรอีกทั้งสิ้น จนเวลาผ่านไปอีกเกือบสามเดือน เริ่มรู้สึกไม่สบายใจว่า ถึงแม้พระไทยไม่ได้อยู่เบื้องหลังการกระทำของเรา แต่ในสายตาของเจ้าอาวาสและฝรั่งคนอื่น ๆ ก็อาจคิดว่าพระไทยอยู่เบื้องหลัง จะดูไม่ดีสำหรับพระไทย เริ่มรู้สึกรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองที่อาจกระทบกระเทือนถึงคนอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย มีความรู้สึกว่าแม้เราจะผิดหรือไม่ผิดก็ตาม ก็ควรขอโทษทุกฝ่าย ในช่วงนั้น ใจก็พร้อมที่จะปล่อยเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด

จึงตัดสินใจเขียนบทความภาษาไทยขึ้นมาฉบับหนึ่ง บอกตัวเองว่านี่จะเป็นข้อเขียนครั้งสุดท้ายจริง ๆ  อันเนื่องกับเรื่องนี้ โดยให้ชื่อว่า “กฎแห่งกรรม” โดยให้ทุกฝ่ายรวมทั้งเจ้าอาวาสมองเห็นว่า เป็นแรงเหวี่ยงของกรรมที่ทำให้เราต้องเข้าไปพัวพันเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จนนำไปถึงเหตุการณ์ที่น่าเกลียดต่าง ๆ และบอกอย่างชัดเจนว่า พระไทยเมืองนี้และในเมืองหลวงไม่ได้อยู่เบื้องหลังการกระทำของเรา ที่เราทำลงไปเพราะเห็นว่า จำเป็นต้องทำเท่านั้น และถือโอกาสนั้นขอโทษและขออโหสิกรรมจากทุกฝ่ายรวมทั้งเจ้าอาวาสด้วย ขอให้เห็นว่ามันเป็นแรงเหวี่ยงของกรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หวังว่าท่านคงยกโทษให้เราได้ และขอให้เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้และพยายามทำในสิ่งที่ถูกต้องต่อตนเอง และเราก็อโหสิต่อเจ้าอาวาสและคนของท่านด้วยที่ได้ทำกับเราเช่นนั้น เราไม่ได้ติดข้องหมองใจอะไรอีกแล้ว

 

แสดงออกถึงความเป็นมิตรอีก

หลังจากบทความฉบับนั้น เราได้ปล่อยเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด ส่วนคนอื่นจะพูดหรือไม่พูดลับหลังเรานั้น เราไม่รู้ และไม่ต้องการรู้ ได้เก็บตัวเองและมุ่งทำแต่งานของตนเองโดยไม่ได้สนใจใคร หลังจากนั้นไม่นาน ได้เริ่มเขียนเรื่องใบไม้กำมือเดียว และใช้ทุนตัวเองพิมพ์ออกมาเพื่อแจกเป็นหนังสือคู่มือให้นักศึกษา มีหน้าหนึ่ง ต้องการเขียนชื่อที่อยู่ของวัดเอาไว้ในหนังสือเพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาไปฝึกสมาธิที่วัดเหล่านี้ได้ คิดอยู่นานว่าควรจะใส่ที่อยู่ของวัดเจ้าอาวาสนี้หรือไม่ ใจหนึ่งก็รู้สึกว่าถ้าเรารู้ว่าเจ้าอาวาสไม่เหมาะสมที่จะเป็นเจ้าอาวาสแล้ว ทำไมจึงยังแนะนำให้คนรู้อีก เป็นการกระทำที่ขัดแย้งกัน แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่า เจ้าอาวาสอาจจะเปลี่ยนนิสัยแล้วก็ได้ ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ท่านอาจจะเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และแก้ไขตนเองแล้วก็เป็นได้ ไม่ควรรีบตัดสินท่าน จิตใจคนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และวัดนั้นก็มีสถานที่ที่ดีมาก อย่างน้อยคนไปวัดก็หาความสงบได้จากสภาพแวดล้อมที่สวยงาม สิ่งสำคัญที่ทำให้เราตัดสินใจเขียนชื่อวัดนี้ลงไปเพราะเราต้องการแสดงให้เจ้าอาวาสเห็นว่า เราต้องการเป็นมิตร ไม่ได้ต้องการเป็นศัตรูกับท่านเลย ฉะนั้น การลงชื่อวัดในหนังสือของเรานั้นอาจจะเป็นทางหนึ่งที่ทำให้เจ้าอาวาสเห็นว่า เราพยายามจะสร้างสันติภาพกับท่าน เพราะในขณะนั้นก็ไม่ได้ติดข้องหมองใจอะไรอีกต่อไปแล้ว จึงเขียนลงไป และส่งไปให้ท่านฉบับหนึ่งด้วย

 

ทำไมจึงไม่ยอมปล่อย

หลังจากนั้นไม่นาน เราได้เอาใบไม้กำมือเดียว ฉบับภาษาอังกฤษไปถวายให้พระที่เขียนบทนำให้เราเป็นจำนวนร้อยเล่ม ท่านจึงบอกเราว่า เจ้าอาวาสไม่พอใจท่านที่เขียนบทนำให้เรา เราฟังแล้วก็ยิ้มและอ่านใจเจ้าอาวาสออกอีกว่าท่านยังไม่ได้หายโกรธเราเลย หนังสือเล่มนี้ของเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับท่านทั้งสิ้น ถึงจุดนั้น เหตุการณ์ก็ได้ผ่านไปถึง ๑๘ เดือนแล้ว และเราได้แสดงออกถึงความเป็นมิตรโดยใส่ที่อยู่ของวัดท่านไปในหนังสือเราเพราะคิดว่าอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องทำก็ได้เพราะเป็นหนังสือของเรา แต่เจ้าอาวาสก็ยังไม่ยอมรับท่าทีอันเป็นมิตรของเรา ทำไมเราจึงปล่อยวางเรื่องนี้ได้เด็ดขาด แต่ทำไมท่านจึงไม่ปล่อยวางสักที ท่านควรจะปล่อยได้ดีกว่าเราเพราะท่านมีผ้าเหลือง

 

จดหมายที่เขียนช้าไปถึงสองปี

หลังจากนั้นอีกราว ๕ ถึง ๖ เดือน เราได้รับจดหมายจากพระผู้ใหญ่ที่เราได้เข้าพบ ได้เขียนรื้อฟื้นเรื่องนี้ และเห็นว่าเพื่อความสงบของทุกฝ่าย เราควรไปกราบขอโทษเจ้าอาวาสอย่างเป็นทางการ เราอ่านแล้ว เดาเหตุการณ์ออกว่า ที่จริงคนส่วนมากก็ลืมไปแล้ว ไม่ได้พูดถึงอีก แต่ปัญหายังไม่จบเพราะเจ้าอาวาสยังไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ และคงจะพยายามพูดให้พระผู้ใหญ่เขียนจดหมายฉบับนั้นให้เรา ซึ่งเราคิดว่าเป็นจดหมายที่เขียนช้าไปถึงสองปีเต็ม ท่านควรเข้ามาจัดการเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่พวกเราสามคนไปหาท่านเพื่อขอความช่วยเหลือแล้ว

อย่างไรก็ตาม เราอ่านจุดประสงค์ของเจ้าอาวาสได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่า ต้องการให้เราคลานเข้าไปกราบขอโทษท่านอย่างเป็นทางการต่อหน้า “คนของท่าน” สิ่งเดียวที่ท่านต้องการคือ เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีของท่านกลับคืนมา และเพื่อแสดงให้คนอื่นเห็นว่า ผู้หญิงไทยคนนี้ถึงอย่างไรก็ต้องคลานกลับมาขอโทษท่าน เป็นความรู้สึกที่เลียอัตตาตัวตนได้ดีมาก ถ้าเกิดขึ้นจริงได้

 

ทำไมจึงไปกราบขอโทษไม่ได้

เรารู้สึกเห็นใจเจ้าอาวาสว่าท่านต้องเสียหน้ามาก ที่จริง การเข้าไปกราบท่านเพื่อขอโทษอย่างเป็นทางการนั้น จะให้เราทำก็คงทำได้ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เป็นฝ่ายผิด ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร เป็นคนมืออ่อนหัวอ่อนอยู่แล้ว แต่การกราบของเราจะถึงตัวเจ้าอาวาสหรือเปล่านี่สิ ท่านจะไม่รู้ และรู้ไม่ได้เพราะใจของท่านยังถูกความมืดบดบังอยู่ เหตุผลสำคัญที่เราไม่ควรไปกราบท่านเพราะ ถ้าเราเห็นได้ชัดว่าการกระทำของเราจะยิ่งไปเพิ่มอัตตาตัวตนของเจ้าอาวาสแล้ว ก็เท่ากับเป็นการส่งเสริมให้ท่านมืดบอดมากขึ้นอีก แล้วเราจะทำไปทำไม เท่ากับไปสร้างบาปเพิ่มให้ท่าน จึงทำไม่ได้ และที่จริง เราก็ได้ขอโทษไปแล้วครั้งหนึ่งด้วยความหวังว่าเจ้าอาวาสสามารถเห็นตามว่าเป็นเรื่องกรรมและจะได้มุ่งสร้างกรรมดีต่อไป ปล่อยให้เรื่องนี้เงียบไปเอง เพราะนาน ๆ ไปคนก็ลืม หากท่านทำตัวให้ดี วัดของท่านก็จะเจริญได้อีก แต่ทำไมเวลาผ่านไปถึงสองปีแล้ว ท่านยังไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้อีก จะขุดขึ้นมาทำไม

 

จะจบได้เมื่อยอมปล่อยวางเท่านั้น

เพื่อไม่ให้เรื่องนี้ประทุขึ้นมาอีก เราจึงเขียนจดหมายตอบพระผู้ใหญ่สั้น ๆ ว่า ขอคิดเรื่องนี้ดูก่อน มีความตั้งใจว่าจะให้เจ้าอาวาสรอ คิดว่าท่านจะต้องรอไปอีกนาน จนกว่าท่านจะคิดออกเองว่า เรื่องนี้จะจบได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อท่านสามารถปล่อยวางจิตใจ ให้อภัยทั้งแก่เราและตนเอง และหันกลับมามองจิตภายใน ขัดเกลากิเลสอยู่ทุกลมหายใจเท่านั้น เรื่องจึงจะจบในตัวท่านได้ มิเช่นนั้น มันจบไม่ได้ และท่านจะต้องแบกความโกรธที่มีต่อเราไปตลอดชีวิต นี่เป็นปัญหาของเจ้าอาวาสที่ท่านต้องจัดการกับตนเอง ไม่ใช่ปัญหาของเราแล้ว เราหมดปัญหาแล้ว

ปัญหาของเจ้าอาวาสอยู่ที่ว่า ใครล่ะจะมาช่วยแหวกม่านอวิชชาให้กับท่านได้?

 

บทเรียน

ถ้าหากงานเขียนเหล่านี้ได้รับการตีพิมพ์ในอนาคตละก็ สิ่งแรกที่ต้องการให้ผู้อ่านรับทราบคือ ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าคนเหล่านั้นคือใคร จึงไม่มีการบ่งบอกชื่อแต่อย่างใด เพราะการพูดเรื่องข้างต้นนี้ไม่ใช่เพื่อต้องการฟื้นฝอยหาตะเข็บ แต่ต้องการให้เรียนรู้ถึงสิ่งที่ผิดพลาด เพราะนี่เป็นเรื่องการอยู่รอดหรือไม่รอดของพระพุทธศาสนาโดยส่วนรวม

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรู้ว่าต้องทำอะไร อย่างไร ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว นอกจากจะทำในสิ่งที่หัวใจเห็นว่าถูกต้องในขณะนั้น ๆ ซึ่งเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เราได้แสดงออกถึงความกล้าหาญทางจริยธรรมโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่านั่นเรียกว่าความกล้าหาญ เหมือนชายที่มีความแข็งแรงทางกาย  เขาก็ไม่ได้คิดว่าตนเองแข็งแรงเมื่อยกของหนักได้ เขาก็ทำไปอย่างเป็นธรรมชาติ รู้สึกธรรมดาเพราะทำได้โดยไม่ฝืน เราก็ไม่เคยคิดว่าตนเองมีความแข็งแรงทางใจ ตอนนั้นเพียงเห็นว่า นั่นเป็นเรื่องถูกต้องและควรทำ เพราะกำลังปกป้องศาสนาพุทธและศักดิ์ศรีของคนไทย และช่วยเหลือคน ๆ หนึ่งให้เห็นความผิดพลาดของตนเอง จนกระทั่งหลายเดือนให้หลัง เมื่อมองกลับไปยังเหตุการณ์ จึงค่อย ๆ มองออกว่า ไปเอาพลังจากไหนมาต่อกรกับคนเหล่านั้น   

อย่างไรก็ตาม สิ่งต่าง ๆ ที่สามารถเรียนรู้ได้จากเหตุการณ์นี้คือ

) เรื่องดังกล่าวเป็นปัญหาของพระโดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเป็นพระไทยหรือพระฝรั่ง ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้ว สามารถขี่คอมนุษย์ได้เท่าเทียมกันหมด พระที่รู้ตัวว่าการปฏิบัติของตนเองยังไม่ได้อยู่ในขั้นปลอดภัยแล้วละก็ ไม่ควรเปิดโอกาสให้ลาภ สักการะ เข้ามาสู่ชีวิตตนง่ายเกินไป เมื่อลาภ สักการะ เข้ามาแล้ว จะหลุดจากมันได้ยากมาก

)  บรรพชิตต้องไม่ลืมว่า เป้าหมายของการบวชเข้าสู่พระธรรมวินัยนั้นก็เพื่อมุ่งขัดเกลากิเลสและไปสู่พระนิพพาน งานสังคมสงเคราะห์ไม่ใช่เป็นงานหลักของสงฆ์ บรรพชิตที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างมุ่งมั่นย่อมไม่มีความรู้ทางธรรมจะถ่ายทอด จึงไม่สามารถช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนาให้อยู่ยืดต่อไป แต่สงฆ์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ย่อมมีเมตตาและย่อมอยากช่วยเหลือผู้อื่นนั้นเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว

)  ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เราได้เห็นจุดอ่อนของคนอังกฤษหรือจะคลุมคนต่างวัฒนธรรมโดยทั่วไปก็ได้ ในความพยายาม “เป็นชาวพุทธ” จนเกินไป ถ้าปัญหานี้ไม่เกิด เราคงวิเคราะห์เรื่องนี้ไม่ได้ชัด เพราะมัวไปคิดดีใจว่าศาสนาพุทธมาโด่งดัง แพร่หลายในสังคมตะวันตก ทำให้รู้สึกภูมิใจและชื่นชมฝรั่งที่มาวัด อุตสาห์นั่งหลังขดหลังแข็งทำสมาธิทั้ง ๆ ที่ขาก็ยาวเกะกะ แต่พอมาวิเคราะห์จริง ๆ แล้ว ฝรั่งที่สามารถเข้าถึงแก่นธรรมของพุทธศาสนาอย่างแท้จริงก็มีอยู่ แต่ผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงก็มีไม่น้อย ในคนกลุ่มหลังนี้ โดยเฉพาะในช่วง ๒๐ ปีที่ผ่านมา ศาสนาพุทธได้กลายเป็นเครื่องประดับของคนชั้นกลางที่ต้องการทำตนให้ต่างและเด่นออกจากคนอื่น จึงเกิดการแสดงออกเพื่อพยายามให้ผู้อื่นเห็นว่า “ฉันเป็นชาวพุทธ I am a Buddhist.” และ “ฉันต่างจากเธอซึ่งเป็นคริสเตียนหรืออิสลาม I am different from you.” ตราบใดที่ยังมีการมองว่า ฉันเป็นอย่างนี้และต่างจากเธอซึ่งเป็นอย่างนั้นแล้ว ความเป็นชาวพุทธที่แท้จริงจะเกิดไม่ได้ ความเป็นชาวพุทธที่แท้จริงคือ การตั้งหน้าตั้งตาดูใจขูดเกลากิเลสจนความเป็นพุทธหายไปอย่างสิ้นเชิง เหลือแต่ความเป็นตัวของตัวเองเมื่อใจปลอดจากความหลงแล้วเท่านั้น (ตถตา) ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายแม้กับชาวพุทธที่เติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมที่เอื้ออำนวยอย่างวัฒนธรรมไทยเรา มันย่อมยากมากขึ้นสำหรับคนที่อยู่ต่างวัฒนธรรม

ลักษณะที่ชาวอังกฤษกลุ่มหลังพยายามจะแสดงตนว่า “ฉันเป็นชาวพุทธ” นั้น เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เกิดในหมู่คนไทยและคนที่เติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมของชาวพุทธ คนที่โตขึ้นมาในวัฒนธรรมของชาวพุทธ ได้รับการอบรมบ่มนิสัยจากวัฒนธรรมนั้น ก็ทำตนเป็นธรรมชาติอยู่แล้วโดยไม่ได้มีความรู้สึกว่าต้องพยายามเป็นชาวพุทธแต่อย่างใด ใครที่อยากเป็นชาวพุทธมากหน่อยก็แค่เข้าวัดฝึกสมาธิวิปัสสนา ก็เท่านั้นเอง ตรงนี้เราจึงเห็นว่า คนไทย นั้นมีสิทธิ์เข้าใจพุทธศาสนาได้ดีกว่าคนที่มาจากต่างวัฒนธรรม ซึ่งคนไทยกันเองอาจจะมองไม่เห็น โดยเฉพาะในสมัยนี้ที่คนรุ่นใหม่ไปรับเอาคุณค่าของวัตถุนิยมเข้ามามากจนโงหัวไม่ขึ้น อย่างไรก็ตาม คนที่พอมีบารมีอยู่ และหวังเรื่องการพ้นทุกข์อย่างแท้จริงแล้ว การเกิดเป็นคนไทยย่อมมีโอกาสเข้าถึงธรรมได้มากกว่า

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ได้ทำให้เราเรียนรู้อะไรต่ออะไรได้มากและได้สะท้อนออกมาในหนังสือเรื่อง ใบไม้กำมือเดียว ของเราซึ่งเขียนหลังจากเหตุการณ์นั้นไม่นาน

 

ไม่มีใครรู้ว่าเราทำอะไรจริง ๆ

            ในส่วนตัวของเรานั้น เรารู้แก่ใจตนเองว่างานสอนนักศึกษาของเราคือการเอาความรู้เรื่องวิปัสสนาให้แก่พวกเขาโดยตรง เป็นการหลอกล่อให้เขาฝึกสติโดยผ่านการรำท่าไท้เก็กขี่กง โดยที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการทำเช่นนี้คือหัวใจแห่งการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา จะรู้ก็ต่อเมื่อมาเริ่มอ่านหนังสือของเราเท่านั้น นี่เป็นงานที่เราต้องคิดเอง ทำเอง ลองผิดลองถูก บวกกับความก้าวหน้าในทางธรรมของตนเอง จนในที่สุดก็สามารถแปรความคิดอันเป็นนามธรรมมาสู่การสอนในภาคปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมได้อย่างชัดเจน ความชัดเจนในการสอนและเขียนเกิดหลังจากปีที่เกิดญาณ คือในปี ๒๕๔๐ แต่การเรียนรู้ก็ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลาผ่านพ้นไป ประสิทธิภาพในการสอนของเราก็ยิ่งมีมากขึ้น แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งแก่ตัวเราเองเท่านั้น มีเพียงลูกศิษย์ของเราเท่านั้นที่รู้ชัดว่าเขาได้รับประโยชน์อะไรจากเรา คนอื่นไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือพระ เพราะเราไม่ได้สุงสิงกับคนมาก แม้เพื่อนสนิท ก็รู้เพียงว่าเราสอนไท้เก็กเท่านั้น แต่จะไม่มีใครมองว่าเราเข้าใจพระพุทธศาสนาได้ถึงแก่นอย่างไร

การพานักศึกษาไปวัดเพื่อให้เขามีโอกาสได้เห็นวัฒนธรรมแห่งการทำบุญใส่บาตร การได้กราบพระสงฆ์องค์เจ้าเพื่อขจัดความเย่อหยิ่งในตนเอง การได้รับประทานอาหารไทย ๆ นั้นก็เป็นสิ่งที่เราเห็นว่าสำคัญ เป็นการเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวที่มาจากต่างวัฒนธรรมได้ลิ้มชิมรสของวัฒนธรรมชาวพุทธ ซึ่งนักศึกษาเองก็ชอบ และดีใจที่ได้รับประสบการณ์เช่นนั้น หากเขาไม่ได้พบเรา เขาอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอประสบการณ์ที่ดี ๆ เช่นนั้น

ทั้งคนทั้งพระคงหมั่นไส้เรา

หลังจากที่เกิดเรื่องกับพระฝรั่งแล้ว เราก็ไม่ได้ไปเหยียบวัดป่านั้นอีกเลย จึงหมดโอกาสพานักศึกษาไปวัดนั้นด้วย คงเหลือแต่วัดไทยสองวัดในเมืองที่เราอยู่ จึงได้ผัดเปลี่ยนพานักศึกษาไปปฏิบัติธรรมในช่วงสุดสัปดาห์อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้งในเทอมสุดท้ายของภาคฤดูร้อน ซึ่งเราได้ทำมาทุกปีตั้งแต่เริ่มสอนเมื่อ ๑๒ ปีก่อน โดยที่เราจะเป็นคนสอนนักศึกษาในเรื่องทำสมาธิเองในระหว่างที่อยู่วัด แต่ก็นิมนต์พระของวัดมาพูดกับนักศึกษาด้วยทุกครั้ง 

ประมาณเดือนมีนาคม ๒๕๔๓ เราได้พานักศึกษาราว ๒๕ คนไปวัดไทยแห่งหนึ่ง ครั้งนั้น เป็นการพาไปครั้งสาม ครั้งที่สองได้พานักศึกษาไปวัดนี้เพียงครึ่งวัน เพราะสองวัดอยู่ใกล้กัน จึงถือโอกาสเยี่ยมวัด วันนั้นพระท่านไม่อยู่ เหลือแต่ฆราวาสที่เฝ้าวัด เพราะอากาศหนาวมาก เราจึงตัดสินใจให้นักศึกษาฝึกสติโดยการรำท่าขี่กง ๑๘ ท่าในห้องพระนั่นเอง ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ดี ใจดิ่งเข้าสู่ความสงบ เราไม่เคยคิดว่า นั่นเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เพราะรู้ว่า แม้จะเป็นท่าออกกำลังกาย แต่เขากำลังทำวิปัสสนาอยู่ การทำกิจกรรมของเรานั้น แม้จะมีคนเห็น แต่คนที่เข้ามาถามเราจริง ๆ ว่าทำอะไรนั้นแทบจะไม่มีเลย แม้พระ เราก็ไม่แน่ใจว่าท่านจะเข้าใจงานของเราได้สักแค่ไหน เมื่อไม่มีใครถามหรือพูดอะไร เราก็สรุปเองว่า คงไม่มีปัญหาอะไร

จนกระทั่งคืนวันก่อนที่นักศึกษา ๒๕ คนจะไปวัด เราตัดสินใจนอนค้างที่วัดก่อนหนึ่งคืนเพื่อจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็น อาหารก็ได้ทำไปเผื่อลูกศิษย์ตนเอง เพียงขอให้ฆราวาสหญิงที่มาบวชชีพราหมณ์ซึ่งรู้จักกันมานานและช่วยอยู่ในครัวอุ่นให้เท่านั้น หัวค่ำคืนนั้น มีการทำวัตร มีพระสองรูป รูปหนึ่งได้ช่วยเราพิมพ์หนังสือใบไม้กำมือเดียวฉบับภาษาอังกฤษก่อนที่เราจะเอามาเข้าเล่มเอง จึงรู้สึกสนิทกับท่าน และคิดว่าท่านต้องเข้าใจงานของเราได้มากทีเดียว อีกรูปหนึ่ง เราก็คิดว่าท่านคงเข้าใจเราดีพอสมควร พระทั้งสองรูปนี้เป็นพระลูกวัด ไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส และก็มีฆราวาสส่วนมากเป็นหญิงซึ่งดูแล้วเป็นคนสนิทของวัดอีกประมาณ ๗-๘ คนร่วมทำวัตรด้วย เราได้เห็นคนเหล่านี้ทุกครั้งที่ไปวัด มีเพียงสองสามคนเท่านั้นที่เราได้คุยด้วย ที่เหลือนั้น ด้วยเหตุผลบางประการที่เราเองก็ไม่รู้ คือไม่สามารถตีสนิทได้ มีความรู้สึกว่าเขาไม่อยากพูดกับเรา จึงอยู่ในลักษณะยิ้ม ๆ ให้กันเท่านั้น

 

ถูกตำหนิ

หลังจากทำวัตรแล้ว พระรูปที่เคยช่วยเราพิมพ์งานก็ลุกจากไปทำงานของท่าน เราจึงคิดว่าจะคุยกับพระอีกรูปหนึ่งให้ทราบถึงแผนการณ์ของวันรุ่งขึ้นเมื่อนักศึกษา ๒๕ คนมาถึงวัด ทุกคนที่ร่วมสวดมนต์ก็ยังอยู่ในห้องพระนั้น เมื่อเราเริ่มคุยกับพระท่าน สิ่งที่นึกไม่ถึงก็เกิดขึ้น แทนที่จะได้รับการสนับสนุนและกำลังใจจากท่าน ท่านกลับพูดหลาย ๆ สิ่งในเชิงตำหนิเรา โดยที่เราเองก็ไม่รู้ว่าตัวปัญหามันอยู่ตรงไหน จับได้แต่เพียงว่า ท่านไม่พอใจเราอย่างเห็นได้ชัด ดูออกว่ามีสิ่งคับแค้นใจ จนถึงจุดระเบิด

เรานั้นเป็นคนที่ต้องรู้เหตุผล เพื่อจะได้พูดกันอย่างเข้าใจ ถ้าผิดก็จะยอมรับผิดและขอโทษ ถ้าไม่ผิดก็จะบอกเหตุผล ฉะนั้น ในช่วงสิบถึงสิบห้านาทีแรกที่ฟังท่านพูดนั้น เราพยายามจะจับหัวข้อเพื่อให้รู้ว่าเราทำอะไรผิด ท่านจึงไม่พอใจและต้องการตำหนิเราเช่นนั้น จับได้ก็เพียงเรื่องการพานักศึกษาไปรำไท้เก็กในห้องพระปีก่อนเท่านั้น คงมีคนบอกพระภายหลัง ไม่งั้นพระคงไม่รู้ เรื่องนี้เราก็อธิบายให้ท่านทราบว่า เราไม่ได้คิดว่าจะไม่เหมาะสมเพราะกำลังพานักศึกษาทำวิปัสสนาอยู่ ไม่ได้คิดว่าไม่ได้ให้ความเคารพห้องพระเลย แต่ถ้าท่านไม่เห็นด้วย และเห็นไม่สมควร เราก็จะไม่ทำอีก และขอโทษท่านในสิ่งที่ได้ทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ใช่ไม่มีความเคารพต่อสถานที่แต่อย่างใด บอกอีกว่า หากมีอะไรที่เราได้ทำไป และพระท่านเห็นว่าไม่ดีไม่สมควรแล้ว ท่านต้องรีบบอกทันที เราจะได้รู้สิ่งบกพร่องและรีบแก้ไขตนเอง

อย่างไรก็ตาม แม้ได้อธิบายในสิ่งที่คิดว่าได้ทำผิด ยิ่งมีความรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ตัวปัญหาแท้จริง ท่านยังมีเรื่องมากมายที่ไม่พอใจเรา แต่พูดชนิดจับต้นชนปลายไม่ได้ เรารู้สึกงงและสับสนมาก ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจู่ ๆ พระท่านจึงนำเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาพูดในคืนก่อนที่เราจะต้องทำงานใหญ่ เพราะนอกจากจะเป็นการฉีกหน้าเราอย่างเป็นทางการต่อหน้าคนสนิทของวัดแล้ว ยังสามารถทำให้เราเสียกำลังใจได้ เพราะการรับหน้านักศึกษาในวันรุ่งขึ้นนั้น เราจำเป็นต้องมีความมั่นใจในตนเองอย่างสูงจึงจะไปรอด จึงไม่คิดว่าจะมีใครมาพูดตัดทอนกำลังใจเรามากเช่นนั้น

มีประโยคหนึ่งที่พระท่านพูดหลุดปากออกมาว่า “ฝรั่งน่ะ อย่าไปเอาใจให้มากเกินไปนะ” เราก็ไม่เข้าใจว่าท่านหมายถึงอะไร เราไปเอาใจฝรั่งยังไง นี่คือเมืองอังกฤษ เมืองที่เต็มไปด้วยเจ้าของประเทศที่เป็นฝรั่ง เราพอช่วยเหลือฝรั่งเหล่านี้ให้เข้าใจชีวิตได้ ก็คิดว่าทำไปให้ดีที่สุด ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้คิดเอาใจอะไรใครเลย ถ้าท่านอ่านหนังสือเรา ท่านจะรู้ว่าเราพูดวิจารณ์ถล่มวัฒนธรรมฝรั่งไว้มากทีเดียว ไม่ได้เอาใจเลยแม้แต่นิด

แต่คำพูดนั้นทำให้พอเดาออกว่า ทั้งพระทั้งฆราวาสคงหมั่นไส้เราไม่น้อยที่มีกิจกรรมทำกับนักศึกษาเช่นนั้น การพยายามอธิบายตัวเองของเรานั้น ในสายตาของฆราวาสที่นั่งอยู่ในห้องนั้นแล้ว เรากำลังเถียงพระ ย่อมสร้างความไม่พอใจให้แก่พวกเขาซึ่งคงมีความไม่พอใจเราเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย จึงเริ่มเข้าใจว่าทำไมคนเหล่านี้จึงไม่อยากพูดคุยกับเรามากนัก

ปรากฏว่า การคุยกับพระในคืนนั้นไม่มีข้อสรุป เราออกจากห้องพระด้วยความรู้สึกสึกที่สับสน วุ่นวายใจ งงมากว่าเกิดอะไรขึ้น อยากให้ใครสักคนมาเข้าข้างและพูดปลอบใจเราบ้าง แต่ก็ไม่มีใคร มีตัวเองเท่านั้น ดีว่าเป็นตัวเองที่พึ่งได้ ใจที่ฝึกมาดีแล้วจึงสามารถดีดทุกอย่างที่เป็นปัญหาสด ๆ ร้อน ๆ นั้นออกไปได้ ผจญมารได้ ใจจึงสงบพอและยังมีกำลังใจที่จะรับหน้านักศึกษาได้ในวันรุ่งขึ้น  ใจไม่ได้ถูกข่วนเลย เพราะมั่นใจในเจตนาดีของตนเอง แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมพระรูปนั้นจึงไม่พอใจเรา

 

ฟังแล้วถึงกับสะอึก

เมื่อนักศึกษามาถึงในเช้าวันรุ่งขึ้น เราก็ต้องเริ่มพูด เริ่มสอนพวกเขา เมื่อเวลาอาหารมาถึง เราก็คิดถึงอาหารที่เราทำมาเผื่อนักศึกษาของเรา และจำเป็นต้องอุ่นให้ร้อน เราได้บอกกับพี่คนหนึ่งไว้แล้วในวันวาน พี่คนนี้ก็เคยช่วยเรามาตลอด จึงคิดว่าไม่น่ามีปัญหา ปรากฏว่า เมื่อพระท่านตักอาหารเสร็จ ถึงคราวของฆราวาสรวมทั้งลูกศิษย์เราที่จะต้องเดินเข้าคิวตักอาหาร เรารีบเข้าไปห้องครัวเพื่อให้แน่ใจว่าพี่เขาได้ช่วยเราอุ่นอาหารและวางอาหารของเราไว้บนโต๊ะ เพราะนักศึกษาจำนวน ๒๕ คน เราไม่สามารถพึ่งพาอาหารที่ฆราวาสทำให้พระได้ แต่พอเราเข้าไปในครัว พี่คนที่เคยช่วยเรากลับบอกเราอย่างเย็นชาว่า

“นี่นักศึกษาของคุณ คุณไปอุ่นอาหารของคุณเอง”

สิ้นเสียงประโยคนั้น สันหลังเราเสียวว๊าบ ฟังแล้วสะอึก มองหน้าคนอื่น ๆ ในห้องครัวด้วยความหวังว่าจะหาคนที่ยิ้มให้เราสักคนและช่วยเราอย่างเต็มใจ กลับเห็นแต่ใบหน้าที่ไม่เฉยก็แสดงออกถึงความไม่พอใจ หญิงวัย ๖๐ คนหนึ่งซึ่งกำลังวุ่นเตรียมอาหารอยู่ท้ายครัว เมื่อเห็นเราถึงกับพักมือจากงานเพื่อค้อนเราด้วยใบหน้าที่ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด คนที่แสดงออกถึงความเฉยบางคนคงอยากแสดงความกระตือรือร้นช่วยเราบ้าง แต่เมื่อคนส่วนมากไม่พอใจเราแล้ว แม้อยากช่วยก็คงไม่กล้าแสดงออก

 

บารมีในเรื่องมิตรสร้างมาน้อยเกินไป

ในช่วงขณะนั้น เรามีความรู้สึกอย่างรุนแรงว่า เรากับนักศึกษาของเราเป็นส่วนเกินของวัดนี้ ไม่มีใครต้องการเรา รู้สึกเสียใจมากว่างานบุญของเราไม่ได้รับการอนุโมทนาจากคนเหล่านี้เลย แต่ปัญญาก็เข้ามาบอกทันทีว่าเราไม่ได้สร้างบารมีในเรื่องมิตรกับคนเหล่านี้ จึงไม่มีใครอุปถัมภ์ค้ำจุน ไม่เป็นไร

คนไทยเราเชื่อว่า ใครที่มาบวชเป็นพระได้จะต้องสร้าง

บารมีมามากแล้ว จริงหรือไม่จริงก็ดูเอาเอง วันนั้น มีพระเพียงสองรูปเท่านั้น แต่มีฆราวาสราว ๑๐ คนช่วยกันดูแล เอาใจใส่ ทำอาหารมากมายถวาย เราหรือก็คิดว่ากำลังทำงานเยี่ยงพระ เพียงไม่ได้ใส่เครื่องแบบพระเท่านั้น ทำหน้าที่สอนคนให้เข้าใจพุทธศาสนา รับผิดชอบคน ๒๕ คนในวันนั้น แต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือเท่าพระท่าน เรื่องวาสนาบุญบารมีนี่แข่งกันไม่ได้เหมือนแข่งรถแข่งเรือ จึงยอมรับกับตนเองว่าบารมีสร้างมาน้อยเกินไป ไม่เป็นไร

คิดได้เพียงเท่านั้น จึงปล่อยวางทันที ไม่มีความขุ่นเคืองในคนเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ใจไม่ถูกข่วนเลย การจะไปอุ่นอาหารเองในตอนนั้นก็ทำไม่ได้ ช้าไปเสียแล้ว เพราะทุกคนเริ่มตักอาหารกันแล้ว และเราต้องคอยดูแลนักศึกษาอยู่ตลอดเวลา คอยบอกเขาว่าอาหารจานไหนเผ็ดหรือไม่เผ็ด เมื่อพวกเขานั่งลงทานอาหาร ก็ต้องสอนให้นักศึกษามีสติในการชิมรสอาหาร พอดีวันนั้นมีฆราวาสมาก จึงมีอาหารค่อนข้างมาก และฝรั่งก็ไม่ได้ทานมากนัก จึงพอเฉลี่ยให้ทุกคนได้

เพราะใจไม่ถูกข่วนและกำลังใจไม่หดหาย บ่ายวันนั้น จึงยังมีความมั่นใจในตนเองและสามารถพูดเรื่องกฏแห่งกรรมให้นักศึกษาฟังได้  ตกลงว่าอาหารที่เราเตรียมมาจากบ้านนั้น ก่อนนักศึกษาจะกลับบ้าน เราก็แบ่งใส่ถุงให้นักศึกษาเอากลับไปรับประทานที่บ้านแทน

 

ผิดหรือไม่ผิดก็ควรขอโทษก่อน

หลังจากที่นักศึกษาแยกย้ายกลับในเย็นวันนั้นแล้ว เราเหนื่อยมาก ได้เตรียมตัวนอนค้างที่วัดอีกคืนหนึ่ง ใจหวนกลับมาคิดเรื่องจะแก้ปัญหากับพระที่ไม่พอใจเราได้อย่างไร คิดว่า วัดต่าง ๆ ที่พอจะเป็นสถานที่ให้เราพาลูกศิษย์ไปศึกษานั้น มีแต่จะน้อยลงทุกวัน ฉะนั้น เพื่อนักศึกษาจะไม่เสียประโยชน์ เราจะมีข้อบาดหมางใจกับพระของวัดนี้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะเรายังต้องพึ่งพาท่านและวัดเพื่อทำประโยชน์ให้แก่นักศึกษาของเรา  ฉะนั้น แม้คิดว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด และเกิดเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว เราเป็นฆราวาส เป็นหญิงด้วย เห็นว่าต้องเป็นฝ่ายขอโทษพระท่านจึงจะถูก สิ่งใดก็ตามที่ท่านคิดว่าเราทำผิดในสายตาของท่านนั้น เราก็ยอมรับผิดโดยดีแม้จะไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ก็ตาม ก็ไม่เป็นไร จะกราบขอขมาโทษต่อท่าน ขอให้ท่านสบายใจในตัวเราก็พอแล้ว พอคิดได้ดังนั้น ก็สบายใจ และนอนหลับสนิท

เช้าวันรุ่งขึ้น เราถือโอกาสช่วงที่พระทั้งสองรูปอยู่ด้วยกันพร้อมในห้องพระ จึงเข้าไปพูดกับท่าน ขออโหสิกรรมต่อการกระทำใด ๆ ที่อาจไม่เหมาะสมหรือล่วงเกินท่านไม่ว่าในเรื่องใดก็ตาม พระท่านก็ให้อโหสิกรรมแก่เรา และท่านก็ขออโหสิต่อเราเช่นกัน ถึงตอนนั้น พระรูปที่อารมณ์เสียต่อเราก็มีอารมณ์ดีขึ้นมาก ท่านจึงบอกว่า คืนนั้น เห็นเรานั่งพับเพียบอยู่ แล้วหนังสือธรรมะของวัดที่วางกับพื้นมีรูปของท่านอาจารย์ใหญ่พิมพ์อยู่นั้นได้มาถูกที่เท้าของเรา ท่านเห็นแล้ว ไม่พอใจ ประจวบกับมีเรื่องที่คับอกคับใจเรื่องพานักศึกษาไปรำไท้เก็กในห้องพระ จึงยอมรับว่าได้ระเบิดใส่เรา พอท่านพูดอธิบายเช่นนั้น เราเข้าใจทันที เรื่องหนังสือมาถูกเท้าของเราย่อมเป็นเรื่องที่เราไม่รู้ตัว ไม่มีเจตนา ที่จริง ถ้าท่านบอกให้เราระวังเท่านั้น ก็ไม่มีปัญหา เพราะไม่เคยคิดลบหลู่ครูบาอาจารย์อยู่แล้ว แต่ก็เข้าใจพระท่านว่าทำไมท่านจึงมีปฏิกิริยาเช่นนั้นต่อเรา เมื่อท่านได้พูดระเบิดเช่นนั้นแล้ว ท่านก็คงรู้สึกดีขึ้น ปรากฏว่า ก็ไม่มีอะไรติดใจกับพระรูปนี้อีก ไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจท่านเลย 

 

คนมีภูมิธรรมสูงย่อมไม่กลัวแม้คนอื่นจะมองตนผิด

ความเสียหายของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นคงจะมาอยู่ที่ฆราวาสกลุ่มเล็ก ๆ ในห้องนั้น เพราะแต่ละคนก็มีระดับจิตที่ฝึกมาต่างกัน เมื่อไม่นานมานี้ มีคนไทยคนหนึ่งที่เคยเข้าร่วมการปฏิบัติธรรมกับนักศึกษาของเราหลายปีก่อนหน้านั้น เธอได้โทรศัพท์มาหา คุยกันแล้ว เราก็บอกว่าจะส่งใบไม้กำมือเดียวไปให้อ่าน พอดีเธอได้เอ่ยถึงเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นคนสนิทของวัดนี้ เราจึงคิดอย่างมีเมตตาว่าฝากหนังสือไปให้เพื่อนด้วยสักเล่ม เมื่อเธอได้รับหนังสือแล้ว ก็โทรมาขอบคุณ และบอกว่าเพื่อนของเธอปฏิเสธที่จะรับหนังสือของเรา เราก็ไม่ถามว่าทำไม แต่มีความรู้สึกอย่างรุนแรงว่า มันต้องมีส่วนเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่วัดในคืนนั้นแน่นอน เธออาจจะเป็นฆราวาสคนหนึ่งที่อยู่ห้องพระในคืนนั้น แม้จะมีเพียงคนไม่กี่คนที่รู้เห็นเหตุการณ์ แต่ถ้ามีการพูดกันปากต่อปากแล้ว ภาพพจน์เราต้องเสียแน่ บวกกับประวัติของเราที่เคยมีเรื่องกับพระฝรั่งด้วยแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าคนจะพูดลับหลังเราอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่เราไม่สนใจจะรู้ เพราะไม่ได้คิดว่าเป็นปัญหาของเรา ใจที่ฝึกมาดีแล้วจะหลุดร่อนและไม่เกาะเกี่ยวกับผัสสะหรือเสียงที่รับฟังมา แต่ใจที่ยังไม่ได้ฝึกมาดีนั้น การติฉินนินทาย่อมมีรสชาดอร่อย ซึ่งเป็นปัญหาของคนอื่นที่ต้องจัดการกับใจตนเอง  

แต่ที่นำมาพูดเพราะเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เราต้องเอาธรรมมายุติปัญหา ผิดหรือไม่ผิดนั้น คนที่มีภูมิธรรมคือคนที่มีตัวตนเล็ก ย่อมไม่กลัวว่าคนอื่นจะมองตนเองผิดอย่างไร แม้ไม่ผิด ก็ยังยอมขอโทษอย่างง่ายดายเพื่อยุติปัญหา เป็นการแสดงออกถึงความกล้าหาญทางจริยธรรม

 

ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวมากขึ้น

เหตุการณ์นี้ยังได้ทำให้เรารู้ตัวว่า เราอาจจะสร้างบารมีทางปัญญามาก็จริง แต่บารมีในเรื่องมิตรสหายและบริวารนั้นคงไม่ได้ทำมามากนัก จึงขาดคนช่วยเหลือ ต้องพึ่งแรงงานตนเองเสมอ

นี่เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สถานะของตนเองในหมู่คนไทยด้วย แม้จิตมักโน้มไปสู่ความเมตตาและต้องการช่วยเหลือให้คนไทยเข้าใจในสิ่งที่เรารู้เราเห็นมากเพียงใดก็ตาม อุปสรรคยังมีอยู่มาก เพราะอิทธิพลของวัฒนธรรมไทย ทำให้คนไทยเราย่อมเคยชินที่จะเรียนรู้ธรรมจากพระมากกว่าจากฆราวาส จึงทำให้รู้ตัวว่าเราต้องใช้ชีวิตอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวมากขึ้น ไม่ควรทำตัวให้เด่น ถ้าคนเข้าใจเราผิดพลาด ย่อมเป็นบาปต่อเขา จึงถือโอกาสนี้ให้อโหสิกรรมแก่ฆราวาสหญิงที่อยู่ในเหตุการณ์ของคืนนั้น และหวังว่าวันหนึ่งพวกเขาคงสามารถเข้าใจเราได้ถูกต้องและอนุโมทนากับเราด้วย เราคงได้สร้างบารมีมากับฝรั่งที่มาเป็นนักศึกษาของเรามากกว่า จึงมีโอกาสได้มาถ่ายทอดวิชาความรู้ให้พวกเขาเช่นนี้

ประมาณ ๖ เดือนหลังจากนั้น เราได้พานักศึกษาไปปฏิบัติธรรมที่วัดอีกวัดหนึ่งเป็นเวลาสองวันสองคืน งานทั้งหมดตั้งแต่ซื้อของมาเตรียมอาหารจนกระทั่งการสอนต้องผ่านมือเราทั้งสิ้น หาคนช่วยไม่ได้ พอดีเป็นช่วงที่ฟื้นตัวจากการเป็นงูสวัดในหูซึ่งทำให้ไม่สบายมากประมาณสามอาทิตย์ก่อนหน้านั้น กว่าหมอจะรู้ว่าเป็นโรคนี้ เชื้อไวรัสก็ได้กินเส้นประสาทจนทำให้หน้าด้านขวาเป็นอัมพาตอย่างชั่วคราวอยู่เกือบเดือน จึงต้องทำงานนี้อย่างอดทนมากเพราะสุขภาพไม่อำนวย แต่ไม่กล้าบ่นกับสามี เพราะหากเขาพูดอะไรออกมาผิด ๆ แล้ว จะเป็นบาปต่อเขา ช่วงที่สอนนักศึกษาอยู่นั้น ปากก็ยังเบี้ยวอยู่ และร่างกายอ่อนเพลียมาก แต่ก็สามารถทำงานนั้นได้ตลอดรอดฝั่ง    

 

อยากสอนพุทธศาสนาอย่างตรงไปตรงมา

วัดหลังสุดที่พานักศึกษาไปนี้มีพระไทยเป็นเจ้าอาวาส  มีกิจกรรมมากมายในวัดของท่าน เช่นการสอนวิชาพุทธศาสนาให้ฝรั่งที่สนใจ  ท่านมีความกระตือรือร้นในงานของท่านมาก เรื่องการสอนวิชาพุทธศาสนาให้แก่ฝรั่งนั้น เป็นเรื่องที่เราสนใจและอยากทำมานานแล้ว เพราะการสอนไท้เก็กของเรานั้น คนที่มาเรียนจะว่าทั้งหมดก็ได้ไม่ได้สนใจพุทธศาสนาเลย มาเรียนไท้เก็ก เพราะอยากออกกำลังกาย ผ่อนคลายความเคร่งเครียดของสมองเท่านั้น จึงต้องหาอุบายมากมาย หักมุมและลากเอาไท้เก็กเข้าสู่เรื่องวิปัสสนาอย่างดื้อ ๆ ซึ่งมักทำให้นักศึกษาหดหายไปก็มาก เพราะสิ่งที่เราหยิบยื่นให้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เขาสนใจ ทำให้เสียกำลังใจไม่น้อยในอดีต หลายครั้งที่ไม่อยากสอนอีกต่อไป จึงคิดเสมอว่า หากมีโอกาสสอนคนที่อยากรู้พุทธศาสนาจริง ๆ แล้ว น่าจะทำได้ดีกว่า ไม่ต้องมาพูดอ้อมค้อม หลบ ๆ ซ่อน ๆ เหมือนอย่างที่กำลังทำอยู่ สามารถประกาศความยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าให้ฝรั่งรู้อย่างเต็มภาคภูมิ การสอนคนที่อยากเรียนนั้นย่อมทำให้ผู้สอนได้กำลังใจด้วย และผู้รับก็สามารถรับได้เต็มที่

แต่ปัญหาของเราคือ พระท่านไม่รู้ว่าเราสอนศาสนาพุทธอยู่ ไท้เก็กเป็นเพียงเรื่องบังหน้าเท่านั้น คนที่จะรู้ได้คือคนที่มาเรียนกับเราเท่านั้น ออกจากชั้นเรียนของเราแล้ว เราไม่เคยแสดงตัวว่ารู้อะไรมากเลย

 

ไม่ได้…ต้องสอนศาสนาพุทธตามหลักสูตร

ถึงแม้เราได้พานักศึกษามาปฏิบัติธรรมที่วัดนี้อยู่สามครั้ง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าอาวาสท่านเข้าใจเราดีแค่ไหน เมื่อท่านพูดเรื่องการเปิดคอรส์ศาสนาพุทธที่วัดให้ฝรั่งนั้น ท่านก็ไม่เคยขอให้เราไปสอนตรง ๆ แต่ใจเราสัมผัสได้ว่า ท่านอยากขอ แต่อาจจะไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไร ซึ่งเราอาจจะคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปก็ได้ เพียงการสัมผัสของใจเท่านั้น อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งประมาณเดือนเศษ หลังจากที่ได้พานักศึกษาไปปฏิบัติธรรมที่วัดนี้ ได้แวะไปวัดกับสามี พระท่านก็พูดเรื่องคอรส์ศาสนาพุทธนี้อีก ใจเราก็สัมผัสอะไรบางอย่างได้อีก จึงคิดว่า เพื่อช่วยให้พระท่านไม่ต้องลำบากใจ เราจะเสนอตนเองก็แล้วกัน จึงพูดเปรย ๆ ว่า หากท่านต้องการให้ช่วยสอนคอรส์พุทธศาสนา ก็ยินดีช่วย แต่ต้องสอนตามวิธีการของเรา วิธีการของเราคือ ต้องมีภาคปฏิบัติควบคู่ไปกับภาคทฤษฎีอย่างที่เราสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย เมื่อท่านฟังแล้ว ท่านบอกว่า

“โอ้…ไม่ได้ ไม่ได้ ถ้าโยมจะสอน โยมก็ต้องสอนตามหลักสูตรที่ได้วางไว้ เพราะเมื่อนักศึกษาเรียนตามหลักสูตรจบแล้ว จะต้องมีการสอบเพื่อรับประกาศนียบัตร”     

ฟังท่านพูดเพียงเท่านั้น เราหยุดพูดทันที รู้สึกว่าไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไป ไม่ใช่เพราะรู้สึกเสียหน้าที่เสนอตัวเองแล้วถูกปฏิเสธ   ที่หยุดพูดเพราะเห็นว่าภูมิธรรมของพระท่านกับของเราต่างกันมากจนเกินไป หากท่านยังเห็นความสำคัญของการสอนพระพุทธศาสนาตามหลักสูตรเพื่อฝรั่งจะได้รับใบประกาศนีบัติไปติดข้างฝาอวดชาวบ้านแล้วละก็ แสดงว่าท่านก็ยังรู้จักศาสนาพุทธน้อยอยู่ หากภูมิธรรมของท่านมีเพียงเท่านี้ ท่านจะมารู้จักและยอมรับเราจริง ๆ ได้อย่างไร

 

ไม่มีความกระตือรือร้นอีกแล้ว

เมื่อมีเวลามาพิจารณาคำพูดของพระท่านอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าควรมีปฏิกิริยาอย่างไร อยากหัวเราะและคิดว่าท่านคงพูดล้อเล่นกับเรา พระระดับเปรียญธรรมอย่างท่านจะไม่รู้เชียวหรือว่า ใครจะรู้จักศาสนาพุทธหรือไม่นั้นไม่ได้อยู่ที่ใบประกาศนียบัตร แต่พอมาคิดอีกทีแล้ว การที่ท่านพูดเช่นนั้น ท่านต้องคิดว่ากระดาษใบหนึ่งย่อมมีความสำคัญกว่าการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงธรรมและไม่เอาอะไรสักอย่างเลย หรือท่านมีเหตุผลอื่นที่เราไม่รู้ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอะไรก็ตาม  ก็อดสงสารคนมืดบอดของยุคสมัยนี้ไม่ได้ มักคิดว่า คนที่นุ่งห่มผ้าเหลืองต้องรู้มากกว่าตน ต้องรับฟัง แต่อีกใจหนึ่งก็ต้องยอมรับว่า นี่คือยุคที่ค่อนกึ่งพุทธกาลมาแล้ว   จะไปโทษพระท่านก็ไม่ได้ ท่านรู้เท่านี้ ท่านก็ต้องสอนเท่านี้ จะไปสอนมากกว่าที่รู้ก็ไม่ได้ จึงพยายามมองเหตุการณ์นี้อย่างเข้าใจ 

มาบัดนี้ เราต้องยอมรับว่าความกระตือรือร้นที่จะพานักศึกษาไปวัดได้หมดไปเสียแล้วหลังจากที่ทำติดต่อมาถึง ๑๓ ปี ไม่มีความรู้สึกอยากทำอีกต่อไป เหตุผลแรกคือ รู้สึกว่าไม่มีวัดจะให้ไปอีกแล้ว หมายถึงวัดที่เราสามารถไปทำงานของเราได้อย่างสบายใจจริง ๆ โดยไม่ต้องห่วงกังวลว่าจะมีคนไม่พอใจการกระทำของเรา อีกเหตุผลหนึ่งคือ ขาดแขนขาที่จะช่วยงานได้ อายุมากขึ้น กำลังกายก็ถดถอย เคยทำอาหารเลี้ยงลูกศิษย์ ๒๐ คนบ้าง ๓๐ คนบ้าง ทำคนเดียว เดี๋ยวนี้ แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว จึงคิดว่า ทำที่มหาวิทยาลัยเท่านี้ก็พอแล้ว และจะพยายามช่วยคนเหล่านี้ด้วยการทิ้งงานเขียนไว้ให้มากที่สุด  

 

ความยากของการสอนคนที่ไม่ได้สนใจศาสนาพุทธ

            นอกจากการสอนไท้เก็กที่มหาวิทยาลัยแล้ว เราได้รับการติดต่อให้ไปสอนที่โรงเรียนผู้ใหญ่อีกแห่งหนึ่ง สอนอาทิตย์ละครั้งเป็นเวลาติดต่อกันสองปี เหตุการณ์ที่จะเล่านี้เพิ่งเกิดเมื่อต้นปี ๒๕๔๔ นี่เอง หลังจากการสอนในภาคฤดูใบไม้ผลิผ่านไป ๘ อาทิตย์ ผู้มาเรียนซึ่งส่วนมากเป็นแม่บ้านและคนทำงานก็เริ่มหดหายไป อันเป็นปรากฏการณ์ที่เราเพิ่งจะชินกับมันและไม่ถือว่าเป็นความล้มเหลวส่วนตัวก็เมื่อหลังเกิดญาณแล้ว ความกลัวต่าง ๆ หายไปหมด ที่จริงเรื่องนักศึกษาหดหายไปนั้นเป็นเรื่องธรรมดามาก ไม่ว่าจะสอนอะไรก็ตาม จะเริ่มต้นด้วยคนมากมาย แล้วก็ค่อย ๆ หนีหน้ากันไปด้วยเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ เหตุผลสำคัญของเมืองอังกฤษคือเรื่องอากาศ โดยเฉพาะชั้นเรียนของผู้ใหญ่มักอยู่ช่วงหัวค่ำ ของเราเริ่มเวลาทุ่มครึ่ง ถ้าอากาศหนาวมาก หรือฝนตกด้วย คนเพิ่งทานข้าวเสร็จ นั่งหน้าเตาผิงอุ่น ๆ แล้ว แม้เราเองก็ยังไม่อยากออกจากบ้านไปเจอความหนาวเหน็บของอากาศเลย แต่ที่ต้องออกไปสอน เพราะเขาจ้างให้ไป จึงมีเหตุผลต้องไป สำหรับคนมาเรียนนั้น ตอนแรกอาจจะไปด้วยความเห่อ พอดม ๆ แล้ว ถ้าถูกใจก็เรียนต่อ แต่ก็ยังมีเหตุผลอื่นอย่างเช่นอากาศ บางครั้งก็อดขี้เกียจไม่ได้เป็นธรรมดา คนที่มาเรียนทุกครั้งนี่ต้องหมายความว่าเป็นคนที่รู้คุณค่าของสิ่งที่เรียนจริง ๆ อากาศจะเลวร้ายอย่างไร ก็ลุยไปทุกครั้ง ซึ่งแน่นอน คนอย่างนี้มีน้อย

เมื่อเข้าช่วงปลายเทอม คนเรียนจาก ๓๐ คนก็หดเหลือ ๑๐ คนเท่านั้น สำหรับเราแล้ว ๑๐ คนนี่เรียกว่ามากโขแล้ว จะเอาอะไรมากมาย แต่สำหรับสถาบันแล้ว ย่อมเป็นปัญหา เขาไม่ชอบเห็นคนหายไป จึงส่งคนมาดูเราสอน ก็เห็นเราพูดนั่นพูดนี่ ในขณะที่สอนให้คนรำไท้เก็ก คนที่ถูกส่งมาดูเราครั้งนั้นครั้งเดียวจะรู้อะไร เพราะเราได้วางพื้นฐานให้นักศึกษาตั้งแต่ชั่วโมงแรก แล้วค่อย ๆ พาเข้าสู่การทำวิปัสสนาโดยผ่านท่ารำไท้เก็ก พร้อมแจกหนังสือเรื่อง A Handful of leaves ให้ เพื่อเขาจะได้ทำความเข้าใจเรื่องโครงสร้างของชีวิตอย่างถูกต้อง และรู้ว่า การมารำไท้เก็กก็คือวิธีการช่วยให้เขาถึงความสุขสงบของใจ ถึงช่วงปลายเทอมนั้น เขาได้เข้าใจสิ่งที่เราพูดมาแล้วทั้งหมดเพราะการสอนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนของเรา แต่เจ้าหน้าที่ที่มาตรวจสอบเราจะเข้าใจในสิ่งที่เราพูดได้อย่างไร มาดม ๆ ดู แล้วก็เปิดหนังสือของเราอย่างผ่าน ๆ  

ห้ามแจกหนังสือใบไม้กำมือเดียว

อาทิตย์ต่อไป เราก็ถูกเรียกตัวไปคุยด้วย บอกเราว่า เขาไม่เข้าใจว่าทำไมในแบบสอบถามของนักศึกษาที่ทำเมื่อตอนครึ่งเทอมก่อนหน้านักศึกษาหายตัวไป ล้วนมีปฏิกิริยาในทางบวกต่อการสอนของเรา คือผลการสอบถามส่วนมากพอใจการสอนของเรา แต่ทำไมนักศึกษาจึงยังหายหน้าไปมาก เขาจึงแนะนำเราว่า ขอให้เราสอนแต่ท่ารำไท้เก็กอย่างเดียวโดยไม่ต้องพูดอะไรเลยได้หรือไม่ และหนังสือของเราที่แจกออกไปนั้น เขาอ่านดูคร่าว ๆ แล้วเห็นว่าเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ บอกเราว่า สถาบันการศึกษาผู้ใหญ่มีนโยบายที่จะไม่ยัดเยียดศาสนาให้ใครทั้งสิ้น ไม่ว่าศาสนาหรือลัทธิความเชื่ออะไรก็ตาม ฉะนั้น การที่เราแจกหนังสือที่มีเนื้อหาของพุทธศาสนาให้แก่นักศึกษาไท้เก็กของเรานั้นเป็นเรื่องขัดต่อนโยบายของสถาบันที่จ้างเราไปสอน ขอให้เราไปบอกนักศึกษาให้คืนหนังสือเหล่านั้นแก่เราเสีย

 

ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เรารับฟังคำพูดเหล่านั้นอย่างสงบ ไม่เถียง ไม่พูดมาก เพราะรู้ว่ากำลังพูดกับคนบ้าระดับสามัญอยู่ เรากลับไปสอนอีกเป็นอาทิตย์สุดท้ายของเทอมนั้น จึงบอกกับลูกศิษย์ว่าได้ถูกเรียกตัวไปพูดและสิ่งที่เขาแนะนำมาคือเช่นนี้ ๆ เล่าให้พวกเขาฟัง วิเคราะห์ให้ลูกศิษย์ฟังในคืนนั้นว่า เขาต้องการผู้ชำนาญมาสอนไท้เก็กให้สถาบันเขา จึงไปจ้างเรามาสอน มาบัดนี้ เขากำลังบอกผู้ชำนาญว่าควรจะสอนไท้เก็กอย่างไร เราถามเขาว่า เราควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี บอกพวกเขาเลยว่า เราไม่เสียเวลาเถียงคนโง่ที่อวดฉลาดเช่นนั้น  บอกเขาอีกว่า ในชั้นเรียนของเราที่มีเราเป็นครูสอนนั้น แม้จะเป็นห้องเล็กมากเพียงใด และแม้จะมีนักศึกษาเพียงคนเดียวก็ตาม มันคืออาณาจักรน้อย ๆ ของเราที่เรามีสิทธิ์ถ่ายทอดความรู้ที่เราเห็นว่าถูกต้องแก่ผู้ที่ต้องการเรียนรู้ จะไม่ยอมให้ใครมาก้าวก่ายการสอนและวิธีการสอนของเราอย่างเด็ดขาด จะมาบอกว่าเราต้องสอนอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ หากเราไม่มีอิสระในการสอน การพูด ก็ไม่ต้องสอนเลย ถ้าเขามาบอกว่าเราควรสอนอย่างไร แสดงว่าเขาต้องรู้มากกว่าเรา  ก็ทำไมไม่สอนเองเสียล่ะ ไปจ้างเรามาสอนทำไม และบอกกับพวกเขาว่า เราจะไม่กลับมาสอนสถาบันนี้อีกแล้ว

และแล้ว เราก็ร่างจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมาให้กับหัวหน้าที่เอาเราไปคุยด้วย เนื้อหาคือสิ่งที่เราพูดกับนักศึกษาในชั้น พูดตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม เหมือนเป็นใบลาออกจากงานด้วย แต่เมื่อคิดอีกทีแล้ว ก็รู้สึกเห็นใจคนอ่านว่ามันจะเจ็บเกินไป คิดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับแม่และน้องสาว ฝรั่งที่เป็นคนบ้าระดับสามัญอย่างนี้จะไปรู้อะไรมาก ใจมักจะเปราะบางเหมือนไข่ในหิน ถ้าเขาอ่านแล้วไม่พอใจเราก็อาจจะเกิดการฟ้องร้องก็ได้ว่าไปหมิ่นประมาทเขา เรื่องอาจจะลามปามซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการ เขาก็ทำไปตามหน้าที่เขาเท่านั้นเอง และเป็นปัญหาที่เราเห็นว่าเล็กมากในส่วนของเรา เพราะเราไม่ได้คิดว่าจะใช้การสอนเป็นวิธีการทำมาหากิน จึงไม่กลัวว่าจะต้องขาดรายได้ คนที่เสียโอกาสคือ นักศึกษาไม่กี่คนในชั้นที่เราเห็นว่ามีบารมีไม่น้อย การไปสอนของเราได้ช่วยให้เขาเข้าใจชีวิตดีขึ้น แต่งานที่เขาต้องทำให้ตนเองยังมีอีกมากมายนัก ถ้าเราสอนอยู่ คนไม่กี่คนเหล่านี้ก็ยังมีโอกาสพัฒนาต่อไปอีก แต่ถ้าเราไม่ไป มันก็แล้วแต่บุญแต่กรรมเขา อย่างน้อยเราก็ทิ้งหนังสือของเราไว้ให้เขาแล้ว คิดว่าได้ทำดีที่สุดในส่วนของเราแล้ว ในที่สุด เราก็ไม่ได้ส่งจดหมายฉบับนั้น

รัฐบาลเน้นเรื่องการไม่ยัดเยียดศาสนา

มหาวิทยาลัยเบอร์มิ่งแฮมอันเป็นสถาบันที่เราสอนมา ๑๓ ปีนั้น หัวหน้าของเราไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายงานของเรา และไม่รู้อย่างแท้จริงว่าเราสอนอย่างไร ตราบใดที่มีนักศึกษามาเรียนและคุ้มค่ากับการจ่ายค่าชั่วโมงของเขาแล้ว เขาก็พอใจ แต่ก็มี เหตุการณ์หนึ่งที่เกือบจะเป็นปัญหา มันเนื่องกับหนังสือใบไม้กำมือเดียวอีกเช่นกัน

สังคมอังกฤษในยุคนี้เป็นสังคมที่รัฐบาลต้องการให้คนเห็นว่าทุกคนควรมีอิสระในการนับถือศาสนาหรือลัทธิต่าง ๆ ตามที่ต้องการ แต่ต้องไม่มีการยัดเยียดให้แก่กัน ฉะนั้น ในสถาบันของรัฐแล้ว จะมีนโยบายห้ามการยัดเยียดศาสนาไม่ว่าจะโดยวิธีการใด ๆ การแจกหนังสือใบไม้กำมือเดียวของเราจึงกลายเป็นปัญหาของนักบริหารที่ไม่รู้ว่าเรากำลังสอนอะไรอย่างแท้จริง

 

เป็นหนังสือที่ต้องแจก

นักศึกษาของเราจะเข้าใจดีว่าเราไม่ได้ยัดเยียดอะไรให้แก่เขาเลย จะอธิบายอย่างชัดเจนว่า เราไม่มีเวลาอธิบายเรื่องโครงสร้างชีวิตอย่างละเอียด เพราะเป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า สำหรับชาวพุทธแล้ว เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต ไม่ใช่มาใช้เวลาเพียง ๙ ชั่วโมงในชั้นเท่านั้น ฉะนั้น เราจึงตัดสินใจพิมพ์หนังสือเล่มนี้แจกให้ทุกคนเพื่อให้เขาไปทำความเข้าใจเรื่องการเดินทางของชีวิตเอง เพื่อว่าเวลาที่เหลืออยู่ในชั้นจะได้เน้นแต่เรื่องการปฏิบัติล้วน ๆ หรือเรื่องการเดินทางเพื่อให้ถึงเป้าหมายชีวิต อันเป็นก้าวแรกของการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ทางจิตวิญญาณของชีวิตทุกคน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก และเวลาของพวกเขาก็มีน้อยมาก เราไม่มีเวลาพูดครอบคลุมทุกอย่าง ขอให้ไปอ่านหนังสือของเราเอง  พูดเพียงเท่านี้ นักศึกษาทุกคนก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ เราบอกอีกด้วยว่า ถ้าใครอ่านแล้วไม่ชอบ ไม่สนใจ ก็ขอคืน

เราเห็นว่าใบไม้กำมือเดียวเป็นหนังสือที่พูดครอบคลุมโครงสร้างของชีวิตอย่างชัดเจน จึงเห็นว่าเล่มนี้ต้องแจก จะให้นักศึกษาซื้อไม่ได้ เพราะถ้าให้ซื้อแล้ว ไม่ใช่ทุกคนจะยอมซื้อไม่ว่าจะขายถูกอย่างไรก็ตาม  จึงเห็นว่า ต้องควักทุนตนเองพิมพ์ให้ได้ อย่างน้อย มีหนังสืออยู่ใกล้มือ วันดีคืนดี ปัญหาเกิดกับตนเองนึกถึงสิ่งที่เราพูดไว้ อาจจะอยากอ่านขึ้นมาก็ได้ หนึ่งพันเล่มแรกนั้นแจกหมดไปในระยะเวลาสั้น เพราะแจกตามวัดและยังส่งตามให้ลูกศิษย์ที่จากไปแล้ว พอมาถึงการพิมพ์อีกหนึ่งพันเล่มนั้น เงินทุนไม่ค่อยมี จึงคิดว่าจะไปขอกระดาษจากศูนย์กีฬาของมหาวิทยาลัยอันเป็นหน่วยงานที่คุมเราอยู่

 

ถ้าเขาไม่ก้าวก่าย ก็ไม่มีปัญหา

เมื่อเอาหนังสือไปให้หัวหน้าดู เพื่อให้เขาอนุมัติกระดาษพิพม์แก่เรา ก็ถูกเรียกตัวไปคุย ถามเราว่า การแจกหนังสือที่หนักทางศาสนาเช่นนี้จะเหมาะหรือ เราเริ่มสัมผัสถึงความไม่แน่ใจของหัวหน้าต่อสิ่งที่เราทำทันที  เนื่องจากเราทำงานที่นี่มาหลายปีแล้ว และมีปฏิกิริยา feedback จากนักศึกษาในแง่บวกทุกครั้งที่เขาทำแบบสอบถาม หัวหน้าจึงไม่กล้าพูดอะไรที่คิดว่าจะก้าวก่ายการสอนของเรามากเกินไป เพียงแต่ถามว่าจะเหมาะสมหรือไม่สำหรับนักศึกษาชั้นเริ่มต้น หากแจกให้กับชั้นก้าวหน้า เขาก็ไม่มีปัญหา นี่ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เราไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เพราะไม่เห็นว่าจะเกิดประโยชน์อะไร พูดไปเขาก็ไม่เข้าใจ การสอนและการแจกหนังสือของเรานั้นเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างเรากับลูกศิษย์ คนอื่นไม่เกี่ยวเลย

ปรากฏว่า การขอความช่วยเหลือเรื่องกระดาษได้กลับกลายเป็นเรื่องเนื้อหาของหนังสือไปเสีย อย่างไรก็ตาม เขาช่วยไม่ได้อยู่ดี เพราะจำนวนหน้ามากเกินไป เราจึงต้องก้มหน้าควักกระเป๋าตัวเองอีก พิมพ์ออกมาอีกพันเล่ม เพื่อแจกนักศึกษาโดยไม่ได้หวั่นเกรงต่อการท้วงติงของหัวหน้าเลย คิดว่า ตราบใดที่หัวหน้าไม่ได้เข้ามาก้าวก่ายการสอนของเราแล้วไซร้ ก็ไม่เป็นปัญหา จะตั้งหน้าตั้งตาทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องต่อตนเองและนักศึกษาต่อไป 

 

รู้สึกโดดเดี่ยวมาก

เหตุการณ์ทั้งสองนี้ หากเกิดขึ้นก่อนหน้าการเกิดญาณของเราแล้ว คงต้องทำให้ใจของเราสับสน ระส่ำระสายและเสียกำลังใจไม่น้อยเหมือนกัน หากมีใครมาทักท้วงและวิจารณ์การสอนของเราเช่นนั้น คงต้องเกิดความลังเล สงสัย ขาดความมั่นใจในตนเองดังที่เคยเกิดนับครั้งไม่ถ้วนในอดีตเมื่อเห็นนักศึกษาหายหน้าหายตาไป และต้องถามว่า ตนเองไม่ดีพอจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นสภาวะที่ตัวตนถูกข่วน ย่อมเจ็บปวดเป็นธรรมดา ตัวตน หรือ อัสมิมานะ นี่เป็นกิเลสตัวสุดท้ายที่กำจัดได้ยากมาก มักซ่อนเร้นตัวเองได้เก่ง พอได้จังหวะก็จะเล็ดรอดออกมากัดเจ้าของใจเสมอ แต่เพราะญาณได้เกิดแล้ว และรู้ทันเจ้ากิเลสตัวสุดท้ายนี้ได้ทันท่วงทีเสมอ จึงมีความมั่นใจมากว่าสิ่งที่เราถ่ายทอดให้นักศึกษานั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว แม้จะรู้เห็นอยู่คนเดียวก็ตาม ก็ต้องมั่นใจในความรู้นั้น 

ตรงนี้เป็นสภาวะที่โดดเดี่ยวอย่างมหันต์ของผู้รู้ทั้งหลายที่ต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้ออกจากสังสารวัฏ ไม่สามารถเข้าหาปรึกษาใครได้อย่างแท้จริง เหมือนคนตาสว่างหนึ่งคนที่อยู่ท่ามกลางคนตาบอดนับล้าน ๆ คน หรือ คนมีจิตปกติหนึ่งคนที่อยู่ท่ามกลางคนบ้าระดับสามัญนับล้าน ๆ นั้น จะไปหาคนมาคุยกันรู้เรื่องได้อย่างไร จะให้ใครมารับประกันได้ว่า สิ่งที่ทำเป็นความถูกต้อง ก็เหลือแต่สัจธรรมอันสูงสุดที่เราอิงอยู่เท่านั้นที่จะให้คำปรึกษาแก่เราได้อย่างแท้จริง

 

จึงตระหนักว่า ไม่จำเป็นต้องไปต่อล้อต่อเถียงกับหัวหน้าซึ่งเป็นคนบ้าระดับสามัญทั้งสองให้มากเรื่อง เสียเวลาโดยใช่เหตุ กลับมีความมั่นใจว่า เมื่อตัดสินใจที่จะเป็นผู้นำคนออกจากสังสารวัฏแล้ว ก็ต้องนำจริง ๆ ลุกขึ้นแล้วเดินนำไปเลย สิ่งใดที่คิดว่าถูกต้องก็ต้องทำไปเลย แม้จะทำคนเดียวก็ต้องทำ จะทำเหยาะแหยะไม่ได้เป็นอันขาด แน่นอน หากได้รับการช่วยเหลือจากคนอื่นโดยเฉพาะในเรื่องการพิมพ์หนังสือแจกคนแล้ว คนหมู่มากย่อมได้รับประโยชน์

 

เขียนจดหมายให้บาทหลวงชาวเคปทาวน์

เราเคยเขียนจดหมายให้แก่บาทหลวงชาวเคปทาวน์ อาฟริกาใต้ชื่อ เดสมอน ตูตู คิดว่าท่านได้เห็นความทุกข์ทรมานของเพื่อนมนุษย์มาไม่น้อยทีเดียว พร้อมทั้งเป็นบาทหลวงชาวคริสต์ด้วย จึงอยากขอร้องให้ท่านช่วยเขียนคำนำให้กับใบไม้กำมือเดียว ด้วยความหวังว่า ชื่อเสียงของท่านอาจช่วยให้ชาวคริสต์เริ่มมองเรื่องพระเจ้าในแนวทางที่เราได้เขียนไว้ในหนังสือเล่มนั้น เป็นการพยายามประสานศาสนาหลัก ๆ ของโลกมารวมที่จุดที่สามารถพูดคุยกันได้ต่อไป

ในจดหมายฉบับนั้น เราได้อ้างคำพูดของนางเอกในหนังเรื่องไททานิค ตอนที่นางเอกพยายามจะหาพระเอกที่ถูกนำตัวไปขังไว้ที่ห้อง ๆ หนึ่งใต้ท้องเรือ พอดีมาเจอวิศวกรที่สร้างเรือรำนี้ จึงขอความช่วยเหลือจากเขาโดยพูดอย่างหนักแน่นว่า

“I will find him with or without your help but with your help, I can do better.” ดิฉันต้องหาเขาจนพบไม่ว่าคุณจะช่วยหรือไม่ช่วยดิฉันก็ตาม แต่ถ้าคุณช่วยแล้ว ดิฉันต้องทำได้ดีกว่าแน่นอน

ฟังประโยคนั้นแล้ว ชอบมาก จึงนำมาใช้กับเหตุการณ์การช่วยเหลือคนออกจากสังสารวัฏของเราเอง โดยพูดกับบาทหลวงชาวเคปทาวน์ในตอนหนึ่งของจดหมายว่า

“…..ไม่ว่าท่านจะช่วยเหลือเราหรือไม่ก็ตาม เราก็ต้องทำงานนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าหากท่านช่วยได้ละก็ เราจะสามารถทำงานนี้ได้ดียิ่งขึ้นแน่นอน….”

ปรากฏว่า อีกไม่นาน จำไม่ได้ว่าท่านเขียนเองหรือให้เลขาส่วนตัวของท่านเขียนตอบมาอย่างมีเมตตาในตัวเรา บอกว่า จดหมายของเราได้แสดงออกถึงความมีเจตนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ แต่ต้องขออภัยเป็นอย่างมากว่า ท่านก็ชราแล้ว และงานของท่านก็ล้นมือมาก ไม่มีเวลาจะอ่านหนังสือของเราเพื่อเขียนคำนำให้ แต่ก็ขอให้กำลังใจและอวยพรให้เราโชคดีกับงานของเรา 

 

ถ้าได้รับการช่วยเหลือ ย่อมทำได้ดีกว่า

  จึงเห็นว่า หากพระท่านเข้าใจงานของเราอย่างถูกต้องจริง ๆ รู้ว่าเรากำลังทำอะไรจริง ๆ และให้การสนับสนุนเรา อย่างเช่นมีโอกาสสอนคนที่อยากเรียนศาสนาพุทธจริง ๆ หรือช่วยเรื่องการพิมพ์หนังสือ เป็นต้น ก็จะสามารถช่วยคนหมู่มากได้เร็วขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราคิดว่า แม้พระท่านก็ยังลังเลสงสัยในตัวเรามาก  จึงต้องทำอยู่คนเดียวเช่นนี้เสมอ ก็ไม่เป็นไร การทำงานคนเดียวไม่ใช่เป็นปัญหาใหญ่ของเราแล้ว ทำจนชินแล้ว เราไม่มีปัญหาแล้ว ที่พูดนี้เพราะเล็งถึงประโยชน์ของคนหมู่มากเท่านั้น

ตอนนี้ เห็นได้ชัดมากว่า วิธีการสอนของเราสามารถกวาดต้อนคนที่มีบารมีอย่างแท้จริงให้เข้าสู่กระแสพระนิพพานได้ นี่คือความมั่นใจของเรา ถ้าได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนจากคนที่เข้าใจงานของเราแล้ว คนหมู่มากย่อมได้รับประโยชน์อย่างแน่นอน ไม่ใช่เพื่อต้องการสร้างชื่อเสียงให้ตนเองแต่อย่างใด    



[1] เราได้สอนการปฏิบัติในสภาวะคับขันให้แก่นักศึกษา  โดยสร้างสถานการณ์ที่เขาไม่รู้ตัว เช่น โยนไม้ขนาดเท่าก้อนอิฐลงบนพื้นอย่างแรงในขณะที่พวกเขาหลับตาอยู่ เสียงดังมากทำให้พวกเขาสะดุ้ง ตกใจ และสอนให้เขานำใจกลับสู่ฐานทันที ใครที่ทำได้ ใจจะหลุดจากจิตได้เร็วมาก ทำให้สามารถควบคุมใจอยู่ และสงบได้ นี่เป็นสิ่งที่นักปฏิบัติธรรมควรให้ความสนใจมาก บางคนเก่งที่จะไปนั่งทำสมาธิเป็นกลุ่มในวัด แต่พอเจอเหตุการณ์คับขันที่เกิดในชีวิตประจำวันแล้ว ทำไม่ได้ อย่างนี้ยังใช้ไม่ได้ ต้องพยายามฝึกการนำใจกลับสู่ฐานของสติอย่างชำนาญในกิจกรรมต่าง ๆ ของชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการพูดสนทนากับคน นั่นเป็นช่วงที่ต้องระวังใจให้มากที่สุด แนะนำนักศึกษาว่า หากใจเริ่มซัดส่ายเมื่อคุยกับคนแล้ว ต้องรีบเอาเล็บขูดนิ้วตนเอง หรือ เอานิ้วขูดปลายปากกา ขูดนิ้วแรง ๆ จนความรู้สึกที่นิ้วเด่นออกมา แล้วพยายามกำหนดไปที่ความรู้สึกที่นิ้ว หายใจเข้าลึก ๆ  เมื่อหายใจออกก็ทำเหมือนเป่าความซัดส่ายของใจออกไปด้วย ทำเช่นนั้นได้ คือ การนำใจกลับสู่ฐานของสติ จะทำให้ใจปรับตัวสู่ความปกติ ความมั่นใจในตนเองจะกลับมาทันที  ทำให้เกิดปัญญา สามารถหาเหตุผลที่เหนือกว่าตอบโต้คู่สนทนาได้ แม้ตอบโต้ไม่ได้ ก็ยังความสงบของใจได้อยู่ ถ้าไม่ระวังและทำเช่นนี้แล้ว เมื่อเจอเหตุการณ์คับขัน ก็จะคุมตนเองไม่อยู่ ทำให้เจ็บปวดมาก