บทที่ยี่สิบสาม

 

ทำไมจึงอวดอุตริมนุสธรรม

           

        สิ่งสุดท้ายที่แสดงออกถึงความกล้าหาญทางจริยธรรมอย่างยิ่งยวดคือการเขียนหนังสือเล่มนี้ ตอนเริ่มเขียนหนังสือเล่มนี้ในปลายเดือนมิถุนายน ๒๕๔๔ นั้น รู้เพียงว่า มีสิ่งที่ต้องบันทึก ต้องเขียน แต่ไม่รู้ว่าต้องเขียนอะไรจริง ๆ รู้ด้วยว่าชื่อเรื่องของหนังสือต้องเป็นเช่นนี้ ๆ แต่ก็ยังไม่รู้ว่ามีอะไรที่ต้องอวดให้คนรู้ ความเข้าใจในจุดประสงค์ของ “สิ่งที่” ต้องการให้เขียนหนังสือเล่มนี้ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นทีละน้อย ๆ เมื่อการเขียนเริ่มก้าวหน้าและเวลาผ่านพ้นไป เพราะมีการเขียน จึงมีการสำรวจตนเองอย่างถี่ถ้วนมากขึ้น มาบัดนี้ซึ่งเป็นวันที่ ๙ กุมภาพันธุ์ ๒๕๔๕ จึงสามารถมองออกว่าในช่วง ๗ เดือนที่ผ่านมานี้ มีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงมากมายในตนเอง และเห็นอีกว่า ความมั่นใจในสิ่งที่ตนรู้เห็นในทางธรรมนั้นได้เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวในขณะที่การเขียนกำลังทำความก้าวหน้า 

            มาบัดนี้ ได้เข้าใจแล้วว่า การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้ออกจากสังสารวัฏนั้นมิใช่เป็นเรื่องง่ายและเล็กน้อยเลย แต่เมื่อได้ตัดสินใจทำและต้องการทำแล้ว ก็ควรพยายามทำให้ดีที่สุด ถึงแม้โดยนิสัยใจคอส่วนตัวจริง ๆ ไม่ใช่เป็นคนชอบโอ้อวด แต่ทำไมจู่ ๆ จึงมาอวดอุตริมนุสธรรมเช่นนี้ เพิ่งมารู้คำตอบว่า ถ้าไม่ทำ ก็ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริงไม่ได้ ถ้าพระพุทธเจ้าและสาวกที่บรรลุธรรมของท่านไม่ประกาศตนว่ารู้แล้ว ได้เห็นธรรมแล้ว ท่านเหล่านั้นจะทำให้คนมืดบอดรับฟังคำสอนของท่านได้อย่างไร

        อย่างที่ได้เปรียบเทียบไว้ในคู่มือชีวิตในเรื่องการไปภูกระดึง หากให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการไปภูกระดึงเป็นครั้งแรกเลือกไก๊ดหรือผู้นำทางสองคนแล้ว เขาจะเลือกคนที่มีแผนที่อยู่ในมือแต่ไม่เคยไปถึงภูกระดึง หรือ จะเลือกคนท้องถิ่นที่อยู่ภูกระดึงแล้ว แน่นอน คนต้องเลือกไก๊ดที่อยู่ภูกระดึงเพราะรู้ว่าเขาต้องชำนาญทางมากกว่าคนถือแผนที่ในมือแต่ยังไม่เคยไปภูกระดึงมาก่อน  แม้การไปแค่ภูกระดึง นักท่องเที่ยวยังต้องการความมั่นใจในผู้นำทางว่าจะไม่พาไปหลงทางกลางป่า การไปพระนิพพานย่อมเป็นการเดินทางที่ยากยิ่งกว่าการไปภูกระดึงมากมายอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้ คนที่ต้องการไปนิพพานจึงต้องมีความมั่นใจในผู้นำทางของตนเป็นอย่างยิ่ง การประกาศตนว่าได้ถึงฝั่งพระนิพพานแล้ว ย่อมสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ต้องการเดินตามไม่มากก็น้อย  

     อวิชชาไม่ใช่เป็นความมืดที่สามารถทำให้หายไปได้ด้วยแสงสว่างของพระอาทิตย์หรือหลอดไฟฟ้า ต่อให้มีพระอาทิตย์ร้อยดวงพันดวง ก็ไม่สามารถทำลายอวิชชาของจิตวิญญาณได้ อวิชชาเป็นความมืดที่ทุกคนล้วนนำติดตัวมาแล้วตั้งแต่เกิด จึงทำลายได้ยากยิ่ง เพราะทุกคนมีเหมือนกันหมดอย่างทั่วถึง หากจะเปรียบเทียบอวิชชาเป็นความบ้าละก็ ทุกคนล้วนเริ่มต้นด้วยการเป็นคนบ้าระดับสามัญอย่างทั่วถึงดังที่ได้พูดไว้ในคู่มือชีวิตแล้ว

 

เป็นยุคที่มีคนโง่มากกว่าคนฉลาด

ความยากที่เพิ่มขึ้นมาอีกมากมายคือ นี่เป็นยุคสมัยที่โลกมนุษย์กำลังเตรียมตัวเข้าสู่ยุคปลายพุทธกาลหรือมิคคสัญญียุค อันเป็นยุคที่คนจะฆ่ากันตายเหมือนผักปลาด้วยความเข้าใจผิดว่าต่างคนต่างก็เป็นสัตว์ ยุคสมัยเช่นนี้ ผู้รู้ทั้งหลายที่ต้องการช่วยเหลือคนให้ออกจากสังสารวัฏ หากไม่ท้อใจไปเลย ก็ต้องทำงานหนักมาก เพราะพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่คนมากมายสามารถฟังได้เข้าใจในครั้งพุทธกาล จนมีพุทธสาวกจำนวนไม่น้อยที่สามารถสำเร็จเป็นพระโสดาบันได้ทันทีหลังจากฟังคำสอนเป็นครั้งแรกนั้น มาถึงบัดนี้ ก็ยังเป็นคำสอนเดียวกันนั่นเอง แต่คนฟังได้เข้าใจจริง ๆ นั้นมีน้อยมาก เพราะเป็นยุคสมัยที่สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ไม่ได้เกื้อกูลให้คนเข้าใจธรรมเลย กลับเป็นตัวฉุดรั้งและกีดขวางต่อการเข้าถึงธรรม ดังคำพังเพยว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว และ เห็นดอกบัวเป็นกงจักร ทุกอย่างกลับหัวกลับหางไปหมด สังคมทั่วไปจึงเต็มไปด้วยคนโง่มากกว่าคนฉลาด

 

คนตาบอดจะไม่รู้ว่าคนไหนมีตาดี

    ฉะนั้น ความมั่นใจในตัวผู้นำว่าท่านผู้นั้นรู้จริงย่อมเป็นปัจจัยแรกของการช่วยเหลือคนให้ออกจากสังสารวัฏ แต่ปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งยวดนี้ คนที่ยังถูกอวิชชาครอบงำอยู่จะรู้เองไม่ได้ เหมือนคนตาบอดจะไม่มีวันรู้ว่าคนไหนมีตาดี ถ้าคนตาดีไม่บอกแล้ว คนตาบอดจะไม่มีวันรู้เลย ถ้าผู้รู้มัวแต่พูดอย่างอ้อมค้อม เปิดเผยตนเองอย่างผลุบ ๆ โผล่ ๆ เหมือนที่เราได้ทำไปแล้วในหนังสือใบไม้กำมือเดียวและคู่มือชีวิต คนที่อ่านแล้วสามารถรู้ภูมิปัญญาของผู้เขียนอย่างแท้จริงนั้นย่อมมีน้อย และย่อมเป็นคนที่มีภูมิปัญญาสูงมากพออยู่ในตนแล้ว จึงจะรู้ แต่คนส่วนมากจะไม่รู้ทั้ง ๆ ที่อ่านหนังสือเล่มเดียวกัน นี่คือพิษสงของอวิชชา 

เพื่อนสนิทคนหนึ่งอ่านใบไม้กำมือเดียวแล้วเขียนไปถามตรง ๆ ไม่อ้อมค้อมว่า “นี่เธอบรรลุธรรมแล้วใช่ไม๊?” ในขณะที่เพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งถามว่า  “นี่เธอเขียนอะไรน่ะ อ่านไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ทั้ง ๆ ที่เพื่อนสนิททั้งสองคนก็อ่านหนังสือเล่มเดียวกัน เหตุผลที่คนส่วนมากอ่านไม่รู้เรื่อง เพราะในยุคนี้มีคนโง่มากกว่าคนฉลาด

คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเปรียบเหมือนเพชรน้ำหนึ่งที่เราเอามาเจรนัยให้เข้ากับแฟชั่นความนิยมของคนยุคนี้ โดยพูดเรื่องเก่า แต่ใช้ภาษาของคนร่วมสมัยเพื่อให้คนเข้าใจได้ง่ายขึ้น คนโง่นั้น แม้จะถือเพชรน้ำหนึ่งอยู่ในมือแล้ว ก็ไม่สามารถรู้คุณค่าของเพชรเม็ดนั้นได้ เพราะทั้งโง่และทั้งตาบอด นี่จึงเป็นยุคที่คนเห็นกงจักรเป็นดอกบัวและเห็นดอกบัวเป็นกงจักรอย่างแน่แท้

ฉะนั้น จะให้คนโง่เหล่านี้มานั่งเดาว่าคนนั้นคนนี้รู้จริงหรือไม่นั้น ย่อมทำเองไม่ได้ เหมือนคนตาบอดย่อมไม่รู้ว่าคนไหนมีตาดี คนตาบอดและโง่เหล่านี้ที่อยู่ในคราบของปัญญาชนผู้เฉลียวฉลาดต่อความรู้ทางโลกก็มีมากมายเหลือคณานับ นี่คือความขลังของอวิชชาที่สามารถหลอกคนโง่ดักดานให้คิดว่าตนเองฉลาดอย่างเหลือล้นได้โดยไม่เฉลียวใจเลย  ฉะนั้น ถ้าคนรู้ไม่บอก หรือคนตาดีไม่บอกคนตาบอดแล้ว คนโง่เหล่านั้นก็จะโง่ต่อไปอีกชั่วกัปชั่วกัลป์ ไม่จบไม่สิ้น น่าสงสารมาก

พระพุทธเจ้าจะทรงทำงานหยั่งรากศาสนาของท่านไม่ได้เด็ดขาด หากท่านไม่ประกาศตนว่ารู้แล้ว ได้ตรัสรู้แล้ว ฉะนั้น การประกาศตนของผู้รู้นั้น ย่อมเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากหากต้องการช่วยเหลือคนโง่ที่มืดบอดเหล่านี้ออกจากสังสารวัฏ

 

ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต

คนโง่ที่เมื่อฟังเช่นนี้แล้ว รู้จักคิด และเริ่มถามตัวเองว่า เราอาจจะเป็นคนโง่คนหนึ่งหรือเปล่าหนอ ถ้ายอมรับว่าตัวเองโง่และยอมรับฟัง โดยพยายามอ่านหนังสือธรรมะเหล่านี้ด้วยท่าทีใหม่ new attitude ด้วยจิตใจที่อ่อนน้อม ถ่อมตน อ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็จะอ่านใหม่จนเข้าใจให้ได้ คน ๆ นั้นก็ได้เริ่มขบวนการที่จะช่วยตัวเองหายโง่ทันที คนที่ไม่ยอมรับความโง่ของตนเองนั้น เปรียบเหมือนคนเดินทางที่หลงทางอยู่ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองหลง แม้มีคนบอกก็ไม่ยอมฟัง กลับทู่ซี้เดินไปตามทางที่ผิดนั้น เมื่อไม่รู้ ก็จะเดินหลงลึกเข้าไปมากขึ้น อาจตกเหวได้ คนเหล่านี้ย่อมช่วยยาก ส่วนมากมักเป็นปัญญาชนที่หยิ่งยโสและคิดว่าตนเองฉลาดแล้ว คนพวกนี้จะหลงลึก

คนที่มีการศึกษาทางโลกน้อยจะยอมรับความโง่ของตนเองอย่างง่ายดาย คนโง่ที่ยอมรับความโง่ของตนเองและยอมรับฟังผู้รู้นั้น ก็เหมือนกับคนเดินทางที่เพิ่งตระหนักว่าตนเองหลงทาง จึงรับฟังคำแนะนำของผู้รู้ทางและตั้งต้นการเดินทางใหม่ การยอมรับเพียงเท่านี้นับเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตอย่างแท้จริง เป็นบุญของผู้นั้นอย่างมหาศาล เขาก็จะสามารถออกจากความหลงหรือความโง่ได้ และในที่สุด จะไปถึงเป้าหมายปลายทางของชีวิตได้แน่นอน คนเช่นนี้นับว่าโชคดีมาก ความโชคดีของเขาย่อมเกิดจากการประกาศตนของผู้รู้ และมั่นใจในการบอกทางของผู้รู้ 

 

คนรู้จริงอาจสอนไม่เก่งเท่าคนรู้ไม่จริง

ความสับสนของคนฟังการสอนพระพุทธศาสนาในยุคนี้เกิดขึ้นเนื่องจากมีผู้สอนที่รู้จริงกับไม่รู้จริงปะปนอยู่ คนไม่รู้จริงก็สอนธรรมะได้ตราบใดที่มีการอ่านหนังสือธรรมะหรือศึกษาพระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน เหมือนไก๊ดที่มีแผนที่บอกทางไปภูกระดึงก็สามารถพานักท่องเที่ยวที่ไม่มีแผนที่ไปภูกระดึงได้ แต่จะถึงหรือเปล่านี่อีกเรื่องหนึ่ง ถึงแม้ครูที่เดินถูกทางแห่งองค์มรรค ก็สามารถสอนได้เท่าที่ตนรู้เท่านั้น หากยังไปไม่ถึงสุดทางแห่งองค์มรรคแล้ว ก็ไม่รู้ว่าทางที่เหลืออยู่ข้างหน้าเป็นอย่างไร และเป้าหมายปลายทางมีหน้าตาอย่างไร ตราบใดที่ยังไม่ใช่เป็นคนท้องถิ่นของเมืองนิพพานแล้ว ก็เปรียบเหมือนมีปริญญาครึ่งใบ ยังเป็นผู้ชำนาญไม่ได้

 สิ่งที่ทำให้สับสนมากขึ้นคือ คนไม่รู้จริงอาจจะสอนและเทศน์ธรรมะได้เก่งกว่าคนรู้จริง โดยเฉพาะหากเป็นพระที่มีหน้าตาดี มีเสน่ห์และพูดเก่งด้วยแล้ว คนย่อมรับฟัง ซึ่งเป็นปัญหาที่ได้เกิดแล้วในสังคมไทยเรานับครั้งไม่ถ้วน ทำลายวัฒนธรรมทางศาสนาที่ปู่ย่าตาทวดได้สร้างมาให้ คนรู้จริงบางท่านอาจพูดไม่เก่ง เพราะอาจไม่มีการศึกษาทางโลกมากนัก ไม่ได้อ่านพระไตรปิฎก แต่ท่านก็สามารถสอนได้จากประสบการณ์ทางธรรมที่เกิดในใจของท่าน

เรื่องกาลามสูตรนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องปฏิบัติได้ง่าย ๆ เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก ที่จริงหลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงบอกคนว่าอย่าเชื่อโน่นเชื่อนี่ ท่านยังสรุปในส่วนท้ายว่าต้องเชื่อผู้มีปัญญา ต้องเชื่อผู้รู้ เหมือนที่ชาวพุทธต้องเชื่อว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้จริง เชื่อเรื่องอริยสัจสี่ เชื่อว่า มรรค ผล นิพพาน มีจริง พระอรหันต์มีจริง พ่อแม่มีบุญคุณ เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม บาป บุญคุณโทษ ถ้าไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ ก็หมดเรื่องพูดทันที ไม่ได้เป็นชาวพุทธอย่างแท้จริง 

           

ความยากของการไปนิพพาน

      อย่างไรก็ตาม วิธีการสอนธรรมะของคนรู้จริงกับรู้ไม่จริงจะต่างกันมาก คนรู้ไม่จริงจะพูดจากเหตุไปหาผล คือ อ่านแผนที่เพื่อเดินไปสู่จุดหมายปลายทาง โดยที่เจ้าตัวก็ยังไม่เห็นหน้าตาของจุดหมายปลายทางว่าเป็นอย่างไร ส่วนคนรู้จริงจะพูดจากผลมาหาเหตุ เพราะรู้เป้าหมายปลายทางแล้ว จึงออกมาพาคนไปให้ถึงเป้าหมายนั้น  

ปัญหาอยู่ที่ว่า พระนิพพานคือจุดหมายปลายทางที่แม้คนโง่หรือคนมืดบอดก็นั่งจุ่ม นั่งแช่ อยู่แล้ว เหมือนมาถึงภูกระดึงแล้ว แต่ไม่รู้ว่าพื้นที่ที่ตนเองกำลังยืนอยู่คือภูกระดึง  ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ยืนคร่อมอยู่แล้วแท้ ๆ ยังยืดคอ มองไปทางโน้นทางนี้เพื่อหาทางไปภูกระดึง นี่คือความยากยิ่งของการไปพระนิพพาน เพราะเป็นเมืองที่ไม่มีป้ายเขียนติดไว้ จึงรู้เองไม่ได้ ต้องอาศัยคนท้องถิ่นบอกจึงรู้ตามได้ การไปให้ถึงเมืองนิพพานจึงเป็นความยากที่คนมืดบอดทั้งหลายต้องแหวกว่ายวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏนี้อย่างชั่วกัปชั่วกัลป์ ด้วยความหวังว่า สักชาติหนึ่งในอนาคตอาจถึงได้

      เพราะความยากยิ่งนี่เอง คนถึงแล้วจึงมีจำนวนเท่าเขาโค คนไม่ถึงจึงมีจำนวนเท่าขนโค ฉะนั้น การรับฟังผู้รู้จริงหรือคนท้องถิ่นบอกทางให้ไปนิพพานย่อมได้เปรียบกว่าการรับฟังผู้ที่ยังไม่ได้เป็นคนท้องถิ่น แต่ก็สอนธรรมะได้เก่งเพราะอ่านมาก ฉะนั้น จึงมาลงที่ผู้รู้อีกว่าจะช่วยคนตาบอดให้ตัดสินใจถูกต้องได้อย่างไร  สิ่งที่ผู้รู้จะช่วยคนตาบอดตัดสินใจได้คือ ต้องใช้คำที่หนักแน่น ห้าวหาญจริง ๆ ถ้ารู้ก็ต้องพูดว่ารู้ จะพูดอ้อมค้อมไม่ได้ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของผู้รู้จริง คนรู้ไม่จริงหรือคนที่ยังไม่เกิดญาณนั้นจะพูดอย่างห้าวหาญในธรรมไม่ได้เด็ดขาด นี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งว่าทำไมจึงต้องอวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน ด้วยความหวังว่า ขนโคอีกไม่กี่เส้นอาจสามารถเลื่อนฐานะมาเป็นเขาโคได้ 

 

พิสูจน์ตนเองต่อตนเอง

            การอวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตนของผู้รู้นั้น มิใช่เป็นสิ่งที่ผู้รู้ทำเพื่ออวดตัวเอง เพื่อต้องการสร้างชื่อเสียงให้ตนเอง ไม่ใช่เช่นนั้น ความก้าวหน้าในทางธรรมที่แท้จริงคือการสามารถพิสูจน์ความสำเร็จของตัวเองกับตัวเองเท่านั้น คนอื่นไม่เกี่ยวเลย ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ให้โลกรู้ว่าเราสำเร็จแล้ว บรรลุธรรมแล้ว คนจะต้องมาก้มหัวยอมรับ เอาเกียรติยศชื่อเสียงและลาภสักการะมาประเคนให้ คนที่หมดปัญหาในตนเองแล้ว จะไปเอาสิ่งเหล่านี้มาทูนหัวให้หนักเล่นทำไม คนโง่เท่านั้นที่ชอบวิ่งหาลาภสักการะ เกียรติยศชื่อเสียงมาแบกไว้ ฉะนั้น ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ยอมรับหรือไม่ยอมรับนั้นย่อมเป็นปัญหาของคน ๆ นั้น ไม่ใช่ปัญหาของผู้บรรลุธรรมแล้ว เพราะผู้บรรลุธรรมย่อมหมดปัญหาในตัวเองแล้ว  จึงไม่มีปัญหากับผู้อื่น แม้ไม่มีคนในโลกสักคนหนึ่งที่ยอมเชื่อเรื่องการบรรลุธรรมของตนเองก็ตาม ก็ยังไม่ใช่ปัญหา มีตัวเองเท่านั้นที่ต้องทนต่อการพิสูจน์ให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา คนอื่นไม่เกี่ยวเลย

ความรู้ที่ผู้รู้หยิบยื่นให้แก่คนที่มืดบอดนั้น จึงมิใช่เป็นเรื่องที่ผู้รู้ทำเพื่อตนเอง เพื่อหวังขายหนังสือให้ได้มากและร่ำรวย ไม่ใช่ นี่เป็นความรู้เพื่อผู้อื่นทั้งสิ้น ทำไปก็ด้วยพลังแห่งความเมตตาสงสารคนมืดบอดทั้งหลาย ใครมีปัญญาอยากได้ก็รีบกอบโกยเอาไปใช้เพื่อให้ตนเองหายโง่เร็ว ๆ  ใครไม่อยากได้เพราะอยากคุ้มครองรักษาความโง่ของตนเอง ก็ไม่เป็นไร ก็แค่กองหนังสือนี้ไว้ตรงนั้นแหละ ไม่ใช่ปัญหาของผู้รู้เลย เป็นปัญหาของคนที่ยังโง่อยู่ต่างหาก

 

ความคิดที่ทำให้คนเป็นบ้าได้

การอวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตนนั้น เป็นการแสดงออกถึงระดับความรู้อันสูงสุดในขั้นอันติมะ ย่อมเป็นความคิดและการแสดงออกที่สามารถทำให้คน ๆ หนึ่งเป็นบ้าได้อย่างสนิทหากไม่ได้อิงอยู่กับสัจจธรรมอันสูงสุดอย่างแท้จริง การหลุดพ้นนั้นหมายความว่า เมื่อจำเป็นต้องคิดอะไรบางอย่างเพื่อจุดประสงค์ของการทำงานแล้ว เมื่อคิดเสร็จแล้ว งานลุล่วงแล้ว ใจก็สามารถหลุดร่อนจากจิตหรือความคิดนั้นทันที ไม่มียางเหนียวติดอยู่ นี่คือสภาวะเด่นของการหลุดพ้น และเป็นสภาวะที่คุ้มครองเจ้าของให้ปลอดภัยและไม่เป็นบ้า สามารถคงความเป็นปกติอยู่ได้ เพราะใจหลุดร่อนจากความคิดได้เสมอ

คนที่อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนจึงเป็นบ้าได้ง่ายมาก เพราะใจของเขายังไม่หลุดร่อนจากจิตอย่างแท้จริง เมื่อจิตคิดอะไรที่ใหญ่โตมากจนเกินตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นคนที่มีชื่อเสียงมาก มีคนเข้าหามาก มีลาภสักการะมาก จึงกล้าคิดถึงขนาดว่าตนเองไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นผู้วิเศษที่สามารถชี้นกให้เป็นนก ชี้ไม้ให้เป็นไม้ได้ เพราะใจยังมียางเหนียวที่ทำให้ติดอยู่กับจิตหรือความคิดที่ใหญ่โตนั้น จิตหรือความคิดจึงสร้างภาพมายาขึ้นมาในใจ ถูกความหลงครอบงำ ทำให้บ้าได้ สร้างบาปกรรมให้ทั้งตนเองและผู้อื่นอย่างมหันต์ด้วย

 

พระนิพพานคือสภาวะธรรมดาอย่างถึงแก่น

คนที่กล้าอวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตนจริงและไม่เป็นบ้านั้นอีกสาเหตุหนึ่งเพราะ พระนิพพานหรือสัจธรรมอันสูงสุดคือความเป็นธรรมดาในขั้นอันติมะ นี่คือความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง ของพระนิพพาน คือสามารถคุ้มครองผู้ที่ถึงแล้วคงความเป็นธรรมดาได้อย่างถึงที่สุด นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ชาวพุทธไทยเรายังเข้าใจผิดกันมากก็มี มักคิดว่าพระอรหันต์ต้องมีอภิญญา ต้องเหาะเหิรเดินอากาศได้ ต้องแสดงฤทธิ์ได้ ต้องสู้เสือสิงห์ในป่าได้ ต้องเอาชนะธรรมชาติสิ่งแวดล้อมได้ อยู่ป่าช้าได้โดยไม่กลัวผี ต้องอ่านใจคนได้ อะไรจิปาถะเหล่านั้น นี่เป็นจินตนาการที่คนชอบคิดเพราะคิดแล้วมันสนุก ตื่นเต้น จึงชอบวาดภาพของผู้บรรลุธรรมแล้วตามจินตนาการของตน แต่สิ่งที่คนไม่ชอบนึกและคิดไม่ถึงคือ ความเป็นคนธรรมดาอย่างถึงแก่นของพระอรหันต์โดยไม่มีความสามารถอื่น ๆ ที่น่าตื่นเต้นเลย คนโง่ส่วนมากอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อด้วยซ้ำไป ฝรั่งปัญญาชนมากมายมักคิดเช่นนั้น บอกอีกว่าคนที่สมองไม่ทำงานนั้นก็คือสภาวะนิพพานดี ๆ นี่เอง คนพวกนี้โง่แล้วยังอวดฉลาด ก็ปล่อยให้โง่ดักดานต่อไป ไม่เสียเวลาเถียงด้วย เปลืองน้ำลาย

ความเป็นธรรมดาอย่างถึงแก่นของพระนิพพานนั้นเป็นสภาวะที่คนยังไม่ถึงจะนึกไม่ออกว่ามันธรรมดาอย่างไร นี่เป็นสภาวะพื้นฐานของผู้บรรลุธรรมอย่างสูงสุดโดยทั่วไปเหมือนกับตัวขนมเค๊กที่ยังไม่ได้แต่งหน้าด้วยไอซซิ่ง เรื่องอภิญญาเป็นเรื่องแต่งหน้าเค๊กที่มีในพระอริยเจ้าบางท่านเท่านั้น ไม่ใช่ทุกท่านเสมอไป    

       

กล้าคิดและทำเรื่องใหญ่โดยไม่รู้สึกตัวว่าใหญ่

คนที่ถึงความเป็นธรรมดาในขั้นอันติมะนี้จึงกล้าคิดทำเรื่องใหญ่โตโดยไม่รู้สึกตัวว่าเป็นเรื่องใหญ่ กลับเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก เพิ่งมาตระหนักชัดก็เมื่อเดือนเศษนี้เอง เมื่อได้เขียนจดหมายติดต่อกับเพื่อนสนิทสองสามคน ขอให้เขาช่วยเป็นแขนขาให้เราในงานช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ครั้งนี้ โดยให้ข้อคิดว่า หนังสือใบไม้กำมือเดียว น่าจะใช้เป็นหนังสือบังคับอ่านของนักเรียนในชั้นมัธยมปลายและระดับมหาวิทยาลัย เพื่อหนุ่มสาวเหล่านี้จะได้เข้าใจโครงสร้างของชีวิตและช่วยกันรักษาวัฒนธรรมย่าทวดของไทยเรา

เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งเขียนกลับมาแสดงความเห็นว่า

“ทำไมพี่จึงคิดใหญ่โตถึงขนาดเอาหนังสือเข้าไปเป็นหลักสูตรการสอน ผมคิดเพียงให้คนอ่านเข้าใจได้ก็ดีแล้ว”

คำพูดนั้นเหมือนเป็นกระจกส่องให้เรารู้ว่า อ๋อ…นี่เขาเรียกว่าคิดใหญ่นะ นี่เป็นสิ่งที่เราคิดไม่ออกแล้ว และไม่รู้สึกด้วย ถ้าเป็นสมัยก่อนก็คงเป็นคนแรกที่คิดยั้งตัวเองไว้แน่นอน แต่ความรู้สึกเหล่านั้นได้หายไปหมดแล้ว เดี๋ยวนี้เหลือแต่ความคิดที่ตรงไปตรงมา ถ้าคนไม่บอก ไม่ค้าน เราจะไม่รู้ คนไม่น้อยคงคิดว่าเราบ้าแน่ที่กล้าคิดใหญ่เช่นนั้น จึงเขียนตอบไปว่า

“หากพี่กำลังคิดช่วยเหลือคนให้ออกจากสังสารวัฏแล้วละก็ ความคิดที่จะเอาหนังสือของพี่เข้าไปเป็นหลักสูตรการสอนนั้นไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่เลย น้องเอ๋ย…”

นั่นเป็นการคิดไปตามขั้นตอนของเหตุผลเท่านั้น เพราะได้เห็นโครงสร้างใหญ่ของชีวิตชนิดรู้แจ้งแทงตลอด รู้ถึงการทำงานของสังสารวัฏที่ใหญ่ยิ่งนี้แล้ว  หากต้องการช่วยเหลือคนให้ออกจากสังสารวัฏแล้วไซร้ จะต้องทำงานอย่างเป็นขั้นตอนอย่างไร จึงจะช่วยคนเหล่านี้ได้ วิธีการอย่างหนึ่งก็คือ ต้องเอาระบบการศึกษาให้อยู่มือ ต้องบังคับให้เด็ก ๆ เรียนรู้เรื่องราวของชีวิตให้ได้โดยการอ่านหนังสือที่ควรอ่าน ฉะนั้น การเอาหนังสือเข้าไปเป็นหลักสูตรการศึกษาของชาตินั้น สำหรับเราแล้ว เป็นเรื่องโครงสร้างเล็ก ๆ กระจุกหนึ่งที่ต้องทำเท่านั้น  การคิดอย่างเป็นขั้นตอนของเหตุผลนั้นเป็นความสามารถของปัญญาชนที่บรรลุธรรมแล้ว เป็นสิ่งที่ต้องคิดและต้องทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย จึงไม่ได้เห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลย

ส่วนเรื่องการทำได้หรือไม่ได้นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก คือพูดแล้ว แต่ผู้มีอำนาจในระบบการศึกษาไทยไม่ยอมฟัง ไม่สนใจ ไม่ยอมทำอะไรทั้งสิ้น นี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก หากพระพุทธเจ้าไม่มีแขนขาอย่างเช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระเจ้าพิมพิสาร ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขา ตลอดจนสาวกองค์อื่น ๆ ช่วยทำงานแล้ว พระพุทธศาสนาก็คงปักหลักไม่ได้ในอินเดียอย่างแน่นอน 

แม้จะคิดและพูดเรื่องใหญ่โตในสายตาของคนอื่น แต่ในหัวใจนั้นหวังน้อยมาก น้อยชนิดที่คนก็คิดไม่ออกว่าน้อยอย่างไร จะพูดว่าไม่หวังเลยก็น่าจะได้ ใจที่หลุดพ้นแล้วย่อมไม่มีความหวังอะไรเหลืออยู่อีกต่อไป เพราะได้บรรลุถึงสิ่งดีที่สุดของชีวิตแล้ว จะมีอะไรเหลือให้หวังอีกเล่า การหวังเพื่อประโยชน์ของตนเองนั้นจึงไม่มีแน่ หากมีความหวังอะไรเหลืออยู่ ก็เป็นความหวังเพื่อประโยชน์และความสุขของผู้อื่นเท่านั้น อย่างที่พูดไว้ในบทนำของคู่มือชีวิตว่า หากหนังสือเล่มนี้สามารถช่วยเหลือคนเพียงคนเดียวให้เข้าถึงพระนิพพานได้เท่านั้น เป้าหมายของเราก็ได้บรรลุแล้ว แค่นี้ก็คุ้มค่ากับเวลาที่ได้ทุ่มเทลงไปกับการเขียนหนังสือนั้นแล้ว  

 

หนังสือที่เขียนจากผลมาหาเหตุ

            เมื่อสักครู่นี้ได้พูดว่า วิธีการสอนของคนรู้จริงและรู้ไม่จริงนั้นแตกต่างกัน คนที่ยังไม่รู้จริงมักต้องสอนจากเหตุไปหาผล แต่คนรู้จริงจะสอนโดยสาวจากผลมาหาเหตุ อย่างที่เปรียบเทียบแล้วว่า คนท้องถิ่นที่อยู่ภูกระดึงย่อมรู้ทางไปภูกระดึงได้ดีกว่าคนที่ยังไปไม่ถึงภูกระดึงแต่มีแผนที่อยู่ในมือ หนังสือภาษาอังกฤษสองเล่มแรกที่เราเขียนคือ Dear Colin: what is the meaning of life? และเรื่อง Can a caterpillar be perfect? เป็นหนังสือที่เขียนจากเหตุไปหาผล ทุกครั้งที่พูดถึงผลหรือพระนิพพานนั้น จะไม่ได้พูดจากประสบการณ์จริงของตนเอง จะต้องอ้างครูบาอาจารย์โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าเสมอ แม้ได้พูด ก็พูดอย่างกำกวม ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก

  ส่วนเรื่องใบไม้กำมือเดียวและคู่มือชีวิตนั้นเป็นการเขียนจากผลมาหาเหตุ วิธีการเขียนจึงต่างออกไปมาก การเขียนจากผลมาหาเหตุหมายความว่าต้องพูดเรื่องผลก่อน ผลนี้คือพระนิพพานนั่นเอง ใบไม้กำมือเดียวจึงต้องเริ่มพูดที่การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าและพบพระนิพพานก่อน เพราะมีพระนิพพาน จึงมีมรรคหรือการปฏิบัติตามแนวทางของปัญญา ศีล สมาธิ อันเป็นวิธีการที่ชัดเจนเพื่อบรรลุเป้าหมายอันคือพระนิพพาน ซึ่งเราเอามาเน้นให้ชัดอีกทีโดยชี้ไปที่เรื่องสติปัฏฐานสี่เพียงเรื่องเดียวเพราะเป็นทางสายเอกสายเดียวที่จะช่วยให้คนถึงนิพพานได้เร็วที่สุด

ในขณะที่เรื่องสติปัฏฐานสี่เป็นการเดินทางไปพระนิพพานของปัจเจกชนคนหนึ่ง ๆ นั้น เรื่องวัฒนธรรมสติปัฏฐานจึงเป็นเรื่องการพาคนกลุ่มใหญ่ของสังคมให้เข้าใกล้ประตูพระนิพพาน เรื่องวัฒนธรรมสติปัฏฐานนี้เป็นความคิดที่ใหญ่โตมาก ไม่ใช่พูดถึงวัฒนธรรมย่าทวดไทยเท่านั้น นี่เป็นเรื่องการสร้างอารยธรรมที่ถูกต้องและเอื้ออำนวยให้แก่ชาวโลก เพื่อช่วยคนให้เข้าใกล้สิ่งที่ดีที่สุดของชีวิตไม่ว่าคน ๆ นั้นจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่คนไทยเรามีอยู่แล้ว แต่กำลังจะสูญหายไปเพราะการรุกรานของลัทธิบริโภคนิยม จึงพูดให้คนไทยคิดและพยายามปกปักรักษาสมบัติล้ำค่าที่ย่าทวดได้สร้างมาให้แล้ว

 เราคิดว่า คนส่วนมากอ่านแล้วไม่เข้าใจ เพราะเป็นเรื่องใหญ่เกินไป คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แค่นี้กล้าคิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนั้น ซึ่งสำหรับเราแล้ว เป็นการคิดไปตามขั้นตอนของเหตุผลเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด      

ส่วนเรื่องคู่มือชีวิตก็เช่นกัน เป็นการเขียนจากผลมาหาเหตุ จึงเริ่มต้นด้วยการพูดให้คนปรารถนาพระนิพพานก่อน แล้วค่อยมาพูดเรื่องเหตุโดยบอกให้คนรักษาศีล หัดให้ทาน ทำตัวเรียบง่าย ไม่กลัวตาย เป็นต้น เพราะรู้แล้วว่าพระนิพพานอยู่ที่ไหน คนจะต้องเดินไปทิศไหน เดินไกลแค่ไหนจึงจะเรียกว่าเข้าใกล้ประตูพระนิพพาน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คนไปยังไม่ถึงจะมองไม่ออก เหมือนนักท่องเที่ยวที่กำลังเดินอยู่ในป่าเพื่อต้องการไปให้ถึงภูกระดึง คนที่เดินทางไปภูกระดึงเป็นครั้งแรกนั้น จะไม่รู้ว่าจุดที่ตนกำลังอยู่ในป่านั้น มันอยู่ใกล้หรือไกลจากตัวภูกระดึงมากแค่ไหน อย่างไร ผู้นำทางที่เคยไปถึงภูกระดึงแล้วเท่านั้นจึงจะรู้ จึงจำเป็นต้องเชื่อคนนำทางไว้ก่อน และเดินตามเขาไป

 

การเป็นโสดาบันไม่ใช่เป็นเรื่องยาก

        สมัยที่เป็นนักศึกษาและเริ่มสนใจพระพุทธศาสนานั้น มักจะคุยกับเพื่อน ๆ ในกลุ่มชุมนุมพุทธและคำถามที่ถามกันบ่อยที่สุดคือ ทำไมในครั้งพุทธกาล คนที่ดูธรรมดามากฟังพระพุทธเจ้าเทศน์เป็นครั้งแรกจึงสำเร็จเป็นพระโสดาบันได้ง่ายนัก ในช่วงนั้น เมื่อฟังคำว่า โสดาบันก็ยังรู้สึกว่าไกลโพ้น สุดจะเอื้อมถึงได้ ไม่เคยคิดว่า ที่จริงเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากเกินกว่าจะคิดออก

มาบัดนี้ เข้าใจแล้วว่า การบรรลุธรรมขั้นโสดาบันไม่ใช่เป็นเรื่องยากสำหรับคนมีบุญที่ได้สร้างบารมีมาแล้ว แม้นี่เป็นยุคค่อนกึ่งพุทธกาลก็ตามแต่ ย่อมหมายความว่า คนที่ได้สร้างบารมีมาตั้งแต่อดีตชาตินั้นก็ยังวนเวียนมาเกิดในภพชาตินี้แน่นอน ย่อมมีกลุ่มคนที่มีบารมีพร้อมที่จะบรรลุธรรมในระดับต่าง ๆ ได้ เพราะพระพุทธศาสนาก็ยังมีอยู่ มรรคมีองค์ ๘ ก็ยังอยู่ ความรู้เรื่องสติปัฏฐานสี่ก็ยังมีอยู่แม้ในยุคนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเองว่า ตราบใดที่ยังมีคนเดินตามทางแห่งองค์มรรคแล้วไซร้ โลกนี้ย่อมไม่ว่างจากพระอรหันต์ เมื่อมีพระอรหันต์แล้ว พระอริยเจ้าในระดับอื่น ๆ ก็ต้องมีแน่นอน และต้องมีมากกว่าพระอรหันต์เป็นแน่แท้

 

ทำไมเปลือกจึงหุ้มแก่นศาสนา?

ปัญหาคือว่า คนส่วนมากไม่รู้ เหมือนกับการมองภาพเขียนสักภาพหนึ่ง สมมุติว่าเป็นภาพดอกทานตะวันที่อยู่ในแจกัน ภาพเขียนที่วาดออกมาแม้จะวาดได้เหมือนมากอย่างไรก็ตาม มันก็ยังไม่เหมือนของจริงอยู่ดี มันเป็นสองสภาวะที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หรือ คำว่า คน ที่หมายถึงมนุษย์เดินดินทั้งหลาย คำพูด กับ ตัวคนจริง ๆ นั้นก็เป็นคนละเรื่องกัน แต่เพราะคนเรามีสมองที่สามารถคิดซับซ้อนได้ จึงสามารถประสานตัวหนังสือ “คน” กับสภาพคนจริง ๆ ที่เดินไปมาได้

แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องที่สมองคนสามารถเอามาเชื่อมประสานกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำศัพท์ธรรมะต่าง ๆ กับสภาวะธรรมที่แท้จริง นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องการใช้มันสมองอีกแล้ว ปัญญาทางโลกนี่ใช้ไม่ได้ ไม่สามารถเทียบเคียงตัวหนังสือกับสภาวะที่แท้จริงได้ ต้องใช้ปัญญาทางธรรม หรือปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติสมาธิภาวนา แต่ถ้าปัญญายังไม่ถึงขั้นอันติมะแล้ว ก็ยังใช้ไม่ได้เต็มที่ ยังประสานตัวหนังสือกับสภาวะจริงไม่ได้ อย่างเช่นคำว่า โสดาบัน กับสภาวะที่เป็นโสดาบันจริง ๆ นั้นมันเป็นคนละเรื่องกัน

ความสับสนและความยากอยู่ตรงที่ว่า มนุษย์เรามีจินตนาการ และเราก็ถนัดสร้างจินตนาการตามที่เราอยากให้มันเป็น คนที่ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศ มักคิดถึงเมืองนอกไว้สวยหรู แต่เมื่อไปถึงจริง ๆ มันก็ไม่เห็นสวยเหมือนที่คิดไว้ในหัวเลย เมืองใหญ่ทุกเมืองของโลกนี้เหมือนกันหมดในแง่ที่มีตึกสูง ๆ ที่ทำด้วย อิฐ ปูน ซีเมนต์ และคนมากมายเดินกันให้ว่อนทั้งนั้น ไม่ต่างกันเลย

คำศัพท์ต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนาที่อ้างถึงสภาวะธรรมต่าง ๆ นั้น คนส่วนมากฟังแล้วมักสร้างจินตนาการไว้อย่างสูงส่ง โดยเฉพาะคำว่า พระอรหันต์ ใครได้ยินแล้ว จินตนาการในหัวไปก่อน วาดไว้อย่างสวยหรู งดงาม เลิศเลอ สูงส่ง เหมือนที่เราเองก็เคยทำ ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเราซึ่งเป็นคนธรรมดาได้แม้แต่น้อยนิด คำว่าพระโสดาบันก็เช่นกัน คนส่วนมากมักจะวาดภาพไว้สูงส่งทั้ง ๆ ที่สภาวะจริงก็ไม่ได้สูงเกินเอื้อมเลย

การวาดภาพของพระอริยเจ้าไว้สูงจนเกินไปนี้เอง จึงกลายเป็นอุปสรรคมาก กลายเป็นเรื่องที่เอื้อมไม่ถึงเลย เหตุผลที่คนทำเช่นนี้ก็เพราะวัฒนธรรมของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะภาพเขียนบนฝาผนังตามวัดต่างๆ ภาพเทวดาที่เหาะเหิรเดินอากาศได้ และการพูดธรรมะของครูบาอาจารย์ซึ่งบางคนก็รู้จริง บางคนก็ไม่รู้จริง แต่ก็พูดไปอย่างสะเปะสะปะ พูดตาม ๆ เขา และสิ่งที่คนไม่รู้จริงชอบทำคือ ชอบพูดให้คนฟังรู้สึกทึ่งในตนเอง สิ่งที่จะพูดให้คนฟังแล้วทึ่ง ตื่นเต้นได้ ก็คือ การพูดเรื่องอิทธิปาฏิหารย์ ความขลังและศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะของพระอริยเจ้าทั้งหลาย หรือไม่ก็เอาเรื่องเทวดา เรื่องโอปปาติกะมาพูด จนพระพุทธศาสนากลายเป็นเรื่องอะไรก็ไม่รู้ อีนุงตุงนังไปหมด ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จนกระทั่งแก่นของศาสนาพุทธถูกทั้งเปลือกทั้งกระพี้ปกคลุมอย่างหนาแน่นเขรอะไปหมด แล้วคนบ้าระดับสามัญที่ยังตาบอดอยู่จะมีโอกาสอะไรที่จะเจอพระพุทธศาสนาตัวจริง เพราะมองเข้าไปแล้ว ไม่รู้จะจับอะไรจริง ๆ จึงจะเรียกว่า “เดินถูกทาง” น่าเห็นใจมาก เราเองก็เคยงงและสับสนมากในช่วงแรก ๆ ที่พบพระพุทธศาสนา

 

ความเป็นธรรมดามีอยู่ในคนทุกคน

คนที่ได้เห็นได้พบและพูดคุยกับพระอริยเจ้าจริง ๆ แล้ว จะเห็นเองว่าที่จริงท่านดูธรรมดาเหลือเกิน กลับเมืองไทยเมื่อเดือนเมษาปีก่อน เพื่อนได้พาไปกราบหลวงตามหาบัวซึ่งคนไม่น้อยคิดว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว เมื่อเห็นท่านจริง ๆ เราก็เห็นแต่ความเป็นธรรมดาของท่าน ไปมองท่านเคี้ยวหมาก บ้วนน้ำหมาก และพูดเรื่องเส้นสายของท่านไปทับกัน ต้องให้หมอนวดมาจับเส้นให้ แล้วก็บ่นเรื่องอากาศร้อนของเดือนเมษา บอกว่าที่สวนแสงธรรมไม่มีต้นไม้มาก ร้อนเกินไป ต้องเข้าห้องแอร์ ท่านนั่งเคี้ยวหมากและพูดเรื่องเหล่านั้นอยู่ครึ่งชั่วโมงเศษเห็นจะได้กว่าจะเริ่มเทศน์คำพระ

สิ่งที่คนทั่วไปไม่รู้คือ ลักษณะที่ท่านแสดงออกซึ่งเหมือนคนแก่โบราณทั่วไปในเมืองไทยอีกมากมายนั้นคือสภาวะหนึ่งของพระอรหันต์ หรือสภาวะแห่งความเป็นธรรมดานั่นเอง ซึ่งสภาวะเช่นนี้ไม่ได้สูงส่งเกินไป คนทั่วไปสามารถเชื่อมประสานได้ ยิ่งกว่านั้น ทุกคนล้วนมีสภาวะธรรมดาเช่นนี้อยู่ในตนเองทั้งสิ้น ตรงนี้คนต้องพยายามเข้าใจให้ดี เพราะสำคัญมาก ความเป็นธรรมดามีอยู่ในคนทุกคนแล้ว แต่คนไม่น้อยสมัยนี้ไม่อยากเป็นแค่ “คนธรรมดา” เท่านั้น เพราะคิดว่า เป็นเพียงคนธรรมดาไม่มีคุณค่าอะไร ไม่เห็นจะมีอะไรน่าตื่นเต้น จึงตะเกียกตะกายหาโน่นนี่ ถ้าไม่ร่ำรวย ก็ต้องมีชื่อเสียงทางหนึ่งทางใด เพื่ออยากเป็น somebody ที่ไม่ธรรมดา ที่แตกต่างจากคนอื่น คนจะได้มองด้วยความทึ่งและยกย่อง ซึ่งเป็นการยกย่องคุณค่าที่ผิด จึงกลับกลายเป็นว่า สังคมทั้งหมดให้คุณค่าแก่คนที่เป็น somebody

ความเป็น “คนธรรมดา” ซึ่งเป็นองค์คุณหรือปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยให้คน ๆ หนึ่งเข้ากระแสพระนิพพานนั้นจึงถูกทำลายไปด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาของคนที่ยังหลงอยู่นั่นเอง น่าเสียดายมาก ฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่เราพูดไว้ในคู่มือชีวิตคือ ใครที่อยากได้ดีทางธรรมนั้นต้องพยายามเอาความเป็น “คนธรรมดา” กลับมาให้ได้เสียก่อน

ตอนที่เราเลือกแต่งงานกับหนุ่มอังกฤษคนนี้ เหตุผลหนึ่งที่เข้ามาในหัวเราอย่างชัดเจนมากแม้ในช่วงนั้นคือ หากเราต้องการเข้าถึงความเป็นธรรมดาของชีวิต (พระนิพพาน) เราต้องเลือกคนอังกฤษคนนี้เพราะเขามีความเป็นธรรมดาอยู่ในตัว ความเป็นธรรมดาของเขาจะช่วยรักษาความเป็นธรรมดาของเรา การไปเป็นภรรยาหมอจะทำให้ชีวิตของเราไม่ธรรมดา คนย่อมให้เกียรติเราเพียงเพราะเราเป็นภรรยาของคุณหมอเท่านั้น จำได้ชัดมากว่า นี่เป็นความคิดที่เข้ามาในหัว และช่วยให้เราตัดสินใจเลือกแต่งงานกับคนอังกฤษคนนี้ ซึ่งเป็นการเลือกคู่ครองที่สวนกระแสสังคมอย่างร้ายกาจ แต่งงานเสร็จแล้ว ชักไม่แน่ใจ ไม่อยากเอาสามีไปอวดเพื่อนเพราะกลัวเพื่อนจะเห็นเขาธรรมดาจนเกินไป และดูถูกเรากับสามี ก็ไม่รู้ว่าเหตุผลที่ชัดเจนเหล่านั้นมาได้อย่างไร แต่ก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะการมาใช้ชีวิตที่อังกฤษอย่างคนธรรมดานี่เอง ในที่สุด จึงได้เข้าสู่ความเป็นธรรมดาของชีวิตอย่างที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้  

 

พระโสดาบันยังมีทุกข์อีกมาก

จินตนาการของคนที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมนั้นไม่ยอมให้พระอรหันต์เป็นคนธรรมดา จึงยกท่านไว้สูงมากจนเอื้อมไม่ถึง ซึ่งคนเหล่านี้ก็สูงส่งจริงแหละ สมควรได้รับการบูชาอย่างยิ่ง แต่สภาวะจริง ๆ โดยเฉพาะของพระอรหันต์นั้น ก็คือสภาวะธรรมดาอย่างถึงที่สุดนั่นเอง มันธรรมดามากจนคนทั่วไปจินตนาการไม่ได้ เป็นคนละเรื่องกับจินตนาการของคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง

แต่ถ้าคนเข้าใจตามนี้ได้ อุดมคติแห่งความเป็นพระอรหันต์จะไม่ไกลเกินเอื้อม โดยเฉพาะพระอริยเจ้าในระดับต้น ๆ อย่างพระโสดาบันนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย ที่จริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องเล็งให้บรรลุพระอรหันต์ในชาตินี้เลย เพราะความเป็นพระอรหันต์นั้นจะไปเร่งหรือชะลอไม่ได้ เล็งแค่เป็นพระโสดาบันก็เพียงพอแล้ว เพราะ ความเป็นพระโสดาบันในวันนี้ คือการเป็นพระอรหันต์ในอนาคตอย่างแน่นอน ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นอยู่แล้ว เหมือนพระอาทิตย์ต้องเคลื่อนไปตกยังทิศตะวันตกฉันใดก็ฉันนั้น

ยังไม่เคยพบพระหรือครูบาอาจารย์ทางพระพุทธศาสนาในยุคนี้พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า เป็นพระโสดาบันไม่ใช่เรื่องยาก ใครที่พอมีบุญบารมีติดตัวมาบ้าง จะเป็นได้ง่ายมากเหมือนอย่างที่เขาเป็น ๆ กันในครั้งพุทธกาลนั่นแหละ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ คนที่มาเกิดในเมืองพุทธได้เช่นนี้แสดงว่าต้องมีบุญวาสนามาแล้วทั้งนั้น ไม่เช่นนั้น ก็ไม่มาเกิดในเมืองพุทธหรอก การพูดเช่นนี้ย่อมให้กำลังใจแก่ผู้ประพฤติธรรมไม่น้อย การพูดให้กำลังใจคนเพื่อปฏิบัติธรรมต่อไปอย่างไม่ลดละนั้นเป็นเรื่องหนึ่งที่เราเห็นว่าควรพูด ยิ่งในยุคนี้ที่คนส่วนมากหมดกำลังใจ หมดศรัทธาในพระพุทธศาสนาด้วยแล้ว ยิ่งต้องพูดเพื่อเรียกเอาขวัญเอากำลังใจกลับคืนมา ส่วนเจ้าตัวจะรู้สถานะที่แท้จริงของตนหรือไม่นี่อีกเรื่องหนึ่ง   

ข้อสำคัญคือ ต้องอย่าให้คำสูง ๆ เหล่านี้หลอกเอา ต้องไม่คิดว่า ถ้าตนเองได้เป็นโสดาบันแล้ว จะวางท่าให้เป็นโสดาบันซะหน่อย ให้คนเกรงขาม นี่คิดอย่างโง่ ๆ ใครที่คิดเช่นนี้แสดงว่ายังไม่ได้เป็น และยังไปไม่ถึงไหนเลย ยังโง่อยู่ ยังมืดอยู่ ยังไม่ได้เข้าถึงความธรรมดา ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรมอยู่วันยังค่ำ ฉะนั้น คนที่แม้เป็นพระโสดาบันจริงก็จะไม่รู้ว่าตนเองเป็น เพราะความทุกข์ในใจยังมีอีกมากมายนัก งานที่ต้องทำยังมีอีกมาก จึงไม่รู้สภาวะที่เป็นอริยะของตนเอง เท่ากับเป็นธรรมที่คุ้มครองตนเองอยู่ในตัว แม้พระสกิทาคามีก็ไม่รู้สถานะของตนเอง ซึ่งดีแล้ว ไม่รู้นั่นน่ะดีแล้ว รู้แล้วเรื่องมาก จะไม่ยอมปล่อยวางกิเลสในขั้นละเอียดขึ้นไป ไม่จำเป็นต้องไปถามผู้รู้ เพราะท่านจะไม่บอก รู้เพียงว่าใครที่ยังไม่ถึงระดับหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิงก็ประมาทไม่ได้ทั้งนั้นแหละ ต้องตั้งหน้าตั้งตาขูดกิเลสอย่างเดียว

 

คู่มือชีวิต: คู่มือแห่งการเป็นพระโสดาบัน    

ไหน ๆ ก็กำลังอวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตนแล้ว จึงไม่พูดอ้อมค้อมอีกต่อไป เรื่องใบไม้กำมือเดียวนั้น ใครอ่านไม่รู้เรื่องก็ไม่เป็นไร เก็บไว้ก่อน อ่านทีหลังก็ได้ แต่ขอให้อ่าน คู่มือชีวิตทั้งภาคศีลธรรมและภาคกฎแห่งกรรม ซึ่งใช้วิธีการเขียนที่ง่ายมาก เนื้อหาก็เข้าใจได้ง่ายกว่าใบไม้กำมือเดียว หนังสือเล่มนี้มีจุดประสงค์เพื่อเตรียมตัวให้คนเข้าสู่กระแสพระนิพพานได้ทันที เป็นคู่มือที่จะช่วยคนบ้าระดับสามัญคนหนึ่งขยับสถานะขึ้นมาเป็นพระโสดาบัน หากคน ๆ นั้นอ่านคู่มือชีวิตแล้ว และสามารถทำตามสิ่งที่เราได้แนะนำไว้ได้ นั่นคือ

)  ตั้งความปรารถนาที่จะพ้นทุกข์อย่างแรงกล้า

)  รักษาศีล ๕ ให้มั่นคงตามคำแนะนำในหนังสือซึ่งได้เขียนไว้อย่างละเอียดละออ 

)  รู้จักการให้ giving, generosity ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญให้ทาน ให้แรงงาน หรือ ให้เวลา ให้เท่าที่จะให้ได้ โดยไม่มีความตระหนี่ถี่เหนียว

)  ทำตัวให้เรียบง่าย อ่อนน้อม ถ่อมตน ไม่หยิ่งยโส ไม่ถือตัว อันเป็นองค์คุณสำคัญ เตรียมตัวเองเข้าสู่ความเป็นธรรมดาของชีวิต

)  ไม่กลัวตายทางร่างกาย ทำความเข้าใจเรื่องความตายอย่างถูกต้องตามในหนังสือ ก็จะกลัวตายน้อยลง

)  เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด อะไรที่ดี ๆ ทำให้หมด อะไรที่ไม่ดีก็อย่าไปทำ คนที่เชื่อกฎแห่งกรรมจะไม่กลัวตาย ในบทหลัง ๆ ที่พูดเรื่องกฏแห่งกรรมนี้ อาจมีบางบทที่อ่านเข้าใจยาก เช่นเรื่องเวลาในพระพุทธศาสนา ใครอ่านไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เพียงให้เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมเท่านั้นก็พอแล้ว เชื่อว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว พ่อแม่มีบุญคุณ

หากใครทำตามธรรมทั้ง ๖ ข้อนี้ได้แล้ว ความเป็นพระโสดาบันอยู่แค่เอื้อมนี่เอง คนที่มีบุญบารมีติดตัวมาบ้างแล้วจะสามารถทำได้ไม่ยากเลย ทุกคนสามารถทำได้ทันทีโดยที่ยังไม่ต้องฝึกสมาธิวิปัสสนาหรือสติปัฏฐานสี่ก็ได้ นี่เป็นธรรมที่ฆราวาสทั้งหลายทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียน แม่บ้าน พ่อบ้าน กรรมกร แม่ค้าที่หาเช้ากินค่ำ อาชีพโสเภณี จี้ปล้น ไปจนถึงชนชั้นกลางทำงานห้องแอร์ หรือชนชั้นสูงที่นั่งกินนอนกินอยู่ที่บ้านหรืออยู่ประสาทราชวัง ล้วนปฏิบัติธรรมทั้งหกข้อนี้ได้ทั้งสิ้นโดยไม่จำเป็นต้องบวชเป็นพระเป็นชีเลย

นี่เรียกว่าพูดกันตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม เพราะเวลาของมนุษย์ที่ผ่านเข้ามาในโลกนี้มีน้อยมากเหลือเกินเมื่อเปรียบเทียบกับความยาวนานของสังสารวัฏ อยู่กันอีกไม่กี่ปีก็ตายกันแล้ว ฉะนั้นในช่วงเวลาที่ยังเป็น ๆ อยู่เช่นนี้ ได้พบคนที่มาบอกข่าวดีอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้    ถ้าไม่รีบขวนขวาย ไม่เร่งรีบทำตามคำบอกเล่าเหล่านี้ละก็ ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรอีกแล้ว   

            จึงขอถือโอกาสนี้พูดกับผู้มีอำนาจทางการศึกษาของชาติไทย ขอให้ช่วยนำหนังสือคู่มือชีวิตนี้เข้าถึงพี่น้องลูกหลานไทยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าคนไม่มีเวลาอ่าน ก็ขอให้เขามีโอกาสฟัง พูดไว้เลยว่าแม้คนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือธรรมะหรือหนังสืออื่นใดเลย แต่มีโอกาสฟังเนื้อหาของคู่มือชีวิตพร้อมนิทานเหล่านั้นและนำไปปฏิบัติได้ แม้จะไม่ได้อ่านหนังสือธรรมะเล่มอื่นอีกตลอดชีวิตนี้ ก็ไม่เป็นไร ธรรมแค่ ๖ ข้อนี้หากทำได้จริง ๆ ก็เพียงพอแล้ว ไม่เสียชาติเกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาแล้ว น่าอนุโมทนายิ่ง ขอให้ช่วยกันทำ

       ถ้าทำได้ ก็น่าจะเป็นยุคทองของเมืองไทยที่มีผู้รู้คนหนึ่งผ่านเข้ามาและช่วยกวาดต้อนคนหยิบมือหนึ่งให้ออกจากถนนวงแหวนของสังสารวัฏและเข้ากระแสพระนิพพานได้ นี่เป็นงานที่ผู้มีอำนาจในวงการศึกษาไทยต้องรีบทำเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก

 

คนกลุ่มแรก

ใครที่ทำได้ทั้งหกข้อ และทำได้อย่างดีที่สุดโดยไม่รู้สึกฝืนตัวเองมากนัก ก็รับประกันให้ได้ว่า คน ๆ นั้นได้ย่างเข้าสู่กระแสพระนิพพานแล้ว แม้จะไม่ถึงพระนิพพานในชาตินี้ ตายไป ก็จะไม่ไปสู่อบายภูมิอีกแล้วอย่างแน่แท้ นี่สำหรับคนที่ทำ ๖ ข้อนี้ได้ดีที่สุดจนไม่มีอะไรตำหนิตนเองได้

 

คนกลุ่มที่สอง

ส่วนคนที่ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ทำอย่างตก ๆ หล่น ๆ รู้สึกว่ายาก ต้องฝืนตนเอง แต่ก็พยายามดำเนินชีวิตให้อยู่ในกรอบทั้งหกข้อนี้ อาจมีข้อตะขิดตะขวงใจบ้าง หรือยังมีข้อตำหนิตนเองได้ก็ตาม แม้คนเช่นนี้ ก็ยังรับประกันให้ได้ว่า แม้จะไม่ได้เข้าสู่กระแสพระนิพพานทันที เขาก็เดินมาใกล้ปากทางของถนนที่จะพาไปพระนิพพานได้ในที่สุด เหมือนคนหลงทางแล้วมีคนบอกว่าหลงทางอยู่นะ ขอให้เดินไปทิศนั้น แล้วจะเจอทางที่ถูกต้อง คนหลงทางคนนั้น ก็กลับหลังหันและเดินตามที่ผู้บอกทางแนะนำ อย่างน้อย เขาก็จะเดินมาถูกทิศและใกล้ปากทางที่จะพาเขาไปเป้าหมายปลายทางได้ ใครที่พอทำได้เช่นนี้ก็ยังเรียกว่ามีบุญวาสนาอยู่ไม่น้อยทีเดียว ต้องพยายามทำจนกระทั่งรู้สึกง่ายขึ้น เมื่อรู้สึกง่ายก็เหมือนกับไม่ได้ทำอะไรมากนัก เมื่อทำแล้วรู้สึกง่ายก็เรียกว่าเข้ากระแสพระนิพพานแล้ว

 

คนกลุ่มที่สาม

ใครที่จับหนังสือคู่มือชีวิตแล้ว แต่อ่านไม่ติด เพียงบทแรก ๆ ที่ให้ตั้งความปรารถนาเพื่อความพ้นทุกข์ อ่านแล้วบอกว่าไม่รู้เรื่อง ไม่เห็นอยากพ้นทุกข์ เพราะไม่เห็นว่าชีวิตเป็นทุกข์อะไร คนประเภทนี้เรียกว่าหลับลึก หรือหลงทางเข้าไปลึกมาก ถูกเขี้ยวเล็บของอวิชชาตะปบไว้อยู่มือ คนเช่นนี้ที่จริงช่วยยาก เพราะบุญวาสนาสร้างมาน้อยเหลือเกิน แต่แม้จะสร้างมาน้อยมากอย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่จะสร้างบุญบารมีใหม่ได้ หากเขาได้ฟังเช่นนี้และฉุกคิดได้ว่า ตัวเองอาจจะโง่อย่างที่เขาบอกจริง ๆ นะ ต้องพยายามอ่านหรือฟังให้รู้เรื่องให้ได้และทำตาม หากเขามีความพยายามเช่นนี้ แม้คนเช่นนี้ก็ยังพอมีทางช่วยได้ อาจจะต้องถูกเคี่ยวเข็ญจากคนรอบข้างที่มีเมตตา ถ้าเขาพยายามจริง เขาก็จะเริ่มสร้างบารมีที่เอื้ออำนวยให้บรรลุธรรมได้ในอนาคตอันไกลโพ้น คนที่ยอมรับความโง่ของตัวเองอย่างถ่อมตัวย่อมมีโอกาสที่ดีกว่าคนโง่ที่อวดฉลาด คนโง่ที่อวดฉลาดนั้นช่วยได้ยากมาก

 

คนกลุ่มที่สี่

คนอีกประเภทหนึ่งจะไม่มีบุญพอที่จะได้พบหนังสือเล่มนี้เลย แม้ได้พบแล้ว และหนังสือเล่มนี้อาจจะวางอยู่ข้างหน้าเขาด้วยซ้ำไป เขาก็จะไม่เปิดอ่าน ไม่สนใจ แม้มีโอกาสได้ฟังเทป ก็ฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่มีความตั้งใจฟังอย่างแท้จริง อาจจะรำคาญด้วยซ้ำไป เพราะจี้ถูกใจดำ จึงใช้ชีวิตไปตามยถากรรม คนประเภทนี้อาจจะมีสถานะทางสังคมตั้งแต่เป็นขอทาน กรรมกร ไปจนถึงผู้มีการศึกษาทางโลกที่สูงส่งเป็นด๊อกเตอร์ก็เป็นได้ คนประเภทนี้แม้อยากช่วยก็ช่วยไม่ได้ ต้องเรียกว่าเสียชาติเกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา  

     คนทั้งสี่กลุ่มนี้ก็เหมือนดอกบัวสี่เหล่าที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเปรียบเทียบไว้แล้ว

 

ความมืดในระดับต่าง ๆ

     อวิชชาเป็นความมืดทางจิตวิญญาณที่อธิบายได้ยากมาก และคนที่อยู่ในความมืดก็มองตนเองไม่ออก ในคู่มือชีวิต เราได้เปรียบเทียบอวิชชาเป็นความบ้าระดับต่าง ๆ โดยมีคนหมู่มากที่มีความบ้าในระดับสามัญขั้นพื้นฐาน

     ครั้งนี้ จะเปรียบเทียบอวิชชาเป็นความมืดของคนตาบอด เพื่อคนอ่านจะได้คิดเทียบเคียงว่า ตนเองมีความมืดในระดับไหน เป็นการช่วยกระตุกให้คนเริ่มขวนขวายได้อีกวิธีหนึ่ง

     คนกลุ่มที่สี่ที่พูดเมื่อกี้นี้ คือ คนที่ไม่เพียงแต่ตาบอดเท่านั้น ยังใส่แว่นตาดำ และขังตัวเองอยู่ในห้องมืด แม้มีคนตาดีมาบอกให้เปิดประตู (ใจ) เพื่อจะรักษาตาให้หายดี เขาก็ไม่ยอมเปิดประตู ไม่ยอมให้ความสว่างรอดเข้าไปได้เลย คนเช่นนี้ จะฟังธรรมะไม่รู้เรื่อง จะโง่ดักดานไปอีกนาน

     คนกลุ่มที่สาม คือ คนตาบอดที่ใส่แว่นตาดำ ขังตัวเองในห้องมืด แต่เมื่อมีคนตาดีมาเคาะประตู เขายังยอมเปิดประตูให้คนตาดีเข้ามาได้ ต้องชักชวนอยู่นานหน่อย จึงจะยอมถอดแว่นตาดำให้คนตาดีรักษาให้ นานหน่อย แต่ยังมีหวัง วันหนึ่งในอนาคต ตาจะหายบอดได้

     คนกลุ่มที่สอง คือ คนตาบอดที่ใส่แว่นตาดำ ไม่ได้ขังตัวเองในห้องมืด เมื่อมีคนตาดีมาบอกรักษาตาให้ ก็เต็มใจถอดแว่นดำให้ดูตาที่บอด รักษาได้

     คนกลุ่มที่หนึ่ง คือ คนตาบอดธรรมดาที่ไม่ได้ใส่แว่นดำ เมื่อพบคนตาดี ดีใจมาก ไม่ดื้อรั้น ยินดีให้รักษาตาที่บอดทันที

     เมื่อมีคนตาดีมารักษาคนตาบอดแล้ว ตาที่บอดสนิทก็เริ่มสว่างเป็นขั้นตอนดังนี้

     พระโสดาบัน คือ คนที่ตาเริ่มสว่าง คือเริ่มเห็นแสงรำไรแล้ว แต่ยังมีความพล่ามัวอยู่มาก ยังไม่สามารถมองภาพต่าง ๆ เบื้องหน้าอย่างชัดเจนได้ รู้แต่ว่ามีแสงเท่านั้น รู้ว่าแสงสว่างนี้แตกต่างจากความมืดที่ตนเคยอยู่อย่างไร จึงไม่มีความปรารถนาจะกลับไปอยู่อย่างมืดมิดอีกต่อไป เป็นการซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียว มีแต่การเดินไปข้างหน้า ไม่ย้อนกลับอีกแล้ว เข้ากระแสพระนิพพานแล้ว ปลอดภัยแล้ว ต่อแต่นี้ไป จะมีแต่การรักษาตาของตนเองให้ดีขึ้น เพื่อจะได้เห็นภาพเบื้องหน้าอย่างชัดเจน

     พระสกิทาคามี จากความพล่ามัวของสายตาที่ไม่สามารถเห็นอะไรชัดเจนเลยนั้น ก็เริ่มเห็นภาพหรือสามารถจับภาพหนึ่งภาพใดได้แล้ว แต่ภาพนั้นก็ยังไม่ชัด เหมือนรูปถ่ายที่ไม่ได้จัดโฟคัสให้ดี ภาพจึงออกมามัวมาก แต่ก็ยังเห็นภาพอยู่

     พระอนาคามี จากการเห็นภาพที่โฟคัสไม่ดีเลยนั้น ก็กลายเป็นภาพที่มีโฟคัสชัดมากขึ้น สามารถเห็นหน้าตาของคนในภาพถ่ายได้ชัดขึ้น แต่ก็ยังมีส่วนมัวเหลืออยู่บ้าง คือมองภาพแล้วยังไม่สบายตานัก ยังต้องพยายามขยับตาเพื่อทำให้โฟคัสชัดมากขึ้น

     พระอรหันต์ คือ คนที่สามารถเห็นภาพข้างหน้าได้ชัดเจน ใสแจ๋ว เหมือนภาพถ่ายที่จัดโฟคัสได้ดีที่สุด จึงมีภาพที่คมชัดที่สุด เป็นคนตาดีอย่างสมบูรณ์แล้ว สามารถมองเห็นได้ชัดว่าใครยังบอดอยู่ ใครที่บอดลึก ใครบอดตื้น ใครยังพล่ามัวอยู่ ใครมัวน้อย ใครมัวมาก รู้หมด

 ผู้รู้ไม่จำเป็นต้องมีฤทธิ์เดชเพื่ออ่านใจคนได้ จะสามารถอ่านคนได้อย่างง่ายดายก็จากคำพูดและการแสดงออกทางสีหน้าของคนเท่านั้น ใครที่เปิดปากหรือพูดมากเท่าใด ก็ยิ่งรู้ได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้นว่าคน ๆ นั้นมีภูมิปัญญามากแค่ไหน แต่สิ่งที่ทั้งคนตาบอดและตามัวต้องรู้คือ ผู้รู้ไม่มีนิสัยจับผิดคน ถ้าท่านพูดอะไรออกมาที่ฟังแล้วเจ็บปวด เช่น เรียกคนว่าโง่ดักดานหรือบ้าระดับสามัญอะไรเหล่านี้ แสดงว่า ท่านต้องเห็นเช่นนั้นจริง ๆ ไม่ใช่พูดกวนให้คนโกรธเล่น พูดแรงเพื่อต้องการช่วยเหลือคนอย่างแท้จริง คนฟัง นอกจากจะไม่โกรธแล้ว ยังควรต้องสำรวจตัวเองให้ถ้วนถี่ด้วยว่าตนเองมีความมืดในระดับไหน เพราะถ้าผู้รู้ไม่เปิดปาก ไม่มาอวดอุตริมนุสธรรมเช่นนี้แล้ว คนตาบอดจะไม่มีวันเห็นแสงแห่งธรรมเป็นอันขาด จะโง่ดักดานและมืดสนิทเช่นนี้อีกนานชั่วกัปชั่วกัลป์ ก่อนที่ใครจะพูด ตัดสินอะไรใคร ต้องคิดให้ดีเสียก่อน คิดผิด พูดผิด ทำผิดแล้ว จะเป็นบาปหนักโดยไม่รู้ตัว ระวังให้ดี    

 

ปัจฉิมพจน์ 

 ชีวิต จักรวาล และสังสารวัฏอันยิ่งใหญ่นี้ ย่อมมีความลึกลับซับซ้อนอันเป็นลักษณะเด่นอยู่เสมอ การเห็นสัจธรรมอันสูงสุดของธรรมชาติไม่ได้หมายความว่าผู้นั้นสามารถเข้าใจความลึกลับทั้งหมดของจักรวาลและสังสารวัฏได้ สภาวะที่เกิดญาณหรือตรัสรู้นั้น เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการรู้ใบไม้กำมือเดียวที่เพียงพอต่อการดำเนินชีวิตอย่างเป็นอิสระจากความทุกข์และหลุดพ้นจากคุกอันมหึมาของสังสารวัฏเท่านั้น ใบไม้ที่เหลือในป่ายังมีอีกมากมายเหลือคณานับ ที่แม้คนเกิดญาณแล้วก็ไม่สามารถเข้าใจความลึกลับของมันได้อย่างเต็มที่และถ่องแท้ นี่คือส่วนที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อทำความเข้าใจมัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เสียทั้งเวลาและทรัพยากรโดยใช่เหตุ ปัญญาชนเหล่านั้นจะพบคำถามมากกว่าคำตอบ ชีวิตมนุษย์สั้นเกินกว่าที่จะมาเสียเวลากับสิ่งที่มีความสำคัญน้อยกว่าเรื่องดับทุกข์ ผู้มีปัญญาย่อมขวนขวาย เสาะแสวงหาทางดับทุกข์อย่างทันทีทันใด ให้สมกับเป็นผู้โชคดีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา  

 เราหวังว่า หนังสือเล่มนี้คงช่วยให้กำลังใจแก่คนไม่มากก็น้อย ขอให้เร่งรีบหาความสว่างแก่ชีวิตด้วยความไม่ประมาทเถิด