บทที่สาม วิเคราะห์เหตุการณ์ย้อนหลัง

 

ใครจะรับประกันให้ได้

ตอนนี้ ราว ๒๕ ปีผ่านพ้นไปแล้ว มามองย้อนกลับไปที่เหตุการณ์อันวิเศษมหัศจรรย์นั้น ก็รู้ได้ว่า นั่นคือสภาวะแห่งการหลุดพ้นด้วยพลังสมาธิ หรือ เจโตวิมุตติอย่างแน่นอน ใครที่ละเอียดหน่อย ก็จะจดวันเวลาที่แน่ชัดไว้เหมือนหลวงตามหาบัว ท่านคงต้องจดวันเวลาแห่งการหลุดพ้นของท่านไว้แน่  ท่านจึงสามารถอ้างวันเวลาได้ชัดเจนว่าเกิดเมื่อไรแม้จะผ่านไปสี่ห้าสิบปีแล้วก็ตาม เราไม่ได้จดไว้ แม้ผ่านมาเพียง ๒๐ กว่าปีก็จำไม่ได้ว่าวันไหนอย่างแน่นอน รู้เพียงแต่ว่าเป็นนักศึกษาอยู่ปีสามเท่านั้น อายุราว ๒๒ ปี

คิดว่า หากตอนนั้นเราอยู่ในสถานะที่เป็นพระและมีครูบาอาจารย์ที่มีระดับจิตเท่ากันอยู่ใกล้ชิดละก็ ท่านคงจะย้ำให้เราได้ว่าหน้าที่ต่อตนเองเสร็จแล้ว แต่ก็อย่างว่าแหละ จะไปคุยกับใครได้ สภาวะที่เราได้พบนั้นมันเป็นเรื่องเกินความสามารถของมนุษย์ธรรมดา และเราก็ไม่ได้อยู่ในยุคเดียวกับพระพุทธเจ้าที่จะวิ่งไปหาท่านได้ นี่เป็นยุคค่อนกึ่งพุทธกาลมาแล้ว จะให้ใครมารับประกันเราได้ถ้าไม่ใช่ตัวเราเอง แม้จะถามอาจารย์โกวิทอย่างอ้อม ๆ ในช่วงนั้น แต่ระดับจิตของอาจารย์ก็ยังไม่ถึงจุดที่เราถึง ท่านจึงไม่สามารถอนุเคราะห์เราได้ 

 

เกิดผิดเพศ

มาคิดอีกว่า ถึงแม้จะไม่มีครูบาอาจารย์ที่เราพอจะคุยด้วยได้ก็ตาม แต่หากเราเป็นผู้ชาย เราก็คงจะขอบวชได้ทันที และสามารถจะหลีกเร้นเข้าป่าได้ทันทีเช่นกัน เพราะสภาวะใจของเราในขณะนั้นสะอาดหมดจดอย่างถึงที่สุดแล้ว ฉะนั้น วิถีชีวิตของพระเท่านั้นที่จะรองรับสภาวะใจที่สะอาดหมดจดนั้นได้ และเราคงจะสามารถหล่อเลี้ยงสภาวะแห่งความหลุดพ้นนั้นให้อยู่อย่างถาวรได้ น่าเสียดายที่ไม่ใช่เพียงแค่ไม่ได้เป็นสมมุติสงฆ์เท่านั้น ยังเป็นเพศหญิงด้วย จู่ ๆ จะให้ทิ้งแม่ไปบวชชีและอยู่ป่านั้นมันก็ทำไม่ได้ทันที เพราะรู้ว่าแม่ห้ามเราบวชชีอย่างเด็ดขาด ต่อต้านมาก แม้จะได้พยายามทำทีหลังเมื่อตอนไปอยู่พะเยาก็ยังไม่สำเร็จ เพราะทำให้แม่เป็นทุกข์มาก เรานี่ช่างเกิดผิดเพศจริง ๆ

เมื่อไม่สามารถใช้ชีวิตที่สมกับสถานะแห่งความเป็นอริยะ เราจึงไม่สามารถคงความเป็นอริยะนั้นได้ถาวร เมื่อหลีกเร้นไปอยู่ในที่สะอาดหมดจดไม่ได้ และยังต้องอยู่ในโลกของสมมุติ ของสังคมที่ยุ่งเหยิงเต็มไปด้วยความสกปรกโสมมของกิเลส มันก็เหมือนกับเพชรเม็ดงามที่รับการเจีรนัยมาอย่างดีแล้ว แต่ทั้งเจ้าตัวและคนรอบข้างไม่ได้ช่วยกันทะนุถนอม กลับเอาสิ่งสกปรกไปป้ายไปโป่ะให้มัน ความเจิดจ้าของเพชรงามเม็ดนี้จึงค่อย ๆ มัวหมองไปอีก ที่เห็นได้ชัดคือ ตอนที่ถูกขอร้องให้ไปเล่นลิเกอีก ทั้ง ๆ ที่สภาวะใจเราไม่เอาด้วยแล้ว แต่ก็ยังทำไป นี่คือการเอาของสกปรกมาสาดให้ตัวเองทั้ง ๆ ที่ได้อาบน้ำสะอาดมาแล้ว

นี่ก็เป็นสภาวะการบรรลุธรรมของฆราวาสหญิงที่เกิดขึ้นในยุคค่อนกึ่งพุทธกาลมาแล้ว เมื่อมาบรรลุธรรมในสังคมเมืองที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายเช่นนี้ สภาวะหลุดพ้นจึงหายไปได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ใครไม่มีประสบการณ์ด้วยตนเองแล้วจะไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้  เป็นสิ่งที่ควรเล่าเอาไว้ คนอื่นอาจจะมีประสบการณ์เช่นนี้ได้ เขาจะได้รู้ว่าควรทำอย่างไรกับตนเอง

 

ทำไมพระอรหันต์จึงต้องทำอานาปานสติ

ตอนนี้ จึงเข้าใจแล้วว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงยังทรงสอนให้สาวกที่เป็นพระอรหันต์ของท่านทำอานาปานสติอยู่ โดยท่านให้เหตุผลว่าเพื่อความมีสติและความสุขในปัจจุบัน ตรงนี้เองที่เขาพูดกันว่า หากใครเป็นพระอรหันต์แล้วไม่บวชภายใน ๗ วันนั้นจะต้องตาย เราก็ไม่รู้ว่าคนเอาส่วนนี้มาจากไหน แต่คิดว่าความตายนั้น น่าจะหมายถึงสภาวะของความหลุดพ้นนั้นสามารถเลือนหายไปได้เหมือนที่เกิดขึ้นกับเรามากกว่า เราแน่ใจว่า ได้อ่านพบในพระไตรปิฎกฉบับประชาชนของอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ถึงเรื่องการปรับอาบัติพระสงฆ์ในครั้งพุทธกาลในทำนองว่า หากพระรูปไหนที่ทำผิดวินัย(คิดว่าคงจะเป็นวินัยเล็กน้อยมากกว่า)ในขณะที่เป็นพระอรหันต์และมาสูญเสียสภาวะในภายหลังแล้ว พระรูปนั้นจะไม่ถูกปรับอาบัติ คืออาบัติที่ทำในระหว่างที่เป็นพระอรหันต์อยู่ เราแน่ใจว่าเราต้องอ่านพบ ช่วงที่อ่านก็พยายามทำความเข้าใจ จึงยังจำได้อยู่เช่นนี้ เว้นเสียแต่ว่าเราตีความผิดเท่านั้น เสียดายว่ายังไม่สามารถค้นหน้านั้นได้อีก นี่คงต้องเป็นเหตผลหลักที่พระพุทธเจ้าทรงสนับสนุนให้แม้พระอรหันต์ที่จบกิจแล้วทำอานาปานสติต่อไปอีก เพื่อเป็นการหล่อเลี้ยงให้สภาวะหลุดพ้นนั้นหยั่งรากลึกมากขึ้น

ฉะนั้น หากใครหลุดพ้นในขณะที่เป็นฆราวาสในครั้งพุทธกาลแล้ว ก็ต้องละจากเพศฆราวาสมาสู่เพศบรรพชิตทั้งสิ้น เพราะเพศฆราวาสไม่สามารถรองรับความบริสุทธิ์ของใจในระดับที่เด็ดขาดนั้นได้ การได้บวชเข้ามาในพระธรรมวินัยเท่านั้นจึงจะสามารถหล่อเลี้ยงให้สภาวะหลุดพ้นนั้นอยู่อย่างคงทนถาวรได้ แต่สภาวะหลุดพ้นของเราก็ไม่ได้หายไปภายใน ๗ วัน มันค่อย ๆ หายไปซึ่งกินช่วงเวลาราว ๖ หรือ ๗ เดือนเห็นจะได้

ตอนนี้ สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมพระอรหันต์มากมายในครั้งพุทธกาลจึงไม่มีบทบาทอะไรมาก เพราะเมื่อท่านหมดปัญหา หมดกิจต่อตนเองแล้ว ก็อยู่ไปเฉย ๆ เท่านั้นเองจนเข้าสู่ปรินิพพาน

 

รู้แต่ต้นกับปลายเท่านั้น

ตอนนี้ พยายามจะเข้าใจเหตุผลที่ทำให้สภาวะของเราหายไปในที่สุด คงต้องอธิบายว่า เพราะพลังของปัญญากับสมาธิไม่สมดุลกัน พูดไป เราก็ยังใหม่มากต่อโลกของธรรมะ เข้ามาศึกษาธรรมะในแนวของสวนโมกข์อย่างจริงจังก็แค่ปีเดียวเท่านั้นเอง เพิ่งจะเริ่มอ่านหนังสือธรรมะอย่างจริงจังในปีนั้น และยังเห็นปริยัติหรือเห็นหัวข้อธรรมต่าง ๆ เหมือนใบไม้ทั้งป่าที่มีกิ่งก้านสาขามากมาย จับต้นชนปลายไม่ถูก แม้จะฝึกสมาธิ ก็ไม่มีครูบาอาจารย์มาสอนอย่างใกล้ชิด เป็นผู้หญิง เข้าใกล้พระมากก็ถูกครหานินทา จึงต้องทำเองไปดุ่ย ๆ ถูกผิดก็ยังไม่ค่อยรู้ แต่ก็ทำไปด้วยใจที่ซื่อ ๆ และไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่าขอให้ทุกข์น้อยลงเท่านั้น แต่เพราะพลังสมาธิที่รุนแรง จึงทำให้หลุดพรวดมารู้ใบไม้กำมือเดียวจริง ๆ คือส่วนของการหลุดพ้นจากความคิด จึงรู้แต่ต้นกับปลายเท่านั้น ส่วนตรงกลางนี่ยังไม่รู้เรื่อง การปฏิบัติธรรมที่ต้องต่อสู้กับกิเลส ทำอย่างไรจริง ๆ ก็ยังไม่ค่อยรู้ ประสบการณ์ชีวิตก็ยังไม่ค่อยมี ยังไม่เดียงสาต่อชีวิต อายุแค่ ๒๒ เป็นผู้หญิงด้วย จึงยังทำอะไรผิดพลาดได้มาก เพราะไม่สามารถเชื่อมโยงปัญญาขั้นสูงสุดในระดับหลุดพ้นมาประสานกับเรื่องราวของโลกสมมุติที่มีแต่ความสับสนวุ่นวายได้ มันเป็นคนละโลกและคนละเรื่องกันอย่างสุดขั้ว

 

ต้องมีพี่เลี้ยง

คนที่หลุดพ้นใหม่ ๆ ก็เปรียบเสมือนกับเด็กแรกเกิดในโลกของพระนิพพาน ยังต้องอาศัยพี่เลี้ยงคอยประคบประหงมชี้แนะจนกว่าจะเคยชินกับความเป็นอยู่ในโลกใหม่ พี่เลี้ยงที่จะประคบประหงมเด็กทารกนั้นได้คือ พระธรรมวินัยหรือวิถีชีวิตของสมมุติสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าสร้างขึ้นมาให้นั่นเอง ถ้าสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นพระอริยเจ้าจริง ๆ ได้แล้ว ประสบการณ์ในโลกใหม่ก็จะมีมากขึ้น หรือจะเปรียบเทียบกับคนเดินทางไกลที่เพิ่งมาถึงเมืองใหม่ที่ยังไม่เคยมา เมืองใหม่นี้คือพระนิพพาน เมื่อมาถึงเมืองใหม่แล้ว ก็ไม่ใช่ว่าหมดเรื่องเสียทีเดียว จะต้องมีการสำรวจเมืองใหม่ที่มาถึงด้วย จึงรู้ว่ามีอะไรอยู่ที่ไหนบ้าง คือ ต้องเรียนรู้ว่าจะอยู่กับสภาวะพระนิพพานอย่างไร ยังมีเรื่องให้ต้องเรียนรู้มากมาย การขาดพี่เลี้ยงหรือวิถีชีวิตที่รองรับความเป็นอริยะของเราจึงน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราสูญเสียสภาวะหลุดพ้นไปในที่สุด

 

รู้ว่าทุกปัญหามาจากต้นตอเดียวกัน

จำได้ว่า ในช่วงที่หลุดพ้นที่กินเวลาราว ๖ ถึง ๗ เดือนนั้น ไปนั่งฟังเลคเชอร์จากอาจารย์แต่ละครั้ง ฟังแล้ว ไม่เข้าใจว่าอาจารย์พูดอะไร และทำไมทุกคนจึงเอาเรื่องไร้สาระมาพูด มาวิเคราะห์ มาแปรเป็นการกระทำ จนเรื่องไร้สาระกลายเป็นเรื่องจริงจังไปหมด และจริงจังมากด้วย เช่น พูดเรื่องระบบเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ซึ่งเป็นความรู้ที่ทุกคนต้องเอาจริงเอาจังกับมัน เห็นทุกคนเคร่งเครียดและเป็นทุกข์เพราะไปจริงจังกับความรู้เหล่านั้น ซึ่งเป็นผลพวงของความคิดที่เราเห็นชัดว่ามันไร้สาระในโลกของความหลุดพ้น จึงรู้สึกแปลกมากและไม่เข้าใจคนรอบข้าง สงสัยบ่อยว่า เขาเรียนอย่างนั้นกันทำไม เขาทำกันอย่างนั้นทำไม เขาเครียดทำไม เขาไม่รู้หรือว่าความรู้ทั้งหลาย หนังสือทั้งหลาย ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งเพ ทำไมจึงต้องเอาจริงเอาจังกับมันอย่างนั้น เขาไม่รู้หรือว่าปัญหาสังคมเกิดขึ้นเพราะมนุษย์ไม่สามารถหลุดออกจากความคิด ซึ่งเป็นความรู้สึกที่รุนแรงมากโดยเฉพาะในเดือนแรกที่เกิดเหตุการณ์พิสดารทางใจ รู้สึกเบื่อจนอยากอาเจียนในบางครั้ง 

ในขณะที่เราฟังอาจารย์สาธยายเรื่องปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ  และพยายามจะหาหนทางแก้ไขนั้น เรากลับมองออกได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าปัญหาสังคมทุกอย่างไม่ว่าจะใหญ่เล็กตั้งแต่ระดับครอบครัวจนถึงระดับชาติและระดับโลกนั้น มันล้วนเกิดมาจากต้นตอเดียวกันทั้งนั้น คือ ความไม่รู้เท่าทันมายาของความคิด จึงไปติดความคิด และแสดงออกตามสิ่งที่ความคิดอันมีโลภ โกรธ หลง บอกให้ทำ โลกจึงวุ่นวายเต็มไปด้วยปัญหาทุกหย่อมหญ้า แม้เราจะมองออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่เราก็ไม่สามารถบอกอาจารย์ให้เข้าใจได้ในขณะนั้น ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ประสานไม่ได้

 

ทำรายงานปรัชญาได้ดีที่สุด

จำได้ว่า เมื่อถึงเวลาทำรายงาน เราจะพยายามพูดและโยงเนื้อหาที่เรียนให้เข้าสู่เรื่องความไร้สาระของความคิดให้ได้ บางวิชาก็พูดโยงไม่ได้ง่าย ๆ แต่เราก็โยงมันดื้อ ๆ ไม่สนใจว่าใครจะอ่านรู้เรื่องหรือไม่  อาจารย์ท่านหนึ่งอ่านแล้วถามว่า “เขียนอะไรน่ะ  อ่านไม่รู้เรื่องเลย” จะให้ตกก็เกรงใจ จึงให้แค่ผ่านเท่านั้น วิชาเดียวที่ทำได้ดีที่สุด คือปรัชญา เพื่อนส่วนมากไม่รู้ว่าจะเอาเนื้อหาอะไรมาเขียน แต่เราเขียนออกมาเป็นตุเป็นตะ เป็นเหตุเป็นผล และโยงเข้าสู่เรื่องความไร้สาระของความคิดได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่เพื่อน ๆ เขียนได้เพียงไม่กี่หน้า เราเขียนได้ถึง ๒๐ กว่าหน้า จำได้ว่าเย็บเป็นเล่มเลย อาจารย์ปรัชญาเป็นคนอเมริกันชื่อสตีฟ ให้เกรดเอบวกในรายงานฉบับนั้น ชมว่าเราทำได้ดีมาก เพื่อน ๆ สงสัยว่าเราเอาอะไรมาเขียนได้มากมาย     

 

กิเลสมากับความคิด

บางคนอาจจะสงสัยว่าเราหลุดพ้นได้อย่างไร เพราะไม่ได้เล่าเรื่องการต่อสู้กิเลสเลย แล้วจะเรียกว่าหลุดพ้นได้อย่างไร ตอนนี้ถึงอธิบายเป็นเหตุเป็นผลได้ว่า กิเลสทั้งสามตัวมากับความคิด ฉะนั้น เมื่อหลุดจากความคิด ก็คือหลุดพ้นจากกิเลสนั่นเอง โลภ โกรธ หลง มากับความคิดทั้งนั้น ความคิดเป็นพาหะให้กิเลสทั้งสามตัวนี้เกาะติดมาได้ ทุกครั้งที่คนเราคิด ไม่ว่าจะคิดอะไรก็ตาม ถ้าไม่คิดโลภ ก็คิดโกรธ ไม่ก็คิดหลง โดยเฉพาะกิเลสตัวหลง ซึ่งก่อนหน้านั้นเราไม่เข้าใจ แม้คนปฏิบัติธรรมก็เข้าใจได้ยากมาก ตัวหลงไม่มีหน้าตาให้เห็นชัดเหมือนตัวโลภกับตัวโกรธ  แต่หลังจากประสบการณ์พิสดารทางใจนั้นแล้ว เราสามารถเข้าใจกิเลสตัวหลงได้ดีทีเดียว รู้ว่าเมื่อใจอยู่แนบกับจิตหรือความคิด ใจก็หลงคือเห็นทุกอย่างเป็นสมมุติไปหมด เมื่อใจหลุดจากจิตหรือความคิด ใจจึงหลุดจากความโลภ ความโกรธ และหลุดจากความหลงด้วย หลุดออกจากโลกสมมุติ และออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง หรือโลกของตถตา โลกที่ทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง หรือโลกพระนิพพาน

 

ต้องเผาหนังสือถ้าอยากไปนิพพาน

ใครที่พอจับจุดนี้ได้ จะต้องพยายามหัดดีดความคิดออกตลอดเวลา เพราะความคิดคือตัวพาหนะของกิเลส ถ้าดีดความคิดออกก็คือดีดกิเลสออกได้ โดยเฉพาะกิเลสตัวความหลงนั้น ขจัดมันไม่ได้ง่าย ๆ จะไปเข้าใจมันอย่างเข้าใจตัวโทสะกับโลภะนั้นไม่ได้ จะเข้าใจมันได้ก็คือ ต้องหลุดออกจากความคิดแล้วเท่านั้น ฉะนั้น ถ้าพลังสมาธิยังไม่แรงพอที่จะดีดใจให้หลุดออกจากจิตหรือความคิดแล้ว ความหลงจะอยู่กับใจเป็นขั้นพื้นฐานเสมอ ตอนนั้น ถึงมองชัดมากว่า อ่านหนังสือไม่ได้ แม้หนังสือธรรมะก็ยังเป็นอุปสรรคอย่างมหันต์ที่จะเข้าประตูพระนิพพาน อาจารย์นิกายเซ็นบางท่านจึงบอกให้เผาหนังสือธรรมะเลย ถ้ายังไม่ยอมเผาหนังสือละก็ จะเข้าประตูพระนิพพานไม่ได้เด็ดขาด

เรื่องทิ้งหนังสือนี่ย่อมนับว่ายากมากสำหรับคนรักหนังสือ รักการอ่าน ตรงนี้เราได้อธิบายไว้ในบทสุดท้ายของหนังสือคู่มือชีวิตอย่างชัดเจนแล้วว่า เมื่อไรควรอ่านหนังสือธรรมะ และเมื่อไรไม่ควรอ่าน

 

ไม่ใช่เป็นวิสัยของปุถุชนจะรู้ได้

จำได้ว่า ไม่กล้าอาจเอื้อมที่จะคิดว่าตนเองหลุดพ้นแล้ว แม้สภาวะในใจได้ฟ้องอย่างชัดเจนว่าหลุดแล้วก็ตาม รู้แต่ว่า ธรรมหรือประสบการณ์ที่เรามีอยู่นั้นไม่ใช่เป็นวิสัยที่คนทั่วไปจะเห็นได้ง่าย เพราะคนส่วนมากยังจุ่มอยู่กับความคิดหรือกิเลสอย่างแนบแน่น จึงเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงรำพันว่า ไม่ใช่เป็นวิสัยที่ปุถุชนธรรมดาจะรู้ได้เห็นได้ คนที่มีธุลีในดวงตาแต่น้อยมากเท่านั้นจึงพอจะรู้ธรรมในระดับนี้ได้ เราสามารถเข้าใจคำเปรียบเทียบของพระพุทธเจ้าในคิลิมานนทสูตรว่า เอาเส้นผมเส้นหนึ่งมาแบ่งเป็นสามซีก แม้เพียงซีกเดียวก็ยังคับแคบประตูพระนิพพานเลย อันนี้จริงยิ่งกว่าจริง ตราบใดที่ความคิดหลุดจากใจไม่ได้ ยังแนบเนื่องกันอยู่นั้น ใจชนิดนั้นจะลอดเข้าประตูพระนิพพานไม่ได้เลย นิดเดียวก็ไม่ได้ ใจต้องหลุดจากความคิดอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น ประตูพระนิพพานก็จะกว้างใหญ่มโหฬาร ทีนี้ จะเข้าทางไหนก็ได้

คิดถึงคำพังเพยของไทยว่า ฝนทั่งให้เป็นเข็ม เพราะได้ผ่านพ้นประสบการณ์หลุดพ้นมาแล้ว จึงสามารถดูออกว่ากิเลสของปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งล้วนมีความหนาเหมือนกับทั่งก้อนหนึ่ง ใครที่จะเข้าประตูพระนิพพานนั้น นอกจากจะต้องฝนทั่งนั้นให้บางเท่าเข็มแล้ว ยังต้องฝนเข็มนั้นให้บางต่อไปจนเท่าเส้นผม และหั่นมันเป็นสามซีก แม้เพียงซีกเดียวนั้นก็ยังคับแคบประตูพระนิพพาน เราเห็นตามเช่นนั้นได้จริง ๆ เรื่องการเข้าถึงพระนิพพานจึงเป็นเรื่องยากมาก ยากจนกระทั่งต้องสร้างบารมีกันนับชาติไม่ถ้วน

 

ผู้รู้ทุกท่านอุทานเหมือนกันหมด

จึงเข้าใจว่าทำไมพระพุทธเจ้าทรงดำริที่จะไม่สอนในตอนแรก ผู้รู้ที่มาถึงจุดนี้จะรำพึงคล้ายกันทุกท่านว่าจะไปสอนคนที่ยังหนาด้วยกิเลสให้รู้เรื่องที่ลึกซึ้งละเอียดอ่อนปานฉะนี้ได้อย่างไร ได้ฟังเทปประวัติของพระอาจารย์มั่น ท่านก็เล่าเรื่องที่คล้ายคลึงเช่นกันว่า

“ธรรมที่ท่านพบเห็นนั้นไม่ใช่เป็นธรรมที่คนมีกิเลสจะครองได้ เพราะเป็นธรรมขั้นสูงสุดละเอียดอ่อนอัศจรรย์พูดไม่ถูก ถ้านำไปสั่งสอนคนก็เกรงจะถูกหาว่าเป็นบ้าไป เอาเรื่องอะไรมาสอนก็ไม่รู้ ท่านอาจารย์มั่นรู้สึกหนักใจว่าไม่มีใครรู้เห็นธรรมตามที่ท่านเห็นได้  เห็นจะต้องตายไปพร้อมกับมันเสียแล้วกระมัง”

หลวงตามหาบัวก็เล่าประสบการณ์หลุดพ้นของท่านที่คล้ายกันว่า มันอัศจรรย์มากเสียจนหากเอามาสอนแล้วคนก็จะเห็นว่าท่านบ้า เพราะเป็นความรู้ที่สุดวิสัยของโลกจะเห็นได้ เลิศก็เลยเลิศ อัศจรรย์ก็เลยอัศจรรย์ อยู่คนเดียวดีกว่า

ส่วนเรานั้น ถึงกับรำพันออกมาทันทีหลังจากที่เห็นธรรมวิเศษนั้นว่า

“ตายแล้ว จะให้คนมารู้เรื่องนี้ได้ยังไง”

นั่นเป็นปฏิกิริยาแรกสุด จึงตะลึงมาก

 

 ของคิดกับของจริงไม่เหมือนกัน

ถึงแม้สภาวะได้ฟ้องชัดว่าหลุดพ้นแล้วก็ตาม เราก็ยังไม่อยากโน้มไปคิดว่าเราได้เป็นพระอรหันต์แล้ว เพราะยังมีความทรงจำเก่า ๆ ที่ว่าพระอรหันต์นั้นต้องเลอเลิศจริง ๆ เหนือมนุษย์จริง ๆ แต่สภาวะหลุดพ้นอันคือสภาวะของพระอรหันต์นั้นที่จริงมันธรรมดามากจนหาที่ติไม่ได้ จนไม่มีความตื่นเต้นอะไรเหลืออยู่อีกเลย เพราะขันธ์ ๕ นี้ได้หลอมตัวเข้าไปในกระแสแห่งความเป็นธรรมดาจนไม่มีอะไรเหลือแล้ว ฉะนั้น สัญญาเก่า ๆ หรือสิ่งที่คิดไว้อย่างเลิศเลอหรูหราของความเป็นพระอรหันต์นั้นจึงไม่มีอะไรเหมือนกับสภาวะจริง ๆ เลยแม้แต่น้อยนิด

ในช่วงนั้น เราก็อ่านแต่หนังสือของท่านอาจารย์พุทธทาสและของอาจารย์โกวิทเท่านั้น  ไม่เคยมีโอกาสอ่านหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมของพระป่าทางสายอีสานเลย เพราะมีความรู้สึกว่า เมื่อมาพบสวนโมกข์แล้ว นี่คือธรรมะที่ดีที่สุด ที่ถูกต้องที่สุด และไม่จำเป็นต้องแสวงหาธรรมะในสายอื่นอีกแล้วทั้ง ๆ ที่ไม่เคยไปปฏิบัติธรรมแบบสายอื่นเลย  รู้สึกมีความภาคภูมิใจที่เป็นศิษย์สวนโมกข์จนกลายเป็นความเย่อหยิ่งไปอย่างไม่รู้ตัว เราก็ไม่รู้ว่าลูกศิษย์สวนโมกข์สมัยนั้นคิดเหมือนกับเราหรือไม่ แต่ที่จริงลูกศิษย์ของทุกอาจารย์ก็ต้องคิดว่าอาจารย์ของตนเก่งที่สุดทั้งสิ้น จึงยอมมาเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์นั้นซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ฉะนั้น เราจึงไม่สนใจอ่านหนังสือธรรมะของพระสายอีสานเลย แต่ก็ได้ยินชื่อของหลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่แหวน หลวงพ่อชา  ในขณะที่คนมากมายในเมืองไทยรู้ว่าพระเหล่านี้คือพระอริยเจ้าในระดับต่าง ๆ  โดยเฉพาะหลวงปู่มั่นคือพระอรหันต์แห่งยุคและเป็นพระอาจารย์ใหญ่ของพระป่าในสายอิสาน แต่เรากลับไม่รู้เลยว่าท่านเหล่านั้นคือใคร มีความวิเศษวิโสอะไร ใครเป็นอาจารย์ ใครเป็นลูกศิษย์ และเคยคิดด้วยซ้ำไปว่าสมัยนี้ไม่มีพระอรหันต์อีกแล้ว เคยเห็นเพื่อนอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อเรื่องว่า “ตามรอยพระอรหันต์” จำไม่ได้ว่าใครเขียน เราเห็นชื่อเรื่องแล้วก็ไม่ได้คิดว่าน่าจะมีสาระอะไรมากไปกว่าเรื่องงมงาย สงสัยว่าทำไมเพื่อนคนนี้จึงเอาจริงเอาจังกับหนังสือเล่มนี้มากนัก ตอนนั้นคิดไม่ออกว่าถ้าคนเขียนไม่ได้เป็นพระอรหันต์แล้ว จะเขียนให้คนมาตามรอยพระอรหันต์ได้อย่างไร 

 

เกิดการลักลั่น

ตอนนี้ มามองย้อนเหตุการณ์ในอดีตเช่นนี้ จึงรู้ว่า ในช่วงนั้น เรายังไร้เดียงสามากทั้งต่อโลกของคนปฏิบัติธรรม และโลกสมมุติด้วย ฉะนั้น แม้จะมาเจออาการหลุดพ้นจริง ๆ เข้ากับตัว ก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงประสบการณ์จริงกับพระบัญญัติได้ จึงเกิดการลักลั่น เกิดช่องว่างที่ยังไม่กล้าสรุปอะไรทั้งสิ้นให้แก่ตนเอง ไม่กล้าอาจเอื้อมที่จะคิดว่า เราอาจจะเป็นพระอรหันต์แล้วก็ได้ ในขณะนั้น ไม่กล้าบอกใคร แม้อยากบอก ก็ไม่รู้จะบอกอย่างไร คนจึงจะไม่เข้าใจเราผิด แต่ก็พยายามเรียนรู้ประสบการณ์ที่อยู่เบื้องหน้าอย่างเต็มที่ หลังจากที่เวลาผ่านพ้นไปถึง ๒๕ ปีเศษ เมื่อมีประสบการณ์ทั้งทางโลกและทางธรรมมากขึ้นนี่แหละ เราจึงกล้ามานั่งมองกลับไปยังประสบการณ์เหล่านั้น และเริ่มพูดถึงมันอย่างมั่นใจได้เช่นนี้

ตอนนี้ เราสามารถเห็นได้ชัดว่า การที่ไม่สามารถเทียบเคียงสภาวะจริงกับบัญญัติได้นั้นที่จริงเป็นสิ่งที่ดีกว่า เป็นการผ่านพ้นสภาวะต่าง ๆ ด้วยความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง เพราะไม่ติดในบัญญัติ คนที่รู้บัญญัติมากจะพยายามเทียบเคียงบัญญัติเสมอจนกลายเป็นอุปสรรคในการบรรลุธรรมขั้นสูง 

 

พลังสมาธิก่อให้เกิดพลังทางกาย

จำได้ว่า หลังจากที่เรากลับจากสวนโมกข์ครั้งแรกไม่นาน และก่อนหน้าที่เราจะมีประสบการณ์หลุดพ้นครั้งที่สอง แต่จะกี่เดือนนั้นจำไม่ได้ เราได้ไปปฏิบัติธรรมที่ถ้ำโพธิสัตว์ อำเภอแก่งคอย สระบุรี เป็นครั้งแรกโดยไปกับเพื่อน ๆ ที่ชุมนุมพุทธอีก คืนนั้น กว่าจะถึงก็มืดค่ำแล้ว ต้องเดินจากถนนใหญ่ราว ๑๐ กิโลกว่าจะถึงวัดที่อยู่ติดเขา เหนื่อยมาก แต่ก็สนุกและเต็มไปด้วยปีติ เพราะรู้ว่ากำลังทำในสิ่งที่ดี  หลวงพ่อคำตันเป็นพระเจ้าอาวาสในขณะนั้น 

คืนหนึ่ง หลวงพ่อคำตันพาพวกเรานักศึกษาทำสมาธิทั้งคืนในถ้ำ ทำทั้ง ๔ อิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง นอน จำได้ว่า สมาธิของเราดีมาก ใจสงบนิ่ง เมื่อถึงรุ่งเช้า สังเกตได้ว่าเรามีพลังทางกาย ยืนอยู่มุมหนึ่งของถ้ำและออกกำลังกายอย่างช้า ๆ เหมือนท่ารำไท้เก็ก ทำช้ามาก ท่าออกกำลังกายเหล่านั้นเกิดขึ้นเองโดยที่เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำ และเราก็ไม่รู้ว่าไปรู้มาจากไหน แต่ก็มีสติอยู่กับการเคลื่อนไหวตลอดเวลาโดยที่ไม่ได้ต้องพยายามกำหนดสติแต่อย่างใด มันรู้เอง เกิดเอง และเป็นการรู้อย่างละเอียด ประณีตมาก ก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เอาพลังมาจากไหนก็ไม่รู้

เช้าวันนั้น มีพลังทางกายล้นจนรู้สึกตาค้าง จำได้ว่า กำลังถือแก้วน้ำอยู่ แต่ก็คุมการเคลื่อนไหวของมือและแขนไม่ค่อยอยู่ มันจะเหวี่ยงออกไปเรื่อยโดยที่เราบังคับอะไรไม่ได้ พอดีมีช่างไม้กำลังไสไม้อยู่ในวัด เราเห็นเขาไสไม้ ก็อยากทำ อยากใช้พลังที่มีอยู่ในตัว จึงไปขอเขาทำงาน คนงานให้เราไสไม้ เราไสจนเข้าเนื้อไม้มากเกินไป ช่างไม้ถามว่า “เออ…ทำไมมีแรงมากอย่างนี้” เราพยายามจับปากกาเพื่อเขียนชื่อตัวเอง แต่ก็กดปากกาหนักจนทะลุกระดาษไปหลายแผ่น และก็ลากเส้นวน ๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ถามตัวเองว่าบ้าหรือเปล่า แล้วก็เดินเรื่อยไป ไปดูปลาในลำธาร และพูดกับปลา เดินเรื่อยเปื่อยจนไปถึงอีกด้านหนึ่งของวัด พบพระอีกรูปหนึ่งกำลังเทศน์ให้โยมฟัง ท่านเห็นเราแล้วก็คงทราบว่าเราไม่ปกติ จึงบอกให้เราหยุดทำสมาธิแบบหลับตา และใช้ให้เราทำงานโดยให้ถังน้ำอลูมิเนียมแบบหนา ๒ ถัง และบอกให้เราไปตักน้ำจากด้านหนึ่งของลำธารที่มีทั้งน้ำ ขี้ดินและกรวดทราย และเอามาเทอีกด้านหนึ่งของวัดเหมือนกับสร้างเขื่อนเล็ก ๆ  เราก็ทำได้ เราสามารถหิ้วถังน้ำหนัก ๆ ที่มีหิน ดิน กรวด ทรายได้ทีละ ๒ ถังโดยไม่รู้สึกหนักเลย สามารถเดินลิ่ว และนำไปเทตรงที่พระท่านบอก เราทำอยู่คนเดียว สามสี่วันผ่านไป พลังกายของเราค่อย ๆ จางหายไป แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง พระท่านก็ไม่ได้อธิบายให้เราเข้าใจ เราก็ไม่รู้ว่าจะถามอย่างไร กลับมากรุงเทพพร้อมกับประสบการณ์ที่แปลก ๆ นั้น นี่เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่จะหลุดพ้นครั้งที่สอง แต่กี่เดือนนั้นจำไม่ได้ 

 

ใจรวบได้เร็ว

ตอนนี้จึงเข้าใจเรื่องพลังสมาธิว่าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย และที่จริงเป็นเรื่องอันตรายมากหากไม่มีครูบาอาจารย์มาควบคุมอย่างใกล้ชิด หากตอนนั้นเราเป็นผู้ชายหรือเป็นพระและพอรู้ว่าเรื่องสมถะสามารถพัฒนาไปสู่การได้อภิญญาต่าง ๆ ละก็ เราอาจจะขวนขวายเพื่อพัฒนาเรื่องสมถะภาวนาให้สูงได้เพราะใจเรารวบได้เร็วมากแม้จะฝึกทำสมาธิไม่นานก็ตาม แต่ตอนนั้น เรายังไม่ได้ศึกษาธรรมมากนัก ยังไม่ได้อ่านหนังสือธรรมะอย่างกว้างขวางและแตกฉาน ไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก พอดีดิ่งมาทางสวนโมกข์สายเดียว ไม่ได้สนใจการปฏิบัติของสายอื่น จึงไม่มีจิตโน้มเอียงไปทางด้านอภิญญาหรือมุ่งเรื่องอิทธิปาฏิหารย์เช่นเรื่องหูทิพย์ตาทิพย์แต่อย่างใด มีแต่จิตซื่อ ๆ ที่ใคร่อยากให้ความทุกข์ในใจน้อยลงเท่านั้น 

คิดว่า คงเป็นเพราะพลังสมาธิที่ได้สั่งสมมาจากอดีตชาติและชาตินี้ด้วยนั่นเองที่ทำให้เรามีประสบการณ์การหลุดพ้นทั้งสองครั้ง เป็นการหลุดพ้นที่เรียกว่า เจโตวิมุติ คือ หลุดพ้นด้วยพลังของสมาธิ

 

เอาเรื่องหลุดพ้นเรื่องเดียวก็พอแล้ว         

พูดเรื่องหูทิพย์ตาทิพย์ เรามีลูกศิษย์ฝรั่ง ๕ คนที่มาเรียนไท้เก็กกับเราในช่วงเวลา ๑๒ ปีนี้ มาบอกเราว่าเขาสามารถเห็นรัศมีที่อยู่รอบศรีษะคน ดังที่ฝรั่งเรียก aura และเป็นประสบการณ์ที่เพิ่งเกิดกับเขาในชั้นไท้เก็กของเรา นี่ก็เป็นลักษณะหนึ่งของพวกที่มีตาทิพย์ ที่จริง เราเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะเน้นสอนให้คนมีตาทิพย์ แต่เพราะเราสอนสมาธิ ใครที่มีบุญวาสนาบารมีมาแต่ปางก่อนแล้ว เมื่อมาฝึกสมาธิเข้าหน่อย ความสามารถหรือบุญวาสนาเก่า ๆ เหล่านี้ก็จะสามารถปรากฏออกมาอย่างง่ายดาย แต่แม้ทุกวันนี้ เราเองก็ไม่มีความสามารถพิเศษเหล่านั้นในตนเองเลย ไม่เคยสนใจฝึก เพราะเมื่อสามารถเห็นธรรมในระดับหลุดพ้นได้แล้ว ก็เห็นว่าไม่มีอะไรจะดีกว่านี้อีกแล้ว มีหูทิพย์ตาทิพย์อาจจะกลายเป็นเรื่องทำให้ตัวเองเสียดุลย์ทางธรรมก็ได้ คิดว่า หากเรามีบุญวาสนาบารมีมาทางนี้จริง ๆ ละก็ หากมันจะเกิดก็คงเกิดเอง ถ้าไม่เกิดก็จะไม่สรรหา เอาเรื่องหลุดพ้นเรื่องเดียวก็พอแล้ว