บทที่ห้า เข้าสู่สนามรบภายใน

 

เพื่อนที่แสนดีหายไป

เมื่อรู้ตัวว่าใจเริ่มวุ่นเช่นนั้น การต่อสู้ในภายในเพื่อให้ใจหยุดส่ายจึงเกิดขึ้น เพราะเรารู้แล้วว่า สิ่งที่ต้องทำให้ได้คือดีดความคิดเหล่านั้นออกให้หมดโดยการย้ายใจมาอยู่ที่ฐานของสติให้ได้

จำได้ว่าในช่วงเวลาเกือบ ๓๐ ชั่วโมงที่นั่งอยู่บนรถไฟจากสงขลามากรุงเทพนั้น เรากำหนดสติอยู่ที่ลูกประคำตลอดเวลา โดยที่นิ้วหัวแม่มือจะเคลื่อนลูกประคำอยู่ตลอดเวลา และเอาใจกำหนดอยู่ที่ความรู้สึกที่หัวแม่มือนั้น นอกจากตอนที่เผลอหลับไปเท่านั้น แต่พอรู้ตัวเมื่อไร ก็จะกำหนดไปที่ลูกประคำทันที จำได้ชัดว่าเป็นการต่อสู้ที่เจ็บปวดมาก ความคิดมาจากไหนก็ไม่รู้ถล่มทะลวงอยู่ในหัวเราได้อย่างไม่ขาดสาย หาช่องว่างระหว่างความคิดไม่ได้เลย และทุกความคิดที่แล่นเข้ามานั้น ใจก็เข้าไปเกาะแน่น สร้างภาพมายาหลอกลวงเราว่ามันเป็นจริงและเป็นปัญหา แต่เราก็สู้ไม่ถอยเหมือนกัน เป็นการสู้กับตัวเองอย่างหมัดต่อหมัด พยายามดึงเอาปัญญามาพูดกับตัวเองว่า ความคิดความรู้สึกเหล่านั้นมันไม่จริง มันเพียงมาหลอกให้เรากลัวเท่านั้น พอตัดกระแสความคิดไม่ทัน หัวใจก็ถูกข่วนด้วยความรู้สึกที่หลากหลายอย่างไม่ลดละ ล้วนแต่เป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดทุกข์ทรมานทั้งสิ้น บางความคิดก็ก่อให้เกิดความกลัว บางความคิดก็ก่อให้เกิดความละอายใจชนิดที่อยากจะแทรกแผ่นดินหนี บางความคิดก็ก่อให้เกิดความเศร้า เหงาหงอย และโดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก แม้จะพยายามกำหนดสติอยู่ที่ลูกประคำมากเท่าใดก็ตาม เราก็ไม่สามารถดีดความคิดเหล่านั้นออกอย่างง่ายดายเหมือนที่เคยทำได้มาก่อน ความสงบอันเป็นเพื่อนที่แสนดีของเราเมื่อตอนอยู่พะเยาเมื่อไม่กี่อาทิตย์นี่เองหายไปอย่างไม่มีร่องรอย ยิ่งเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งละอายใจว่าเราเคยเขียนจดหมายให้กำลังใจคนอื่น แต่มาบัดนี้เรากลับทำไม่ได้เสียเอง

ตอนนั้น คิดสรุปเองว่า เราก็คือปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งที่ยังแน่นหนาไปด้วยกิเลสเหมือนกับคนทั่ว ๆ ไป เห็นตนเองเป็นคนพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง

 

เหมือนเททิงเจอร์ใส่แผลสด

ที่จริง คนที่ปฏิบัติธรรมอย่างถูกทางแล้ว จะเห็นความเลวของตัวเองมากกว่าเห็นของคนอื่น เพราะการถูไถเสียดสีอยู่กับความคิดของตนเองอันเป็นพาหะของกิเลสนั่นเอง ถ้าใครปฏิบัติธรรมแล้วเห็นความเลวของคนอื่นมากกว่าของตัวเองแสดงว่ายังไปไม่ถึงไหน ยังคลำไม่พบทาง

ตอนนี้ จึงรู้ว่า การต่อสู้กับสงครามภายในเช่นนั้นของเราเป็นการปฏิบัติจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานชนิดที่แลกกันหมัดต่อหมัด ถูกต่อยมาหมัดหนึ่ง เราก็กระแทกกลับไปหมัดหนึ่งเช่นกัน บางครั้งก็ถูกคู่ต่อสู้ แต่บางครั้งก็ไม่ถูก หรือจะเปรียบเทียบได้เหมือนกับการชำแหละเอาเนื้อร้ายทิ้งโดยไม่ต้องใช้ยาสลบ คือ เฉือนเอาเนื้อร้ายออกมาทั้งอย่างนั้นเลย หรือเอาทิงเจอร์เทลงไปในแผลสด ๆ ที่สร้างความเจ็บปวดมาก

ถ้าไม่มีการต่อสู้ในภายในแบบหมัดต่อหมัดเช่นนี้แล้ว กิเลสจะไม่ถูกทรมานหรือถูกหวดอย่างเจ็บ ๆ เมื่อกิเลสไม่ถูกทรมาน มันก็ไม่ฝ่อ ไม่ตาย ปัญญาจะไม่แก่กล้าพอที่จะมาเห็นฐานที่สี่หรือพระนิพพานได้ แต่มันเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดมาก เป็นการเข้าสนามรบที่มีเราคนเดียวอยู่ฝ่ายหนึ่ง ส่วนฝ่ายศัตรูนั้นเล่า มีมากมายนับไม่ถ้วน เข้ามาอย่างมากหน้าหลายตายั้วเยี้ยไปหมดรอบข้าง เหมือนกับเรายืนตรงกลางและถูกล้อมด้วยศัตรูเป็นวงกลม และเราต้องสู้ให้ทันศัตรูทุกคนที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ตัวเรา สติต้องไวและแข็งแกร่งมาก ต้องตื่นตัวตลอดเวลา ไม่เช่นนั้น ก็ต้องตายคามือศัตรู

 

ต้องทำตลอดเวลาจริง ๆ

ฉะนั้น สงครามภายในจึงเป็นสิ่งที่เราต้องสู้ตลอดเวลาไม่ว่าขณะนั้นกายจะกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม ใจต้องสู้ด้วยพลังแห่งสติตลอดเวลา หยุดสู้ไม่ได้ ถ้าไม่เอาสติเข้าห้ำหั่น ไม่มีวันชนะมารแน่ แพ้ลูกเดียว

จุดนี่แหละคือความยากยิ่งของการปฏิบัติธรรม ยากจนน่าขนลุกขนพอง คนที่คิดว่าวัน ๆ หนึ่งได้นั่งสมาธิพอหอมปากหอมคอสักชั่วโมง แล้วคิดว่าพอออกจากสมาธิแล้วก็แล้วกัน ไม่ต้องทำอะไรอีกนี่เรียกว่าคิดผิด ยังไกลมาก การทำสมาธิแบบหลับตานั้นเป็นเรื่องเสริมเท่านั้น ที่ถูกแล้วต้องดูใจตลอดเวลาต่างหาก คำว่าตลอดเวลา คือต้องมีสติตลอดเวลาจริง ๆ ยกเว้นตอนหลับสนิทเท่านั้นเอง คนฟังแล้วต้องกลัวแน่ นึกไม่ออกว่าจะให้มีสติตลอดเวลาได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ ที่จริงมันเป็นไปได้ ใครอยากเป็นพระอรหันต์ก็ต้องทำอย่างนั้น เพราะนี่เป็นการเตรียมตัวให้อยู่อย่างพระอรหันต์นั่นเอง พระอรหันต์คือผู้ที่มีสติเต็มเปี่ยมโดยธรรมชาติ

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ถ้าปราศจากความรู้ของท่านแล้ว มนุษย์เราจะอยู่รอดได้ยากมาก เราก็ไม่รู้คนจะเข้าใจได้แค่ไหนนะ แต่เรานี่ซึ้งจนไม่รู้จะพูดยังไง ถ้าไม่ได้ความรู้ของท่านในเรื่องการฝึกสติปัฏฐานสี่แล้วไซร้ มนุษย์เราจะเอาน้ำยาอะไรมาต่อกรกับกิเลส ไม่มีทางเลย แม้มีความรู้ของท่านก็ตาม คนส่วนมากยังถูกกิเลสขี่คอจนโงหัวไม่ขึ้น ฉะนั้น ชาวพุทธเราจะตอบแทนพระพุทธเจ้าได้อย่างคุ้มค่าที่สุดก็เพียงทางเดียวเท่านั้นแหละ คือไปถึงพระนิพพานให้ได้ คนอื่นจะคิดเหมือนเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ละ เราคิดของเราอย่างนี้แหละ  

 

ปลีกตัวไปอยู่ถ้ำ

                   ความทุกข์และความสับสนในช่วงที่เดินทางกลับจากสงขลานั้นยิ่งผลักดันให้เราอยากไปถึงสภาวะที่เคยหลุดพ้นมากยิ่งขึ้นชนิดที่รอแทบไม่ไหวแล้ว เหมือนกับรู้ว่าไฟกำลังจี้อยู่ที่ก้น ต้องหาทางดับไฟนั้นอย่างทันทีทันใด รอช้าไม่ได้

เมื่อกลับถึงกรุงเทพแล้ว จึงตัดสินใจเดินทางต่อไปยังสระบุรี  คิดว่า การหลบไปอยู่ในถ้ำปฏิบัติธรรมคนเดียวเป็นทางเดียวที่จะสามารถช่วยให้จิตใจเราสงบได้ในตอนนั้น จำไม่ได้ว่าได้ไปให้แม่เห็นหน้าหรือเปล่าหลังจากที่ทิ้งแม่ไปนานถึงเกือบสี่เดือนเต็ม คิดว่าไม่ได้ไปมากกว่า เพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายให้แม่ฟังอย่างไรดีถ้าแม่รู้ว่าจะไปอยู่ถ้ำคนเดียว คงต้องทะเลาะกันอีก แต่รู้ว่าได้กลับมาหาแม่เมื่อใจแข็งแกร่งขึ้นบ้างแล้ว และได้เคยพาแม่ไปอยู่ที่ถ้ำค้างคืนกับเรา ซึ่งแม่ก็ชอบสถานที่มาก เพราะร่มรื่น 

                   จำได้ว่า วันหนึ่งมีทั้งพระและชาวบ้านช่วยยกสัมภาระของเราจากบริเวณศาลาส่วนกลางขึ้นไปตามไหล่เขาเพื่อไปถึงถ้ำที่เราเคยอยู่เมื่อก่อนหน้านั้น จากศาลาถึงถ้ำที่เราอยู่นั้นใช้เวลาเดินราว ๒๐ นาทีเห็นจะได้ ในจำนวนพระสองรูปนั้น มีพระต่างชาติรูปหนึ่ง คิดว่าเป็นชาวอินโดเนเซีย จำได้ว่าต้องพูดภาษาอังกฤษกับท่าน ท่านสั่นหัวไปมาด้วยความไม่อยากเชื่อว่า เราจะไปอยู่ในถ้ำที่ไหล่เขาเปลี่ยว ๆ ห่างไกลผู้คนนั้นคนเดียว แต่ก็จำได้ว่า เราไม่มีความกลัวอะไรทั้งสิ้น ตอนนั้น รู้แต่ว่า ต้องการจะปลีกตัวอยู่คนเดียวเท่านั้น

                  

ไม่เห็นอันตรายที่อยู่เบื้องหน้า

เมื่อได้มาอยู่คนเดียวที่ถ้ำเช่นนี้ มีโอกาสได้ทำสมาธิ เดินจงกรม อ่านและเขียนหนังสือตามที่เราชอบและถนัด ใจก็เริ่มสงบและแข็งแกร่งขึ้นมาอีก  เราเอาเครื่องพิมพ์ดีดกระเป๋าหิ้วติดไปด้วย พระท่านได้ทำที่เดินจงกรมราว ๖ ถึง ๗ ก้าวซึ่งได้กลายเป็นบ้านในเวลากลางวันของเรา เวลาที่เราเขียนหนังสืออยู่นั้นก็มีลิงมีค่างห้อยโหนอยู่บนต้นไม้สูง ๆ เบื้องหน้า ลิงค่างบางตัวก็มาเกาะอยู่บนกิ่งไม้ตรงหน้าบ้านของเราพอดี มาจ้องดูเราว่ากำลังทำอะไรอยู่ สำหรับอาหารนั้น บางวันเราก็ลงไปรับอาหารที่ศาลาเอง บางวันพระท่านก็ให้เด็กชาวบ้านนำอาหารขึ้นมาให้ มีบางครั้งที่เราเข้าไปในเมืองและซื้ออาหารจำพวกถั่ว ของแห้งมาเก็บไว้ทานเพื่อจะได้ไม่ต้องลงไปรับอาหารที่ศาลาและไม่ต้องพบหน้าผู้คนเลย สำหรับน้ำนั้น เราสามารถเดินลงไปที่ริมลำธารโดยที่ไม่ต้องผ่านผู้คนเลย ส่วนการเข้าห้องน้ำนั้น เรามักจะเดินเลาะไปด้านหลังของเขาซึ่งมีแง่งหินมากมาย สามารถเดินเกาะไปได้ แต่ต้องระวังมากเพราะระหว่างแง่งหินเหล่านั้นก็คือเหวลึกที่มีต้นไม้ขึ้นคลุม และหน้าผาสูงชัน ไม่มีใครไป มานั่งคิดตอนนี้แล้วก็เห็นว่าที่จริงมันอันตรายมาก ไปเดินอย่างนั้น เดินพลาดนิดเดียวก็ตกเหวตายชนิดที่ไม่มีใครรู้ หาศพก็อาจจะไม่เจอด้วยซ้ำ สัตว์ร้าย งู เสือ ก็น่าจะมี แต่ตอนนั้น ไม่มีความกลัวเลย ไม่ได้คิดเลยว่าอาจจะมีอันตรายมาถึงชีวิตก็ได้ มีแต่ความสงบในจิตใจ สงบจนไม่อยากจะพบหน้าผู้คนเลย จึงหาทางเลี่ยงไม่ไปเข้าห้องน้ำข้างล่าง มาเข้าในป่าอย่างนี้แหละ จะได้ไม่ต้องไปเจอใคร แต่คิดว่าคงต้องขอขมาลาโทษเจ้าป่าเจ้าเขาด้วยก่อนที่จะทำธุรกิจส่วนตัว

                  

อยู่เหนือเงื่อนไขของเวลา

จำได้ว่า เราไม่มีนาฬิกาบอกเวลา อาศัยแต่แสงเดือนกับแสงอาทิตย์ที่ทำให้รู้คร่าว ๆ ว่าเวลาอาจจะเป็นเท่านั้นเท่านี้ ไม่มีความรู้สึกว่าต้องรู้เวลา เวลากลางวันก็จะใช้เวลาอยู่ที่เพิงผาหน้าถ้ำ ทำสมาธิ เดินจงกรม อ่านและเขียนบ้าง แม้จะเอนนอนบ้าง ก็จะกำหนดสติอยู่เสมอ พอถึงเวลามืดค่ำ ก็นั่งอยู่กับความมืดเช่นนั้น ฟังเทปบ้าง เมื่อง่วงก็เข้าไปนอนในถ้ำ ถ้ำนี้จะเข้าถึงก็โดยการปีนจากเพิงผาขึ้นไปสูงราวเมตรครึ่งก็จะถึงปากถ้ำ จากปากถ้ำก็ปีนลงไปอีกเมตรครึ่งเช่นกันก็จะมีบริเวณที่ราบแคบ ๆ พอที่เราจะนอนยืดตัวได้เต็มที่เท่านั้น และอาจจะนั่งได้เบียด ๆ กันสองคนเท่านั้น แต่นอนสองคนไม่ได้ เมื่อเข้ามาในถ้ำนี้แล้ว แม้จะเป็นเวลากลางวันก็จะมืดเกือบสนิท เพราะช่วงที่ปีนลงมานั้นมีหินที่ปิดบังแสงจากปากถ้ำ  เราเข้ามานอนในถ้ำก็ตอนกลางคืนเท่านั้น ถ้านอนไม่หลับ และไม่อยากนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำแล้ว ก็จะปีนออกมานอกถ้ำ เดินจงกรม บางครั้งออกมาถึง ไม่รู้ว่ากี่ทุ่มกี่ยามแล้ว พยายามมองหาพระจันทร์ที่ซ่อนอยู่เหนือร่มไม้ของป่า ด้วยความเป็นคนกรุง แม้จะเห็นตำแหน่งแห่งหนของพระจันทร์ แต่ก็เดาเวลาไม่ได้ บางคืนก็นั่งจ้องดูแสงดาวระยิบระยับอยู่นาน ไม่ง่วงเลย นั่งอยู่อย่างนั้นจนฟ้าเริ่มสางก็มี เป็นสุขมาก

                  

แขกผู้มาในความมืด

จำได้แม่นยำว่า คืนหนึ่ง เราปีนเข้าไปนอนในถ้ำ นอนในถุงนอนที่ทำเองจากเศษผ้าของพี่สาวที่ตัดเสื้อ ก่อนนอน เราก็มักจะกำหนดลมหายใจจนกว่าจะหลับไป คืนนั้น ในขณะที่กำลังกำหนดลมหายใจอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงใบไม้เคลื่อนอยู่ในซอกหินของผนังถ้ำ แสดงว่ามีสัตว์อะไรบางอย่างอยู่ในซอกถ้ำ แล้วเสียงก็ค่อย ๆ ดังมากขึ้น แสดงว่ามันมาใกล้ ในถ้ำนั้นมืดสนิทเพราะเราได้ดับเทียนไขไปนานแล้ว ทันใดนั้น เราเห็นทันทีว่าความกลัวพยายามจะเข้ามาในใจ หัวใจเริ่มเต้นด้วยความถี่สูง ความไวของปัญญาบอกทันทีว่าให้ปกป้องใจก่อนกาย ฉะนั้น แทนที่จะรีบโกยออกมานอกถ้ำ เรารีบเอาถุงนอนคลุมถึงหัว เอามือกำปากถุงไว้แน่น คิดว่าหากเป็นงู มันอาจจะกัดไม่ถึงตัวเรา ซึ่งเป็นความคิดที่โง่มาก เพราะถุงนอนเรามันบางจ๋อยเลย แล้วเขี้ยวงูมันคมขนาดไหน ทำไมจะกัดไม่เข้า พอกำปากถุงนอนแน่นแล้ว เราก็นอนตัวทื่อชนิดที่ไม่กระดุกกระดิก และพยายามกำหนดลมหายใจให้ลึกและป้องกันไม่ให้ความกลัวมาเกาะใจได้ ไม่มีความคิดว่าตายเป็นตายชนิดที่จะเสียสละชีวิตเพื่อธรรมอะไรทำนองนั้น ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลย รู้แต่ว่าจะให้ความกลัวมาครอบงำใจไม่ได้เท่านั้นเอง พอกำหนดลมหายใจได้เท่านั้น หัวใจที่สั่นเต้นเมื่อครู่นี้ก็ค่อย ๆ เริ่มเป็นปกติ และเสียงที่อยู่ในซอกหินก็ดังมากขึ้น สัตว์ตัวนั้นได้ออกมาอยู่บริเวณขาของเรา ได้พาดไปบนขาเรา ในขณะที่เดินพาดไปนั้น เรารู้สึกว่ามีน้ำหนักพอสมควร ไม่ใช่เป็นสัตว์ตัวเล็ก และแล้วเสียงใบไม้ก็ดังแครก ๆ อยู่ที่ข้างลำตัวเรา แต่ไม่ถูกกายเรา ในที่สุด สัตว์ตัวนั้นก็หายเข้าไปในซอกถ้ำอีก

ในขณะที่เหตุการณ์เกิดขึ้นในความมืดสนิทของถ้ำนั้น เราสามารถมีสติที่จะไม่ให้ความกลัวเข้ามารุกรานใจได้แม้มันพยายามจะเข้ามาก็ตามแต่ จนถึงวันนี้ เราก็ยังไม่รู้เลยว่า สัตว์ตัวนั้นเป็นอะไร มันอาจจะเป็นงู หรือหนูตัวใหญ่ หรือกิ่งก่าตัวใหญ่ เราก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะนอกจากเสียงใบไม้ที่มันกระทบแล้ว เราก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นเลย

พอเหตุการณ์เช่นนั้นผ่านไป เราก็น่าจะกลัวและคิดมากว่าอาจจะมีสัตว์ร้ายชนิดอื่นมาทำร้ายเราในครั้งต่อไปก็ได้ แต่ก็แปลกมากว่า พอเหตุการณ์ผ่านไปแล้วก็ผ่านไปเลย ไม่ได้คิดกลัวหรือคิดว่าจะต้องหนีไปอยู่ที่อื่นแต่อย่างใด ก็ยังคงใช้ชีวิตต่อไปเช่นนั้นอย่างธรรมดา ดื่มด่ำกับความสงบของใจและธรรมชาติที่สวยสดงดงามของป่า รู้สึกว่ากำลังอยู่ในสวรรค์แล้ว และถ้ามีทางเลือกก็จะไม่ออกไปจากสถานที่นี้อีก

   

ไปหาพ่อแม่

                   จำได้ว่า ถึงแม้การได้อยู่คนเดียวเช่นนั้นทำให้เราได้เพื่อนที่แสนดีอันคือความสงบใจกลับคืนมาก็ตาม แต่ก็มีบางวันที่เราคิดถึงแม่มาก และรู้ว่าแม่ต้องห่วงเรามากเช่นกัน จึงตัดสินใจกลับไปหาแม่ให้แม่รู้ว่าเราปลอดภัย จำไม่ได้แน่ชัดว่าปฏิกิริยาของแม่เป็นอย่างไรหลังจากที่ไม่ได้เห็นหน้ากันถึง ๕ เดือนเห็นจะได้ ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าดีใจที่เห็นหน้าลูกสาว เราคงค้างที่บ้านไม่เกินสองคืนก็กลับถ้ำ  และได้ชวนแม่ไปดูถ้ำที่เราอยู่ซึ่งแม่ก็ยอมไปกับเรา จำได้แม่นยำว่า แม่ชอบสถานที่มาก ชอบซักผ้าที่ริมลำธาร ได้นอนคุยกับแม่อยู่ที่เผิงผาหน้าถ้ำนั้น แม่บ่นอย่างเดียวว่าถูกมดกัดเท่านั้น เรามีความสุขมากที่เห็นแม่เป็นสุขและรู้ว่าเราได้อยู่อย่างไร แม่ค้างกับเราสองคืนและเราไปส่งแม่ที่ท่ารถให้ท่านกลับกรุงเทพเอง เราไม่ได้กลับด้วย

                   อีกครั้งหนึ่ง เราตัดสินใจไปหาพ่อที่ลพบุรี ช่วงนั้น คงจะเข้าหน้าหนาวแล้ว ราวเดือนธันวาคม พ่อกับพี่ชายเปิดร้านขายเสื้อผ้าอยู่ที่โคกสำโรง ลพบุรี เรารู้ว่า หน้าหนาวที่ร้านมักจะขายดี จึงคิดว่าน่าจะไปให้พ่อเห็นหน้าบ้างและจะได้ช่วยเขาขายของ รู้ว่าพ่อไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราทำ คือชอบไปวัด จึงไม่ได้เล่าอะไรให้พ่อฟังมาก คงจะอยู่กับพ่อไม่เกินสามคืน

 

คิดหนักเรื่องอนาคต

                   จำได้แต่ว่า หลังจากไปเยี่ยมพ่อกับพี่ชายแล้ว ดีใจมากที่กลับมาถึงถ้ำได้ เพราะรู้สึกไม่ชินที่จะออกไปพบหน้าผู้คนและรู้เห็นชีวิตที่ต้องตะเกียกตะกายดิ้นรนเพื่อการเลี้ยงชีพ เห็นว่าชีวิตเช่นนั้นเป็นทุกข์มาก เป็นชีวิตที่สกปรกเพราะคลุกคลีอยู่กับเรื่องของกิเลสที่พูดแต่เรื่องได้เรื่องเสียเท่านั้น เราอยู่ไม่ได้ และรู้สึกสงสารคนทั่วไป

กลับจากหาพ่อครั้งนั้น เริ่มเห็นว่า เราได้ติดความสงบของป่าเขาลำเนาไพรเข้าไปแล้ว ทำให้ต้องคิดถึงอนาคต หากเราเป็นพระป่า เราก็จะอยู่อย่างนั้นได้โดยไม่ต้องออกไปพบผู้คน แต่เรายังเป็นฆราวาสและเป็นผู้หญิงด้วย ถ้าปล่อยให้ติดความสงบของป่าโดยไม่ออกมาพบผู้คนเลยนั้น จะเป็นไปได้สักแค่ไหนในโลกของสมมุติ และการมาอยู่อาศัยวัดเช่นนี้ ถึงแม้จะกินน้อยใช้น้อยอย่างไรก็ตาม ตราบใดที่เรายังไม่ได้เป็นพระเป็นชีที่ประกาศตัวให้คนอื่นอุปถัมส์ค้ำจุนแล้ว ยังไงเราก็ต้องมีเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอยในเรื่องส่วนตัวบ้าง เงินที่ใช้มาก็อาศัยที่พ่อแม่และเพื่อนให้มาซึ่งก็ร่อยหรอจนเกือบหมดแล้วแม้จะประหยัดมากอย่างไรก็ตามแต่

เริ่มมองออกว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะมาใช้ชีวิตเช่นนี้ และจำเป็นที่จะต้องออกไปต่อสู้กับโลกของสมมุติ โลกที่ต้องตะเกียกตะกายหาเงินเพื่อเลี้ยงชีวิตเหมือนคนทั่ว ๆ ไป เมื่อคิดถึงจุดนี้ก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันทีว่าจะทำได้หรือ แต่ก็คิดออกว่า หากเราอยู่ถ้ำไปนานกว่านี้ เราจะยิ่งออกไปเจอหน้าผู้คนได้ยากมากขึ้น จะติดสงบมากจนปรับตัวไม่ได้

                   นอกจากนั้น การมาอยู่เช่นนี้ของเรา แม้จะทำให้ตัวเองเป็นสุขก็ตาม แต่พ่อแม่พี่น้องทางบ้านย่อมห่วงเราเป็นธรรมดา ทุกครั้งที่คิดถึงแม่ หัวใจก็เจ็บปวดด้วยความรักและสงสารแม่อย่างจับใจ คิดว่า หากแม่ต้องนั่งอยู่บ้านเป็นทุกข์เพราะห่วงเราแล้ว เราจะไปนิพพานได้อย่างไร หากเราเป็นสาเหตุให้แม่ต้องเป็นทุกข์แล้ว บาปต้องตกแก่เรา และคิดว่า  เราต้องกลับบ้านเพื่อให้แม่หมดห่วงในตัวเรา แม้จะยากอย่างไร ก็ต้องพยายามประคับประคองใจให้ได้ เพื่อแม่ ถึงจุดนั้น เราพอจะมีความมั่นใจขึ้นมาบ้างแล้วว่า หากใจตกอีก เราต้องทำอย่างไรที่จะช่วยยกใจให้ขึ้นมาอยู่กับความสงบอีก รู้ว่ายาก แต่ทางเลือกของเรามีน้อยมาก 

ในที่สุด เราได้อยู่ถ้ำนี้เกือบสามเดือนเห็นจะได้ เป็นการอยู่ที่นานที่สุด ในช่วงสามเดือนนั้นก็ได้ทำให้จิตใจแข็งแกร่งขึ้นมาก เป็นตัวของตัวเอง ได้อยู่กับเพื่อนที่แสนดีคือความสงบมากขึ้น แต่ก็รู้อยู่ลึก ๆ ว่านั่นคือความสงบเท่านั้น จิตใจของเรายังไม่ได้พัฒนาไปถึงจุดที่เราอยากไปถึงอีกนั่นคือสภาวะที่เราคิดว่าคือการหลุดพ้นอย่างที่เราเคยประสบเมื่อเกือบสองปีก่อนหน้านั้น