บทที่หก เริ่มทำงานหาเงิน
ทำหน้าที่สอดแนม
หลังจากกลับมาบ้านแล้ว เรารู้ว่า ไม่สามารถทำงานในหน่วยงานของราชการได้
เพราะไม่ใช่เป็นคนหัวอ่อน อยากจะทำงานที่มีโอกาสได้ช่วยเหลือคน
งานแรกที่เราได้ทำคือโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเราทำในตำแหน่งคนไข้สัมพัน คือ
ต้องไปคุยกับคนไข้ ดูว่าเขามีปัญหาอะไรกับหมอและพยาบาลบ้างหรือเปล่า พูดง่าย ๆ
ว่าเป็นคนสอดแนมให้เจ้าของโรงพยาบาลนั่นเอง
ตอนแรกเราโง่เกินไป
ไม่รู้บทบาทที่แท้จริงของตัวเอง คิดว่าเขาให้คุยกับคนไข้ ก็ดีเหมือนกัน
เพราะถนัดที่จะคุยกับคนเป็นทุกข์อยู่แล้ว แต่ก็รู้สึกว่า
พยาบาลที่นั่นไม่ค่อยเป็นมิตรกับเราสักเท่าไร มองเราเหมือนเป็นศัตรู
เพราะเขารู้มากกว่าเรา เขารู้ว่า บทบาทของเราคือการมาสอดแนมเขานั่นเอง จำได้ว่า
วันหนึ่งเรานั่งอยู่หลังโต๊ะตัวหนึ่ง
พยาบาลคนหนึ่งเดินมาเปิดลิ้นชักตู้โดยไม่ได้พูดขอให้เราหลีก ดึงลิ้นชักตู้อย่างแรงเพื่อมากระแทกถูกตัวเรา
เรารู้ว่าเขาทำอย่างตั้งใจ เพราะใบหน้าฟ้องว่าไม่ชอบเราเลย
รู้สึกอึดอัดใจมากในตอนแรก ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงไม่ชอบเรา
แต่ก็พยายามทำดีกับทุกคน
จับคนไข้ทำสมาธิ
และแล้ว เราก็เข้าไปเยี่ยมคนไข้ตามห้องต่าง ๆ
รายไหนที่เจ็บหนักมาก ก็คุยกับญาติของเขา ให้ความเป็นกันเอง ยิ้มแย้มแจ่มใส
รับฟังความทุกข์ของเขาด้วยความเข้าใจและเห็นใจ หาคำพูดมาปลอบโยนเขาเท่าที่จะทำได้
คิดว่าเพียงการรับฟังความทุกข์ของคนอื่นอย่างเข้าอกเข้าใจเช่นนี้ก็จะสามารถช่วยเขาผ่อนคลายความทุกข์ได้บ้างก็ยังดี
มีคนไข้คนหนึ่งเป็นเด็กหญิงอายุไม่ถึง ๑๐ ขวบ เป็นมะเร็งที่ขา ต้องตัดขาออก
เราสงสารมาก คอยกลับมาเยี่ยมเยียนและปลอบโยนแม่ของเด็กที่ทุกข์มาก
เมื่อเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ยังตามไปเยี่ยมถึงบ้านครั้งหนึ่ง
สำหรับคนไข้ที่ไม่เจ็บมากนัก
กำลังนอนพักฟื้นนั้น เมื่อเราเข้าไปทักทายและคุยด้วยอย่างเป็นกันเองแล้ว
เราก็บอกให้คนไข้หลับตาและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ อย่าให้เกร็ง และแล้ว
เราก็บอกให้เขาผ่อนลมหายใจเข้าออกลึก ๆ สักสองสามครั้ง
และเน้นให้เขาเอาใจมากำหนดที่ลมหายใจ อย่าคิดอย่างอื่น
เราจะนำคนไข้ทำเช่นนี้อยู่ประมาณ ๕ ถึง ๘ นาที แล้วก็บอกให้เขาลืมตาขึ้นมาช้า ๆ
คนไข้ส่วนมากก็รู้สึกว่าจิตใจเบา สบาย และปลอดโปร่งมากขึ้น ไป ๆ มา ๆ
เราได้ทำให้คนไข้เหล่านั้นทำสมาธิโดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
มาคิดดูแล้ว
เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราจึงทำเช่นนั้น
รู้แต่ว่ามันเป็นธรรมชาติมากที่จะต้องช่วยคนเหล่านั้นให้คลายความทุกข์ในใจเขาบ้าง
แม้จะเพียงไม่กี่นาทีก็ตาม เขาจะคลายทุกข์ได้ ก็ต้องจับเขาหลับตาดูลมหายใจเข้าออก
ซึ่งเราก็สามารถนำให้คนไข้ทำได้โดยไม่ขัดขืนเราเลย เราทำไปอย่างเป็นธรรมชาติมาก
เห็นเป็นเรื่องธรรมดา
ทุกเย็นวันพุทธ
จะมีการเอาหนังหรือสารคดีที่น่าสนใจมาฉายให้คนไข้ดูบนดาดฟ้าของโรงพยาบาล
และก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะไปหาหนังมา
เรามักจะหาอะไรที่มีธรรมะผสมผเสเข้าไปด้วยเสมอ พร้อมกับการพาคนไข้ขึ้นไปบนดาดฟ้า
เรามีความสุขมากกับการเข้าห้องโน้นออกห้องนี้และเข็นคนไข้ขึ้นไปเองโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
และพูดคุยกับทุกคนได้อย่างเป็นกันเอง
เพียงไม่ถึงเดือน
เราก็สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนไข้จนถึงขนาดไปขอเจ้าของโรงพยาบาลว่า
ขอห้องสักห้องหนึ่งให้เราอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อว่าเราจะได้ทำงานล่วงเวลาได้เต็มที่โดยไม่คิดค่าจ้างเพิ่มเติม
เจ้าของโรงพยาบาลเห็นเราลุยงานดีก็ยอมให้ แต่ตอนนั้น เขาก็ยังไม่รู้ว่า
เราไม่ได้ทำงานเรื่องสอดแนมให้เขาเลย จึงเหมือนกับไม่มีผลงานอะไรจะเสนอ
แต่ที่เขายอมเราเพราะเขาดูออกว่าคนไข้ชอบเรา พูดได้สามภาษา คนไข้ชาวจีนและฝรั่งมา
เราต้อนรับได้หมด
จึงกลับบ้านเพียงแค่วันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น ซึ่งเราก็ดีใจมากเพราะไม่ต้องไปเสียเวลานั่งรถเมล์
และมีห้องเป็นสัดส่วนที่จะทำสมาธิเงียบ ๆ ได้
และสามารถใช้เวลาเยี่ยมเยียนคนไข้ได้มากขึ้น
รับใช้คนเห็นแก่เงินไม่ได้
เดือนที่สามผ่านไป เริ่มเห็นชัดว่า
โรงพยาบาลเอกชนก็คือธุรกิจอย่างหนึ่งที่เขาจำเป็นต้องทำเงินและหาผลกำไรให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
วันหนึ่ง เรากำลังยืนอยู่ที่หน้าโรงพยาบาล
และมีแท็กซี่คันหนึ่งพาคนบาดเจ็บมากมาถึง เลือดท่วมตัว
คนไข้ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด
เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลชะโงกหน้าเข้าไปพูดอะไรบางอย่างกับญาติที่มาด้วยอยู่ครู่ใหญ่
เราเห็นสีหน้าของญาตินั้นมีความเจ็บปวดมากไม่แพ้คนไข้ และแล้ว
เจ้าหน้าที่ก็ปิดประตูรถ และแท็กซี่ก็ขับออกไป เราเดาเหตุการณ์ออกว่า
คนไข้นั้นไม่มีเงินจะจ่ายค่ารักษาพยาบาล จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลของรัฐ
ซึ่งอาจจะต้องติดอยู่ในถนนอีกเป็นชั่วโมงกว่าจะถึงโรงพยาบาลรัฐที่ใกล้ที่สุดได้
เหตุการณ์นั้น ทำให้หัวใจเราห่อเหี่ยวเศร้าสร้อยลงมาก
นึกสงสารคนบาดเจ็บและญาติของเขาอย่างจับใจ แต่ก็หมดปัญญาจะช่วยอะไรเขาได้
เพราะเราก็ไม่มีเงินทองที่จะมาออกค่ารักษาให้เขา มานั่งทบทวนว่า
ถึงแม้เราจะมีความสุขมากในการได้พูดคุยกับคนไข้
แต่เราไม่พอใจเลยที่ต้องมารับใช้เจ้าของโรงพยาบาลที่เห็นเงินสำคัญกว่าความทุกข์ของมนุษย์
และก็เป็นช่วงที่เจ้าของโรงพยาบาลเริ่มเห็นแล้วว่า
เรานั้นไม่ได้ทำหน้าที่สอดแนมให้เขาอย่างแท้จริง ความขัดแย้งในใจจึงเกิดขึ้น
ย้ายที่ทำงาน
พอดี คุณลุงผู้เป็นหมอไม่สบาย
รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งหนึ่ง เราไปเยี่ยม
มีโอกาสได้คุยกับหมอที่รักษาคุณลุงอยู่ คงจะเห็นเราคล่อง คุยไปคุยมา
หมอคนนั้นก็หันไปที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลซึ่งอยู่ในห้องขณะนั้นว่า
น่าจะรับเราไว้ทำงานที่นั่น ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเหมือนกับถูกมัดมือชก
รับเราเข้าทำงานเพราะเกรงใจหมอคนนั้นทั้ง ๆ ที่ท่านเองก็ไม่รู้ว่าจะให้เราทำบทบาทอะไร
ท่านก็ดี บอกให้เราตามหัวหน้าพยาบาลคนหนึ่งและพยายามหาบทบาทให้กับตัวเองก็แล้วกัน
ท่านจะให้เงินเดือนขั้นเริ่มต้นสามพันบาท แต่เราเกรงใจ
รวมทั้งมั่นใจในตัวเองพอสมควรว่าจะทำงานได้ดี เลยบอกว่า
ขอแค่สองพันเท่ากับที่โรงพยาบาลเก่าให้ก็พอ ถ้าเห็นผลงานแล้ว
ค่อยขึ้นเงินเดือนให้ก็แล้วกัน นั่นก็เป็นความโง่ในโลกของสมมุติ
เพราะเงินเดือนสองพันหลังจากถูกหักภาษีแล้วก็ไม่ใช่มีมากมาย
ไม่สามารถให้แม่ได้มากเท่าที่อยากให้ ดีว่าเราประหยัดมากอยู่แล้ว จึงถูไถไปได้
หาเพื่อนร่วมงานไม่ได้
โรงพยาบาลแห่งนี้ใหญ่กว่าแห่งแรกมาก
มีหมอพยาบาลมากมาย
ความมั่นใจในตอนแรกว่าจะสามารถสร้างความสัมพันอันดีกับคนไข้ดังที่ได้ทำกับที่ก่อนนั้นไม่ได้ง่ายเหมือนที่คิด
แต่ก็พยายามทำในสิ่งที่เราเคยทำ คือ การพูด ปอบประโลมคนไข้และญาติ
และพยายามจัดทำห้องพระให้มีบรรยากาศที่คนมาอ่านหนังสือธรรมะได้
โดยการจัดหาหนังสือธรรมะต่าง ๆ มาใส่ไว้ และบอกให้คนไข้รู้
เพราะความที่ไม่มีบทบาทอันแน่ชัดของตนเอง
จึงไม่มีเพื่อนร่วมงานที่จะพูดคุยปรึกษาเมื่อมีเรื่องไม่สบายใจ
จึงมีความรู้สึกว่าเป็นคนเกินในหมู่หมอและพยาบาล สังคมของหมอและพยาบาลนั้นเป็นสังคมที่มีอัตตาตัวตนสูง
แม้ผู้ไม่ได้เป็นหมอ แต่มีตำแหน่งทางการงานสูงก็ล้วนแต่วางตัว เชิดหน้า ชูคอ
แสดงออกถึงความเย่อหยิ่งอย่างเห็นได้ชัด เป็นสังคมที่เมื่อเข้าใกล้แล้ว
หัวใจไม่สามารถเป็นอิสระได้
จำเป็นต้องสร้างตัวตนอีกตัวหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้คนอื่นยอมรับ ไม่เช่นนั้นก็เข้ากับเขาไม่ได้
ซึ่งนั่นก็ล้วนเป็นเรื่องที่สวนกระแสความรู้สึกจริงของเราทั้งสิ้น
เราเสแสร้งไม่เป็น วางตัวให้สูงไม่เป็น
จึงไม่สามารถคลุกคลีสนิทสนมกับสังคมหมอและพยาบาลได้ง่ายนัก
มีความรู้สึกว่าตัวเราต่ำต้อยจนเกินไปในสายตาของเขา คนที่เราคลุกคลีได้ดีกว่าคือ
คนงานที่ทำงานในระดับต่ำ ๆ ทำงานอยู่หลายเดือน
ปรากฏว่าไม่มีเพื่อนสนิทในที่ทำงานเลยสักคนเดียว
แต่ที่ทนทำไปได้เพราะยังพอหาความสุขจากการพูดคุยกับคนไข้ได้เท่านั้น
รู้สึกอึดอัดใจและเป็นทุกข์มากในบางวัน
แต่ก็พยายามหาเวลาทำสมาธิเพื่อหาเพื่อนที่แสนดีที่เราสามารถพึ่งได้เสมอคนนั้นอีก
ปลีกตัวเพื่ออัดพลังทางใจ
พอความทุกข์เข้ามาเบียดเบียน
เราก็รู้ว่าต้องปลีกตัวหาความวิเวกและเติมพลังให้แก่จิตใจ เมื่อเย็นวันศุกร์มาถึง
เราจะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและจับรถตรงไปที่ตลาดหมอชิตจากโรงพยาบาลโดยไม่ได้บอกทางบ้านว่าจะไปไหน
นั่งรถไปสระบุรีทันที เมื่อถึงบริเวณน้ำตก
เราจะเดินเลาะเลี่ยงผู้คนและไปถึงถ้ำที่เราเคยอยู่โดยที่ไม่มีใครรู้เลย
ในโลกนี้มีเราคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าเรามาอยู่ที่นี่ และเราก็จะอยู่ทำสมาธิ
เดินจงกรมอยู่ที่ถ้ำจนกระทั่งถึงเที่ยงวันอาทิตย์ จึงจะออกมาที่ศาลาพบหน้าผู้คน
เป็นช่วงเวลาราว ๔๐ ชั่วโมงที่เรามีความสุขมากที่สุด
และรู้ว่าเราต้องพยายามอัดพลังทางใจเข้าไปให้มากที่สุดก่อนจะกลับกรุงเทพ
เราทำเช่นนั้นอยู่บ่อยมากในช่วงที่ทำงานอยู่โรงพยาบาล
หลายครั้งที่ไม่อยากกลับไปกรุงเทพที่เต็มไปด้วยผู้คนและควันพิษและสังคมของโรงพยาบาลที่ทำให้เราขาดความมั่นใจในตนเอง
ยังคิดวนเวียนอยู่ในแวดวงของความคิดที่อยากจะมีทางเลือกที่จะอยู่อย่างพระได้
แต่ก็รู้ว่าไม่มีคำตอบ
ได้เห็นอริยสัจในข้อทุกข์
อดทนทำงานอยู่ที่นี่ได้ราว ๑๕ เดือน วันหนึ่ง
ถูกเรียกเข้าไปในห้องผู้อำนวยการซึ่งท่านบอกให้เรารู้ว่า ญาติของคนไข้คนหนึ่งมาร้องเรียนว่า
การมาเชื้อเชิญให้เขาไปห้องพระหาความสงบนั้น
เขาสรุปว่าเหมือนกับเป็นการแช่งให้ญาติของเขาตายเร็ว
พอดีเป็นคนไข้ที่มีหุ้นในโรงพยาบาลด้วย เป็นคนใหญ่โต
เขาจึงทำเรื่องให้มันใหญ่โตสมฐานะของเขา ทุกคนรู้หมด
สายตาทุกคู่ที่มองเราอย่างดูถูกเหยียดหยามนั้นเป็นสิ่งที่มากเกินกว่าที่เราจะแบกไหว
เราจึงลาออก
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็เห็นด้วยว่าบุคคลิกของเรานั้นเหมาะที่จะทำงานด้านสังคมสงเคราะห์มากกว่า
แม้เราจะมีปัญหาเรื่องการคบคนในสังคมของโรงพยาบาลก็ตามแต่
สิ่งที่เราเรียนรู้ได้ในแง่ธรรมก็มีมากไม่น้อยคือ การได้เห็นความทุกข์ของมนุษย์
อย่างน้อยเราก็ได้เห็นสัจธรรมในเรื่องเกิด แก่ เจ็บ และตาย
ความเจ็บและความตายเป็นความทุกข์อย่างมหันต์ของมนุษย์ทุกชนชั้น ไม่ว่ารวยหรือจน
เมื่อเจ็บใกล้ตายแล้วก็ทุกข์เหมือนกันหมด เป็นเรื่องที่สร้างความหวาดกลัวแก่คนมาก
โดยเฉพาะคนที่เจ็บอย่างเรื้อรัง จะหายก็ไม่หาย จะตายก็ไม่ตายนี่ ทรมานมาก ตอนนั้น
เราเห็นแล้วก็กลัวเหมือนกันว่า หากต้องมานอนทรมานอย่างนี้
จะเอาพลังใจที่ไหนมาสู้ความทุกข์ใจขนาดนี้ได้ไหว
จึงเตือนตัวเองได้ว่าต้องเกาะพระธรรมไปให้แน่น ๆ และต้องทำตัวเองให้พ้นทุกข์ให้ได้
และเราก็ทำได้จริง ๆ ตอนนี้สามารถเห็นความเจ็บและตายเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วแล้ว
คิดเสมอว่า ถ้าเป็นมะเร็งก็จะไม่บอกใคร จะไม่รักษา ตายก็ตาย
การตายคราวนี้จะต้องขอตายจริง ๆ ไม่ใช่ตายเล่น ๆ ตายแล้วกลับมาเกิดอีก
อย่างนี้ไม่เอาแล้ว เบื่อแสนเบื่อ ไม่ขอเกิดอีกแล้ว พอกันซะที
ทำงานกรรมกรเพื่อชะล้างความสกปรกของจิตใจ
จำได้ว่า
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ลาออกจากงานแล้วนั้น เราไม่รู้จะบอกแม่อย่างไร จึงยังแต่งตัวเหมือนออกไปทำงาน
แต่เอาเสื้อผ้าเก่า ๆ ติดตัวไปชุดหนึ่ง วันนั้น
รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกที่ไม่ต้องกลับไปเผชิญกับสายตาของสังคมที่เต็มไปด้วยการเปรียบเทียบว่าฉันดีกว่าเธอและเธอด้อยกว่าฉันนั้นอีก
และมีความรู้สึกอีกว่า แม้เราไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเช่นนั้นก็ตาม
แต่เราก็ถูกฉุดเข้าไปในสังคมสมมุตินั้นอย่างช่วยไม่ได้
การยอมแพ้ต่อสายตาเหล่านั้นเท่ากับฟ้องอยู่ในใจแล้วว่า เรากลัวการถูกหมิ่น
วันนั้น รู้อยู่อย่างเดียวว่า
อยากจะชะล้างความสกปรกในใจออกด้วยการลงไปคลุกคลีกับคนชั้นกรรมกรที่ปราศจากอัตตาตัวตนและไม่รู้จะแบ่งชั้นวรรณะกับใครอีก
สามารถเห็นได้ชัดว่าจิตใจที่มีอัตตาตัวตนน้อยเหล่านั้นคือความสะอาดในตัวมันเอง
จึงนึกสนุกขึ้นมาว่า จะไปทำงานก่อสร้างสักวันหนึ่ง
เพราะเป็นหนทางเดียวที่จะได้มีโอกาสคลุกคลีกับกรรมกรแบกหามอย่างแท้จริง
จึงออกจากบ้าน
ไปธรรมศาสตร์เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดที่เราคิดว่ามอซอที่สุด
แล้วก็เดินแกร่วไปแถวปิ่นเกล้าที่มีการก่อสร้างมากมายในช่วงนั้น
ก่อนเที่ยงถึงได้งาน หัวหน้างานมองเราชนิดหัวจรดเท้าซึ่งเราก็พอรู้ว่าการมองของเขาต่างจากที่เราถูกมองที่โรงพยาบาลแน่นอน
เขาเพียงสงสัยว่าเราจะทำงานหนักเช่นนั้นได้หรือ แต่เขาก็ไม่พูดถามอะไร
บอกให้เราไปหาอะไรกินก่อนและให้กลับมาทำบ่ายโมงและเสร็จงาน ๖ โมง
จำไม่ได้แน่นอนว่าค่าจ้างแรงงานรายวันในสมัยนั้น (๒๕๒๒) มันเท่าไหร่ แต่คิดว่าไม่เกิน
๓๐ บาท ช่วงที่เรารอพักเที่ยงอยู่นั้น
ก็พยายามเดินเลี่ยงไปบ้านชั่วคราวมุงสังกะสีที่คนงานก่อสร้างอยู่กัน
ได้รับการอนุเคราะห์จากกรรมกร
เรายืนเก้อไม่ถึงนาทีเดียว
ป้าคนหนึ่งมุดหน้าออกมาจากเพิงสังกะสี เรียกเราเข้าไปนั่งและบอกให้ทานอาหารด้วย
เราจึงเดินไปนั่งบนพื้นไม้โดยดี แล้วแกก็สาละวนอุ่นอาหาร ทำโน่นทำนี่
ในขณะที่คุยกับเราไปด้วย ป้าคนนั้นเราเดาว่าอยู่ในวัย ๕๐ แล้ว
แต่อายุอาจจะน้อยกว่าที่คิดเพราะการตรากตรำทำงานหนัก
สิ่งที่แกมีอยู่แน่นอนคือประสบการณ์ของชีวิต เพียงดูเราจากหัวจรดเท้าเท่านั้น
แกก็มองออกว่า เราไม่ได้เป็นลูกกรรมกรโดยกำเนิด และเข้าใจว่า เราคงหนีออกจากบ้าน
พยายามพูดให้เรากลับบ้านไปตกลงกับพ่อแม่ พอแกอุ่นอาหารเสร็จ
ก็ตักข้าวใส่จานวางไว้ที่หน้าเรา ทันใดนั้นเอง ป้าก็คว้ามือเรา จับขึ้นมาบีบดู
เท่านั้นเอง จึงพูดว่า
ปัดโธ่เอ้ย
หนู
มืออย่างนี้หรือจะมาทำงานกรรมกรได้
ป้าว่าหนูไปสมัครเป็นกระเป๋ารถเมล์ติดแอร์ไม่ดีกว่าหรือ
สมัยที่เรียนชั้นประถมนั้น
เพื่อนที่นั่งด้วยกันมักชอบเอามือเราไปบีบเล่นเพราะชอบความนิ่มของมือเรา
และก็เป็นคนมีมือนิ่มมาตลอดแม้ทุกวันนี้ เราฟังป้าพูดแล้วก็อดขำไม่ได้
แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรที่จะเปิดเผยสถานะที่แท้จริงของตัวเอง
รู้แต่ว่าจิตใจเราเต็มเปี่ยมไปด้วยปีติแล้วที่ได้มาพบความเมตตากรุณาของเพื่อนมนุษย์ผู้แม้จะยากจนแสนเข็ญ
แต่ก็สามารถหยิบยื่นความสุขและอบอุ่นใจให้แก่เราได้มากกว่าคนที่ร่ำรวยและมีตำแหน่งสูงส่ง
รู้สึกอุ่นใจมากที่คนแปลกหน้าคนนี้เป็นห่วงเป็นใยเรา อยากให้เราทำงานเบา ๆ ตอนนั้น
รถเมล์ติดแอร์เพิ่งออกใหม่ ๆ
เราจึงรู้สึกอร่อยมากกับการได้กินข้าวราดแกงกับป้าที่เราก็เพิ่งรู้จักในเที่ยงวันนั้น
ใส่หมวกซะ!!!
เมื่อบ่ายโมงมาถึง
งานของเราคือการแบกถังปูนซีเมนต์ที่ผสมแล้ว เดินขึ้นไปตามสะพานไม้สองแผ่นที่พาดไว้เท่านั้น
และเทลงไปในบริเวณสี่เหลี่ยมกว้างใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นฐานของตึกแห่งหนึ่งในย่านปิ่นเกล้า
ตอนนั้น เรายังแข็งแรงมาก และเพราะทำงานนั้นด้วยความเต็มใจ จึงมีพลังทำได้
ในขณะที่ทำอยู่นั้น ไม่รู้ตัวว่า
ที่จริงเรากำลังถูกคนงานทั้งชายหญิงมองอยู่รอบข้างในที่นั้น ชั่วโมงหนึ่งผ่านไป
เหงื่อเราท่วมตัว ในขณะที่รอการเติมถังซีเมนต์ถังต่อไปนั้น เราก็เห็นหมวกเก่า ๆ
ใบหนึ่งบินมาตกอยู่ใกล้ตัว มองขึ้นไป
ก็เห็นคนงานชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนห้างสูงขึ้นไป ตะโกนพร้อมกับชี้ไปที่หัวว่า
ใส่หมวกซะ พอเราหันไปดูคนงานรอบ ๆ
จึงสังเกตเห็นว่าคนงานเกือบทุกคนมีหมวกใส่ ยกเว้นเราคนเดียว!!!
หัวใจสะอาดมากขึ้น
คนยิ่งจน ก็ยิ่งถูกใช้งานหนัก
แทนที่จะได้เลิกงาน ๕ โมงเย็นเหมือนคนทำงานส่วนมาก กลับต้องทำถึง ๖ โมงเย็น
ค่าจ้างหรือก็ได้น้อยนิด เมื่อเสร็จงานแล้ว
พอดีหัวหน้างานไม่อยู่ที่จะมาจ่ายเงินค่าจ้างแรงงานให้เรา
ดูเหมือนว่าคนงานทุกคนในที่นั้นเป็นห่วงเป็นใยว่า
เราจะไม่ได้รับเงินค่าจ้างครึ่งวันนั้น เพราะหัวหน้างานอาจจะไม่กลับมาอีก
คนงานส่วนมากมาจากต่างจังหวัดและอาศัยอยู่ในบ้านชั่วคราวในบริเวณก่อสร้างทั้งสิ้น
จึงไม่มีปัญหาเรื่องการรับเงินค่าจ้าง
พวกเขาจึงปรึกษากันว่าจะออกเงินคนละเล็กละน้อยมารวมกันเพื่อจ่ายเงินค่าจ้างให้เราก่อน
เราต้องพยายามบอกพวกเขาว่าไม่เป็นไร เราจะกลับมาเอาค่าจ้างในวันรุ่งขึ้นก็ได้
ไม่ต้องห่วงเรา
แม้จะสกปรกมอมแมมจากการทำงานเยี่ยงกรรมกรในวันนั้น
และแม้จะเหนื่อยกายมากเพียงใดก็ตาม แต่กลับรู้สึกว่าหัวใจสะอาดมากขึ้น
ได้ชะล้างเอาสิ่งสกปรกโสมมที่ได้หมักหมมจากการทำงานในโรงพยาบาลออกไป
จิตใจเต็มไปด้วยพลังแห่งปีติ รู้สึกมีความหวังในเพื่อนมนุษย์มากขึ้น
รู้ด้วยว่าแม้คนเหล่านี้จะจนแสนจนอย่างไรก็ตาม แต่พวกเขามีโอกาสที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้ง่ายกว่าคนร่ำรวยและมีสถานะที่สูงส่งทางสังคมหลายเท่าตัวนัก
เพราะความจนและปราศจากฐานะ จิตใจเขาจึงเบาเพราะไม่มีอะไรจะแบก
ไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง อัตตาตัวตนจึงน้อย
จิตใจเช่นนี้จะเข้าประตูพระนิพพานได้ง่ายกว่าคนรวยที่มีสถานะสูงส่งมากมายนัก
แต่ก็นั่นแหละ
สังคมของโลกสมมุติเป็นสังคมที่ถูกบริหารโดยคนร่ำรวยและมีสถานะสูงส่ง
จะให้เขามาเข้าใจคนยากจนนั้นย่อมเป็นเรื่องยากมาก คนรวยเข้ามามีอำนาจบริหาร
เขาก็ทำงานรับใช้คนรวยเท่านั้นเอง ทำให้คนรวยรวยขึ้น และคนจนจนลง
นี่คือความจริงของโลกสมมุติ
นอกจากจะมีผู้นำที่มีศีลธรรมและเสียสละอย่างแท้จริงเท่านั้น
ซึ่งหาได้ยากมากในโลกของสมมุติ ที่จริง
ความคิดในเรื่องวัฒนธรรมสติปัฏฐานของเรานั้นเป็นเรื่องการช่วยเหลือคนจนซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศโดยตรง
จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีผู้นำที่มีสัมมาทิฏฐิอย่างแท้จริง
และมีเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์มากเพียงพอที่จะออกมาเป็นผู้นำชาติได้
ใครจะทำได้ต้องไม่กลัวตาย
เพราะคนดีอย่างนี้มักถูกคนเลวฆ่าตายเนื่องจากไปขัดผลประโยชน์เขา
ผู้นำที่มีคุณธรรมเช่นนี้จึงเป็นตัวแปรที่หาได้ยากมาก
กลับถึงบ้านในเย็นวันนั้น รู้สึกมีกำลังใจบอกแม่ตามความเป็นจริงว่าออกจากงานที่โรงพยาบาลแล้ว
แต่ไม่ได้บอกว่าไปเป็นกรรมกรอยู่ครึ่งวัน แม่ก็ไม่ว่าอะไร
เพราะรู้ว่าเราไม่มีความสุขกับงานนั้น
ช่วยเขมรอพยพ
หลังออกจากโรงพยาบาลแล้ว
เราก็มาทำงานอยู่บ้านช่วยพี่สาวเลี้ยงลูกและสอยเสื้อให้อยู่สักเดือนสองเดือนเห็นจะได้
ทำสมาธิและอ่านหนังสือธรรมะ มีความสุขมาก
แล้วก็มาได้งานเป็นเลขาของบรรณาธิการทำนิตยสารธุรกิจภาษาอังกฤษ
หน้าที่ของเราคือการอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษและตัดข่าวที่เกี่ยวข้องกับงานออกมา
หลังจากที่ทำงานได้เพียงเดือนเศษเท่านั้น
(กันยายน ๒๕๒๒/๑๙๗๙) เป็นช่วงเวลาที่เวียดนามบุกเขมรที่อยู่ภายใต้การปกครองของพอลพต
ผู้นำบ้าอำนาจที่ฆ่าคนเขมรด้วยกันเองไปเกือบค่อนประเทศ
ความระส่ำระสายจึงเกิดขึ้นไปทั่วเขมร
ทั้งเขมรแดงที่เป็นขี้ข้าของพอลพตและเขมรธรรมดาที่ถูกทารุณกรรมต่างพากันหลบหนีเข้ามาในเมืองไทยเป็นจำนวนนับล้าน
ๆ คน
ภาพของคลื่นมนุษย์ที่บางคนเหมือนกระดูกเคลื่อนที่ได้นั้นกลายเป็นข่าวที่สั่นสะเทือนไปทั่วโลก
ภาพที่น่าสะเทือนใจเหล่านั้นได้ผ่านมือเราวันแล้ววันเล่าอยู่ราวสองอาทิตย์
จำได้ว่า
จิตใจเริ่มระส่ำระสายด้วยความสงสารเพื่อนมนุษย์เหล่านั้น มองและถามตัวเองว่า เรามานั่งทำอะไรในห้องแอร์เย็น
ๆ อย่างนี้ ทำไมไม่ออกไปช่วยคนอพยพที่ตกทุกข์ได้ยากพวกนั้น พอรู้ว่า
องค์การข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติทำงานด้านนี้อยู่ คิดว่าน่าจะไปของานเขาทำ
งานอะไรก็ได้ที่จะพาเราไปถึงคนอพยพเหล่านั้น จึงลางานวันหนึ่งเพื่อไปติดต่อขอสมัครงานทันที
ได้คุยกับแหม่มชาวอเมริกันคนหนึ่งซึ่งเป็นคนสัมภาษณ์เรา จำไม่ได้ว่าไปพูดอะไร
ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าแสดงออกถึงเจตนาที่อยากช่วยคนที่น่าสงสารเหล่านั้นด้วยความจริงใจ
ปรากฏว่าคุยเสร็จ แหม่มคนนั้นบอกว่า เขาตกลงรับเราไว้ในตำแหน่งนักสังคมสงเคราะห์
และจะส่งเราไปทำงานกับเด็กกำพร้าที่ศูนย์อพยพตำบลบ้านแก้ง อำเภอสระแก้ว
จังหวัดปราจีนบุรีทันที
ขอให้มารับเอกสารและคุยกับหัวหน้าแผนกอีกทีในเช้าวันรุ่งขึ้น
และเงินเดือนขั้นเริ่มต้นคือ ๕ พันบาท ซึ่งเป็นจำนวนไม่น้อยเลยสำหรับงานสมัยนั้น
เรานี่หัวใจสั่นด้วยความตื่นเต้นและดีใจที่ได้งานชิ้นนี้มาง่ายเหลือเกิน
พอออกมาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการ เขาบอกอีกว่า จะให้เงินเบี้ยเลี้ยงไป ๗
พันบาทก่อนเพราะเราต้องไปอยู่บ้านแก้ง ๒ อาทิตย์ ขอให้ไปเปิดบัญชี
แล้วเขาจะโอนเงินให้ทันที ใครที่ออกต่างจังหวัดจะได้เบี้ยเลี้ยงวันละ ๕๐๐
บาทในสมัยนั้น ฟังแล้วแทบช๊อค จากเงินเดือนสามพันบาท
เพียงข้ามวันก็มารับเงินร่วมหมื่น ทำไมพอเงินจะมามันมาง่ายอย่างนั้นล่ะ
นึกไม่ถึงว่าจะโชคดีถึงปานนั้น ได้ทำงานที่อยากทำ และยังได้เงินดีอีกด้วย วันนั้น
จึงรีบกลับไปลาออกจากสำนักพิพม์ ทำให้เพื่อน ๆ ที่นั่นอิจฉาเราจนบอกไม่ถูก
แต่แม้จะดีใจมาก
ก็ยังไม่รู้จะบอกแม่อย่างไรที่จะไม่ให้ท่านเป็นห่วง
เพราะเหตุการณ์ที่พรมแดนเขมรในขณะนั้นเรียกว่าอยู่ในขั้นอันตราย
มีการยิงกันข้ามพรมแดน เราเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไร ทำอะไรบ้าง
จึงกลับไปบอกแม่ว่าทางสำนักพิมพ์ให้ไปทำข่าวที่สระแก้วสองอาทิตย์ พยายามพูดเรียบ ๆ
แบบไม่ให้แม่เป็นห่วง กลับมาแล้วค่อยมาอธิบายให้แม่ได้ชัดเจนขึ้น
และวันรุ่งขึ้นก็ไปถอนเงินออกมาให้แม่ใช้ ๕ พันบาททันที
เป็นเงินก้อนแรกที่เราสามารถให้แม่ใช้ได้อย่างสบายโดยไม่ต้องคิดว่าตัวเองจะไม่พอใช้
เป็นความรู้สึกที่ดีมาก เริ่มเรียนรู้รสชาดของการมีเงินในกระเป๋าอย่างเพียงพอว่า
มันก็เป็นความอุ่นใจอย่างหนึ่ง แต่ด้วยความที่ไม่ใช่เป็นคนฟุ้งเฟ้อมาแต่ไหนแต่ไร
ถึงแม้จะมีเงิน ก็ยังใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยไม่เป็น
แต่ก็มีความสุขที่สามารถหยิบยื่นให้คนอื่นได้ง่ายขึ้น เพราะมีให้
ซึ่งผิดกับตอนที่ไม่มีเงิน แม้อยากให้ ก็ไม่มีให้
เห็นความทุกข์ระดับโลก
สภาพของค่ายอพยพที่บ้านแก้งเมื่อตอนเราไปถึงนั้นยังอยู่ในสภาวะที่สับสนและโกลาหลมาก
เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของวิกฤตการณ์คลื่นมนุษย์ที่ทะลักเข้ามาจากพรมแดนเขมร จู่
ๆ คนอพยพสามหมื่นคนก็ถูกนำมารวมกันบนที่แห่งหนึ่งซึ่งไม่มีการเตรียมพร้อมใด ๆ
ทั้งสิ้น ในช่วงสองอาทิตย์แรกนั้น คนทำงานก็ทำกันอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย
เพราะต้องทำงานแข่งกับเวลาเพื่อลดอัตราการตายของคนในแต่ละวัน วันหนึ่ง
เราต้องแบกศพของเด็กหญิงอายุ ๗-๘
ขวบคนหนึ่งไปที่เตนท์สีฟ้าที่มีศพของผู้อพยพกองสูงเหนือหัวเรา
เป็นประสบการณ์ที่เราไม่เคยลืมเลย
การได้มาทำงานกับผู้อพยพได้ทำให้เราไม่เพียงแต่เห็นความทุกข์ของคนไทยเท่านั้น
แต่มาเริ่มเห็นความทุกข์ในระดับโลกที่ทำให้เราต้องคิดหนักมาก
เพราะความทุกข์ในขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่เกิดมาแล้ว ต้องดิ้นรนหาทางเลี้ยงปากท้องทั้งของตัวเองและครอบครัว
แล้วต้องมาเจอสภาวะที่แก่เฒ่า เจ็บไข้ได้ป่วย เพื่อเพียงต้องตายไปในที่สุดนั้น
เราก็เห็นแล้วว่ามันเป็นทุกข์อย่างมหันต์ในตัวของมันอยู่แล้ว
ไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรเพื่อเพิ่มทุกข์ให้กับมัน
ธรรมชาติของชีวิตเช่นนั้นก็ล้วนแต่ต้องแบกทุกข์กันแทบไม่ไหวแล้วทั้งสิ้น
แต่คลื่นมนุษย์เหล่านี้ล้วนถูกเพิ่มความทุกข์เข้าไปอีกหลายล้านเท่าตัวเพียงเพราะความบ้าระห่ำของผู้นำเพียงคนเดียวเท่านั้น
เป็นการตอกย้ำความเข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้น
ความพรัดพรากจากผู้เป็นที่รักและของรักย่อมเป็นเรื่องเจ็บปวดมาก
เราคิดถึงตัวเองว่าแม้อายุตอนนั้นก็ ๒๖ ปีแล้ว เมื่อต้องจากแม่ไปไหน
ก็ยังอดคิดถึงแม่ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็รู้ว่า แม่อยู่บ้าน
เดี๋ยวเสร็จงานก็กลับไปหาแม่เพื่อความอบอุ่นทางใจได้เสมอ แต่เด็ก ๆ
เขมรในศูนย์เด็กที่เราทำงานอยู่นั้นไม่สามารถจะกลับไปหาแม่ได้เหมือนเรา
และพวกเขาก็ยังอยู่ในวัยที่ต้องการความรักความอบอุ่นจากแม่มากกว่าเราหลายล้านเท่าตัวนัก
เพราะคนบ้าเพียงคนเดียว
ทำให้พวกเขาต้องมาตกระกำลำบากและเผชิญโลกอย่างโดดเดี่ยวเช่นนี้
เด็กพวกนี้ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาเหลือให้ร้องแล้ว
ใบหน้าแสดงออกได้ชัดว่ากำลังแบกทุกข์ที่หนักเกินวัยของตัวเอง
เห็นแล้วก็สงสารอย่างจับใจ
การคลุกคลีรับฟังประสบการณ์และปัญหาของผู้อพยพเขมรพร้อมกับการรับรู้ข้อเท็จจริงของการเมืองระดับโลกที่ก่อให้เกิดสงครามเวียดนามจนลามปามมาถึงการมีนักเผด็จการอย่างพอลพตที่สร้างความทุกข์ทรมานให้ชาวเขมรนับล้านนั้น
ถ้าเราเป็นคนไม่คิดมาก ก็คงดีอยู่หรอก แต่เราไม่ใช่เป็นคนไม่เพียงคิดมากเท่านั้น
ยังคิดลึกเกินไป จึงสร้างความสับสนใจให้ตัวเองอีก คิดทบทวนอยู่ในใจเสมอว่า
อะไรนะจึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของมนุษย์ คิดให้สมองแตก
ก็ไม่เห็นทางออกในโลกสมมุติ