บทที่เจ็ด เลือกคู่ชีวิต ถูกทดสอบจากเบื้องบน

 

เมื่อดวงเนื้อคู่มาถึง       

                    ชีวิตเป็นเรื่องเต็มไปด้วยสิ่งที่คาดไม่ถึง Life is full of surprises. ทุกขั้นตอนของชีวิตล้วนมีปัญหาของมันที่มาในรูปแปลก ๆ และคาดไม่ถึงเสมอ เราเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าทุกชีวิตล้วนถูกเหวี่ยงไปตามกฎแห่งกรรมทั้งสิ้น จะฝืนมันเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้คิดเรื่องการแต่งงานเลย เพราะตอนนั้นรู้สึกว่า หากทำงานมีเงินเก็บเช่นนี้ก็สามารถใช้ชีวิตโสดปฏิบัติธรรมไปได้เรื่อย ๆ รวมทั้งดูไม่ออกว่าจะมีใครมาหลงรักเราได้อย่างแท้จริง นอกจากเป็นคนขี้เหร่แล้ว ยังเป็นคนไม่ชอบแต่งตัว จึงไปกันใหญ่ ทำงานอยู่ในค่ายอพยพเขมรเดือนแรก ยามไม่ยอมให้ออกจากค่าย เข้าใจผิดว่าเราเป็นคนอพยพ ที่จริงเป็นคนผิวขาวเพราะเป็นลูกคนจีน แต่ทำงานค่าย จึงตากแดดจนตัวดำพอกับคนเขมร นอกจากนั้น ความเป็นคนธรรมะธรรมโมของเรา ชอบปลีกตัวไปทำสมาธิ จึงทำให้รู้สึกว่าผู้ชายไทยจะกลัวเราด้วยซ้ำไป เห็นเราเพี้ยน

เมื่อดวงเนื้อคู่มาถึง แทนที่จะเป็นเรื่องตรงไปตรงมาว่า เมื่อเธอรักฉันและฉันก็รักเธอ เราก็สามารถตัดสินใจร่วมหัวจมท้ายกันเหมือนในหนังหรือนิยาย แต่ทำไมของเรามันไม่ง่ายเช่นนั้น พอเนื้อคู่จะโผล่มา ก็ไม่มาคนเดียว จู่ ๆ เราก็ต้องมาเจอเหตุการณ์ที่มีผู้ชายฝรั่งสองคนมาขอแต่งงานพร้อมกัน

ชายหนุ่มชาวอังกฤษขอแต่งงาน

คนแรกคือชายหนุ่มชาวอังกฤษซึ่งเราได้พบหลังจากที่ทำงานอยู่บ้านแก้งเพียงเดือนเดียว เขามาถึงเมืองไทยกับเพื่อนอีกสามคน แต่เขาเป็นคนเดียวที่เมื่ออ่านข่าวเขมรอพยพแล้วอยากรับอาสาไปช่วยในค่ายตามการขอร้องขององค์การสหประชาชาติ กะจะอยู่เพียง ๗ วันเท่านั้นแล้วเดินทางต่อไปยังออสเตรเลีย แต่มาแอบหลงรักเราอย่างหัวปักหัวปำทันทีที่เห็นเราในวันแรก โดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัวเลย วันที่เขาจะต้องออกเดินทางเข้ากรุงเทพนั้น ทำกระเป๋าสตางค์หายเพราะเพื่อนเอาติดไปโดยบังเอิญ พอดีเราต้องนำเด็กป่วยชาวเขมรสิบกว่าคนมาเข้าโรงพยาบาลในกรุงเทพ จึงคิดว่าน่าจะอนุเคราะห์ชายหนุ่มต่างถิ่นที่กำลังเจอปัญหา จึงชวนเขาเข้ากรุงเทพพร้อมกัน และหาทางติดต่อเพื่อนและสถานทูตให้ คิดว่า ถ้าเราช่วย เขาจะหาทางออกได้เร็วกว่า

แล้วเราก็กลับไปทำงานที่ค่ายต่อด้วยคิดว่าเขาคงไปออสเตรเลียแล้ว ที่ไหนได้ ๓ วันต่อมา หนุ่มอังกฤษกลับไปที่ค่ายอีกและสารภาพรักขนาดจะขอแต่งงานทันที บอกว่าในช่วง ๗ วันที่ทำงานอยู่ในค่ายนั้น เขาแอบมองเราตลอดเวลา แต่ไม่กล้าบอกเรา เพราะคิดว่าเราเป็นหญิงที่เขาเอื้อมไม่ถึงแน่นอน เขามองเราอย่างสูงส่งแม้เราจะแต่งตัวปอน ๆ ก็ตาม บอกเราทีหลังว่า เขาจะจากเมืองไทยไปพร้อมกับมีเราอยู่ในความคิดและในใจเขาเสมอ ฉะนั้น การที่เราเข้าไปช่วยเหลือเขานั้นยิ่งทำให้เขาหลงรักเรามากขึ้น เป็นความรู้สึกที่รุนแรงมากจนต้องกลับมาบอกให้เรารู้ ไม่งั้น ต้องคลั่งแน่ เป็นคนยากจนที่ยังไม่ได้สร้างหลักฐานอะไรให้ตัวเองเลย พอมีเงินเก็บก็ออกมาดูโลกกว้าง แต่เราก็ดูออกว่ามีความซื่อและจริงใจมาก เข้าใจเขาไม่ได้ว่าทำไมจึงแน่ใจมากว่าเราเป็นผู้หญิงที่เขาอยากแต่งงานด้วย ความเป็นคนขี้เหร่ที่จริงก็ดีไม่น้อย เพราะคนที่มารักชอบนั้น แสดงว่าเขาไม่ได้ชอบเราที่หน้าตา แต่คงต้องเห็นอย่างอื่น แทนที่จะอยู่เมืองไทยเพียง ๗ วันตามที่วางแผนเอาไว้แต่แรก กลับมาทำงานในค่ายต่ออีกสามเดือนเพื่อจะ ขอเราแต่งงานด้วย เราไม่พร้อม จึงบอกเขาให้ตามเพื่อนไปออสเตรเลียก่อนตามที่ได้วางแผนเอาไว้ ขอร้องให้เขาไป ๖ เดือนแล้วถ้ายังไม่เปลี่ยนใจค่อยมาพูดกันใหม่ ในที่สุด เขาทนอยู่ได้เพียงสี่เดือนเท่านั้น ก็กลับมาเมืองไทยอีก

                  

ชายหนุ่มชาวสวิสขอแต่งงาน

ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าเหมือนถูกทดสอบอะไรสักอย่างจากเบื้องบน ไล่คนหนึ่งไป อีกคนหนึ่งก็มา หลังจากหนุ่มอังกฤษไปออสเตรเลียแล้ว เมื่อมีวันหยุด ก็อยากลงไปสวนโมกข์เพื่อจะได้ใช้เวลาเงียบ ๆ คิดเรื่องอนาคตของตนเอง โดยเฉพาะเรื่องการแต่งงาน

ไปถึงสวนโมกข์แล้ว วันหนึ่ง ก็เดินแกร่วเข้าไปยังโรงมหรสพทางวิญญาณ พบชายหนุ่มฝรั่งคนหนึ่งกำลังดูภาพอยู่ เราเห็นแล้ว คิดเพียงว่าเขาเป็นฝรั่ง จะเข้าใจภาพเหล่านี้ได้แค่ไหน ควรอนุเคราะห์เขา โดยช่วยอธิบายภาพต่าง ๆ ให้เขาเข้าใจธรรมะบ้าง น่าจะเป็นบุญแก่เขาถ้าเขาเข้าใจศาสนาพุทธได้ จึงอธิบายภาพต่าง ๆ ให้เขาฟังรูปแล้วรูปเล่า พอคุยกันแล้ว จึงรู้ว่าเป็นหมอชาวสวิส สนใจศาสนาของทางตะวันออกโดยเฉพาะฮินดู กำลังจะไปเมืองจีนเพื่อเรียนการฝังเข็ม พูดได้ ๕ ภาษา 

พอดีนั่งรถไฟกลับกรุงเทพในขบวนเดียวกัน ถามเราว่าจะพาเขาไปเที่ยววัดต่าง ๆ ในกรุงเทพได้หรือไม่ เรื่องพาฝรั่งหรือชาวต่างชาติอื่นเที่ยววัดนี่ เราทำบ่อยมาก ตั้งแต่เพื่อนที่มาหาจากอเมริกา และคนอื่น ๆ  จึงไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะถนัดอยู่แล้ว ช่วงนั้น เราก็ต้องเดินทางไปมาระหว่างสงขลาซึ่งเป็นค่ายอพยพชาวญวนและน่านค่ายอพยพของชาวเขาเผ่าม้ง ส่วนชายหนุ่มสวิสก็เดินทางเข้าออกอยู่ในเอเซียระหว่างไทย จีน กับ ฟิลิปปินส์ เพื่อเรียนรู้การแพทย์แผนโบราณ เมื่อมีโอกาสเข้ากรุงเทพ หากเพื่อนสวิสคนนี้อยู่เมืองไทยและโทรมาเจอก็ชวนเราไปกินข้าวด้วย เราก็ไม่รู้ว่าเขามาหลงรักเราเข้าไปตั้งแต่เมื่อไร จนกระทั่ง วันหนึ่งเขามาขอเราแต่งงานด้วย พอดีเป็นวันก่อนหน้าที่หนุ่มอังกฤษกำลังเดินทางมาเมืองไทยจากออสเตรเลีย เพื่อต้องการคำตอบว่าเราจะแต่งงานกับเขาหรือไม่

อกหักไปตาม ๆ กัน

นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ในชีวิต งงมาก จึงบอกหนุ่มสวิสไปว่า นี่ชายหนุ่มอังกฤษก็กำลังจะมาขอเราแต่งงานเหมือนกันนะ ได้ยินเท่านั้น หน้าก็เศร้าลงทันที ถามเราอย่างตรงไปตรงมาว่า เรารักคนอังกฤษคนนี้หรือเปล่า เรารู้สึกจนมุม ตอบไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าความรักคืออะไร การรักใครสักคนหนึ่งต้องรู้สึกอย่างไรจึงเรียกว่ารัก บอกกับเขาได้แต่เพียงว่า จิตใจสับสนจนบอกไม่ถูกแล้ว ต้องขอตัวไปคิด ตัดสินใจอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น

วันรุ่งขึ้นได้เจอหนุ่มอังกฤษซึ่งกลับมาด้วยความหวังอย่างเต็มที่ว่าหญิงไทยคนนี้ต้องตอบรับคำขอแต่งงานของเขาแน่นอน แต่เรากลับบอกเขาว่า เมื่อวานนี้หนุ่มสวิสก็มาขอเราแต่งงานเหมือนกัน ฟังเพียงเท่านั้น เหมือนถูกฟ้าผ่า ใบหน้าแสดงออกถึงความเจ็บปวดรวดร้าว ได้แต่ขอโทษเขาที่ไม่สามารถให้คำตอบอะไรได้ เพราะตัวเองก็สับสนเหลือเกิน ได้คุยกันเพียงสองชั่วโมงเศษเท่านั้น เราต้องจับเครื่องบินไปสงขลา รู้สึกสงสาร แต่ก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้มากกว่าการบอกให้เขาคอยคำตอบ เขาบอกว่าจะกลับอังกฤษ เรารู้ว่าเงินเขาก็ร่อยหรอไปมากแล้วจากการเดินทาง จึงให้เงินค่าตั๋วเครื่องบินไว้ แล้วเราก็เดินทางไปสงขลาด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความสับสน วุ่นวาย รู้สึกเสียใจและสำนึกผิดมากที่ต้องทำให้ผู้ชายผิดหวังในตัวเราถึงสองคนในเวลาที่ใกล้ชิดเช่นนั้น เหมือนกำลังถูกทดสอบจากเบื้องบน

                  

หาเหตุผลแต่งงาน

                   เมื่อมีเวลาได้คิด จำได้ว่า สิ่งที่เราเอาเข้ามาใคร่ครวญมากกว่าความรักที่มีต่อชายคือ ความรักต่อพ่อแม่ ถ้าให้สาธยายว่ารักพ่อแม่นั้นรักอย่างไร ก็พูดได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก รักพ่อแม่คือการทำให้พ่อแม่สบายใจ หายห่วงในตัวเรา ต้องดูแลท่านให้ดี แล้วก็มามองสถานะของตัวเองว่าเป็นหญิง พ่อแม่ก็ต้องห่วงอยู่ร่ำไปจนกว่าจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว ท่านจึงจะหายห่วง ครอบครัวคนจีน อย่างน้อยพ่อจะดีใจว่าได้เอาส้วมออกจากหน้าบ้านแล้ว 

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คิดแต่งงานคือ หลังจากการทำงานในค่ายอพยพเขมร เวียดนาม และชาวเขาเผ่าม้งเป็นเวลา ๘ เดือนนั้น เริ่มเห็นภาพของการเมืองระดับโลกอันเป็นการต่อสู้กันระหว่างสองความคิด จนเกิดการสู้รบปรบมือกันระหว่างค่ายเสรีกับค่ายคอมมูนิสต์จนทำให้เกิดผู้ลี้ภัยเหล่านี้ เราได้เห็นความทุกข์ของมนุษย์ที่เกิดจากการเมืองที่สกปรกในระดับโลก อันเป็นความทุกข์ของมนุษย์ที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ สามารถเห็นว่าเมื่ออวิชชาครอบงำคนที่อยู่ในฐานะผู้นำประเทศแล้ว การคิดการกระทำของเขาจะมีผลกระทบไปสู่มวลมนุษย์ทั่วโลก และทำให้คนต้องแบกทุกข์เพิ่มขึ้นอย่างมหันต์โดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่ทำอยู่ค่ายอพยพเขมรที่บ้านแก้งนั้น หลังจากที่คนทำงานได้ช่วยเหลือชาวเขมรที่อดอยากจนกระทั่งอ้วนท้วนสมบูรณ์ดีแล้ว ด้วยความร่วมมือของรัฐบาลไทย และประเทศมหาอำนาจ คนเขมรก็ถูกส่งกลับไปสู้รบกับทหารเวียดนามในเขมรอีกอย่างลับ ๆ  พอเราทราบข้อเท็จจริงนั้น รู้สึกผิดหวังมากและเริ่มตั้งคำถามในใจอย่างเงียบ ๆ เห็นว่าทั้งแรงงานของเราและของผู้มีเจตนาดีคนอื่น ๆ ที่ทุ่มเทลงไปเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์นั้นได้กลับกลายเป็นปัจจัยที่ช่วยให้สงครามในเขมรดำเนินต่อไปอย่างไม่จบไม่สิ้น การมารู้ข้อเท็จจริงนี้ ได้ทำให้จิตใจปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก ถ้ารู้ว่าแรงงานของเราได้กลายเป็นปัจจัยเพื่อการสร้างสันติภาพแล้ว เราสามารถทำได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า งานทั้งหมดเหล่านี้เป็นไปเพื่อการป้อนให้สงครามดำเนินต่อไปเท่านั้นหรือ

เราไม่สามารถคิดเหมือนคนอื่นว่า มีงานดี ได้เงินดี ก็น่าพอใจแล้ว ไปคิดอะไรมากมายให้รกสมองเปล่า ๆ ไม่ใช่คิดแล้วจะแก้ปัญหาได้เพราะตัวเองคือใคร มันก็คือฝุ่นเม็ดเล็ก ๆ เม็ดเดียวที่ไม่มีใครสนใจหรือมองเห็นความสำคัญ จะไปแก้ไขปัญหาในระดับโลกได้อย่างไร ก็ช่วยไม่ได้ที่เราเป็นคนมีจิตสำนึก อย่างน้อยก็อยากทำในสิ่งที่ถูกต้องต่อจิตสำนึกของตนเอง จะได้ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ จึงคิดหนักมาก และนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ขอย้ายไปทำงานในค่ายอพยพชาวญานและชาวม้ง จนทำให้เห็นปัญหาในวงกว้างมากขึ้น เห็นความทุกข์อันหลากหลายโดยเฉพาะหญิงเวียดนามที่เดินทางหนีออกมาทางเรือและถูกชาวประมงไทยกับมาเลเซียปล้นและข่มขืนอย่างไม่ปราณี ได้เห็นชาวเขาเผ่าม้งผู้มีลักษณะนิสัยที่สงบ ซื่อ ๆ และใช้ชีวิตที่ใกล้ชิดธรรมชาติ แต่เพราะการเมืองที่สกปรก ประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกาจึงเอาปืนมาให้เขา หัดให้คนซื่อ ๆ เหล่านี้ต่อสู้กับคอมมูนิสต์ เมื่อคอมมูนิสต์ยึดอำนาจในลาว คนเหล่านี้จึงอยู่ไม่ได้ ต้องหลบหนีออกมาตกระกำลำบาก

  เราได้เดินมาถึงจุดหนึ่งที่รู้สึกเบื่อหน่ายต่อปัญหาของมนุษย์ที่ไม่มีทางออก ดูออกว่าโลกมนุษย์นี้ยุ่งเหลือเกินและเป็นทุกข์กันอย่างไม่สิ้นสุด โดยที่คนไปทำให้มันยุ่งและทุกข์มากขึ้นอย่างไม่รู้ตัวเพราะอวิชชา วิถีทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริงคือ คนเราต้องมีธรรมะเท่านั้น และหันกลับมามองตัวเองว่า แล้วธรรมะมีในตัวเรามากสักแค่ไหน ก็รู้ว่ามีไม่มากเลย ยังว่ายน้ำไม่แข็ง แล้วจะขึ้นฝั่งได้อย่างไร จะเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้อย่างไร

ความรู้สึกที่อยากเก็บตัวทำสมาธิยังมีอยู่ แต่ทุกครั้งที่ตระหนักในความเป็นหญิงของตัวเองแล้ว ก็ต้องสั่นหัวและท้อใจมาก จะไปวิ่งเข้าวัดนั้นออกวัดนี้อย่างที่เคยทำ พ่อแม่ก็ไม่ยอมรับ จะไปอยู่สันติอโศกอย่างที่เพื่อนบางคนได้ทำไปแล้ว เราก็ไม่ยอมรับเขา รู้สึกชื่นชมเพื่อนบางคนที่สามารถทุ่มเทชีวิตให้กับสันติอโศกและให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่แต่งงานเลยตลอดชีวิต รู้ว่าเรายังไม่กล้าให้คำมั่นสัญญาเช่นนั้น คิดว่า ถ้าแต่งงานกับคนที่เขารักเรา อย่างน้อยชีวิตก็เป็นสัดส่วนของเราเอง มีคู่ชีวิตที่คุยปรึกษากันได้ จะทำสมาธิในเวลาของเราก็น่าจะได้ นี่คงเป็นเหตุผลที่หาคนเข้าใจยาก เป็นการตัดสินใจแต่งงานที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนเหตุผลหลักอันคือความรักเลย เพราะไม่รู้ความรักคืออะไร ตอนนี้ถึงรู้ว่านั่นเป็นการคิดที่ไร้เดียงสามาก ไม่รู้เลยว่าชีวิตแต่งงานและการดิ้นรนหาเลี้ยงครอบครัวนั้นมันหนักมากเพียงใด  

 

รักสามเส้า

         นึกไม่ถึงว่า หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่อย่างเราจะเดินมาพบเหตุการณ์รักสามเส้าเช่นนี้ เรารู้ว่าคำถามที่หนุ่มชาวสวิสถามนั้นช่างแทงใจดำเราเหลือเกิน พยายามถามตัวเองว่า เรารักคนไหนมากพอที่จะแต่งงานร่วมหัวจมท้ายได้หรือไม่ คำตอบคือ ไม่มีเลย เมื่อดูเข้าไปในใจแล้ว หาความรู้สึกรักไม่เจอ ไม่รู้จริง ๆ ว่าหน้าตาความรักเป็นยังไง ต้องรู้สึกยังไงจึงจะเรียกว่ารักใครสักคนหนึ่งมากพอที่จะแต่งงานด้วย และจะมีคนสักคนในโลกไหมที่เราสามารถรู้สึกอย่างนั้นด้วยได้ รู้สึกผิดหวังว่าทำไมจึงไม่มีผู้ชายไทยมาหลงรักเราบ้าง  ทำไมจึงมีแต่ฝรั่งที่จะทำให้วิถีชีวิตเราต้องระเหเร่ร่อนห่างแม่ไปอยู่เมืองไกล  และถ้ามีผู้ชายไทยมาหลงรักเราบ้าง เราจะมีความรู้สึกที่ต่างออกไปหรือไม่ แต่มันก็คงทำให้เราตัดสินใจง่ายขึ้น เพราะอย่างน้อย เราไม่ต้องจากพ่อแม่พี่น้องไปอยู่ไกล

 

นั่งสมาธิเลือกคู่

                   พอตัดสินใจว่าจะแต่งงานแน่แล้ว จำได้ว่า นั่งสมาธิหาความสงบ เมื่อใจสงบแล้ว แทนที่จะโน้มจิตไปใคร่ครวญธรรม กลับโน้มใจไปหาคำตอบว่าควรเลือกแต่งงานกับใครดีเหมือนเล่นหวยชีวิตยังไงก็ยังงั้น รู้ว่าถ้าแทงถูกเบอร์ ก็จะสมหวัง แทงผิดเบอร์ก็จะล่มจม การเลือกคู่ก็เหมือนการซื้อล๊อตเตอรี่ชีวิต ไม่ว่าจะแต่งงานกันด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ รัก ไม่รัก หรือถูกจับให้แต่งกัน ล้วนเป็นการเสี่ยงทายทั้งสิ้น ไม่มีใครรู้ว่า ชีวิตจะออกหัวหรือออกก้อย บางคนรักกันจะตาย เสียเงินเสียทองจัดงานใหญ่โต แต่งแล้วไม่นานก็ต้องเลิกลากันไป บางคนแต่งเพราะพ่อแม่จับให้แต่ง แต่ก็อยู่ด้วยกันได้ยืดมาก 

สำหรับเรานั้น ตอนนี้ถึงมองมาออกว่า ชีวิตของเราซับซ้อนกว่าคนธรรมดามากนัก เพราะเราไม่ใช่เพียงต้องการชายคนหนึ่งมาคุ้มครองความเป็นเพศที่อ่อนแอของเราเท่านั้น เรายังต้องการอีกสิ่งหนึ่ง นั่นคือ ความปรารถนาอยากหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างรุนแรง แต่ตอนนั้น ความคิดต่าง ๆ ยังไม่ชัดเจนนัก รู้เพียงว่าไม่ว่าเราจะใช้ชีวิตอะไร อย่างไร อยู่มุมไหนของโลกก็ตาม เราต้องกลับไปสู่สภาวะที่เคยประสบมาก่อนที่บ้านพรานนกให้ได้ รู้แต่ว่าสภาวะนั้นเปรียบเหมือนแสงสว่างที่อยู่ปลายสุดของถ้ำมืด และเป็นที่เดียวที่เราต้องไปให้ถึง เป็นความปรารถนาการพ้นทุกข์อย่างรุนแรงที่เราไม่สามารถบอกใครให้เข้าใจได้

ความปรารถนาในสิ่งที่คนอื่นเข้าใจไม่ได้นี่เองได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเราตัดสินใจเลือกคู่ชีวิตที่เหมาะสม เป็นการเลือกที่สวนกระแสของคนในสังคม จนเราแน่ใจว่าเราต้องกำลังถูกทดสอบจากเบื้องบนอย่างแน่นอน

จำได้ชัดว่า พอโน้มจิตไปคิดว่าควรเลือกหนุ่มคนไหนดี ในสมาธินั้น คำตอบผุดขึ้นมาอย่างชัดเจนว่า หากเรายังต้องการไปนิพพานแล้ว หมายความว่าเราต้องใช้ชีวิตที่ธรรมดาอย่างมากที่สุด เราต้องเลือกคนที่สามารถหยิบยื่นชีวิตที่ธรรมดาให้กับเราได้ ฉะนั้น เราควรเลือกคนที่ไม่มีสถานะทางสังคมสูงนัก เพราะความไม่มีของเขาเท่ากับเป็นเชิงบังคับให้เราต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างต่ำ ๆ อยู่อย่างติดพื้น เป็นการบังคับไม่ให้กิเลสเบ่งบานได้ และคนที่อยู่ในตาข่ายนี้คือ หนุ่มอังกฤษนั่นเอง

ที่จริงแล้ว หมอชาวสวิสก็ไม่ได้ทำตัวสูงส่งอะไรเลย เป็นฝรั่งที่ติดดินมากถึงแม้จะเป็นหมอก็ตาม คนที่ไม่ติดดินจริง ๆ คงไม่มาหลงรักเราหรอก สิ่งที่เรากลัวไม่ใช่หมอชาวสวิสคนนี้ แต่กลัวสังคมหมอที่หนุ่มสวิสจะนำเราไปต่างหาก เพราะเรารู้แล้วว่าสังคมหมอนั้นเป็นอย่างไร เราหนีออกมาแล้วครั้งหนึ่งเพราะรู้ว่าเป็นสังคมที่ต้องแบกตัวตนไว้หนักมาก แล้วเราจะไปทนเสแสร้งวางท่า แบกตัวตนกับเขาไหวหรือ เพราะเนื้อแท้ของเราไม่ใช่เช่นนั้น ถ้าไม่ใช่เป็นเหตุผลนี้ก็กลัวไปอีกสุดโต่งหนึ่งว่า หากได้เป็นเมียหมอแล้ว ก็อดคิดไม่ได้ว่า ตัวตน ego ของเราจะต้องใหญ่และเบ่งบานขึ้นเพราะสถานะของสามี และชีวิตของเราจะไม่เป็นธรรมดา จะไม่ติดพื้น ถึงแม้หมอสวิสจะมีคุณสมบัติหลายอย่างที่ควรคู่กับเรา ถ้าแต่งกับเขาแล้ว ก็คงไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทอง และเขาจะสามารถสนับสนุนให้เราทำงานที่มีหน้ามีตาในสังคมได้ด้วย

แต่ในสมาธิ เรากลับเห็นได้ชัดเจนว่า ความมีสถานะทางสังคมเช่นนั้นกลับจะเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงความเป็นธรรมดาของชีวิต เพราะเรารู้ว่า แสงสว่างที่อยู่ปลายถ้ำนั้นคือความธรรมดาอย่างถึงที่สุดนั้นเอง จึงเห็นว่า เราไม่ควรไว้ใจตัวเอง เพราะถ้าเราเกิดชอบสถานะที่สูงส่งทางสังคมเพียงเพราะเราเป็นเมียหมอแล้ว เราจะติดและออกมายาก ฉะนั้น อย่าไปเปิดโอกาสให้กิเลสเบ่งบานดีกว่า

ถ้าเราเป็นผู้ชายและได้บวชเป็นพระ การคิดเช่นนั้นของเราก็เหมือนกับการคิดว่า อย่าไปพุ่งชนลาภ สักการระอย่างเต็มแรงดีกว่า เพราะเมื่อชนแล้ว ออกมาไม่ได้ จะลำบาก ถ้าเอานิพพานแล้ว จะพุ่งชนหาลาภ สักการะไม่ได้เด็ดขาด  

                   ทุกครั้งที่ทำสมาธิ พอใจสงบแล้ว คิดโน้มไปในเรื่องนี้ทีไร ความคิดเหล่านี้จะออกมาเช่นนั้นทุกครั้งไป แต่พอออกจากสมาธิ ก็เกิดความไม่แน่ใจ ลังเลใจ สงสัยตัวเองว่าทำไมจึงคิดทวนกระแสของสังคมเช่นนั้น หญิงที่มีการศึกษาอย่างเราแต่งกับหมอน่าจะดีกว่า ไปถามเพื่อนทุกคนเขาต้องบอกอย่างนี้ทั้งนั้น ถ้าแต่งกับคนจนแล้วจะอายเพื่อน แล้วเราไม่กลัวความลำบากของอนาคตหรือ จำได้ว่ามีการต่อสู้เช่นนั้นอยู่พักหนึ่ง เหมือนกำลังถูกทดสอบโดยไม่รู้ตัว

 

แต่งได้คนเดียว

ในที่สุด ความคิดเรื่องการแต่งงานกับคนจนเป็นฝ่ายชนะ จึงตัดสินใจลาพักร้อนสองอาทิตย์เพื่อไปเยี่ยมหนุ่มอกหักที่อังกฤษ เพราะแม่บอกว่าเขาต้องมีเมียแล้วแน่นอน อาจจะมาหลอกเราก็ได้ ไปดูให้รู้แน่นอนก็ดีเหมือนกัน เขาขอแต่งงานอีกทันที แต่เราบอกว่า ถ้าจะแต่ง ก็ต้องไปแต่งที่เมืองไทย หลังจากที่ทำงานกับองค์การสหประชาชาติได้ ๑๔ เดือน เราก็แต่งงานกับหนุ่มอังกฤษที่เมืองไทยโดยที่ไม่ได้บอกหนุ่มชาวสวิส เพราะแต่ละคนในช่วงนั้นก็เดินทางไปโน่นมานี่อยู่เสมอ แต่งงานได้เพียง ๓ อาทิตย์ หนุ่มสวิสซึ่งเดินทางกลับมาเมืองไทยอีก พยายามตามหาเราเพื่อเอาคำตอบว่าเราจะแต่งงานกับเขาหรือไม่ วานให้คนโทรไปที่บ้านเจอแม่ แม่พอรู้ว่าเขาก็หลงรักเราอยู่ ไม่อยากให้เขามายุ่งอีก จึงหลอกเขาว่าเราไปทำงานสงขลาแล้ว เขาจึงนั่งรถไฟตามไปหาเราถึงสงขลา เพื่อนที่นั่นบอกเขาว่าเราได้แต่งงานแล้ว จึงกลับเข้ากรุงเทพโทรหาแม่อีก แม่จึงให้เบอร์โทรของแฟลตที่เราพักอยู่กับสามี เขาขอพบ เราก็ยอมให้เขามาพบทั้งเรากับสามี มานั่งจ้องเราอยู่นานสองนานด้วยสายตาละห้อยและใบหน้าที่ผิดหวังเจ็บปวด แต่ก็แสดงความยินดีกับเราและสามีอย่างเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริง ได้เขียนจดหมายและส่งหนังสือของกฤษณามูรติให้เราอ่านหลังจากที่มาอยู่อังกฤษแล้ว ติดต่อทางจดหมายอยู่ราว ๒  ปีก็ขาดการติดต่อจนถึงบัดนี้ ไม่รู้ว่ายังอยู่หรือได้ตายไปแล้ว