บทที่แปด ชีวิตแต่งงาน

 

ชีวิตคู่คือการทะเลาะกับกิเลสของทั้งสองฝ่าย

         การที่คนสองคนมาใช้ชีวิตร่วมกันนั้นมิใช่เป็นเรื่องง่าย เพราะแม้การอยู่เป็นโสดคนเดียวโดยไม่ต้องพยายามเอาใจใคร หรือไม่มีใครมาทำอะไรให้ขัดใจ คนเราก็ยังอดทะเลาะกับตัวเองไม่ได้ ตราบใดที่คนเรายังมีกิเลสอยู่ ตราบนั้น ก็ยังต้องทะเลาะกับกิเลสของตนเองที่มากับความคิด และความรู้สึกต่าง ๆ จนทำให้ไม่สบายใจ รำคาญใจ คับแค้นใจ ซึ่งถ้าเป็นโสดก็สามารถทำอะไรตามใจตัวเองหรือตามใจกิเลสได้บ้าง การใช้ชีวิตคู่หมายความว่านอกจากต้องทะเลาะกับกิเลสตัวเองแล้วยังต้องทะเลาะกับกิเลสของคู่ชีวิตด้วยซึ่งต้องยากมากขึ้นเป็นธรรมดา  ฉะนั้น การมาใช้ชีวิตร่วมกับคนอีกคนหนึ่งในฐานะสามีภรรยากันย่อมเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้น จำเป็นต้องมีการปรับตัว การประนีประนอม อดทน และเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น ไม่เช่นนั้นก็ไปไม่รอด

 

สามีภรรยาคือเพื่อนที่ดีของกันและกัน

ที่จริงแล้ว สามีภรรยาก็คือเพื่อนที่ดีที่สุดของกันและกัน แต่เป็นเพื่อนที่มาใกล้ชิดกันเพราะความรักที่มีต่อกัน เพราะความรักนั่นเอง จึงทำให้คนสองคนสามารถผลิตคุณภาพอันดีงามต่าง ๆ ของตนออกมาเพื่อประคับประคองชีวิตคู่ไปได้ตลอดรอดฝั่ง เช่น มีเมตตากรุณาต่อกันและกัน ให้ความเกรงอกเกรงใจกัน ให้การยกย่องซึ่งกันและกัน ยอมเสียสละ ประนีประนอม พยายามเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องอดทนให้มากและเห็นแก่ตัวให้น้อยที่สุด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าได้ทรงวางไว้แล้วทั้งสิ้น มันจึงแตกต่างกันมากระหว่างเพื่อนสองคนที่มาเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน เขาจะอยู่ด้วยกันได้ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อทนทะเลาะกับกิเลสของฝ่ายตรงข้ามไม่ไหวแล้ว ต้องมีวันหนึ่งที่ขัดใจกันและแยกย้ายกันไป  แต่สามีภรรยาที่มาเช่าบ้านอยู่ด้วยกันนั้น ที่จริงเขาก็เป็นเพื่อนของกันและกัน แต่สามารถอยู่ได้รอดเพราะความรัก จึงทำให้เขาทั้งสองเต็มใจที่จะเห็นแก่ตัวเองน้อยลง  ถ้าปราศจากความรักอันเหมือนสะพานที่นำไปสู่คุณสมบัติอันดีงามดังกล่าวแล้ว คนสองคนจะอยู่รอดได้ยากมาก จะเหมือนกับคนสองคนมาเช่าบ้านอยู่ด้วยกันเท่านั้น เมื่อทนความเห็นแก่ตัวของแต่ละฝ่ายไม่ได้ ก็ต้องหย่าร้าง เลิกรากันไป

 

การรักคนอื่นคือเห็นแก่ตัวเองน้อยลง

นอกจากพระอรหันต์ซึ่งไม่มีตัวตนให้รักแล้ว ทุกคนล้วนรักตนเองเป็นพื้นฐานอยู่แล้วทั้งสิ้น ขึ้นอยู่ว่ารักตัวเองมากหรือน้อยเท่านั้น ฉะนั้น หากจะมองการใช้ชีวิตคู่ในแง่ดีก็คือ เป็นการบีบบังคับให้รักตัวเองน้อยลงและเสียสละเพื่อผู้อื่นมากขึ้นอย่างเต็มใจ เพราะผู้อื่นคนนั้นคือคนที่เรารักนั่นเอง ซึ่งเป็นการเสียสละความเห็นแก่ตัวที่ง่ายมากเพราะธรรมชาติช่วยมาแล้วส่วนหนึ่งโดยให้ความรักกับคน ๆ นั้น คนที่เห็นแก่ตัวมาก ๆ จะรักคนอื่น เสียสละเพื่อผู้อื่นไม่เป็น เพราะเขารักตัวเองมากเกินไป คนเช่นนี้ ถ้าบอกว่ารักใคร ก็จะเป็นความรักที่มีพื้นฐานอยู่บนเรื่องเพศหรือเรื่องได้เรื่องเสียเป็นส่วนมาก เมื่อเรื่องเพศจืดจางลง หรือตนเองมีเรื่องเสียมากกว่าเรื่องได้แล้ว ชีวิตคู่ก็เริ่มมีปัญหา ฉะนั้น การรักใครสักคนมากพอที่อยากร่วมหัวจมท้ายกับเขานั้นเท่ากับเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาจิตใจตนเองให้สูงขึ้น เพราะจำเป็นต้องเห็นแก่ตัวเองน้อยลง แต่แน่นอน ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีคุณธรรมนี้เสมอกันจึงไปรอดได้ ถ้าฝ่ายหนึ่งมีแต่ให้ อีกฝ่ายมีแต่เอาอย่างเดียวมันก็ไปไม่รอด พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้แล้ว

 

เลือกคนที่รักเรา อยู่ง่ายกว่า

ถึงแม้การตัดสินใจแต่งงานของเราไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ “ความรัก” แบบหนุ่มสาวตามที่ใครต่อใคร(คิดว่า)เข้าใจ เพราะเราไม่รู้จริง ๆ ว่าความรักคืออะไรแน่นอน แต่ก็โชคดีพอที่มีคนมารักเราอย่างท่วมท้นซึ่งเราก็ไม่เข้าใจอีกว่าทำไมเขาจึงรู้สึกรักเรามากมายเพียงนั้น ฉะนั้น การยอมแต่งงานกับคนที่รักเราอย่างหัวปักหัวปำคนนั้น มันก็เป็นสิ่งดีในแง่ที่ว่าเขาย่อมพอใจที่จะเสียสละความเห็นแก่ตนเองเพื่อความสุขของเราโดยไม่ต้องฝืนใจตัวเองมากนัก 

สำหรับเรานั้น ถึงแม้ไม่รู้ว่า “ความรัก” คืออะไรแน่นอน แต่เราก็รู้จักความเมตตา กรุณา สงสารคน ประนีประนอม อดทน เสียสละ และคิดว่าการสามารถรักใครสักคนหนึ่งได้นั้นจำเป็นต้องมีคุณสมบัติเหล่านี้เป็นพื้นฐาน จึงคิดว่า หากเราทำเช่นนี้ได้ ก็น่าจะไปรอดได้เช่นกันแม้จะไม่รู้ว่าความรักคืออะไร

มาบัดนี้ ๒๐ ปีของชีวิตแต่งงานก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ได้ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตที่ทำให้ต้องทดสอบความอดทนของกันและกันมาไม่น้อย แต่เพราะสามีมีความรักต่อเรามาก และเราก็ใช้หลักเมตตากรุณาซึ่งที่จริงมันก็เรื่องเดียวกัน  ชีวิตคู่ของเราจึงอยู่ได้จนถึงบัดนี้

        

เรียนรู้จากการใช้ชีวิตคู่

บางครั้ง เรื่องที่ฟังดูง่าย ๆ นั้นกลับเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากมาก ก่อนแต่งงาน เราไม่เข้าใจว่าทำไมการเห็นลูกแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาช่างเป็นเรื่องสำคัญต่อพ่อแม่มาก ทำไมเขาจึงบอกว่าจะได้หายห่วงเสียที ทำไมพ่อเราจึงอยากเอาส้วมออกจากหน้าบ้าน เพราะเราคิดเสมอว่า แม้เป็นผู้หญิง หากสามารถทำงานหาเงินได้ ก็น่าจะพึ่งพาตัวเองได้เช่นกัน เพิ่งมาเข้าใจอย่างแท้จริงก็เมื่อได้ใช้ชีวิตคู่มา ๒๐ ปีแล้วนี่เอง

 ธรรมชาติของมนุษย์นั้น เมื่อมีปัญหาขัดข้องใจก็ย่อมอยากปรับทุกข์กับคนที่เข้าใจเราได้ หรือเมื่อมีข่าวดีก็อยากเห็นคนอื่นดีใจกับเราด้วย นอกจากพ่อแม่ซึ่งเป็นผู้ที่รักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข เป็นห่วงเป็นใยเรา เต็มใจรับฟังเรื่องสุขทุกข์ของเราอย่างใจจดใจจ่อแล้ว จะหาคนอื่นที่สามารถทำสิ่งเหล่านั้นกับเราได้ยากมากนอกจากสามีหรือภรรยาที่รักกันจริง ๆ เท่านั้น นอกจากใครโชคดีมากพอที่มีเพื่อนหรือพี่น้องที่สนิทมากจริง ๆ ที่สามารถดีใจกับข่าวดีและเสียใจกับข่าวร้ายของเราได้  เพราะในโลกของสมมุตินั้น แม้แต่พี่น้องเพื่อนสนิทก็ยังอดอิจฉากันไม่ได้

นอกจากนั้น คนเรายังมีปัญหาสุขภาพ ถ้ายังอยู่ในความดูแลของพ่อแม่แล้ว เมื่อไม่สบาย พ่อแม่ก็ต้องดูแลเราโดยอัตโนมัติเพราะท่านรักเรา แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน ท่านต้องแก่เฒ่าชราและจากเราไปในที่สุด หลังจากนั้นแล้วใครจะดูแลเราหากไม่ใช่สามีหรือภรรยาของเรา จะให้พี่น้องหรือเพื่อนมาดูแลเมื่อไม่สบายหรือ ย่อมเป็นไปไม่ได้ นอกจากใครมีพี่น้องดีก็อีกเรื่องหนึ่ง ฉะนั้น การมีคู่ชีวิตนั้นก็เป็นเรื่องดีในแง่ที่ว่า อย่างน้อยมีเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่สามารถพูดคุยปัญหาสุขทุกข์ด้วยได้ สามารถปลอบประโยนเราได้เมื่อมีปัญหา สามารถดูแลรักษาพยาบาลเราได้เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อเราสุขเขาก็สุขกับเรา เมื่อเราทุกข์เขาก็ทุกข์กับเรา เพราะธรรมชาติของคนล้วนเป็นสัตว์สังคมที่ต้องการเพื่อนทั้งสิ้น

การมีชีวิตคู่จึงเหมือนเป็นสิ่งที่ธรรมชาติออกแบบมาให้คนสองคนอยู่ด้วยกันโดยใช้ความรักและเพศสัมพันเป็นเครื่องประสาน นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการใช้ชีวิตคู่ ซึ่งที่จริงก็เป็นเรื่องที่ดูเหมือนง่ายต่อการเข้าใจและคิดว่าได้เข้าใจแล้วตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่ความซาบซึ้งก็ยังไม่มากเท่าบัดนี้ เรื่องการเข้าใจชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่ข้ามขั้นตอนไม่ได้ เหมือนกับตอนนี้ที่เราพยายามจะให้ลูกเข้าใจในหลาย ๆ เรื่องของชีวิต แต่พูดอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจ

           

แต่งงานกับคนต่างชาติต้องปรับตัวมากขึ้น

การแต่งงานกับคนต่างชาติต่างภาษาและวัฒนธรรมนั้นย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสียซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนว่าเขามองชีวิตอย่างไร และต้องการอะไรในชีวิตแต่งงาน บางคนแต่งเพราะรักจริง ๆ บางคนแต่งเพราะเงิน บางคนแต่งเพราะเห็นว่าอยู่กับฝรั่งง่ายกว่าอยู่กับคนไทย ผู้หญิงไทยไม่น้อยที่อยากแต่งงานกับฝรั่งก็เพราะเข็ดผู้ชายไทยที่เจ้าชู้ หรือไม่ก็ต้องการความมั่นคงในด้านการเงินที่สามีฝรั่งหาให้ได้ง่ายกว่าสามีไทย แต่สิ่งที่แน่นอนคือ การแต่งงานกับคนต่างภาษาและวัฒนธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ต้องการการปรับตัวมากกว่าคู่สามีภรรยาที่พูดภาษาเดียวกันและเติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมเดียวกันอย่างแน่นอน คนพูดภาษาเดียวกันอยู่ด้วยกันก็ยังทะเลาะกันเลย จะเอาอะไรกับคนพูดกันคนละภาษา

ก่อนแต่งงาน เราคิดว่าการสื่อสารกับสามีเป็นภาษาอังกฤษนั้นไม่น่าจะมีปัญหา เพราะเราพูดภาษาอังกฤษได้มากพอสมควร ตอนนี้ถึงบอกได้ว่า ปัญหาขัดแย้งกันส่วนมากอยู่ที่การสื่อสาร เราอาจจะพูดอย่างหนึ่งด้วยความหมายของเรา ตามที่คนไทยเราเข้าใจ สามีฟังแล้วไม่พอใจเพราะไปตีความเป็นอีกอย่างหนึ่ง หรือไม่ก็กลับกัน หรือเวลาจะทะเลาะกัน ก็ทะเลาะไม่ได้เต็มที่เพราะขุดคำพูดออกมาไม่ทัน ทำให้คับแค้นรำคาญใจมากขึ้น ชีวิตคู่ก็คือลิ้นกับฟัน ต้องมีการกระทบกันบ้างเป็นธรรมดา แต่รอดตัวมาได้จนถึงบัดนี้เพราะต่างฝ่ายต่างก็พยายามปรับตัวเข้าหากันโดยการพยายามเข้าใจ ให้อภัยและอดทนต่อกัน ซึ่งถ้ามีความรักและความเมตตาเป็นพื้นฐานแล้ว ก็ให้อภัยกันได้ง่ายขึ้น

 

คิดว่าตนเองล้มเหลวเพราะยุ่งกับเมถุนธรรม

             ช่วงที่ทำงานอยู่โรงพยาบาลนั้น วันหนึ่ง เคยไปสันติอโศกที่คลองกุ่ม ในขณะที่นั่งอ่านหนังสืออยู่นั้น ได้ยินหนุ่มสาวชาวอโศกกลุ่มหนึ่ง นั่งคุยอยู่ข้าง ๆ เขากำลังคุยเรื่องเมถุนธรรมอยู่ ทุกคนเห็นพ้องกันว่าเพศสัมพันนั้นเป็นเรื่องหยาบ และวิจารณ์คนที่เสพเมถุนว่าต้องมีจิตที่หยาบมากจึงสามารถทำกิจกรรมทางเพศได้ เพราะเป็นการทำร้ายร่างกายของกันและกัน เราพอรู้มาว่าสมาชิกชาวอโศกที่ต้องการเอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติมาก ถึงแม้จะไม่บวชเป็นพระ แต่ก็ต้องให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่เสพเมถุนเลยตลอดชีวิตนี้  ตอนนั้นฟังแล้วรู้สึกว่าตัวเองยังไกลจากพระธรรมมาก รู้สึกตัวเองล้มเหลวมากต่อวิถีแห่งธรรม เพราะเราไม่สามารถจะให้คำมั่นสัญญาได้ว่าจะไม่เสพเมถุนเลยตลอดชีวิต และเมื่อรู้ว่าหนุ่มสาวกลุ่มที่กำลังคุยอยู่นั้นคงต้องรับคำมั่นสัญญานั้นแล้ว จึงรู้สึกชื่นชมเขามากว่ามีความกล้าหาญชาญชัยเหลือเกินที่สามารถตัดสินใจเด็ดขาดเช่นนั้นได้ทั้ง ๆ ที่อายุก็พอ ๆ กับเรา และอดเปรียบเทียบไม่ได้ว่า เราช่างไม่เอาไหนเลย

ยิ่งเมื่อหลังแต่งงานแล้วใหม่ ๆ ในขณะที่ยังอยู่เมืองไทยกับสามี บ่อยครั้ง ภาพพจน์ คำพูดที่เราได้ยินที่สันติอโศกในวันนั้นก็กลับมาก้องอยู่ในหัว ทำให้รู้สึกละอายใจมากในบางครั้ง อดคิดไม่ได้ว่า เรานั้นล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในทางธรรม เพราะเลือกที่จะเสพเมถุนธรรมอันเป็นเรื่องหยาบ สรุปกับตัวเองว่า จิตเราก็คงต้องหยาบไม่น้อยในสายตาของเพื่อน ๆ ที่ไปวัดด้วยกัน รู้สึกอับอายเพื่อน ๆ ไม่อยากบอกเขาว่าเราแต่งงานแล้ว แต่ก็พอรู้ว่าเพื่อน ๆ หลายคนถึงกับตะลึง ไม่เชื่อหูตัวเอง นึกไม่ถึงว่า เราจะกล้าตัดสินใจแต่งงานโดยเฉพาะกับฝรั่งด้วย  จึงคิดต่อว่า ที่จริงหนีหน้าเพื่อน ๆ ไปอยู่อังกฤษก็ดีเหมือนกัน แต่ภายใน ๕ ปีหลังจากนั้น แม้เพื่อน ๆ ที่ไปวัดด้วยกันส่วนมากก็ตัดสินใจแต่งงานมีครอบครัวกันเป็นส่วนมาก มีน้อยคนที่ยังเป็นโสดอยู่นอกจากคนที่ตัดสินใจบวชซึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน 

มองเมถุนธรรมอย่างเป็นกลาง ๆ

  หลังจาก ๒๐ ปีของชีวิตแต่งงาน เราสามารถมองเรื่องเมถุนธรรมได้อย่างเป็นกลางมากขึ้นกว่าสมัยนั้นมากนัก หากใครพอใจเลือกชีวิตของนักบวชแล้วไซร้ แน่นอน เมถุนย่อมเป็นศัตรูของพรหมจรรย์

พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสสอนภิกษุว่า สามารถใช้ความโลภละความโลภได้ คือ เมื่อเห็นเพื่อนภิกษุบรรลุธรรมขั้นสูงกว่าแล้ว ก็ตั้งความอยากที่จะบรรลุธรรมขั้นสูงเช่นนั้นบ้าง แต่เมื่อมาถึงเรื่องเมถุนแล้ว จะมาเสพเมถุนจนเบื่อไปเองนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ และชักชวนให้พระภิกษุชักสะพานเสียคือไม่ยุ่งกับมันเลย ซึ่งเป็นทางลัดที่จะช่วยพระภิกษุบรรลุพระนิพพาน

   แต่สำหรับชีวิตของฆราวาสผู้ครองเรือนแล้ว เพศสัมพันเป็นเรื่องสำคัญพอ ๆ กับเรื่องกิน นอน และขับถ่ายของเสีย เป็นเรื่องของธรรมชาติที่เมื่อทำอยู่ในกรอบของศีลธรรมแล้ว ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องต่ำทรามเสียทีเดียว  ความรู้สึกทางเพศเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาเพื่อประสานคนสองคนให้สนิทสนมแนบแน่นยิ่งขึ้นเพื่อทำหน้าที่อันสำคัญให้แก่ธรรมชาติ คือ การผลิตมนุษย์อีกคนหนึ่งให้แก่เผ่าพันธุ์มนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก ฉะนั้น ธรรมชาติจึงต้องให้ขนมหวานแก่มนุษย์เพื่อทำหน้าที่สำคัญนี้ให้สำเร็จจงได้ โดยการให้ฮอร์โมนที่สร้างความรู้สึกต้องการทางเพศ เพื่อนำเอาคนสองเพศมาใกล้ชิดกันจนถึงขั้นร่วมเพศกัน แม้ในระหว่างการร่วมเพศก็ให้รสชาดที่เอร็ดอร่อยแก่ทั้งสองฝ่าย จนกระทั่งถึงจุดสุดยอดเมื่อการสืบพันธุ์ที่แท้จริงบังเกิดขึ้น  นี่เป็นความต้องการของธรรมชาติ 

กิเลสก่อให้เกิดอุตสาหกรรมขายมนุษย์

ฉะนั้น เรื่องเพศสัมพันจึงเป็นเรื่องใหญ่ของมนุษย์ในฝ่ายร่างกาย หากมนุษย์สองคนมีเพศสัมพันอันตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรัก ความเมตตากรุณาต่อกันอย่างแท้จริง และทำอยู่ในกรอบของศีลธรรมแล้ว ก็นับว่ามนุษย์สองคนนั้นโชคดีพอที่สามารถมีประสบการณ์อันดื่มด่ำที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มาให้ แต่เพราะขนมหวานที่ธรรมชาติให้มาอย่างมีเหตุผลนี้มีความอร่อยสุดประมาณ และมนุษย์ส่วนมากก็ถูกกิเลสขี่คอจนโงหัวไม่ขึ้นแทบทั้งสิ้น การฉ้อฉลในเรื่องเพศจึงเกิดขึ้น เพราะมนุษย์ต้องการกินขนมหวานถ่ายเดียว เรื่องเพศจึงได้กลายเป็นอุตสาหกรรมที่ทำให้มนุษย์ต้องขายมนุษย์กันเอง เป็นเรื่องน่าเศร้ามาก

 

บททดสอบความรัก

ปัญหาอยู่ที่ว่า เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีความต้องการทางเพศน้อยลงซึ่งส่วนมากจะเป็นฝ่ายหญิง และไม่สามารถตอบสนองความต้องการทางเพศของอีกฝ่ายหนึ่งได้ ปัญหาระหองระแหงระหว่างคู่สามีภรรยามักจะเกิด นี่เป็นจุดที่ทดสอบความรัก เมตตา กรุณา ของทั้งสองฝ่ายได้ดีทีเดียว ชายที่รักภรรยามากจะอดทนได้มาก และไม่ยอมไปหาเมียน้อยเพราะไม่สามารถทำร้ายน้ำใจของภรรยาได้ เป็นการให้เกียรติภรรยา สามีที่ทำได้เช่นนี้ก็สมควรได้รับการยกย่อง ส่วนภรรยานั้นเล่า ก็อาจจะยอมหลับนอนกับสามีแม้จิตใจไม่ต้องการ แต่ก็ทำไปด้วยเห็นเป็นหน้าที่และมีเมตตาต่อสามี และค่อย ๆ ประคองชีวิตและความรู้สึกของกันและกันไปจนแก่เฒ่า แน่นอน  คู่สามีภรรยาที่ทำเช่นนี้ได้ต้องหมายความว่าต่างฝ่ายต่างก็มีศีลธรรม เป็นการใช้ชีวิตคู่ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรักที่แท้จริง แต่ถ้าหากศีลธรรมของสองฝ่ายไม่เท่าเทียมกันแล้ว ปัญหาย่อมเกิด สามีก็จะไปมีเมียน้อย ภรรยาก็เช่นกัน ซึ่งเป็นปัญหาที่แพร่หลายของสังคมในปัจจุบันนี้  นี่เป็นขบวนการเรียนรู้ชีวิตที่ต้องใช้เวลาไม่น้อยทีเดียว

 

เลือกคนไม่ผิด

เรานั้นจะว่าโง่ก็โง่ เพราะรู้เห็นอยู่ตำตาว่าโสเภณีอยู่คู่สังคมโลกมานานแล้ว  ก่อนแต่งงาน มันก็เป็นความรู้ในสมอง ไม่ใช่รู้จากประสบการณ์ พอแต่งแล้ว จึงรู้ชัดว่าผู้ชายนั้นมีความต้องการในเรื่องเพศมากกว่าผู้หญิงมากมายนัก การทำสมาธิของเราย่อมทำให้ความต้องการในเรื่องเพศน้อยลงอีกมาก โดยเฉพาะหญิงที่มีลูกแล้ว ร่างกายจะบอกเองว่าพอแล้ว ฉะนั้น เราต้องยอมรับว่าความไม่สมดุลย์ในเรื่องความต้องการทางเพศนั้นเป็นปัญหาส่วนหนึ่งของชีวิตแต่งงานของเรา  แต่เพราะความรักที่สามีให้เราอย่างท่วมท้นตั้งแต่ครั้งแรกพบนั้น แม้เขาจะไม่ใช่เป็นคนเคร่งศาสนาอะไรทั้งสิ้น แต่เขาก็มีศีลธรรมอยู่โดยธรรมชาติ จึงมีความอดทนกับเราได้มากในเรื่องนี้ ไม่ปรารถนาที่จะไปหาเศษหาเลย พูดเสมอว่าเขาแต่งงานกับเราแล้วก็เป็นเรื่องตลอดชีวิต จะไม่มองหญิงอื่นเด็ดขาด

จึงเข้าใจว่าทำไมผู้หญิงไทยเราบางคนเป็นฝ่ายหาเมียน้อยมาปรนเปรอสามีเสียเอง เพราะมีบางครั้งที่เราก็อยากทำเช่นนั้นบ้างด้วยความสงสารในความรู้สึกของสามี แต่เรากลับเป็นฝ่ายถูกดุ หาว่าไม่รักเขา ทำไมต้องการผลักไสเขาไปให้หญิงอื่น เป็นงั้นไป เพื่อน ๆ บอกว่าเราโชคดีที่ได้ชายเช่นนี้เป็นสามี คิดว่าถ้าเราได้สามีที่เห็นเรื่องเพศเป็นใหญ่ เราก็คงถูกทิ้งไปนานแล้ว ทำให้รู้ว่าเราเลือกคนไม่ผิด นี่ก็ ๒๐ ปีผ่านไปแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อีกต่อไปแล้ว เพราะธรรมชาติก็เข้ามาช่วยจัดการให้ง่ายลงไปมาก ทำให้สามารถมองย้อนชีวิตและทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างถ่องแท้ชัดเจนมากขึ้น