บทที่เก้า เรียนรู้ประสบการณ์แห่งความเป็นแม่
คนเห็นแก่ตัวเป็นแม่ที่ดีไม่ได้
อีกประสบการณ์หนึ่งที่ชีวิตแต่งงานสามารถนำเราไปรู้จักคือ ความเป็นแม่คน
ตั้งแต่การอุ้มครรภ์ การคลอดบุตร การเลี้ยงดูลูกตั้งแต่ตัวแดง ๆ
จนกระทั่งโตเป็นหนุ่ม สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการเป็นแม่คนคือ
รู้ว่าคนเห็นแก่ตัวจะเป็นแม่ที่ดีได้ยาก ถ้าจะมองในแง่กลับแล้ว
การเป็นพ่อแม่คนนั้นเป็นการบีบบังคับให้คนเห็นแก่ตัวเองน้อยลง
เป็นการพัฒนาใจในระดับหนึ่งของชีวิตฆราวาสก็ว่าได้
เป็นเรื่องที่ธรรมชาติบีบบังคับให้คนสองคนต้องลืมความสุขสบายของตัวเอง และทุ่มเทพลังชีวิตให้กับเด็กตัวแดง
ๆ ที่เขาสองคนช่วยกันผลิตขึ้นมา ถ้าธรรมชาติไม่ช่วยแล้ว
มนุษยชาติคงจะสูญพันธุ์ไปนานแล้ว
รู้สึกโชคดีที่ได้เป็นแม่คน
จำได้ว่า วันที่เราคลอดลูกคนแรกนั้น เรากับสามีดีใจจนร้องไห้ วันรุ่งขึ้น
พยาบาลเอาลูกมาใส่เปลแก้วที่อยู่ข้างเตียง เรามองดูเด็กตัวแดง ๆ ในเปลแก้วแล้ว
ความรู้สึกหลากหลายได้ผ่านเข้ามาในใจอันเป็นสิ่งที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยในชีวิต
สิ่งแรกคือ รู้สึกเหมือนเคยรู้จักเด็กคนนี้มาก่อน
เป็นความรู้สึกที่เหมือนคุ้นเคยกันมาก่อนและเขาไม่ใช่คนแปลกหน้าเลย นอกจากนั้น
ความรู้สึกรัก เมตตา สงสารอย่างจับใจในเด็กคนนี้ก็ไม่รู้มาจากไหน
เอ่อท่วมท้นจิตใจจนคับอก เป็นประสบการณ์ที่แปลกมาก
แต่ต้องยอมรับว่าเป็นความรู้สึกที่ประเสริฐ สูงส่ง
จนเราต้องรำพึงกับตัวเองในขณะนั้นว่า โชคดีเหลือเกินที่ได้เป็นแม่คน
สัญชาติญาณแห่งความเป็นแม่คือขนมหวานของธรรมชาติ
ตอนนี้เราดูออกแล้วว่า ความรู้สึกที่ประเสริฐ
สวยงามเหล่านี้
ที่จริงก็คือขนมหวานอีกชิ้นหนึ่งที่ธรรมชาติหยิบยื่นให้แก่เพศแม่ทั้งหลายเพื่อสืบเผ่าพันธ์มนุษย์ให้ต่อเนื่อง
แม้สัตว์เดรัจฉานก็มีส่วนในขนมหวานชิ้นนี้เช่นกัน
เพราะถ้าธรรมชาติไม่บันดาลความรู้สึกรัก ผูกพัน สงสาร เด็กตัวแดง ๆ
ที่คลอดออกมาแล้ว ใครล่ะจะมารับผิดชอบเลี้ยงดูเด็กที่ช่วยตัวเองไม่ได้เลยคนนั้น
การเลี้ยงดูเด็กอ่อนนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าไม่มีใครเอานมใส่ปากแล้ว เด็กแดง ๆ
นั้นก็ตายลูกเดียว ฉะนั้น เมื่อธรรมชาตินำให้คนสองคนมาพบกันจนทำให้เกิดลูกแล้ว
ธรรมชาติก็ให้ขนมหวานต่อโดยการให้ความรู้สึกที่ประเสริฐดีงามโดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่เพศแม่ทั้งหลาย
เหมือนเป็นการบอกว่า เธอช่วยดูแลเด็กเล็ก ๆ คนนี้ให้ฉันหน่อยนะ
อย่างน้อยก็จนกว่ามันจะโตพอช่วยตัวเองได้ ฉะนั้น
สัญชาติญาณแห่งความเป็นแม่จึงรุนแรงมากในเพศหญิง
คำว่า สัญชาติญาณ
ก็คือขนมหวานที่ธรรมชาติให้มานั่นแหละ อธิบายไม่ได้ว่ามันมาได้อย่างไร
และมากมายถึงขนาดว่าแม่ส่วนมากสามารถเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องลูกน้อยของตน
สัญชาติญาณแห่งความเป็นแม่นี่เองจึงทำให้แม่ ๆ ทั้งหลายสามารถประคบประหงม
เลี้ยงดูลูกน้อยที่ตัวเองเบ่งออกมาจนกระทั่งเติบใหญ่ ซึ่งเป็นงานใหญ่ที่แม่ ๆ
ทั้งหลายต้องทุ่มเทชีวิตของตัวเองให้กับการเลี้ยงดูลูกเล็ก
ที่จริงเป็นเรื่องยากมาก แต่ธรรมชาติก็ช่วยทำให้ง่ายขึ้น
เพราะขนมหวานนี้ช่วยทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่าย เรื่องหนักกลายเป็นเรื่องเบา
แม่ ๆ ทั้งหลายจึงสามารถทำเรื่องใหญ่และหนักหน่วงนี้ด้วยความเต็มใจ
ถ้าไม่มีขนมหวานที่ธรรมชาติให้แล้วละก็ เด็กแดง
ๆ จะต้องถูกทิ้งเกลื่อนถนนแน่
ใครอยากรับภาระหนักหน่วงนี้หากไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง ฉะนั้น
ผู้หญิงที่ไม่มีสัญชาติญาณแห่งความเป็นแม่แล้ว จะไม่มีความรู้สึกรัก ผูกพัน สงสาร
เด็กแดง ๆ ที่เขาเบ่งออกมา ฉะนั้น เขาจะไม่อยากเลี้ยงลูก เลี้ยงไม่เป็น
เห็นลูกเป็นสิ่ง ๆ หนึ่งที่มีแต่ร้องไห้ เอาแต่กิน
ต้องเช็ดคี่เช็ดเยี่ยวซึ่งเป็นเรื่องน่าเบื่อ ไม่มีอะไรสนุกแม้แต่น้อย
ซึ่งหญิงประเภทนี้ก็มีไม่น้อยในสังคมปัจจุบัน เพราะเป็นยุคสมัยที่สังคมเน้นให้คนรักตัวเอง
ลูกคือบ่วงผูกคอ
ตอนนี้ลูกก็โตเป็นหนุ่มแล้ว
ยิ่งเข้าใจเรื่องขนมหวานที่ธรรมชาติให้มาได้มากขึ้น
พ่อแม่ทุกคนรู้ว่าเลี้ยงลูกเล็กนั้นเหนื่อยกายก็จริงอยู่ แต่ยังมีความสุข สนุก
เพลิดเพลินใจบ้าง เลี้ยงลูกโตนั้นอาจจะไม่เหนื่อยกาย แต่หนักใจมากกว่า
พ่อแม่ที่มีทั้งลูกดีและไม่ดีล้วนต้องแบกทุกข์ขั้นพื้นฐานเสมอเท่าเทียมกันหมด
เพราะเป็นบ่วงผูกคอพ่อแม่ตลอดชีวิต ใครมีลูกดีก็นับว่าเป็นบุญมหาศาล
ใครมีลูกไม่ค่อยดีก็ต้องหนักใจหน่อย แบกทุกข์มากกว่า แต่ไม่ว่ามีลูกดีหรือไม่ดี
ก็ต้องหัดปล่อยวางทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้น ก็ต้องแบกทุกข์เหมือนกันหมด
แต่งงาน ๕ ปี มีลูก ๓ คน
เรามีลูกถึง ๓ คนภายใน ๕ ปีแรกหลังแต่งงาน
มีคนแรกแล้วก็คิดว่าโลกนี้จะโดดเดี่ยวเกินไปสำหรับลูก
เหมือนกับทำญาติพี่น้องให้ลูก พอลูกคนที่สองออกมา ก็เริ่มคิดถึงตัวเองว่า
อยู่ไกลบ้าน ไกลแม่ มีลูกสาวมาเป็นเพื่อนแม่ก็ดีเหมือนกัน
ลูกคนที่สามจึงโผล่ออกมาเป็นชายหมด ได้กินขนมหวานที่ธรรมชาติให้มาก็ไม่น้อย
ก่อนมีลูกคิดว่าได้เข้าใจความทุกข์มากพอแล้วจนอยากหมดทุกข์เร็ว ๆ มีลูกแล้ว
ถึงรู้ความหนักหน่วงของจิตใจพ่อแม่ว่ามีมากเพียงใด ที่จริงก็รักแม่มากอยู่แล้ว แต่พอมีลูกเองถึงรู้ว่าแม่เราต้องเหนื่อยมากแค่ไหนกว่าเราจะโตได้
คิดถึงแม่มาก อยากอยู่ใกล้แม่โดยเฉพาะตอนลูกยังเล็ก
มีลูกของตัวเองถึงรู้จักความทุกข์ที่มีหน้าตาหลากหลายมากยิ่งขึ้น
เพราะความรักลูก บ่อยครั้งที่มองหน้าลูก ๆ แล้ว ทำให้เกิดความกลัว
กลัวว่าจะมีสิ่งไม่ดีหรืออันตรายเกิดขึ้นกับลูก ยิ่งคิดถึงอนาคตของลูกแล้วก็ยิ่งกลัว
เคยนอนร้องไห้เพราะสงสารลูก กลัวลูกจะลำบาก กลัวสารพัดอย่าง
เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าโลกนี้อยู่ยาก เราประสบมาแล้ว และเขาก็ต้องประสบอย่างเรา จึงรู้อย่างเดียวว่าต้องเกาะธรรมให้แน่น
จึงจะคลายทุกข์และหายกลัวได้
จึงหลับหูหลับตาวิ่งเข้าหาธรรมตามประสาของเราโดยอาศัยความรู้เก่า ๆ
ที่เคยฝึกฝนมาตอนก่อนแต่งงาน
บอกลูกว่าแม่ไม่อยู่ค้ำฟ้า
๖
ปีแรกเป็นขั้นตอนของการปรับตัวมากมายตั้งแต่การเป็นเมียคน แม่คน การอยู่ต่างแดน
คิดถึงแม่มาก ต้องเจอความทุกข์อย่างใหญ่หลวงในบางครั้งเหมือนถูกคลื่นซูนามิถล่มจนมิด
ตั้งตัวไม่ติด แต่ก็หลับหูหลับตาสู้ พาตนเองออกจากมรสุมชีวิตจนได้ ตอนลูกเล็ก
จะหาเวลาหลับตาฝึกสมาธิก็ยาก จึงต้องฝึกสติเท่าที่กำลังสมาธิและปัญญาจะอำนวยให้
ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ทุกข์บ้างสุขบ้างสลับกันไป
เดี๋ยวนี้มองย้อนกลับไปหาเวลาเหล่านั้น
ก็ไม่รู้ว่าผ่านพ้นมาได้อย่างไร แต่สงครามภายในเหล่านั้นก็ได้ทำให้เราค่อย ๆ
แข็งแกร่งขึ้น ตอนนี้ เห็นหน้าลูก ก็ไม่กลัวอะไรแล้ว เพราะรู้ว่าในที่สุด
วันที่ลูกฉลาดขึ้น ลูกต้องกลับมาหาแม่และถามหาความรู้ที่สำคัญจากแม่
ความรู้ที่คนอื่นตอบให้ลูกไม่ได้ ตอนนี้
ลูกยังโง่อยู่ ยังทุกข์อยู่ ยังไม่สนใจว่าแม่ทำอะไรจริง ๆ
หนังสือที่แม่เขียนไว้ ลูกก็ไม่เคยอ่านเพราะอยู่ในวัยที่ยังอยากสนุกกับเพื่อน ๆ
บอกลูกเสมอว่า อย่าปล่อยไว้นานจนเกินไปนะลูก ถามเอาความรู้จากแม่บ้างว่าแม่ทำอะไร
เพราะแม่จะไม่อยู่ค้ำฟ้าเพื่อรอสอนลูกเมื่อลูกพร้อม ถ้าแม่ตายก่อนแล้ว
ลูกจะเสียใจมาก แต่ตอนนี้ลูกก็ไม่รู้เรื่องว่าแม่พูดอะไรหนอ ไม่สนใจ
รู้แต่ว่าแม่ไม่เหมือนแม่คนอื่น ทำอะไรแผลง ๆ เสมอ