คำอนุโมทนา
เราเคยรับฟังคำเทศนาบนธรรมาสน์จากพระกันมามากแล้ว
ถึงเวลาที่เราจะฟังแม่บ้านธรรมดาพูดธรรมะกันแล้วหรือยัง
ธรรมจากประสบการณ์เฝ้าดูความเป็นไปในโลกภายในและภายนอกที่กว้างกว่าเสียงพึมพำอ้อนวอนในโบสถ์
แต่เป็นจากชีวิตท่ามกลางการงาน โดยเฉพาะจากอ่างล้างจาน เตาหุงต้ม
และการซักผ้าอ้อมลูก
แม้ว่าข้ออรรถาธิบายของศุภวรรณจะหละหลวมบ้าง แต่โดยภาพรวมแล้ว
หนังสือนี้มีค่าไม่น้อยในทางชี้แจงการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้เขียน ทำนอง เล่าสู่กันฟัง อิงอัตตประวัติ
หนังสือนี้มุ่งโฆษณา สติปัฏฐานสี่ อย่างหนักแน่น
ราวกับว่าเป็นการแยกให้เห็นความแตกต่างระหว่างพุทธธรรมกับคำสอนของพระศาสดาอื่น
แต่โดยเนื้อหาของคำอธิบายกลับเน้นว่าเป็นสิ่งประสานกันและนำไปสู่จุดหมายปลายทางอันเดียวกันของสภาวะเหนือทีถ้อย
( the unspeakable, the beyond)
สภาวะเหนือทีถ้อยนั้น จะถือเป็นจุดหมายปลายทางได้หรือ? Destiny ของมนุษย์เราจะกลายเป็นไปเพื่อความดับ (นิโรธ)
ความดับเป็นเป้าหมายที่ไม่เป็นไปในแง่ลบ negative ไปหรือ
แม้จะแก้ต่างว่าเป็นเพียงความดับของอวิชชาซึ่งเป็นเหตุแห่งกิเลสตัณหาก็ตาม
มนุษย์เราเลือกที่จะไปสู่สภาวะหมดสิ้นกิเลสตัณหากันจริง ๆ หรือ?
ข้าพเจ้าคิดว่าที่ศุภวรรณอธิบายว่า นิพพานเป็นจุดหมายปลายทางของมนุษย์นั้น
ถูกต้องในความหมายกว้าง ๆ และเร้าใจผู้ทุกข์เพื่อใฝ่หาภาวะแห่งความสิ้นทุกข์
มีผู้เดือดร้อนด้วยไฟกิเลส และมีภาพของการสิ้นทุกข์รออยู่เป็นจุดหมายปลายทาง
คำอธิบายเช่นนี้เป็นโวหารโลก เพื่อดึงดูดความใส่ใจให้พยายามเดินไปสู่จุดหมายอันไกลโพ้น
ว่าโดยหลักแล้ว พระนิพพานไม่ได้เป็นภาวะหรือเทศะที่พอจะเรียกว่า
เป็นเป้าหมายหรือสาระใดได้ สาระใด ๆ ยังข้องอยู่กับความมีความเป็น ดังนั้น
พระพุทธเจ้าจึงเรียกพระนิพพานว่า โอทตา อันหมายถึงความหยั่งลง
ไม่ใช่เป็นจุดหมายที่ต้องเลือกเดิน แต่กลับอยู่เหนือการเลือก
การหยั่งลงนั้นเป็นไปเอง ดุจ downhill ของก้อนหินที่ถูกโยนขึ้น สิ้นแรงฝืนก็หยั่งลงเอง ส่วนที่พอจะเรียกได้ว่า
เป็นแก่นของการภาวนานั้นท่านเล็งเอา วิมุติ (สภาพหลุดพ้น)
อันหมายถึงอิสรภาพว่าเป็นโอสาระ
อิสรภาพและความรื่นรมย์ดูจะไม่ทำให้เราท้อแท้เลยในการรับฟังคำอรรถาธิบายด้วยภาษาใด
ๆ ก็ตาม ต่างจาก ความดับ อิสรภาพและความรื่นรมย์ไม่ใช่เป็นสิ่งอธิบายไม่ได้
แต่เป็นสิ่งเข้าใจได้ทั้งต่อนักบวชและแม่บ้าน ตลอดจนเด็กน้อย
และเป็นศักดิ์และศรีของความเป็นมนุษย์แท้ และทั้งอาจมีหุ้นส่วนแก่กันได้ มันไม่ใช่สิ่งลึกลับและชวนท้อแท้เกินไป
พระพุทธภาษิตที่ว่า วิจิตร ชมพุทวีป มโนรม ชีวิต มนุษยณาม โลกช่างแสนงาม ชีวิตเยี่ยงมนุษย์(แท้)น่ารื่นรมย์ใจ
คงบอกเราได้ดีถึงรางวัลใหญ่ในชีวิต จากชีวิต
โลกเลวร้ายนักต่อผู้ทุรนทุรายด้วยพิษร้ายแห่งอามิส กินเหยื่อและตกเป็นเหยื่อ
แต่โลกอันนี้แหละไม่ใช่อันอื่นที่ด้วยวิทรรศนญาณอันถ่องแท้
ปรากฏเป็นความวิจิตรงดงาม และชีวิตเป็นมโนรมอยู่ในตัวเองได้
แม้คำอธิบายขยายอรรถในแต่ละบทจะคลุมเครือบ้าง
เนื่องแต่เป็นการโยงประสบการณ์เข้ากับอุดมการณ์
ซึ่งเป็นธรรมดาที่จะดูเหมือนยังแยกเป็นท่อน ๆ
แต่เจตนาดีที่เธอมีต่อเพื่อนมนุษย์เพื่อให้ได้รับข่าวสารประเสริฐในสิ่งที่เธอรู้สึกและเชื่อนั้นน่านิยมยิ่ง
เธอต้องการจะลดช่องว่าง(gap)ทางศาสนา
เพื่อให้มันกลายเป็นช่องว่าง(space)เพื่อเติมความเข้าใจต่อกัน
และหายใจในบรรยากาศที่เชื่อมประสานและแผ่ขยายกว้างกว่าเดิม
แม้เธอจะใช้โวหารอิงข้างพุทธ แต่เมล็ดพันธุ์แห่งความรู้ตัวนั้นก็หามีอยู่ในทำเนียบภาษาและวัฒนธรรมใดไม่
ข้อนี้เองที่ดูเหมือนศุภวรรณผู้เป็นแม่บ้านธรรมดา
มั่นใจในการเล่าสู่กันฟังถึงความน่ามหัศจรรย์ของชีวิต
ไม่ใช่ความอลังการของศาสนพิธีจากโบสถ์หรือทฤษฎีใด ๆ
ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในการงานสุจริตและเป็นกุศลนี้
เขมานันทะ
กันยายน ๒๕๔๒
มีนบุรี กรุงเทพ