พระพุทธเจ้าสอนอะไร ?
ดิฉันแน่ใจว่าคนที่พอจะสนใจในศาสนาพุทธก็ทราบแล้วว่าพระพุทธองค์ตรัสสอนเรื่องอริยสัจสี่
บางคนอาจจะคิดว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องทำบุญเพื่อไปสวรรค์กระมัง
ดิฉันคิดว่าคำตอบที่จะทำให้เห็นชัดเจนที่สุดอยู่ในนิทานเรื่องนี้
ฤาษีผู้มีฤิทธ์ตนหนึ่งใช้ไม้เท้ากายาสิทธิ์แปลงร่างของชายคนหนึ่งเป็นเสือโคร่งไปในชั่วพริบตา
เราต้องตั้งคำถามว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับชายผู้นี้
อยู่อย่างเป็นเสือโคร่งต่อไปหรือพยายามหาทางแก้มนต์ของฤาษีและรีบเร่งกลับสู่ความเป็นคน
เห็นได้ชัดว่าคำตอบมีอยู่เพียงข้อเดียวเท่านั้น
คือต้องรีบแก้มนต์และหาทางกลับคืนสู่ความเป็นคนให้เร็วที่สุด คนที่จะแก้มนต์ให้ได้
จะต้องเป็นชายอีกผู้หนึ่งที่รู้ว่าเสือตัวนี้มิใช่เป็นเสือจริง
แต่เป็นเสือเพราะถูกแปลงร่างจากความเป็นคน ด้วยความเมตตาของชายผู้นี้
เขาจึงเสาะหาจนเจอสูตรแก้มนต์ของฤาษี
และกลับมาแปลงร่างของเสือให้กลับเป็นคนเช่นเดิม[1]
นิทานเรื่องนี้ได้บรรจุเนื้อหาอันเป็นแก่นของศาสนาพุทธไว้ครบถ้วน
มนต์ของฤาษีคืออวิชชา ชายในนิทานคือสภาวะของจิตเดิมแท้หรือจิตประภัสสร
ซึ่งเป็นจิตที่ปราศจากความทุกข์อันมีอยู่แล้วในคนทุกคน เสือโคร่งคือสภาวะที่สูญเสียจิตเดิมแท้
คือจิตที่ถูกครอบงำด้วยอวิชชาและความทุกข์
ชายอีกคนหนึ่งที่มีความเมตตาคือพระพุทธเจ้าผู้เสาะแสวงหาจนเจอสูตรแก้มนต์
คือเจอหนทางแห่งความดับทุกข์ และสามารถนำจิตเดิมแท้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
สถานการณ์ของมนุษย์ในขณะนี้คือ
เราได้สูญเสียจิตบริสุทธ์ หรือจิตเดิมแท้อันเนื่องจากอวิชชา หลายคนอยากจะถามว่า
แล้วพวกเราไปได้อวิชชามาตั้งแต่เมื่อไร
นี่เป็นคำถามเดียวกับถามว่าอะไรคือจุดเริ่มต้นของสังสารวัฎที่พระพุทธองค์เตือนว่าอย่าถาม
เพราะเป็นเรื่องอจินไตย รู้ไม่ได้ ถามแล้วก็ไม่มีประโยชน์ หากใครไปเอามาคิดมาก
ก็อาจจะทำให้เป็นบ้าได้ ครั้นพระพุทธเจ้าได้มาบอกข่าวดีกับพวกเราแล้ว
เราควรจะรับฟังท่านโดยดุษณี
ท่านตรัสว่าหน้าที่ของความเป็นมนุษย์มีเพียงข้อเดียวคือต้องปลดเปลื้องอวิชชาและกลับไปสู่ความสมบูรณ์ของชีวิตที่เป็นมาแต่ดั้งเดิมคือจิตหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิงหรือความเป็นพระอรหันต์
ผู้ที่มาปลดเปลื้องอวิชชาให้เราได้คือพระพุทธเจ้านั่นเอง
ปัญหาอยู่ที่ว่า
เมื่อชายใจดีมาบอกข่าวดีต่อเสือโคร่งว่าเขาได้มนต์ตรามาแล้ว ขอให้เสือโคร่งยืนนิ่ง
ๆ
สักอึดใจจะได้ท่องบ่นมนตราพร้อมเอาไม้เท้ากายสิทธิ์ชี้ไปที่ตัวเพื่อเสือโคร่งจะได้กลับคืนสู่ความเป็นมนุษย์ดังเดิม
เสือโคร่งกลับอวดเก่งบอกว่าไม่จริงและเถียงว่าเขาก็เป็นเสือโคร่งมาแล้วแต่เดิม
ไม่จำเป็นต้องกลับไปเป็นอะไรอีก
นี่คือคนประเภทที่ไม่เอาธรรมะเลยและคิดว่าธรรมะไม่มีความจำเป็นและไม่สำคัญต่อการอยู่รอดของชีวิต
หาเงินพออยู่รอดได้ก็ดีแล้ว
เป็นกลุ่มคนที่ให้ความเชื่อมั่นต่อข้อเท็จจริงและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากกว่าเรื่องศาสนาที่เขาคิดว่าเป็นเรื่องงมงายและพิสูจน์ไม่ได้
คนประเภทนี้เปรียบเหมือนกับอยู่ในห้องมืดแล้วยังเลือกใส่แว่นตาดำ
ความมืดของอวิชชาจึงรัดตัวมันเองแน่นยิ่งขึ้น เป็นบุคคลประเภทที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง
คนอีกประเภทหนึ่งที่หวังทำบุญเพื่อไปสวรรค์ก็เปรียบได้ว่า
อยากจะเปลี่ยนจากความเป็นเสือโคร่งมาเป็นเสือลายเท่านั้นเอง ภพภูมิต่าง ๆ
ในสังสารวัฏจากพระพรหม เทวดา มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เปรต และสัตว์นรกนั้น ล้วนแล้วแต่มีความเป็นเสืออยู่ทั้งสิ้น ต่างกันที่ชนิดหรือพันธ์เท่านั้นเอง
ข้อแตกต่างอีกข้อหนึ่งคือ
ในหมู่แห่งพระพรหม เทวดาและมนุษย์นั้น
ยังมีเสือบางตัวที่อยู่ในขั้นตอนแห่งการกลับกลายสู่ความเป็นมนุษย์[2]
ผู้ที่สนใจศาสนาพุทธมากจนถึงขั้นการฝึกสมาธิวิปัสสนาคงจะได้ยินเรื่องญาณ๑๖ ญานที่ ๑๓ มีชื่อเรียกว่า
โคตรภูญานหรือญานข้ามโครต นั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
คือการข้ามจากโครตแห่งความเป็นมนุษย์ไปสู่โครตแห่งความเป็นพระอริยะบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจของปัญญาชน
จะขออธิบายว่าโดยบุคลาธิษฐานแล้ว พระโสดาบันคือเสือที่กลับกลายเป็นมนุษย์ได้ ๒๕%
พระสกิทาคามีคือเสือที่กลับกลายเป็นมนุษย์ได้ ๕๐% พระอนาคามีคือเสือที่กลับกลายเป็นมนุษย์ได้
๗๕% พระอรหันต์คือเสือตัวที่สามารถกลับกลายเป็นมนุษย์ได้๑๐๐%
เป็นผู้ที่ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มเปี่ยม
คือสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิงและกลับสู่ความเป็นธรรมดาของชีวิต
(ตถตา) แน่นอน โดยความเป็นจริงแห่งการปฏิบัติแล้วไซร้
ไม่อาจจะบอกเป็นตัวเลขเช่นนี้ได้
นี่เป็นเพียงสื่อแห่งการทำให้ผู้อ่านประเภทปัญญาชนเข้าใจเท่านั้น
ข้อเปรียบเทียบดังกล่าวทำให้สามารถมองเห็นโครงสร้างของชีวิตชัดมากขึ้นว่าความสมบูรณ์ที่เต็มเปี่ยมของชีวิตหรือเป้าหมายของชีวิตอยู่ที่ความเป็นพระอรหันต์นั่นเอง
ฉะนั้น อย่าว่าแต่พอใจที่จะเป็นเพียงเทวดาซึ่งอาจจะยังเป็นเสือโคร่งเต็มตัวเลย
การพอใจอยู่เพียงแค่เป็นพระอริยบุคคลในสาม ระดับก็ยังเป็นสิ่งไม่ควร
เพราะยังไม่ถึงความสมบูรณ์แห่งชีวิต
การเกิดมาในภพชาติแห่งความเป็นมนุษย์หมายความว่ามนุษย์สามารถสร้างบารมีอย่างเต็มเปี่ยมโดยการเร่งรีบปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะการทำสมาธิวิปัสสนา
หากไม่สามารถหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิงได้ในชาตินี้ บุญบารมีที่สร้างไว้จะได้เป็นปัจจัยหรือทุนรอนที่จะทำให้ก้าวใกล้ความเป็นพระอรหันต์ได้มากขึ้นในชาติต่อไป
แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์แล้วไซร้
ความพากเพียรพยายามของมนุษย์จะหยุดนิ่งไม่ได้
สิ่งสำคัญที่ทุกคนจะต้องถามตนเองคือ
พวกเรารู้หรือยังว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไรอย่างแท้จริง
การไม่สนใจธรรมะและการไม่ปฏิบัติธรรมนั้นก็เท่ากับการยอมรับฐานะความเป็นเสือโคร่งของตนเอง
ซึ่งเป็นสภาวะแห่งความโง่เขลาและมืดบอด