บทที่สิบสอง

 

วัฒนธรรมสติปัฏฐาน

 

 

วัฒนธรรมย่าทวด

 

ดิฉันได้ยินเรื่องวัฒนธรรมสติปัฏฐานจากอาจารย์โกวิท เขมานันทะ เป็นท่านแรก ซึ่งท่านก็ได้รับความคิดจากท่านอาจารย์พุทธทาสมาอีกทอดหนึ่ง แต่ครั้งนั้น ท่านใช้คำว่า “วัฒนธรรมย่าทวด” ดิฉันยังจำความรู้สึกได้ว่าเมื่อฟังท่านพูดเรื่องนี้คราใดแล้ว จิตใจจะเต็มไปด้วยความปีติและภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้เกิดในแผ่นดินไทยในวัฒนธรรมไทยอันมีอยู่แล้วซึ่งคุณค่าที่เต็มเปี่ยมต่อชีวิต  และรู้สึกเสียดายว่าตนเองไม่แก่พอที่จะเห็นวัฒนธรรมอันดีงามต่าง ๆ เหล่านั้นในอดีต เช่น การสร้างศาลาริมทางให้คนเดินทางได้พัก พร้อมกับเอาอาหารไปวางไว้ให้ ในครั้งนั้น ความคิดเรื่อง”ตุ่มน้ำศานติ-ไมตรี” ของอาจารย์โกวิท ก็เป็นที่พูดกันอย่างกว้างขวางในหมู่พวกเราซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่าน 

 

ด้วยความที่ดิฉันเป็นคนกรุงเทพและเติบโตขึ้นมาในวิถีชีวิตของคนเมือง  ความคิดของท่านอาจารย์ทั้งสองได้จุดชนวนให้ดิฉันรักที่จะออกสู่ชนบทเพื่อจะได้มีโอกาสจุ่มลงไปในวัฒนธรรมที่ย่าทวดไทยได้สร้างไว้  การได้ใช้ชีวิตร่วมกับชาวชนบทที่เรียบง่ายถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็สามารถเรียนรู้ถึงวิถีชีวิตอันมีคุณค่าเหล่านั้นได้ เมืองไทยก่อนที่ดิฉันจะจากมาอังกฤษเมื่อ ๑๘ ปีก่อนก็ได้มีแล้วซึ่งร่องรอยแห่งความเสื่อมโทรมของวัฒนธรรมอันดีงาม  การที่เมืองไทยได้อ้าแขนรับลัทธิบริโภคนิยมที่ระบาดอยู่ทั่วโลกอย่างเต็มที่ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมานั้น ความผุกร่อนทางวัฒนธรรมย่อมจะมีเค้าให้เห็นมากขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่านไป แม้กระนั้นก็ตาม การมาใช้ชีวิตอยู่ในอังกฤษถึง ๑๘ ปีนั้น ทำให้ดิฉันรู้ว่า ถึงแม้วัฒนธรรมไทยจะเสื่อมโทรมลงไปมากสักแค่ไหนก็ตาม เมื่อเทียบกับวัฒนธรรมของชาวตะวันตกแล้วไซร้ คนไทยเรารวมทั้งชาติตะวันออกต่าง ๆ ที่มีวัฒนธรรมชาวพุทธอยู่แล้วนั้นจะมีโอกาสที่จะเข้าถึงธรรมอันสูงสุดได้ง่ายกว่าชาวตะวันตกมากกนัก หากสามารถทำให้ผู้ที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรมชาวพุทธเข้าใจถึงคุณค่าอันสูงส่งได้แล้ว การกอบกู้และรักษาวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่านี้อาจจะมีความเป็นไปได้บ้าง ซึ่งจะเป็นการชะลอความหายนะที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ทุกหย่อมหญ้าทั่วโลกให้ช้าลงได้บ้าง

 

ทำไมจึงต้องรักษาและสร้างวัฒนธรรมสติปัฏฐาน

 

ดิฉันแน่ใจและไม่สงสัยอีกแล้วว่าการเข้าถึงพระนิพพาน การเข้าถึงพระเจ้า การเข้าถึงเต๋า ล้วนเป็นเป้าหมายที่สูงสุดของชีวิตทุกชีวิต เพราะเป็นสิ่งเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องโดยตรงของมนุษย์ทุกคนก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่าคนทุกคนมีความสามารถที่จะเดินไปถึงจุดหมายปลายทางนั้นได้เท่าเทียมกันหมด พระพุทธเจ้าได้เปรียบมนุษย์เราเหมือนกับดอกบัวสี่เหล่า หากบัวสามเหล่าแรกมีความสามารถที่จะเห็นธรรมได้แล้ว  แสดงว่าคนส่วนมากมีโอกาสที่จะรู้ธรรมได้ อาจจะช้าหรือเร็วกว่ากันเท่านั้น  การรู้ธรรมและเห็นธรรมนั้นเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล ไม่มีระบบการสอนไหนที่จะสามารถทำให้คนกลุ่มใหญ่ได้เห็นธรรมพร้อมกันหมด แม้แต่พระพุทธเจ้าเมื่อท่านสอนเอง หากมีการสอนให้แก่คนหมู่มากแล้ว ท่านมีญานที่รู้ว่าวันนั้นมีใครที่จะบรรลุธรรมได้ และท่านก็จะมุ่งสอนเพื่อโปรดคน ๆ นั้นเพียงคนเดียว

 

ถึงแม้การเข้าถึงธรรมจะเป็นเรื่องการสุกงอมขององค์คุณต่าง ๆ ของแต่ละบุคคลก็ตาม ซึ่งเรามักเรียกกันว่า บารมี ใครที่มีบารมีแก่กล้ามาแล้วก็จะเข้าถึงธรรมได้เร็ว ใครที่มีบารมีติดตัวมาน้อยก็ต้องเร่งรีบสร้างกันต่อไปเพื่อว่าสักวันหนึ่งในอานาคตซึ่งอาจจะเป็นชาตินี้ชาติหน้าหรือชาติไหน ๆ สักชาติหนึ่งจะได้มีโอกาสเห็นธรรม และเข้าถึงพระนิพพานอันเป็นที่สุด การจะสร้างบารมีเพื่อให้เห็นธรรมและเข้าถึงธรรมได้นั้นก็ต่อเมื่อมีปัจจัยอื่นเสริม เช่น การอยู่ในวัฒนธรรมที่เหมาะสมและเกื้อกูล การเกิดมาในตระกูลของพ่อแม่ที่มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น  การที่จู่ ๆ จะให้ชาวเอสกิโม หรือชนเผ่าหนึ่งในอาฟริกามาเห็นสภาวะของพระนิพพานโดยที่เขาไม่เคยรู้เรื่องศาสนาพุทธเลยนั้น มันคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย และจะเป็นไปได้ยากมาก แต่หากเป็นคนไทย ลาว หรือพม่า และคน ๆ นั้นอยู่ใกล้วัด และโตขึ้นมาในบรรยากาศของชาววัด ได้ยินเสียงพระสวดมนต์อยู่ทุกเช้าเย็น ได้ตามพ่อแม่ทำบุญใส่บาตรตั้งแต่เด็ก และยังได้มีโอกาสฝึกสมาธิบ้าง คน ๆ นี้ก็จะมีโอกาสเข้าถึงธรรมได้มากกว่าบุคคลแรกที่ไม่ได้เติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมของชาวพุทธ  ฉะนั้น การอยู่ในวัฒนธรรมที่เหมาะสมและเอื้ออำนวยนี่แหละเปรียบเหมือนกับการสร้างปัจจัยที่สำคัญ เป็นการแผ้วถางทางให้คนหมู่มากได้เข้ามาสู่ครรลองชีวิตที่จะเอื้ออำนวยให้เขาเข้าถึงธรรมได้ง่ายขึ้นในอานาคต  จุดนี้แหละคือ เรื่องราวของวัฒนธรรมสติปัฏฐาน ซึ่งดิฉันต้องการนำขึ้นมาเน้นเพื่อให้ลูกหลานไทยตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของวัฒนธรรมตนเอง และจะได้ช่วยกันรักษากันต่อไป

 

 วัฒนธรรมสติปัฏฐานคือวัฒนธรรมแห่งการรู้แจ้งนั่นเอง ดิฉันเลือกใช้คำว่าสติปัฏฐานก็เพื่อให้สอดคล้องกับการเขียนและการนำเรื่องของหนังสือเล่มนี้ซึ่งได้พูดเรื่องสติปัฏฐานมาโดยตลอด จึงเห็นว่าง่ายต่อการประสานความเข้าใจของผู้อ่าน โดยเนื้อหาแล้ววัฒนธรรมสติปัฏฐานก็คือวิถีการดำรงชีวิตที่ประกอบด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา อันเป็นวิถีทาง (อริยมรรคมีองค์แปด) ที่เตรียมคนของสังคมไปสู่เป้าหมายอันสูงสุดของชีวิตได้อย่างทั่วถึงกัน   หมายความว่า โดยการดำเนินชีวิตที่อยู่ในกระแสวัฒนธรรมที่เอื้ออำนวยนั้น คนหมู่มากจะถูกเตรียมตัวให้เข้าสู่เรื่องสติปัฏฐานหรือการรู้แจ้งในระดับหนึ่งโดยไม่รู้ตัว จึงไม่รู้สึกว่าตนเองกำลังฝึกอะไรทั้งสิ้น  เพียงใช้ชีวิตตามครรลองของขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามเท่านั้น สมาชิกของสังคมก็จะได้รับประโยชน์ทางจิตใจโดยไม่รู้ตัวแม้คน ๆ นั้นไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นชาววัดก็ตาม นี่แหละคือความร่ำรวยของสังคมที่มีวัฒนธรรมสติปัฏฐานอยู่แล้ว นี่คือวัฒนธรรมที่คนไทยมีอยู่แล้วเพราะย่าทวดไทยได้สร้างเอาไว้ให้ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าครั้งหนึ่งในอดีตแผ่นดินนี้เคยมีผู้คนที่เข้าใจศาสนาพุทธได้อย่างถึงแก่นจนวิถีชีวิตเหล่านั้นได้กลายเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของคนไทยที่ยังคงตกทอดถึงลูกหลานไทยทุกวันนี้ วิถีชีวิตที่ย่าทวดไทยได้สร้างไว้นั้นเป็นเพชรงามเม็ดหนึ่งที่เจ้าของวัฒนธรรมจะต้องดูแลให้ดี มิเช่นนั้นแล้ว เพชรงามเม็ดนี้จะถูกลักทธิบริโภคนิยมกลืนกินไปเหมือนกับกินทุกสิ่งที่กินได้ ซึ่งที่จริงก็ได้ถูกกินไปมากแล้วจนวัฒนธรรมไทยได้กลายเป็นวัฒนธรรมตู้โชว์ (show case culture) ที่มีไว้เพื่ออวดนักท่องเที่ยว จึงเป็นสาเหตุที่จะต้องนำเรื่องนี้ขึ้นมาพูดในฐานะที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต เนื่องจากว่าดิฉันได้เติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมไทยและจีน จึงสามารถพูดได้เท่าที่รู้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าชาติอื่นจะไม่มีวัฒนธรรมอันดีงามเหล่านี้

 

ที่จริงแล้ว ผืนแผ่นดินที่เรียกว่าสุวรรณภูมินั้นมีความร่ำรวยซึ่งวัฒนธรรมสติปัฏฐานโดยทั่วหน้ากันจนกระทั่งมี วัดวาอาราม พระพุทธรูป และสิ่งก่อสร้างอันเป็นพุทธสถานที่สำคัญโด่งดังไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นไทย ลาว พม่า หรือกัมพูชาแม้แต่ประเทศอินโดนีเซียซึ่งนับถือศาสนาอิสลามในปัจจุบันนี้นั้นก็ยังมีพุทธสถานที่มีชื่อเสียงโด่งดังนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างหนึ่ง นั่นคือ โบโรบูดัว Borobudur ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะชวา อันเป็นสถาปัตยกรรมที่ทำด้วยหินนับล้านก้อน และหินแต่ละก้อนก็มีการแกะสลักเรื่องราวของพระพุทธเจ้าและคำสอนของท่านอย่างละเอียดละออ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าแผ่นดินผืนนี้ต้องมีศาสนิกชนที่เป็นชาวพุทธอยู่กันอย่างล้นหลามและคนเหล่านี้ต้องเห็นธรรมและรักพระพุทธเจ้าอย่างหมดหัวใจ ศรัทธาของคนเหล่านี้ต้องมีอย่างเปี่ยมล้นจนสามารถสร้างสถาปัตยกรรมที่สร้างได้ยากมากเมื่อราวพันปีมาแล้ว และอยู่สืบทอดจนให้เราได้เห็นกันถึงปัจจุบัน

       เนื่องจากนโยบายการปิดประเทศของรัฐบาลพม่า ทำให้มีผลดีอย่างหนึ่งคือ ลัทธิวัตถุนิยมและบริโภคนิยมไม่สามารถเข้าไปกัดกินวัฒนธรรมอันดีงามของเขาได้ ชาวพม่าจึงยังคงสามารถรักษาความเข้มข้นของวัฒนธรรมแห่งการรู้แจ้งไว้ได้ดีกว่าคนไทยเรา เมื่อหลายปีมาแล้ว โทรทัศน์บีบีซีของอังกฤษได้เสนอสารคดีเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับประเทศพม่า ดิฉันจำเนื้อหาไม่ได้แล้วว่ามีอะไรบ้าง มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ดิฉันจำได้จนถึงบัดนี้คือ ในขณะที่เขาถ่ายภาพของถนนในกรุงร่างกุ้งนั้น ดิฉันสังเกตเห็นตุ่มน้ำสามสี่ตุ่มซึ่งเขาตั้งไว้ริมถนน และมีผู้คนหยุดดื่มน้ำนั้น ดิฉันไม่คิดว่าเขาจะมีเจ้าหน้าที่มาเติมตุ่มน้ำเหล่านั้นให้เต็ม ตุ่มน้ำเหล่านี้จะต้องได้รับการดูแลจากผู้คนที่อยู่ในแถบนั้นเป็นแน่ และจะต้องทำออกมาจากหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาต่อผู้เดินเท้าที่เหนื่อยอ่อนและกระหายน้ำ นี่แหละคือตุ่มน้ำศานติไมตรี  ที่ได้เหือดหายไปแล้วจากสังคมเมืองของไทย ดิฉันไม่ทราบว่าชาวพม่ายังคงทำเช่นนี้อยู่อีกหรือไม่ ดิฉันยังไม่เคยไปประเทศพม่าจึงไม่สามารถพูดอะไรได้มาก แม้แต่เมืองไทยเอง ดิฉันก็ไม่สามารถพูดได้อย่างกว้างขวางเช่นกัน เพราะเติบโตมาในเมือง มีโอกาสได้เดินทางดูวัฒนธรรมชนบทน้อยมาก ดินแดนภาคอีสานของไทยซึ่งได้ให้กำเนิดครูบาอาจารย์ผู้รู้แจ้งในระดับพระอรหันต์มากมายนั้น ดิฉันไม่มีโอกาสได้สัมผัสเลย มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ได้ไปกราบหลวงปู่เทศน์ที่วัดหินหมากเป้ง การมาใช้ชีวิตอยู่อังกฤษอีกจึงทำให้โอกาสน้อยลงไปอีก แต่ดิฉันก็ยังหวังอยู่เสมอว่าเมื่อภาระของความเป็นแม่ลดน้อยลงเมื่อใด ดิฉันคงได้มีโอกาสกลับมาจุ่มลงในวัฒนธรรมไทยอีก 

 

คนไทยมักจะทราบดีว่าวัฒนธรรมไทยเป็นสิ่งที่ดีงาม แต่หากต้องเจาะลึกลงไปว่ามันดีอย่างไร คนส่วนมากจะตอบไม่ได้ การจะเข้าใจถึงวัฒนธรรมไทยได้ดีนั้น คนไทยต้องสามารถเข้าใจโครงสร้างของศาสนาพุทธ ให้ดีกว่านั้นคือต้องปฏิบัติให้รู้จริง ฉะนั้น ในบทนี้ ดิฉันจะพยายามอธิบายเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความดีงามของวัฒนธรรมไทย เพื่อผู้อ่านจะสามารถเชื่อมโยงโครงสร้างหลักของศาสนาพุทธกับวิถีชีวิตประจำวัน ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ที่คนไทยเราคุ้นเคยกันดี

 

วัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับศีล

 

การรักษาศีลเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเตรียมตัวให้คนมีความพร้อมที่จะฝึกสมาธิเพื่อเกิดปัญญา หากเปรียบการเจรนัยเพชรแล้ว การกะเทาะเอาความหยาบของเปลือกนอกออกก่อนคือเรื่องของศีล หลังจากนั้นจึงสามารถเจรนัยในส่วนละเอียดได้ซึ่งเหมือนกับการฝึกสมาธิ จิตของคนเรานั้นโดยเฉพาะในยุคสมัยนี้จะมีความหยาบมากกว่า หยาบในที่นี้ไม่ได้หมายถึงหยาบคายแบบคนกักขระ แต่หมายถึงหยาบในลักษณะที่ขาดสติขององค์มรรคแม้คน ๆ นั้นมีความสุภาพเรียบร้อยแต่ไม่ประสีประสาต่อเรื่องราวของชีวิตอันเกี่ยวเนื่องกับทางธรรมเลย สาเหตุเพราะระบบเศรษฐกิจที่เน้นการบริโภคนั้นทำให้สติของคนรู้อยู่แต่เรื่องได้เรื่องเสียอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นมิจฉาสติเป็นอย่างมาก เป็นสติที่แปรสิ่งต่าง ๆ หรือ ธรรม อันเป็นธรรมชาติธรรมดา (ตถตา)   ให้กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าของเงินตราและเป็นของเขาของเราไปเสียหมด พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับพระอานนท์ พุทธอนุชาในทำนองว่า  จะพูดได้ยังไงว่านี่ลูกเรา สามีเรา ภรรยาเรา แม้กระทั่งตัวเรานั้นก็ยังไม่มี แล้วคนเหล่านั้นจะมีได้อย่างไร  คนธรรมดาที่ไม่ได้สนใจธรรมะนั้นจะไม่สามารถมองแบบพระพุทธเจ้ามองได้ ฉะนั้น จิตของเขาจะวิปลาส พูดแบบไม่ให้เสียน้ำใจคือ จิตเขาเข้าใจผิดต่อสิ่งทั้งปวง (ธรรม) ที่อยู่เบื้องหน้า จากความไม่มีอะไร กลับแปรให้มันมีอะไรยั้วเยี้ยไปหมด ไอ้โน่นก็ของเรา ไอ้นี่ก็ของเรา ทั้ง ๆ ที่ตัวเรานั้นไม่มี หากพูดแบบแรงๆ เพื่อปลุกให้คนตื่นจากความหลับ คือ ความบ้านั่นเอง บ้าเพราะเห็นความไม่มีไม่เป็นเป็นของมีของเป็น คนที่เริ่มหายบ้าได้คือคนที่เริ่มมีดวงตาเห็นธรรมและคิดตามครรลองที่พระพุทธเจ้าสอนให้คิดได้ คือเริ่มคิดถูกหรือมีสัมมาทิฏฐิอันเป็นข้อแรกขององค์มรรค พอเริ่มคิดถูกแล้ว การปฏิบัติตามองค์มรรคก็จะเกิดขึ้น คือเริ่มมีสัมมาสติ ความบ้าก็เริ่มน้อยลง ผู้ที่หายบ้าได้อย่างหมดจดจนสะอาดบริสุทธิ์ได้ก็คือพระอรหันต์เท่านั้น พระอริยเจ้าในระดับต่าง ๆ กันนั้นหมายถึงก็ยังมีความวิปลาศมากน้อยต่างกันเท่านั้น 

 

เมื่อคนหมู่มากของสังคมบ้าหรือวิปลาศเหมือนกันหมด ความบ้านั้นจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาหรือเป็นเรื่องปกติไปเพราะทุกคนเป็นเหมือนกันหมด จุดนี้แหละที่เริ่มเกิดปัญหาสำหรับผู้ต้องการปฏิบัติธรรมและอยากหายบ้า ผู้ที่ต้องการเข้าวัดและปฏิบัติธรรมในช่วงต้น ๆ นั้นจะได้รับการต่อต้านเป็นอย่างมากจากครอบครัวและผู้ใกล้ชิด สำหรับคนส่วนมากแล้ว การที่คน ๆ หนึ่งต้องการหายบ้านั้นกลับกลายเป็นเรื่องผิดปกติ “เธอจะบ้าแล้วหรือยังไง เรียนอยู่ดี ๆ อีก๒ ปีก็จะจบได้ปริญญาแล้ว ทำงานหาเงินได้ จู่ ๆ ก็จะทิ้งไปบวชได้ยังไง นี่ไม่ใช่บ้าแล้วจะเรียกว่าอะไร” ดิฉันแน่ใจว่านี่เป็นคำพูดที่นักปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะหนุ่มสาวได้ยินได้ฟังมาก และสร้างความสับสนทุกข์ใจเป็นอย่างมากให้แก่ตนเองและครอบครัวทั้ง ๆ ที่คนผู้นั้นต้องการทำในสิ่งที่ถูกต้องให้แก่ตนเอง ดิฉันทราบดีเพราะตนเองก็อยู่ในสภาวะเช่นนี้มาตลอดแม้ทุกวันนี้ก็ตาม ตอนยังไม่แต่งงานก็มีพ่อและพี่ ๆ น้อง ๆ เฝ้าบอกว่าดิฉันเป็นบ้า ชอบไปอยู่ถ้ำอยู่ป่า มีแม่คนเดียวเท่านั้นที่พอเข้าใจ แต่การกระทำของดิฉันก็ทำให้แม่ทุกข์มากอยู่ช่วงหนึ่ง เพื่อน ๆ ที่มหาวิทยาลัยมักวิ่งหนีเพราะเห็นหน้าดิฉันทีไร ถ้าดิฉันไม่ชวนไปวัดละก็ต้องแจกหนังสือธรรมะเสมอ ใคร ๆ ก็เอือมระอา พอแต่งงานมีลูกแล้ว สามีและลูก ๆ ก็ยังบอกว่าดิฉันเป็นบ้าอยู่นั่นเอง เพราะทำอะไรประหลาดไม่เหมือนชาวบ้าน จะพาไปไหนเขามักกลัวว่าดิฉันจะโพล่งคำว่า อย่าลูก หรือ I hate you. ออกมา นี่แหละคือสภาวะของสังคมที่เดินมาถึงจุดที่เห็นดอกบัวเป็นกงจักรและเห็นกงจักรเป็นดอกบัว คนที่รู้ตัวว่าตนเองเป็นบ้า (มีสัมมาทิฏฐิ) และต้องการไปหาหมอเพื่อกินยาให้หายบ้า (การปฏิบัติธรรม) กลับถูกเห็นว่าเป็นคนบ้าในหมู่คนที่บ้าจริง ๆ และบ้าอย่างไม่รู้ตัว (มิจฉาทิฏฐิ)  

 

นี่แหละคือความหยาบของจิตของคนในสมัยนี้ คนส่วนมากของสังคมที่ต้องทำมาหารับประทานมีภาระเลี้ยงครอบจะไม่สามารถที่จะคิดในครรลองอื่นอันไม่เกี่ยวกับเรื่องได้เรื่องเสีย คือไม่สามารถคิดตามพระพุทธเจ้าได้ นอกเสียจากว่าผู้นั้นเป็นชาววัดที่ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดเท่านั้น  เมื่อไม่สามารถเอาเรื่องได้เรื่องเสียออกจากความคิดแล้ว สิ่งที่ตามมาคือการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น เลียแข้งเลียขา การคดโกงเพื่อให้ได้ซึ่งสิ่งที่ต้องการไม่ว่าจะเป็นรูปของเงินตรา วัตถุ เกียรติยศ หรือชื่อเสียง ฉะนั้น จากความหยาบของจิตที่ดูแล้วเหมือนกับว่าไม่มีพิษสงอะไร ที่จริงแล้ว ในที่สุด ก็สามารถลามปามไปถึงจุดที่สร้างความหายนะให้กับทั้งสังคมได้โดยง่าย นี่คือลักษณะของสังคมที่สมาชิกส่วนใหญ่ของสังคมขาดสติในองค์มรรคและเป็นบ้ากันอย่างสม่ำเสมอโดยทั่วหน้ากัน

 

สิ่งที่จะทำให้ความหยาบของจิตน้อยลงนั้น ผู้คนจะต้องเริ่มรักษาศีล  ที่จริงแล้วศีลเป็นเรื่องที่มีอยู่แล้วในทุกสังคมทั่วโลก ศาสดาทุกพระองค์จะเน้นเรื่องให้คนรักษาศีลเป็นเบื้องต้น  ศีลเป็นเรื่องการข่มจิตไม่ให้ทำในสิ่งที่ไม่ควรกระทำ ศีลในขั้นพื้นฐานนั้นก็คือศีลห้า คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดลูกเมียผู้อื่น ไม่โกหก และไม่ดื่มน้ำเมา จะเห็นได้ว่า หากสังคมไหนสามารถรักษาเพียงแค่ศีลห้าข้อนี้แล้ว สังคมนั้นก็จะสามารถอยู่อย่างสุขสงบได้  สิ่งที่น่าใจหายที่สุดคือ ไม่เพียงแต่ว่าสมาชิกของสังคมโลกจะละเลยศีลห้ากันอย่างสุดเหวี่ยงเท่านั้น แต่การกระทำที่ถือว่าผิดศีลนั้นกำลังถูกบิดเบือนจากสมาชิกในสังคมให้เห็นเป็นเรื่องถูกต้องซึ่งเป็นหายนะธรรมและเป็นอันตรายที่สุด เพราะความวิปลาศหรือบ้าอย่างสนิทจนไม่มีที่ติของคนส่วนมากนั่นเอง คนจึงสามารถทำผิดศีลหลักในห้าข้อนั้นโดยที่ไม่มีความกลัวหรือละอายต่อบาปแต่อย่างใด สถิติของคดีฆาตกรรมที่โหด ๆ มากมายอันเกิดจากกระทำของเด็กอายุระหว่าง ๑๐–๑๕ ปีนั้นเริ่มสูงขึ้นในสังคมตะวันตก ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอาชญกรรมที่หลากหลายและโหดร้ายอันกระทำโดยผู้ใหญ่ที่มีความบ้าอย่างซับซ้อน[1] การร่วมเพศก่อนวัยอันสมควรอันทำให้เด็กผู้หญิงเป็นแม่คนในวัยที่ยังเด็กมากเริ่มมีมากขึ้น การผิดลูกผิดเมียผู้อื่นก็กลายเป็นเรื่องแสนจะธรรมดาของสังคมยุคนี้ การโกหกและขโมยกันในระดับชาติจากบุคคลในระดับผู้นำประเทศนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาของโลกนี้เสียแล้ว  สังคมจึงปั่นป่วนอย่างมหันต์ สิ่งที่ตามมาก็คือ รัฐบาลจะต้องออกกฏหมายมากมายเพื่อบังคับไม่ให้ผู้คนกระทำผิด หากคนไม่สามารถบังคับจิตใจตนเองแล้วไซร้ จะออกกฏหมายที่คาดโทษรุนแรงมากแค่ไหนก็ไม่สามารถหยุดคนได้ ที่หยุดไม่ได้เพราะแต่ละคนก็ล้วนถูกพิษสงของกิเลสตัวใหญ่ ๆ คือ โลภ โกรธ หลง ข่มขี่และมอมเมาจนแต่ละคนก็โงหัวไม่ขึ้น จนทำให้มีจิตวิปลาศและเป็นบ้ากันอย่างถ้วนหน้ากันทั้งผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง แม้กฏหมายจะคาดโทษถึงการจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตก็ตามแต่ ความวิปลาศของจิตทำให้คนไม่กลัวต่อกฏหมายและความทุกข์ที่ต้องไปใช้ชีวิตในคุกตะรางหรือถูกประหารชีวิต ฉะนั้น สังคมที่ต้องออกกฏหมายมากมายเพื่อบังคับคนแล้วนั้น แสดงว่าสังคมนั้นได้มาถึงจุดเสื่อมมากแล้ว

 

ความเสื่อมโทรมของระบบศีลธรรมในสังคมโลกนั้น สาเหตุใหญ่คือการขาดภูมิปัญญาเรื่องพระนิพพานและพระเจ้า ขาดยาที่จะช่วยให้คนหายบ้า คนไม่รู้ว่าจะต้องรักษาศีลไปทำไมให้ยุ่งยากและทุกข์ใจเปล่า ๆ เพราะการฝืนตนเองย่อมยากกว่าการทำตามใจตัวเองหรือตามใจกิเลสนั่นเอง ฉะนั้น ผู้คนจึงถนัดหาแต่สุขที่เกิดจากกามอันล้วนแต่เป็นเรื่องทำตามใจตนเองทั้งสิ้น แล้วผลเป็นอย่างไรค่อยมาว่ากันใหม่ เมื่อคนส่วนมากของสังคมทำตามใจตัวเองแล้ว จึงไม่มีใครตำหนิใครอีกต่อไป สมัยก่อนนั้น คนไม่กล้าทำผิด เหตุผลหนึ่งก็เพราะกลัวคนตำหนิ ติฉินนินทา หญิงคนไหนไปมีท้องมาโดยไม่ได้แต่งงานจะถือเป็นความผิดอย่างมหันต์ เมื่อไม่มีใครตำหนิใครอีกต่อไปเพราะตนเองก็ไม่ใช่ดีนัก ความกลัวและละอายต่อบาป (หิริโอตตัปปะ) อันเป็นองค์คุณที่สำคัญมากของศาสนาพุทธจึงค่อย ๆ หายไปจากสังคม สิ่งที่สร้างความหายนะให้กับสังคมมากที่สุด คือเมื่อผู้นำของสังคมในสถาบันต่าง ๆ ก็ทำผิดศีลด้วย เช่นสถาบันการเมือง การศึกษา สถาบันกษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทางศาสนา เพราะบุคคลเหล่านี้เป็นผู้นำ เป็นบุคลที่ควรทำตัวอย่างที่ดี role model ให้แก่สมาชิกของสังคม เมื่อคนเหล่านี้ยังทำตัวเองเสื่อมเสียในแง่คุณธรรมแล้วไซร้ คนในสังคมจะยิ่งปั่นป่วนเพราะขาดผู้นำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระสงฆ์องค์เจ้าซึ่งควรเป็นบุคคลที่แจกยาแก้บ้าให้แก่ผู้คนในสังคมโดยการพร่ำสอนให้คนมาทำความดีกลับกลายมาเป็นคนบ้าเสียเองและบางคนก็บ้าอย่างซับซ้อนด้วยแล้ว สมาชิกของสังคมจะหมดที่พึ่งไปทันที  และหายนะภัยจะไปไหนพ้น การอยู่รอดสังคมไทยที่ผ่านมานั้นต้องนับว่าเกิดจากพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์อย่างแท้จริงกลุ่มหนึ่ง และพระจริงเหล่านี้ก็มีผลงานมากและเด่นเพียงพอที่จะค้ำจุนคนไทยและชาติไทยทั้งชาติไม่ให้ล่มจมได้

 

กามสุขก็ดี แต่วิมุตติสุขดีกว่า

 

หากคนสามารถเข้าใจเรื่องเป้าหมายของชีวิตอย่างถูกต้อง และไม่คิดว่าการเข้าถึงพระนิพพานเป็นเรื่องไกลตัวหรือยากเย็นแสนเข็ญแล้วไซร้ เขาจะรู้จักความสุขอีกชนิดหนึ่งที่เกิดจากการข่มใจ หรือวิมุติสุข เมื่อผู้คนรู้จักวิมุตติสุขแล้ว เขาจะรู้เองว่า กามสุข อันเป็นสุขที่เกิดจากการทำใจตัวเองซึ่งดูแล้วมันก็เป็นสุขดี แต่สุขแบบสุก ๆ ดิบ ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ เดี๋ยวมาเดี๋ยวไป เป็นเรื่องประเดี๋ยวประด๋าว ขาดสาระและไร้แก่นสาร เขาจะเบื่อไปเอง คนที่ฝึกสมาธิจนเห็นวิมุตติสุขนั้น เขาจะรู้เองว่านี่เป็นเรื่องละเอียดและมีคุณค่าต่อชีวิตมากกว่าความสุขแบบชั่วคราว เขาจะรู้ว่าการรักษาศีลเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาหาความสุขอีกอย่างหนึ่งได้ง่ายขึ้น นั่นคือ วิมุตติสุข เมื่อเขาเข้าใจเรื่องวิมมุติสุขเขาก็จะเข้าใจเรื่องพระนิพพานและรู้ว่าการรักษาศีลจะเกื้อกูลให้เขาเดินไปสู่เป้าหมายของชีวิตได้เร็วยิ่งขึ้น ฉะนั้น การรักษาศีลที่ได้ผลนั้น หมายความว่าผู้คนในสังคมจะต้องรู้เรื่องเป้าหมายของชีวิตอย่างถูกต้อง นั้นคือต้องมีความรู้เรื่องพระนิพพาน พระเจ้า สัจธรรมอันสูงสุด เมื่อรู้แล้ว การรักษาศีลจะไม่เป็นเรื่องยากเพราะเขารู้ว่ามันมีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง

 

เมื่อหันกลับมามองสังคมไทยแล้ว ย่าทวดไทยได้สร้างวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการรักษาศีลอยู่แล้วอย่างเกลื่อนกลาด แต่สิ่งเหล่านี้กำลังจะลางเลือนไป ผู้คนสมัยนี้มักจะมองข้ามไปเพราะความไม่เข้าใจในความหมายแห่งพระนิพพาน

 

วันโกน วันพระ

นอกจากสังคมฮินดูที่เน้นเรื่องมังสวิรัติแล้ว ดิฉันไม่ทราบว่าจะมีวัฒนธรรมไหนอีกหรือไม่ที่เน้นให้คนละเว้นจากการฆ่าสัตว์ถึงแม้จะเป็นเพียงอาทิตย์ละครั้งก็ตามแต่  สมัยนี้คงจะเปลี่ยนไปมากแล้วเพราะมีซุปเปอร์มาเก็ต แต่เมื่อย้อนไปเพียงไม่ถึงสามสิบปีก่อนนั้น คนไทยเรายังถือว่าวันโกนจะต้องไม่ฆ่าสัตว์ ฉะนั้น ในวันพระเขียงหมูตามตลาดจะว่าง คำว่า วันพระ ก็กลายเป็นคำศัพท์ที่ติดปากชาวบ้าน ผู้คนจะพูดแต่เรื่องว่าจะทำอาหารอะไรไปถวายพระ และก็เป็นวันที่ผู้คนจะเข้าวัดฟังธรรม รับศีล และรักษาศีล คนแก่เฒ่าอาจจะอยู่วัดและถือศีลอุโบสถหรือศีลแปด ที่จริงแล้ว การกระทำเหล่านี้ซึ่งได้กลายเป็นวิถีชีวิตของคนไทยยุคหนึ่งในอดีตนั้นเป็นสิ่งที่ร่ำรวยอย่างมหาศาล นี่แหละคือครรลองของชีวิตที่เตรียมจิตใจของคนหมู่มากให้มีความอ่อนโยน เป็นการกะเทาะเอาเปลือกแข็งที่หยาบกระด้างออกจากจิตใจ การรับศีลในสมัยนี้ได้กลายเป็นเรื่องพิธีกรรมไปเท่านั้น คนส่วนมากจะรู้แต่เพียงว่า พระว่าอะไรก็ว่าตามท่าน เมื่อเสร็จพิธีแล้วก็แล้วกันไป จะมีน้อยคนที่เข้าใจว่าเมื่อรับศีลแล้วจะต้องรักษาศีลอย่างน้อยก็ในวันนั้น คือจะต้องมีการข่มใจ ไม่ทำอะไรตามใจตัวเองเหมือนวันอื่น ๆ อย่างน้อยต้องไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่โกหก ไม่ขโมย ไม่ผิดลูกเมียคนอื่น และไม่เสพของมึนเมา ผู้ที่รักษาศีลอุโบสถก็จะสามารถอดกลั้นได้มากกว่าคนฝึกศีลห้า การทำสิ่งเหล่านี้ได้ก็เท่ากับเป็นการกะเทาะเอาความหยาบของจิตออกไป และสร้างองค์คุณแห่งการมีสติในองค์มรรคให้มากขึ้น เป็นการเอาความวิปลาศของจิตออกไปทีละน้อย

 

ทำบุญ ทำทาน

 

มีเพื่อนคนหนึ่งมาดูงานที่อังกฤษเป็นเวลาหนึ่งปี วันหนึ่งขณะที่นั่งรถไปด้วยกันในช่วงเวลาก่อนคริสมาสซึ่งผู้คนกำลังยุ่งอยู่กับการซื้อของ เพื่อนคนนี้ซึ่งไม่ใช่เป็นชาววัดเสียเท่าไหร่ก็พูดขึ้นมาว่า คริสมาสของฝรั่งก็ไม่เห็นมีอะไรพิเศษมากเท่าไร แค่ซื้อของแลกของขวัญกันเท่านั้น ของบ้านเรายังดีกว่าเพราะอย่างน้อยก็มีการทำบุญ ฟังเพื่อนพูดแล้วก็รู้สึกภูมิใจว่าถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนชอบเข้าวัดแต่ก็รู้ว่าการทำบุญเป็นสิ่งดีกว่า นี่คือสิ่งที่คนไทยทราบกันดีว่า ทำบุญเป็นเรื่องดี แต่ดีอย่างไรนั้น อาจจะพูดอธิบายไม่ได้

 

คำว่าทำบุญนั้น เป็นคำที่ไม่สามารถหาคำแปลที่ถูกต้องในภาษาอังกฤษ เพราะเขาไม่มีการทำเช่นนี้ ที่แปลกันใกล้เคียงที่สุดคือ makig merit แต่คำว่า  merit  ก็ไม่ได้ตรงกับคำว่าบุญทีเดียว คำว่าบุญ นั้นความหมายหนึ่งคือ ความดี  คือทำแล้วจะได้ ความสบายใจ อิ่มเอิบใจ ปีติใจ ถ้าจะให้ความหมายของคำว่าบุญมีส่วนเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมสติปัฏฐานแล้วไซร้ จะต้องแปลว่า บุญคือการกระทำที่มีผลอันเป็นปัจจัยไปสู่ความหลุดพ้น เมื่อสังคมใดไม่มีอุดมการณ์แห่งการหลุดพ้นแล้วไซร้ ก็จะไม่มีการเน้นเรื่องทำบุญ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการหลุดพ้นได้ตัวนั้นคือการเอาความมีตัวตนออกจากกมลสันดาน ความมีตัวตน[2]นั้นจะแสดงอาการของมันออกมาในลักษณะของความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัว ความอยากได้ของของคนอื่น ความอิจฉาริษยา ฉะนั้น การที่คนสามารถทำบุญให้ทานได้โดยไม่รู้สึกเสียดายและไม่ได้คิดอย่างอื่นนอกจากพอใจกับปีติและความอิ่มเอิบใจที่ได้ทำบุญให้ทานตามขนบธรรมเนียมประเพณีนั้น เขาได้เอาความเห็นแก่ตัวออกไปจากจิตใจโดยที่ไม่รู้ตัวเลย เปรียบเหมือนกับการดัดเหล็กท่อนหนึ่ง ถ้าค่อย ๆ ดัดมันทุกวันแล้ว มันก็จะอ่อน และหักเป็นสองท่อนได้ในที่สุด คนที่ไม่เคยฝึกการให้โดยการทำบุญให้ทานนั้น เมื่อจำเป็นต้องเอาอะไรออกไปแล้ว จะรู้สึกเจ็บปวดมาก และนึกเสียดายว่าไม่น่าให้ไปมากเช่นนั้น เปรียบเหมือนกับการดัดท่อนเหล็ก ตอนแรกก็ดัดยาก คือมีแรงต้านมาก แต่ถ้าเขาสามารถให้บ่อย ๆ โดยการฝึกการทำบุญให้ทานแล้ว จิตก็จะปลอดโปร่งมากขึ้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องเสียอะไรไป จะไม่รู้สึกเจ็บปวดและเสียดายมากจนเกินไป เปรียบเหมือนท่อนเหล็กที่ดัดบ่อย ๆ ก็จะมีความอ่อนและดัดได้ง่ายขึ้น เพราะแรงต้านน้อยลง ใครที่สามารถให้ได้อย่างเป็นธรรมชาติไม่รู้สึกเสียดายอะไรเลยนั้น ก็เปรียบเหมือนท่อนเหล็กที่ดัดบ่อย ๆ นั้นหักเป็นสองท่อน จะไม่มีแรงต้านอะไรทั้งสิ้น เป็นจิตใจที่มีบุญอย่างเต็มเปี่ยม

 

 นี่แหละคือความร่ำรวยของวัฒนธรรมชาวพุทธที่สามารถเกณฑ์คนหมู่มากให้ทำลายความเห็นแก่ตัวหรือทำลายอัสมิมานะออกไปได้ จนมีคำว่า อิ่มบุญ ในหมู่คนไทยที่ชอบทำบุญ พูดง่าย ๆ คือ การทำบุญเป็นการเตรียมคนให้เดินทางไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ในอานาคตนั่นเอง ฉะนั้น ใครที่เข้าใจความหมายของการทำบุญและเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังแล้ว หากรู้ตัวว่าตนเองยังเป็นเหล็กที่ดัดยากอยู่เพราะมีแรงต้านทานเยอะแล้วละก็ ควรหัดทำบุญให้ทาน แล้วแรงต้านก็จะน้อยลง หากเป็นการทำบุญเพื่อเอาหน้าแล้วละก็ ผลที่ได้จะไม่เหมือนกัน การทำบุญแบบผักชีโรยหน้าเพื่อหวังสิ่งตอบแทนนั้นย่อมไม่ได้บุญเต็มที่ คือ ไม่ได้สร้างปัจจัยที่เอาตัวตนออกจากจิตใจอย่างแท้จริง ยิ่งทำเพื่อผลตอบแทนเพื่อให้คนได้ชมเชย ยกย่อง มีเกียรติ มีหน้ามีตาในสังคมแล้วไซร้ กลับกลายเป็นการทำลายองค์คุณที่ควรได้รับ หรือทำลายบารมีของตนไปอย่างน่าเสียดายยิ่ง เป็นสิ่งที่ชาวพุทธไม่ควรทำ การทำบุญแบบปิดทองหลังพระ ไม่มีใครรับรู้เลยนั้น จะได้ผลดีกว่ามาก เป็นการเอาความมีตัวตนออกทีละมาก ๆ ใครที่ต้องการสร้างบารมีเพื่อหวัง มรรค ผล นิพพาน อย่างแท้จริงแล้วไซร้ ต้องทำบุญแบบปิดทองหลังพระให้มาก ๆ ยุคสมัยนี้เป็นยุคที่ยากต่อการปฏิบัติธรรมมาก แต่ถ้าใครต้องการทำแล้ว ก็จะเป็นยุคที่โกยบุญได้ทีละมาก ๆ เช่นกัน โกยบุญไปโดยที่ไม่มีใครรู้ เข้าถึงมรรค ผล นิพพาน ไปโดยที่ไม่มีใครรู้นี่แหละ เป็นสิ่งที่คนเอาจริงสามารถทำได้ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสก็ตาม จะมีครอบครัวหรือไม่มีครอบครัวก็ตาม องค์คุณหลักอยู่ที่ความเอาจริงเท่านั้น ถ้าเอาจริงก็จะได้ของจริง ถ้าเดินก็ต้องถึงจุดหมาย  

 

คงจะมีชาวพุทธเท่านั้นที่มีวัฒนธรรมของการทำบุญให้ทาน หรือการฝึกให้ giving ซึ่งเป็นสิ่งที่ศาสนาอื่นไม่มีหรือมีก็ไม่เหมือนของชาวพุทธทีเดียว วัฒนธรรมของการใส่บาตรพระในตอนเช้ากับการถวายอาหารพระนั้นคงจะเป็นวัฒนธรรมที่หาดูได้ยากยิ่งในโลก ชาวพุทธฝ่ายเถรวาทจะชินกับการตื่นนอนแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมอาหารใส่บาตรพระในตอนเช้า หากว่าเป็นวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนาแล้ว ผู้คนจะเตรียมอาหารไปที่วัดกันอย่างล้นหลาม หากเป็นชนบทแล้วไม่ว่าวัดจะอยู่ไกลสักเพียงใด ชาวบ้านก็จะหาบคอนอาหารที่เขาเตรียมไว้มากมายนั้นไปถึงวัดจนได้ แม้ทุกวันนี้สถาบันศาสนาพุทธในเมืองไทยจะเสื่อมลงไปมากเพียงใดก็ตาม แต่จิตใจที่ใคร่ในการทำบุญของคนไทยก็ยังมีอยู่มากเมื่อเทียบกับศาสนิกของศาสนาอื่น ซึ่งได้กลายเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้พระสงฆ์ติดในลาภ สักการะ และฉ้อฉลต่อเจตนารมณ์ของความเป็นสมมุติสงฆ์อันเป็นปัญหาที่ระบาดอยู่ในสังคมไทยทุกวันนี้

 

ชาวต่างชาติที่ไม่เข้าใจนั้นเมื่อเห็นภาพพระสงฆ์ออกเดินบิณฑบาตรในตอนเช้านั้น เขาคิดว่าพระสงฆ์ออกไปขอทานและรังเกียจในการกระทำเช่นนั้น  การจะรักษาวัฒนธรรมอันทรงคุณค่านี้ได้นั้นชาวพุทธควรจะต้องเข้าใจอย่างถูกต้องว่าที่จริงแล้วนี่คือความร่ำรวยของวัฒนธรรม ที่สามารถสร้างวิถีชีวิตจนเป็นประเพณีอันทำให้คนหมู่มากเอาความตระหนี่ถี่เหนียวหรือความเห็นแก่ตัวออกได้ทุกเช้าและทำกันในระดับชาติ การใส่บาตรพระตอนเช้าในยุคสมัยนี้เป็นเรื่องง่ายมากเพราะสามารถซื้อหาอาหารสำเร็จรูปได้ตามตลาด แต่หากคนที่เคยลุกขึ้นมาตีสี่ตีห้าเพื่อเตรียมอาหารใส่บาตรพระนั้นจะรู้ว่ามิใช่เป็นเรื่องง่าย สำหรับแม่บ้านหรือผู้รับผิดชอบแล้วเป็นเรื่องมากทีเดียวหากจะต้องใส่บาตรพระหลายองค์ หรืออาจจะต้องเป็นสิ่งที่เตรียมกันก่อนหน้าวันหรือสองวันหากมีการทำบุญใหญ่ แต่งานมากมายเหล่านี้ก็กลับกลายเป็นเรื่องง่ายที่คนเต็มใจทำกันเพราะเป็นวิถีชีวิตของวัฒนธรรมซึ่งต้องนับว่าเป็นสิ่งที่ร่ำรวยมาก จิตใจของผู้ที่อยู่ในกระแสวัฒนธรรมเช่นนี้ก็จะถูกหล่อหลอมหรือเตรียมตัวให้เข้าไปอยู่ในร่องทางที่จะเห็นธรรมได้ง่ายขึ้น วัฒนธรรมของการชอบทำบุญให้ทานนี่เองได้ย้อมให้จิตใจของคนไทยมีความใจกว้าง สามารถที่จะให้ได้ง่ายกว่าชาวตะวันตกมากนัก คนไทยที่มาอยู่ต่างประเทศจะรู้ดีว่า หากไปบ้านคนไทยด้วยกันหรือชาวพม่า เขมร ลาว แล้ว จะต้องได้กินข้าวของบ้านนั้นแน่ แต่หากเข้าบ้านฝรั่งนั้นไม่แน่ว่าจะได้กินหรือเปล่า ข้อเท็จจริงนี้เป็นสิ่งที่คนไทยและคนเอเซียที่มาอยู่ในสังคมตะวันตกรู้กันดี

 

ที่จริงแล้ว การจะไปตำหนิฝรั่งว่าเขาไม่ใจกว้างหรือโอบอ้อมอารีเหมือนคนเอเซียและสรุปว่าเขาไม่ดีเท่าเราก็ไม่ถูก เหตุผลที่ถูกคือ เพราะความแตกต่างกันของวัฒนธรรม วัฒนธรรมก็คือการฝึกนิสัยในระดับชาตินั่นเอง พูดให้ง่ายคือ การฝึกนิสัยประจำชาติของฝรั่งนั้นต่างจากการฝึกนิสัยของคนบ้านเราที่นับถือศาสนาพุทธ นิสัยแห่งการให้แบบไม่เอาอะไรตอบแทนอย่างเช่นการทำบุญใส่าตรนั้นจึงไม่ได้รับการฝึกฝนมาแต่เด็ก เด็ก ๆ ฝรั่ง จะมีแต่เรื่องขอโน่นขอนี่และได้โน่นได้นี่ในวันเกิดและวันคริสมาสจนกลายเป็นนิสัยและนี่เป็นวิถีชีวิตของเขาซึ่งเขาไม่ได้รู้สึกว่าเขาเห็นแก่ตัวแต่อย่างใด นี่คือความปกติของเขา ในขณะที่คนไทยเราจะคิดเรื่องการทำบุญให้ทานในวันเกิดและปีใหม่แทนที่จะขอโน่นขอนี่ สิ่งนี้คือนิสัยและความปกติของบ้านเรา เพราะวัฒนธรรมของการทำบุญไม่มีในสังคมตะวันตก แม้ฝรั่งที่หันมาเป็นชาวพุทธกันแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนนิสัยและสร้างจิตใจที่รักการทำบุญแบบคนไทย ลาว พม่าที่เติบโตขึ้นมากับการสร้างนิสัยของการให้แบบไม่เอาอะไรตอบแทน ฝรั่งชาวพุทธที่ไปวัดในต่างประเทศนั้นจะเอาผลไม้หรืออะไรนิดหน่อยติดมือไปหรือไปมือเปล่า ในขณะที่คนไทยจะหอบหิ้วอาหารมากมายเช่นแกงหม้อใหญ่เลี้ยงคนได้ทีละมาก ๆ พร้อมปัจจัยไทยทานต่าง ๆ ลักษณะของคนไทยที่ใจบุญด้วยและพอมีอันจะกินด้วย เวลาจะทำบุญให้ทานก็จะไปตลาดเหมาผลไม้กันเป็นเข่ง ๆ เพื่อแจกคนนั้น เป็นสิ่งที่หาดูไม่ได้ในสังคมตะวันตก ครั้งหนึ่ง ดิฉันได้คุยกับเจ้าของร้านขายของชำที่มาจากอิหร่าน และเราก็เปรียบเทียบถึงวัฒนธรรมของซีกโลกทั้งสอง ยิ่งมุ่งสู่ตะวันออกมากเท่าไร ความใจกว้างของคนก็มีมากเท่านั้น เขาบอกว่า คนเอเซียที่เข้าร้านเขานั้นจะซื้อผัก ผลไม้ มากมายเสมอ แต่มีชาวอังกฤษบางคนจะเข้ามาซื้อมันฝรั่งทีละ ๑ ลูก แอปเปิ้ลทีละผลก็ยังมี การชั่งแบบฝรั่งที่คิดน้ำหนักเป็นปอนด์กับกิโลนั้นก็ทำให้เห็นความแตกต่างของนิสัยประจำชาติ คนไทยเราซื้ออะไรหนึ่งกิโลไปฝากใคร เรายังคิดว่าอาจจะน้อยไป ซื้อไปสักสองสามกิโลเลย หนึ่งกิโลนั้นเทียบกับน้ำหนัก ๒.๒ ปอนด์ของฝรั่ง ดิฉันไม่เคยเห็นฝรั่งซื้อผลไม้หนัก ๕ หรือ ๖ ปอนด์ไปฝากคนหรือถวายพระ สมัยก่อนที่ผักผลไม้อุดมสมบูรณ์มากในเมืองไทยนั้น ใครมาจากต่างจังหวัดก็จะหิ้วชะลอมที่เต็มไปด้วยผลไม้ของฤดูและของท้องถิ่นนั้นมาฝากคนกรุงเทพ หิ้วกันทีหลาย ๆ ชะลอม สมัยเด็ก ๆ ทุกครั้งที่ญาติมาจากลพบุรี เขาจะเอามะม่วงบ้าง น้อยหน่าบ้างมะปรางบ้าง หรือไม่ก็มะขามป้อม แล้วแต่หน้ามาฝากทีละหลายชะลอม ดิฉันเคยมีความสุขมากจากการรับหน้าที่วางเรียงมะม่วงอกร่องบนพื้น จำได้ว่าบางครั้งมีมากจนต้องเรียงกันได้หลายแถว เดี๋ยวนี้ผลไม้น้อยลง คนหิ้วชะลอมแบบสมัยก่อนก็ไม่ค่อยมีแล้ว แต่แม้กระนั้น การหิ้วกล่องหรือตะกร้าบรรจุผลไม้ทีละมาก ๆ เพื่อเป็นของฝากก็ยังมีอยู่ในสังคมไทยเรา ลักษณะนิสัยเช่นนี้เป็นความร่ำรวยของวัฒนธรรมไทยอันเป็นผลโดยตรงของศาสนาพุทธ  วัดในต่างประเทศจะอยู่รอดได้ก็เพราะศรัทธาของคนไทย คนพม่า เป็นส่วนมาก จะพึ่งฝรั่งแต่ถ่ายเดียวนั้น ทั้งพระทั้งวัดจะอยู่ไม่รอดแน่ เพราะวัฒนธรรมของเขาไม่ได้สร้างนิสัยนั้นมา ยิ่งฝรั่งที่ไม่ได้เป็นชาวพุทธ แต่ถูกภรรยาไทยลากไปวัดด้วยความจำเป็น เห็นคนไทยปรนเปรอพระสงฆ์องค์เจ้าอย่างมากมายเช่นนั้น เขาเข้าใจไม่ได้ว่า ชายหัวโล้นเหล่านี้นอกจากไม่ต้องทำมาหารับประทานอย่างเขา คนก็ยังมากราบไหว้บูชาและเอาของมาประเคนให้ ทำไมเขาจึงทำกันหนอ เมื่อเขาไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุผลและตรรกะอย่างชาวตะวันตกแล้วไซร้ เขาจะสรุปได้ง่ายมากว่า คนเหล่านี้งมงาย โง่เขลา ทำอะไรที่ขาดเหตุผล และไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้เขาเข้าใจด้วย อย่างไรก็ตาม การพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าฝรั่งที่ใจดีและรักการให้จะไม่มีเอาเลย แน่นอน คนเช่นนี้ต้องมีแน่ไม่ว่าในสังคมไหน และชาวพุทธที่เอาแต่ได้ก็มีเช่นกัน พูดไปแล้ว ชาวอังกฤษนั้นก็เป็นคนที่ใจบุญไม่น้อยทีเดียว ทุกครั้งที่มีการหาเงินเพื่อการกุศล รายใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นทุกปี คือ Children in need ซึ่งเป็นการหาเงินช่วยเด็ก ๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือ ในอดีตก็มีการหาเงินเพื่อช่วยเหลือชาวอาฟริกา ที่เรียก Band Aid หรือการบริจาคเข้ากองทุนของไดอาน่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เพื่อเอาเงินนั้นไปใช้ในงานกุศลอื่นนั้น คนจะบริจาคอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง และหาเงินได้หลายสิบล้านปอนด์เสมอ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดิฉันพยายามอธิบายในที่นี้เป็นเรื่องของการสร้างนิสัยประจำชาติหรือวัฒนธรรมประจำชาติ ไม่ได้พูดถึงปัจเจกบุคคลหรือการบริจาคเงินเพื่อการกุศลซึ่งต้องนับเป็นกรณีพิเศษไป เพราะไม่ได้เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ทุกวัน

       ถึงแม้ฝรั่งจะไม่เข้าใจวัฒนธรรมของการทำบุญก็ตามแต่ นิสัยนี้ก็ได้ทำให้เขาประทับใจในคนเอเซียมาก ฝรั่งที่ไปเที่ยวเมืองไทยนั้นนอกจากชอบดูความสวยงามตระการตาของวัดวาอารามแล้วไซร้ สิ่งที่ประทับใจเขามากกว่านั้นคือ ความเรียบง่ายและความใจกว้างของคนไทยอันเป็นกิตติศัพท์ที่รู้กันทั่วโลก แต่นิสัยที่ดีงามเหล่านี้จะอยู่กับคนไทยได้อีกนานแค่ไหนนั้นเป็นสิ่งที่น่าห่วงมาก คนไทยที่ต้องการทำอะไรตามบั้นท้ายฝรั่ง เช่นการจัดงานวันเกิดตั้งแต่เด็ก ๆ และขอของขวัญแพง ๆ จากพ่อแม่นั้น เป็นสิ่งที่ต้องระวังมาก เพราะนี่คือการพยายามจะเปลี่ยนนิสัยประจำชาติ ทางที่ดีควรสนับสนุนให้ลูกทำบุญ ใส่บาตร หรือให้ทานจะดีกว่ามาจัดงานวันเกิดที่ฟุ่มเฟือย การมาอยู่เมืองนอกของดิฉันทำให้ดิฉันแน่ใจมากว่าการทำเช่นนั้น (จัดงานวันเกิดให้เด็ก) เป็นสิ่งที่ไม่ได้สร้างองค์คุณที่ดีงามและถูกต้องให้แก่เด็กเลย อย่าทำจนเป็นนิสัยประจำชาติจะดีกว่า นี่เป็นสิ่งที่พ่อแม่และครูบาอาจารย์ต้องเข้าใจให้ดีเพื่อจะได้สอนบุตรหลานอย่างถูกต้อง

 

ความเคารพผู้ใหญ่  

 

ในมงคลสูตรซึ่งมี ๓๘ ข้อนั้น มีข้อหนึ่งกล่าวว่าการเคารพบุคคลที่ควรเคารพนั้นเป็นมงคลอย่างหนึ่ง บุคคลที่ควรเคารพคือ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ และแน่นอน สมณะชีพราหมณ์ การให้ความเคารพบุคคลที่ควรเคารพนั้นเป็นวัฒนธรรมโดยตรงของชาวพุทธ ใครที่ทำได้จิตใจของเขาจะอ่อนโยน เปรียบเหมือนการกะเทาะเอาเปลือกแข็งที่หยาบกระด้างออกจากจิตใจ การเห็นผู้น้อยให้ความเคารพผู้ใหญ่โดยการยกมือพนมไหว้อย่างนอบน้อมแบบคนไทยหรือการก้มโค้งแบบคนจีนและคนญี่ปุ่นนั้นนอกจากเป็นภาพที่งดงามต่อผู้พบเห็นแล้ว ยังสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นแก่เจ้าของวัฒนธรรม  หากสิ่งนี้ยังคงมีอยู่ในวัฒนธรรมแล้วไซร้ สังคมนั้นจะไปได้รอด เพราะสมาชิกผู้น้อยที่รู้จักเคารพผู้ใหญ่จะเติบโตขึ้นมารับผิดชอบต่อชาติบ้านเมืองในอานาคตย่อมเป็นบุคคลที่มีจิตละเอียดและเป็นคนดีพอสมควร 

 

สิ่งที่ได้สร้างความสับสนให้แก่มงคลข้อนี้คือ เมื่อผู้ใหญ่ไม่ได้ทำตนให้เป็นที่น่าเคารพแก่ผู้น้อย        ปัญหาจึงเกิด จากการคุยกับเพื่อน ๆ ทุกครั้งที่กลับเมืองไทย ดิฉันทราบมาว่า เดี๋ยวนี้ ครูบาอาจารย์มิได้เป็นบุคคลที่ลูกศิษย์เคารพยำเกรงเหมือนสมัยก่อนเสียแล้ว ครูสมัยก่อนเมื่อจะทำอะไรก็ต้องนึกเสมอว่าตนเองนั้นเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กที่กำลังเรียนรู้จากตน ภาพพจน์ของครูจึงเป็นภาพพจน์ของปูชนียบุคคลที่ลูกศิษย์ต้องให้ความเคารพยำเกรง  ปัจจุบันนี้ อาชีพครูมิใช่เป็นอาชีพที่ทำด้วยใจรัก สภาวะเศรษฐกิจบีบคั้นให้ครูทั้งหลายต้องกลายเป็นพ่อค้าแม่ค้าแอมเวเพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว ความเคารพยำเกรงของผู้น้อยที่มีต่อครูบาอาจารย์จึงน้อยลง และจะเป็นจุดเริ่มต้นของความเสื่อมโทรมของวัฒนธรรมอันดีงาม   

 

การให้ความเคารพต่อบุคคลที่ควรเคารพนั้นเป็นสิ่งที่สังคมตะวันตกยังขาดอยู่มาก พ่อแม่ชาวตะวันตกต้องการให้ลูกสนิทสนมกับตนเองเหมือนเพื่อนที่คุยกันได้ ซึ่งก็มีส่วนดีเมื่อลูกสามารถคุยปรับทุกข์กับพ่อแม่ได้อย่างแท้จริง แต่ข้อเสียคือ เมื่อเด็กไม่มีความเคารพยำเกรงพ่อแม่ จิตย่อมแข็งกระด้าง ไม่ละเอียดอ่อนเหมือนคนเอเซีย เรื่องการเคารพยำเกรงครูบาอาจารย์นั้นเป็นสิ่งที่สังคมตะวันตกแทบจะไม่มีเอาเสียเลย สังคมอเมริกันนั้น ครูเป็นฝ่ายที่ต้องกลัวเด็กจะทำร้ายเอา ซึ่งมีข่าวออกมาให้เห็นกันบ่อย ๆ โรงเรียนบางแห่งถึงขนาดต้องตั้งป้อมตรวจค้นอาวุธก่อนที่จะให้เด็กเข้าตึกเรียนได้ ฝรั่งที่มาทำงานสอนในประเทศเอเซีย เช่น ไทย จีน ญี่ปุ่น มักจะรู้สึกประทับใจและถือเป็นประสบการณ์ใหม่มากเมื่อเห็นเด็ก ๆ นักเรียนวิ่งมาต้อนรับ ให้ความเคารพตน และรับอาสาช่วยถือกระเป๋าให้ นี่เป็นสิ่งที่ครูไม่เคยได้รับในสังคมตะวันตก การเดินผ่านครูนอกโรงเรียนนั้น ครูก็คือคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่ลูกศิษย์สามารถเดินชนไหล่ได้

 

ความล้มเหลวของสถาบันคริสตจักรในสังคมตะวันตกนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวตะวันตกหันหลังให้กับศาสนา ฉะนั้น เจ้าหน้าที่ทางศาสนาเช่น พระ บาทหลวง เป็นต้น จึงไม่ได้เป็นบุคคลที่คนของเขาจะเคารพยำเกรงเสมอไป ซึ่งแตกต่างจากสังคมของชาวพุทธเป็นอย่างมาก พระสงฆ์ในศาสนาพุทธนั้นถึงแม้จะเป็นเพียงสมมุติสงฆ์ก็ตาม แต่จะได้รับความเคารพบูชาจากศาสนิกโดยอัตโนมัติ ยิ่งพระสงฆ์รูปใดที่ผู้คนแน่ใจว่าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วไซร้ ผู้คนก็จะให้ความเคารพบูชามากยิ่งขึ้นตามลำดับ วิถีชีวิตที่ดีงามเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะบรรพบุรุษหรือย่าทวดของไทยได้สร้างสมเอาไว้ ซึ่งหมายความว่าศาสนาพุทธจะต้องรุ่งเรืองมากในอดีตจนสามารถหยั่งรากลึก แม้ทุกวันนี้จะมีพระที่มุ่งการทำลายสถาบันนี้อยู่ไม่น้อย ร่องรอยของวัฒนธรรมอันดีงามก็ยังคงมีให้เห็น แต่จะไปรอดได้ก็ต่อเมื่อสถาบันศาสนาพุทธต้องแข็งแกร่ง และสามารถสร้างพระสงฆ์ที่เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างแท้จริงเท่านั้น

 

ดิฉันได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนประเทศญี่ป่นเมื่อกลางปีนี้ มีโอกาสได้เที่ยวชมวัดวาอารามมากมายในกรุงเกียวโตและแถบใกล้เคียง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองมาก เพราะมีวัดเล็กวัดน้อยมากมาย วัดใหญ่ ๆ ก็สร้างด้วยปฏิมากรรมที่สวยงาม น่าชมยิ่ง แต่สิ่งที่ทำให้ดิฉันรู้สึกใจหายคือ วัดสวยงามเหล่านี้ได้กลายเป็นวัดร้างที่ปราศจากจิตวิญญานแต่อย่างใด วัดใหญ่ ๆ ที่มีชื่อเสียงก็ได้กลายเป็นวัฒนธรรมตู้โชว์  show case และหารายได้โดยการเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมและเก็บเงินเข้าวัด ญี่ปุ่นนับถือศาสนาพุทธแบบมหายาน คือการพยายามปฏิบัติเพื่อจะได้ไปสู่ดินแดนสุขาวดี Pure Land Zen แทนที่จะหวังการเข้าถึงธรรมเป็นส่วนตัวในภพชาตินี้ ศาสนาพุทธของชาวญี่ปุ่นก็ได้แตกแยกเป็นสาขามากมาย ชาวญี่ปุ่นรุ่นใหม่เองก็รู้สึกสับสนต่ออุดมคติของพุทธกับของชินโตซึ่งถูกยกให้เป็นศาสนาประจำชาติในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ศาสนาชินโตนั้นที่จริงก็คือการนับถือผีสางเทวดานี่เอง เหมือนกับที่คนไทยเรานับถือศาลพระภูมิ เพียงแต่เขาพยายามเน้นเรื่องปรัมปรา myth ว่าเทพเทวดาได้จุติลงมาเป็นเทือกเถาเหล่ากอขององค์จักรพรรดิ์อันสืบเนื่องมาถึงทุกวันนี้  การยกเอาศาสนาชินโตขึ้นมาเป็นศาสนาประจำชาติก็เพื่อเน้นเลือดแห่งการรักชาติให้เข้มข้นในหมู่คนญี่ปุ่น ในช่วงนั้นเองที่รัฐบาลก็เปิดโอกาสให้พระของศาสนาพุทธออกมาทำมาหากินและแต่งงานได้เหมือนชาวบ้านธรรมดา และก็เป็นมาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันนี้ชาวญี่ปุ่นจะเกี่ยวข้องกับศาสนาชินโตก็เมื่อแต่งงาน และจะเกี่ยวข้องกับวัดพุทธก็ตอนมีงานศพเท่านั้น วัดของพุทธจึงกลับกลายเป็นสัญญลักษณ์แห่งความเศร้าสร้อยที่ไม่มีใครอยากจะเข้าถ้าไมาจำเป็น ชาวญี่ป่นที่ไปวัดใหญ่ ๆ ดัง ๆ ก็เพื่อไปชมสวนญี่ป่นที่จัดไว้อย่างงดงามโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูต่าง ๆ ที่ต้นไม้เริ่มเปลี่ยนสี บุคคลที่เรียกตัวเองเป็นพระของญี่ปุ่นนั้นอาจจะมีอาชีพเป็นนักธุรกิจที่ใหญ่โต ดิฉันเติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมของชาวพุทธฝ่ายเถรวาทที่เห็นพระเป็นปูชนียบุคคล เมื่อเห็นพระของญี่ปุ่นแล้ว  ก็เห็นความแตกต่างและอดภูมิใจไม่ได้ว่า ของบ้านเราที่เรียกว่ามีปัญหามากมายนั้น ดูแล้วก็ยังดีกว่าของชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก

 

มีครั้งหนึ่งที่ดิฉันไปบ้านของพระรูปหนึ่งซึ่งมีอาชีพเป็นครูสอนการนวดแบบญี่ปุ่นที่เขาเรียกว่า shiatsu เซ็นเซเป็นครูของแอนนาลีสซึ่งเป็นลูกศิยษ์ที่มาเรียนไท้เก็กกับดิฉัน และเป็นคนที่ออกค่าตั๋วเครื่องบินให้ดิฉันไปเที่ยวญี่ปุ่นในขณะที่เธอทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่เกียวโตเป็นเวลาหนึ่งปี คืนนั้นเป็นคืนวันอาทิตย์ซึ่งที่บ้านของครูคนนี้จะมีการสวดมนต์โดยท่องบ่นชื่อของพระอมิตาภะพุทธะ เมื่อถึงเวลาก็มีฝรั่งจากชาติต่าง ๆ มาร่วมสวดมนต์ด้วยหลายคน ซึ่งล้วนแต่เป็นลูกศิยษ์ที่เรียน shiatsu กับครูคนนี้ทั้งสิ้น และเมื่อถึงเวลาสวดมนต์ครูก็นำเอาเสื้อคลุมของพระมาสวมใส่ การสวดมนต์ก็จะต้องควบคู่ไปกับการเคาะไม้ซึ่งทำเป็นรูปกลม ๆ ป้อม ๆ การสวดก็เป็นไปเร็วมากพร้อมกับการเคาะไม้ หลังจากท่องบ่นชื่อ พระอมิตาภะพุทธะ อย่างซ้ำซากไปครึ่งชั่วโมงแล้ว หัวสมองดิฉันรู้สึกชาไปหมด แต่ก็ต้องสวดอยู่นานถึงเกือบชั่วโมงครึ่ง จึงจะหยุด หลังจากนั้น ครูหรือพระก็เทศน์นิดหน่อย ดิฉันถามคำถามหนึ่งซึ่งครูไม่สามารถตอบดิฉันได้อย่างชัดเจนนัก ในที่สุด พิธีสวดมนต์ก็จบลง พระก็ถอดเสื้อคลุมของนักบวชออกและกลับกลายเป็นครูเป็นสามีและเป็นพ่อเหมือนเดิม ก่อนกลับนั้น ดิฉันต้องรู้สึกแปลกใจมากที่ครูผู้เป็นพระเมื่อกี้อยู่หยก ๆ ถามลูกศิยษ์ทั้งชายหญิงของเขาว่า มีใครอยากจะไปดื่มเบียร์ที่ฮิปปี้บาร์กันไม๊  ตอนแรกดิฉันไม่เชื่อหูตนเอง ก็ถามซ้ำว่าจะไปไหนกันนะ คำตอบคือเหมือนเดิม พูดง่าย ๆ คือไปเที่ยวบาร์กันไม็ ดิฉันไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่อยากจะหาประสบการณ์เท่านั้น จึงตามพวกเขาไป ยังรู้สึกเสียดายว่าเมื่อไปถึงบาร์จริง ๆ บาร์ปิด เพราะเป็นคืนวันอาทิตย์และดึกมากแล้ว มิเช่นนั้น ดิฉันคงได้เห็นอะไรที่แปลก ๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน แอนนาลีสบอกว่ามีวันนหนึ่งที่เธอไปหาประสบการณ์การแข่งม้าในญี่ปุ่นกับครูที่โรงเรียนที่เธอสอนอยู่ ในจำนวนนั้นมีพระอยู่สองรูปที่ไปเล่นม้าด้วย แต่นี่เป็นเรื่องที่ธรรมดามากสำหรับคนญี่ปุ่นไม่มีใครตำหนิใคร เมื่อขาดการตำหนิติเตียนจากสังคมแล้ว สิ่งที่ผิดก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไป และเป็นจุดเริ่มต้นของความเสื่อมโทรมของสังคม สังคมไทยเรานั้น หากไม่ระวังให้ดีและปล่อยให้สถาบันสงฆ์เสื่อมโทรมโดยไม่คิดแก้ไขอย่างจริงจังแล้วไซร้ ก็จะสามารถเป็นเหมือนกับสังคมญี่ปุ่นในอนาคตได้

 

การบูชาบุคคลที่ควรบูชานั้น ในวัฒนธรรมของชาวพุทธได้ครอบคลุมไปถึงวัตถุแห่งการบูชาเช่น พระพุทธรูป และ พุทธสถานต่าง ๆ เช่นวัดวาอาราม สถูป เจดีย์  เป็นต้น คนเอเซียจะระวังและให้ความเคารพในสิ่งเหล่านี้มาก นี่เป็นวัฒนธรรมที่ชาวตะวันตกยังต้องเรียนรู้อีกมาก สิ่งหนึ่งที่ทำให้ดิฉันรู้สึกเสียวสันหลังทุกครั้งที่เห็นคนตะวันตกทำคือ การนำเอาพระพุทธรูป พระเศียรของพระพุทธรูปมาเป็นเครื่องประดับบ้าน ประดับสวน และมักวางไว้ในเบื้องต่ำที่คนเดินเฉียดหรือแม้เดินข้าม นอกจากนั้น ฝรั่งยังเอาชื่อที่ชาวพุทธเรายกไว้เป็นของสูงเช่น นิพพาน Nirvana มาเป็นชื่อของวงดนตรีป๊อบที่เต้นโหยงเหยง ไร้สาระ ที่กรุงปารีส นั้น มีบาร์แห่งหนึ่งชื่อว่า Buddha’s bar สิ่งเหล่านี้ฝรั่งเห็นว่าเป็นของเท่ห์เสียเต็มประดา กลับชี้ให้เห็นถึงความอ่อนหัดและโง่เขลาเบาปัญญาที่มีต่อวัฒนธรรมของชาวตะวันออก

 

ความกตัญญูกตเวที

เด็ก ๆ ชาวตะวันออกจะเติบโตขึ้นมาในกระแสวัฒนธรรมที่ให้ความเคารพผู้ใหญ่และจะถูกสอนให้มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ ปู่ย่าตายายที่เลี้ยงเรามาซึ่งเป็นสิ่งที่คนตะวันตกขาดอยู่มาก คำว่า กตัญญูกตเวที นั้นฝรั่งจะเข้าใจได้ยากมาก ดิฉันเคยพยายามอธิบาย แต่ฝรั่งกลับตีความว่า การที่พ่อแม่หวังให้ลูกตอบแทนบุญคุณนั้นเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว ฝรั่งไม่น้อยที่คิดว่า เมื่อพ่อแม่เป็นคนทำเด็กให้มาเกิดทั้ง ๆ ที่เขาอาจจะไม่อยากมาเกิดหรือไม่จำเป็นต้องมาเกิด ฉะนั้น จึงเป็นภาระหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดูเด็กไปจนกว่าเขาจะโตและช่วยตัวเองได้ และพ่อแม่ส่วนมากก็จะไม่เรียกร้องให้ลูกต้องมาดูแลตัวเองในยามแก่เฒ่า จึงเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะดูแลคนแก่ ทุกคนจึงต้องเก็บเงินไว้ก้อนหนึ่งเมื่อยามปลดเกษียน นี่เป็นความคิดที่กลับกันกับวิถีการคิดของชาวพุทธซึ่งประเสริฐ์กว่า

 

คิดตามพระพุทธเจ้า

การรู้จักบุญคุณและตอบแทนคุณของพ่อแม่ที่เลี้ยงเรามานั้นต้องนับว่าเป็นสิ่งที่ดีและประเสริฐ์กว่ามาก การคิดนั้นจะคิดอย่างไรก็ได้ เพราะเป็นเรื่องนามธรรม คนตะวันตกคิดอยู่บนหลักเหตุผลที่ขาดเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต ซึ่งแตกต่างจากชาวพุทธที่ถูกตะล่อมให้คิดไปตามครรลองที่พระพุทธเจ้าปูทางไว้ให้แล้วอันสามารถนำไปสู่เป้าหมายของชิวิตที่สูงสุด การคิดคล้อยตามพระพุทธเจ้าหรือมีสัมมาทิฏฐิจึงมีความถูกต้องมากกว่าถึงแม้เหตุผลจะไม่ชัดในขั้นตอนหนึ่งก็ตาม ซึ่งเป็นเพราะคนส่วนมากยังเข้าไม่ถึงธรรมอันสูงสุด ถ้าเข้าถึงธรรมแล้วเหตุผลจะชัดเอง นี่เป็นสิ่งที่ชาวพุทธจะต้องเข้าใจและไม่ปล่อยให้แนวคิดแบบตะวันตกมาทำให้การคิดแบบชาวพุทธต้องเสียหลักไป เมื่อยังเข้าไม่ถึงธรรมนี่เองจิตใจจะหวั่นไหวได้ง่าย การเห็นฝรั่งคิดอย่างมีเหตุมีผลและประสบความสำเร็จทางเทคโนโลยี่แล้วจะทำให้คนไทยต้องการคิดคล้อยตามฝรั่งซึ่งจะทำให้หลงทางได้ง่าย จึงเป็นสิ่งที่ต้องระวังให้มาก   บุคคลที่ไม่รู้จักบุญคุณของพ่อแม่ที่เลี้ยงเรามาย่อมรักคนอื่นได้ยากหรือรักไม่เป็นเอาเลย จะรักแต่ตัวเองเท่านั้นซึ่งเป็นสัญชาติญานขั้นพื้นฐานของมนุษย์อันมิได้รับการพัฒนา จึงสร้างสภาวะจิตที่แข็งกระด้างไม่เอื้ออำนวยต่อการเข้าถึงธรรมอันเป็นเรื่องละเอียดมากกว่านัก

 

เงื่อนไขที่สร้างความแตกต่างระหว่างสองวัฒนธรรม

ที่พูดเช่นนี้มิได้เหมายความว่าลูก ๆ ของคนตะวันตกจะไม่รักและดูแลพ่อแม่เหมือนกันหมด ไม่ใช่เช่นนั้น ทุกชาติจะมีคนรักดูแลพ่อแม่และจะมีคนทอดทิ้งพ่อแม่เหมือนกันหมด มากน้อยกว่ากันเท่านั้น ความรักความผูกพันกับพ่อแม่นั้นส่วนหนึ่งเป็นเรื่องสัญชาติญาน อีกส่วนหนึ่งเป็นเงื่อนไขของสภาวะของสังคมและวัฒนธรรม ส่วนนี้แหละที่สร้างความแตกต่างระหว่างสังคมตะวันออกกับตะวันตก คนไทยเรา หากมีปู่ย่าตายายอายุ ๘๐–๙๐ ปีต้องอยู่คนเดียวทำอาหารกินเองแล้วไซร้ ลูกหลานจะถูกชาวบ้านด่าว่าไม่มีความกตัญญูและจะมีดีได้อย่างไร แต่นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครตำหนิใครในสังคมตะวันตก คนแก่ก็ไม่อยากอยู่กับลูกหลาน ลูกหลานก็ไม่อยากอยู่กับคนแก่ เพราะชาวตะวันตกเติบโตขึ้นมากับปรัชญาชีวิตที่ต้องพึ่งตัวเอง independent เป็นหลัก เด็กฝรั่งเมื่ออายุครบ ๑๘ เมื่อไร เขาก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว และสามารถออกไปอยู่เองได้หากมีปัญญาเลี้ยงตัวเอง เด็กอเมริกันเมื่อออกจากบ้านไปเข้ามหาวิทยาลัยเมื่ออายุ ๑๘ แล้ว พ่อแม่ก็จะเห็นลูกน้อยลงทุกที ยิ่งถ้าต้องไปเรียนในรัฐที่ไกล ๆ แล้ว ปีหนึ่งอาจจะได้เห็นลูกเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น เมื่อลูกทำงานแต่งงานและเลือกอยู่คนละรัฐกับพ่อแม่แล้ว ภาระของพ่อแม่ก็จบเท่านั้น การเยี่ยมเยียนอาจจะเกิดขึ้นปีละครั้งสองครั้งเท่านั้นคือในช่วงคริสมาสหรือช่วงหยุดพักผ่อนในฤดูร้อน พ่อแม่บางคนอาจจะไม่เห็นลูกเป็นปี ๆก็มีหากลูกตัดสินใจอพยพไปอยู่อีกประเทศหนึ่ง ในประเทศอังกฤษนั้น ลูก ๆ ก็ยังดูแลพ่อแม่ แต่มิใช่เป็นลักษณะที่อยู่ด้วยกัน คือ พ่อแม่ก็อยู่ของเขาเองต่างหาก ลูก ๆ ก็มาเยี่ยมเยียนเมื่อเขาทำได้ แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่ลูกบางคนรับเอาพ่อแม่ชรามาอยู่ด้วย ซึ่งเป็นเปอร์เซนต์ที่น้อยมากเมื่อเทียบกับสังคมตะวันออก ดิฉันเป็นแม่ของลูกสามคน เห็นวัฒนธรรมเช่นนี้แล้วก็รู้สึกใจหาย ฉะนั้น จะสังเกตได้ว่าฝรั่งจะเห็นความสำคัญของคู่ครองตนเองมากกว่าพ่อแม่พี่น้อง ถ้ามีเรื่องบาดหมางใจกันระหว่างคู่ครองกับพ่อแม่พี่น้องละก็ ฝรั่งจะเลือกเข้าข้างคู่ครองตนเองเสมอ ในขณะที่คนไทยกับคนจีนเราจะเข้าข้างพ่อแม่พี่น้องมากกว่า เหตุผลคือ ถ้าสามีภรรยาคู่ไหนที่อยู่กันยืดแล้ว เขาทั้งสองเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งของกันและกันได้ เขาไม่ได้หวังคนอื่นมาเป็นที่พึ่งของเขาแม้แต่ลูกของตนเองซึ่งผิดกับการคิดแบบคนเอเซียที่มีลูกก็เพื่อหวังพึ่งลูก

 

การเลี้ยงลูกของคนไทยและของคนเอเซียนั้นต่างจากฝรั่งมากนักจนอาจจะเป็นผลเสียในอีกแบบหนึ่ง คือเลี้ยงลูกแบบไม่ให้โต ลูกจบมหาวิทยาลัยและทำงานแล้วก็ยังอยู่บ้านกับพ่อแม่ จนกระทั่งแต่งงานแล้วนั่นแหละจึงจะคิดแยกเรือนออกไป แม้กระนั้นก็ตาม ส่วนมากก็ยังเลือกซื้อบ้านให้อยู่ใกล้ ๆกันเพื่อจะได้เยี่ยมเยียนกันง่าย ซึ่งจะเห็นได้ว่า ปรัชญาการเลี้ยงลูกของคนเอเซียจะมีความอบอุ่นทางจิตใจมากกว่าของชาวตะวันตกซึ่งเน้นเรื่องการพึ่งตัวเองเป็นหลัก

 

ระบบประกันสังคม social security ที่ก้าวหน้าของคนตะวันตกก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สร้างความแตกต่างระหว่างสังคมตะวันตกและตะวันออก การที่รัฐรับภาระหน้าที่เลี้ยงดูคนแก่นั้นทำให้ลูก ๆ มีความรู้สึกว่าตนเองต้องรับผิดชอบต่อพ่อแม่ตนเองน้อยลง เงินทองก็ไม่ต้องให้เพราะคนแก่จะมีเงินเดือนจากรัฐบาล pension พ่อแม่เจ็บไข้ได้ป่วย รัฐก็จะรักษาให้ ระบบประกันสังคมเช่นนี้ซึ่งดูเผิน ๆ แล้วเหมือนกับว่าดีเพราะสมาชิกของสังคมไม่ต้องห่วงอานาคตของตนเองมากนัก ยังไงก็มีคนเลี้ยงและรักษาพยาบาลให้ สิ่งนี้เองทื่ทำให้ความผูกพันและความอบอุ่นทางสายเลือดจืดจางลง และเมื่อดูให้ลึกไปกว่านั้นแล้วมันกลับทำลายองค์คุณที่ลูก ๆ ควรจะได้รับหากลูกมีบทบาทในการเลี้ยงดูพ่อแม่ด้วยตนเองอย่างใกล้ชิด 

 

พ่อแม่ก็เป็นเนื้อนาบุญ

สังคมของคนเอเซียนั้นไม่มีระบบประกันสังคมแบบของตะวันตก แต่เราก็มีแบบของเรา ระบบประกันสังคมของคนเอเซียคือครอบครัวและญาติพี่น้องที่จะดูแลกันเองซึ่งมีความอบอุ่นทางใจมากกว่า ระบบประกันสังคมของคนเอเซียนั้นเป็นอิธิพลโดยตรงของศาสนาพุทธนั่นเอง เพราะชาวพุทธเราทำตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเอาไว้เกี่ยวกับการเลี้ยงดูบิดามารดา พระพุทธองค์ทรงดำริว่า คุณของมารดาบิดานั้นมีมากล้น หากเอาท่านทั้งสองทูนไว้บนบ่าทั้งสองข้าง และให้ท่านปัสสวะและอุจจาระรดใส่ตลอดชีวิตท่านแล้ว มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดใช้บุญคุณที่ท่านมีต่อลูกได้ การเกิดมาเป็นมนุษย์ได้นั้นแสนจะลำบาก หากปราศจากพ่อแม่แล้ว การเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นไปไม่ได้ แม้เกิดมาแล้ว หากพ่อแม่ไม่ประคบประหงมเลี้ยงดูลูกจนโต เด็กทารกนั้นก็ไม่มีทางรอดเช่นกัน ที่สำคัญที่สุดคือ พ่อกับแม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลูกสามารถสร้างบารมีเพื่อการเข้าถึงธรรมในอานาต เพราะภพภูมิแห่งความเป็นมนุษย์นี้เอื้ออำนวยต่อการทำบุญกุศลเพื่อเข้าถึงธรรมได้ ฉะนั้น การคิดแบบฝรั่งที่คิดว่าเด็กไม่อยากมาเกิดแต่ดันไปทำให้เขามาเกิดจึงเป็นการคิดที่ไม่มีหลัก ไม่มีเป้าหมายของชีวิตที่ชัดเจน  ฉะนั้น การเลี้ยงดูมารดาบิดาเป็นอย่างดีให้ท่านเป็นสุขจึงเป็นหน้าที่ของลูก ๆ ชาวพุทธทุกคน ในขณะเดียวกัน การทำมาตุฆาตและปิตุฆาตจึงนับเป็นอนันตริยกรรม คือกรรมหนักที่ไม่สามารถหักล้างโทษกันได้ง่าย ๆ จะต้องไปตกนรกขุมที่เรียกอเวจีซึ่งมีความทุกข์มรมานอย่างแสนสาหัสเพราะกรรมที่ตนได้กระทำต่อพ่อแม่

        ชาวพุทธควรจะเข้าใจให้ดีว่า นอกจากพระสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญแล้ว พ่อแม่ก็เป็นเนื้อนาที่ลูก ๆ สามารถปลูกต้นบุญได้เช่นกันและปลูกได้ดีด้วย คนที่รักการปฏิบัติธรรมนั้น ขอให้ปฏิบัติต่อพ่อแม่ของตนเองเป็นอย่างดี ซึ่งเหมือนกับว่าไม่ต้องทำอะไรที่ฝืนเลย คือทำไปตามธรรมชาติ เพราะลูกทุกคนก็รักและผูกพันกับพ่อแม่อยู่แล้ว การปรนิบัติพ่อแม่ให้เป็นสุขก็คือความสุขของตนเอง นี่คือการปฏิบัติธรรมที่ไม่รู้สึกว่าต้องปฏิบัติซึ่งเป็นความร่ำรวยของวัฒนธรรมชาวพุทธที่เน้นการเลี้ยงดูพ่อแม่ การเลี้ยงดูพ่อแม่เป็นอย่างดีนั้นคือการสร้างองค์คุณ (บารมี) ที่สำคัญให้กับตนเอง และองค์คุณนี้จะเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งต่อการเห็นธรรมและเข้าถึงธรรมในอานาคต จิตใจของผู้ที่รักและมีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่นั้นจะเป็นจิตที่ละเอียดและง่ายต่อการเห็นธรรมเมื่อมีการฝึกสมาธิภาวนา ฉะนั้น การเลี้ยงดูพ่อแม่ให้มีความสุขโดยวิธีต่าง ๆ นั้นก็เปรียบเหมือนกับการกะเทาะส่วนที่หยาบของจิตออกไป เป็นเรื่องของศีลโดยตรง

 

เมื่อบิดามารดาเป็นผู้ทำผิดเสียเอง ลูกควรปฏิบัติอย่างไร

เดือนเมษายน ๒๕๔๐ ดิฉันได้เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมของคุณแม่ศิริ กรินชัย ที่บ้านไรวา ชลบุรี วันหนึ่ง วิทยากรท่านหนึ่งบรรยายเรื่องบุญคุณของบิดามารดาจนผู้ฟังต้องเช็ดน้ำตากันตาม ๆ กัน หลังจากที่การบรรยายจบลงก็จะเป็นเวลาของคำถามซึ่งผู้ถามจะเขียนใส่กระดาษก็ได้หรือจะยกมือถามก็ได้ มีคนหนึ่งซึ่งดิฉันไม่แปลกใจเลยว่าจะต้องเป็นหญิงสาวและพูดถึงปัญหาของตนเองเขียนไปถามวิทยากรว่า บุตรสาวควรจะปฏิบัติต่อบิดาที่ข่มขืนลูกสาวตนเองได้อย่างไร ดิฉันเริ่มเป็นห่วงเป็นใยแทนวิทยากรเพราะทราบดีว่านี่มิใช่เป็นปัญหาที่จะตอบกันได้ง่าย ๆ ต่อหน้าคนหมู่มาก คำตอบของวิทยากรต่อคำถามนั้นคือ ขอให้พยายามมองส่วนดีของบิดา อย่ามองแต่สิ่งที่ไม่ดีของเขา เพราะทุกคนก็มีดีมีชั่วกันทั่งนั้น ดิฉันฟังคำตอบนั้นแล้วก็รู้สึกใจหายวาบและเห็นใจผู้ถามเป็นอย่างมาก เพราะนี่มิใช่เป็นคำถามที่สามารถตอบคลุมแบบเหวี่ยงร่างแหได้ และดิฉันไม่เห็นว่านั้นเป็นคำตอบที่ถูกต้องต่อคำถามนั้น หากเป็นดิฉันแล้ว ดิฉันจะต้องขอคุยกับเจ้าของคำถามเป็นส่วนตัว และต้องให้คำแนะนำอย่างระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่การข่มขืนลูกสาวตนเองเลยแม้การข่มขืนใครก็ตามนั้นถือเป็นเรื่องอาชญากรรมที่ผิดทั้งกฏหมายและศีลธรรม การข่มขืนลูกสาวตนเองนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ร้ายแรงกว่ามากนัก ดิฉันไม่แปลกใจว่าปัญหานี้ได้เกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ และไม่น้อยรายทีเดียวในสังคมไทยเรา เด็กสาวส่วนมากจะไม่กล้าพูดเพราะถือเป็นเรื่องอับอายขายหน้าและโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลผู้นั้นเป็นพ่อหรือญาติสนิทใกล้ชิดของตนเอง พูดไปแล้วจะไม่มีใครเชื่อ เด็กสาวหรือไม่ก็อาจจะเป็นเด็กหญิงเหล่านี้ต้องรับความทุกข์ทรมานทางใจและกายอย่างแสนสาหัสและต้องทุกข์คนเดียว ไม่สามารถที่จะบอกความลับนี้แก่ใครได้ สภาพจิตของเด็กสาวเหล่านี้ได้ชำรุดมาก และต้องการความช่วยเหลือเยียวยาโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางใจอย่างรีบด่วนซึ่งสังคมบ้านเรายังขาดองค์กรและบุคลากรที่สามารถเป็นที่พึ่งให้กับคนเหล่านี้ได้ ฉะนั้น การจะบอกให้เด็กสาวเหล่านี้พยายามดูส่วนดีของชายผู้เป็นพ่อซึ่งควรจะปกป้องดูแลเธอแต่กลับกลายมาเป็นสัตว์นรกและข่มขืนลูกสาวตนเองนั้น ดิฉันไม่เห็นว่ามันจะช่วยอะไรได้  ผู้ชายที่สามารถกระทำสิ่งชั่วช้าเลวทรามเช่นนี้ได้แสดงว่า เรื่องศีลธรรมนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะศีลธรรมเป็นเรื่องของมนุษย์ คนที่ยังไม่มีศีลธรรมนั้นก็เป็นคนที่จิตใจสามารถแปรเป็นเดรัจฉานได้ง่ายมาก คนที่ยังไม่ได้เป็นดุจเดรัจฉานคือคนที่พอมีจิตสำนึกแห่งความเป็นคนขั้นพื้นฐานคือพอรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดแบบง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน คือต้องรู้ว่าการข่มขืนลูกสาวตนเองนั้นเป็นสิ่งที่ผิด และผิดอย่างมหันต์ ถ้าจะไปข่มขืนคนอื่นแต่รู้จักรักและปกป้องลูกสาวตนเอง นี่ยังพอพูดได้ว่าพอมีจิตสำนึกแห่งความเป็นคนขั้นพื้นฐานอยู่บ้าง แต่ถ้าดูไม่ออกจนสามารถข่มขืนจิตใจลูกสาวตนเองแล้วไซร้ จิตใจของคนเหล่านี้ก็เป็นเดรัจฉานดี ๆ นี่เอง เลวกว่าอีก เพราะสัตว์เดรัจฉานยังดูแลปกป้องเลือดเนื้อเชื้อไขตนเองได้ดีกว่าคนบางคน คนที่มีจิตใจเป็นดุจเดรัจฉานเหล่านี้เห็นการร่วมเพศเป็นเรื่องของสัญชาติญาน ใครก็ได้เอาทั้งนั้น จะไปหาความดีในคนเหล่านี้ได้อย่างไร จะไปให้บุตรหญิงผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้พยายามมองหาส่วนดีในบิดาของตนได้อย่างไร นี่เป็นคำตอบที่นอกจากไม่ได้ช่วยหญิงสาวเหล่านี้แล้ว ยังเหมือนกับซ้ำเติมเธอให้ชอกช้ำมากขึ้นว่า ยังไงเขาก็เป็นพ่อเรา เขาก็ต้องมีส่วนดีบ้าง

 

ดิฉันเห็นว่านี่เป็นจุดที่นักเทศน์ตามตำราและประเพณีต้องระวังให้ดี นี่อาจจะเป็นจุดหนึ่งที่ว่าทำไมคนหนุ่มสาวจึงไม่อยากสนใจศาสนาพุทธทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี ทั้งนี้เพราะเขาไม่สามารถประสานระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงกับหลักศีลธรรมง่าย ๆ ที่นักเทศน์พยายามจะให้เขาทำ เพราะโลกแห่งความเป็นจริงในทุกวันนี้เป็นเรื่องของมือใครยาวสาวได้สาวเอา และคนที่เสียเปรียบในสังคมมีมากกว่าคนที่ได้เปรียบหลายเท่าตัวนัก การขาดประสบการณ์และไม่ทันต่อเหตุการณ์ทางโลกนั้น อาจจะทำให้นักเทศน์เข้าข้างผู้ผิดมากจนเกินไปและไม่ได้ช่วยเหลือคนที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง ดิฉันเคยได้ยินพระผู้มีชื่อเสียงรูปหนึ่งเทศน์ว่า หากบริษัท(ซึ่งมีชื่อเสียงดังมากในสังคมไทย)นี้นิมนต์ท่านมาเทศน์ให้คนงานฟังบ่อย ๆ แล้ว รับรองว่าการสไตรค์ strike ของคนงานจะไม่เกิดแน่ เพราะท่านสามารถเทศน์ให้คนงานไม่สไตรค์ได้  ดิฉันฟังแล้วเสียวสันหลังวาบ เพราะหากคนงานต้องสไตรค์นายจ้างแล้ว มันต้องแสดงว่ามีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง นี่คือตัวอย่างของนักเทศน์ที่ไม่เจนจัดต่อเล่ห์กลของชาวโลกและจะกลายเป็นเครื่องมือของคนผิดไปอย่างไม่รู้ตัว นักเทศน์ที่ดีนั้นจะต้องสามารถเป็นอิสระจากลาภ สักการะ ได้อย่างไม่ลังเล และไม่พูดเพื่อเอาใจฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดด้วยเหตุผลว่าฝ่ายนั้นสามารถให้ซองที่หนักกว่าเมื่อเทศน์เสร็จ จะพูดอะไรก็ต้องเข้าข้างธรรมแต่ฝ่ายเดียว และเอาธรรมเท่านั้นมาเป็นเครื่องยุติปัญหา การทำเช่นนั้นได้ ก็ต่อเมื่อนักเทศน์สามารถเข้าถึงธรรมแล้วเท่านั้น คนที่ยังเข้าไม่ถึงธรรม จะอดหวั่นไหวต่อลาภ สักการะไม่ได้ นี่เป็นจุดที่พระดัง ๆ ต้องเสียมามากต่อมาก

 

เมื่อหันกลับมาพูดถึงปัญหาของเด็กสาวที่ถูกพ่อข่มขืน หรือในกรณีที่เลวร้ายน้อยกว่าแต่คล้ายกันคือ พ่อแม่อาจจะทารุณลูกในวิธีอื่นหรือไม่ยุติธรรมต่อลูกมากจนเกินไป หากเป็นดิฉันซึ่งจะต้องตอบคำถามต่อหน้าคนหมู่มากแล้ว ดิฉันจะบอกผู้ถามก่อนว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีบุตรอยู่สามจำพวก คือ ๑) ลูกที่ดีกว่าพ่อแม่ตนเอง ๒) ลูกที่ดีเสมอเท่าพ่อแม่ตนเอง และ ๓) ลูกที่เลวกว่าพ่อแม่ตนเอง เพื่อให้เจ้าของคำถามรู้ก่อนว่า ตนเองอาจจะเป็นลูกประเภทที่ดีกว่าพ่อแม่ตนเองก็ได้ และเป็นไปได้เช่นกันที่พ่อแม่สามารถเลวกว่าตนเอง นี่เป็นธรรมที่เขาสามารถเชื่อมโยงได้กับโลกแห่งความเป็นจริง มีพ่อแม่บางคนที่เลวกว่าลูกของตนจริง ๆ เช่น กินเหล้าเมายา ติดผู้หญิง เล่นการพนัน ลูกที่ดีก็พยายามจะช่วยพ่อหรือแม่ออกมาจากสิ่งไม่ดีเหล่านั้น ซึ่งเป็นการเบิกทางให้เขาคิดในสิ่งที่ถูกต้องและไม่ตำหนิตนเองอยู่ร่ำไป เพราะกรณีเช่นนี้ เด็กหญิงหรือเด็กสาวมักจะคิดว่าเป็นความผิดของตนเองที่ถูกชายผู้เป็นพ่อข่มขืน หรือ การที่พ่อแม่ไม่ยุติธรรมต่อตนเองนั้นเป็นความผิดของตัวถ่ายเดียว และสิ่งต่อไปที่ต้องทำคือ การพยายามให้อภัยแก่บิดาตนเองเพื่อทำลายความโกรธเกลียดขยะแขยงและเคียดแค้นที่มีต่อบุคคลที่มาทำให้เราเจ็บทั้งทางกายและใจ เพราะจิตใจที่ยังมีความโกรธเกลียดอยู่นั้น ยังเป็นทุกข์ จึงต้องทำให้ความทุกข์นั้นคลายตัวออกจากจิตใจก่อนซึ่งเป็นความดีที่ทำให้แก่ตนเอง เพื่อการอยู่รอดของตนเอง ไม่ใช่ทำเพื่อคนอื่น ขั้นตอนนี้ การพูดเป็นส่วนตัวจะสำคัญมากเพื่อจะได้เจาะเข้าไปถึงสภาวะจิตของผู้มีปัญหา เมื่อสามารถคลายจิตที่พยาบาทได้แล้ว หากผู้ถามพร้อมที่จะปฏิบัติในสิ่งที่สูงส่งและยากกว่านั้น เขาก็สามารถทำได้เพื่อเป็นการสร้างองค์คุณที่เป็นประเสิรฐ์และเป็นธรรมแก่ตนเองเพื่อความสุขของตนเองและของผู้อื่น นั่นคือ ต้องฝึกเรื่องพรหมวิหาร ๔  คือ ต้องมีความเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ในกรณีนี้เจ้าของปัญหาจะต้องมีความแข็งแกร่งมากพอสมควรแล้วในจิตใจ จนสามารถดูออกว่า การที่บิดาทำสิ่งชั่วช้ากับตนนั้นเป็นเพราะเขายังไม่ได้พัฒนาจากความเป็นเดรัจฉานเลย ต้องให้ความเมตตา สงสารแก่คนที่ถูกอวิชชาครอบงำอย่างมิดชิด ต้องยกความผิดของเขาให้แก่ความโง่เขลาและความไม่รู้แห่งอวิชชา จนเกิดเมตตาจิตที่อยากจะช่วยให้เขาพ้นจากเปือกตมแห่งกิเลสที่กระด้างและหยาบคาย ถ้าเขาทำได้ก็ดีใจกับเขา ถ้าเขาทำไม่ได้ ไม่เข้าใจ ก็ต้องหัดปล่อยวางจิต วางเฉยด้วยท่าทีที่ไม่มีความโกรธเกลียด พยาบาทและไม่ทำให้ตนเองเป็นทุกข์ แต่เมื่อใดที่เขาพร้อมจะรับความช่วยเหลือแล้วละก็ เราก็จะช่วยทันที แน่นอน นี่เป็นการกระทำที่ออกมาจากจิตใจของพระพรหมซึ่งยากกว่ามากนัก การจะให้อภัยและมีเมตตาจิตต่อผู้ที่เคยทำร้ายจิตใจและร่างกายของเรานั้น มิใช่เป็นสิ่งที่จะทำได้ง่าย ๆ ใครที่จะทำเช่นนี้ได้จะต้องมีจิตใจที่ฝักไฝ่ในธรรม จะต้องมีการฝึกฝนเรื่องสมาธิภาวนาแล้ว จึงจะสามารถทำได้ หญิงสาวธรรมดาที่ไม่ได้ศึกษาธรรมจะทำไม่ได้ หรือทำได้ยากมาก ใครที่ทำได้ก็ต้องหมายความว่าคนนั้นมีจิตใจที่มีบุญบารมีติดมาเป็นขั้นพื้นฐานอยู่มากแล้ว

 

ดูพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง

 

เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์มีพระชนมายุ ๔๐ พรรษา อันเป็นปีที่ ๕ หลังจากท่านได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญานแล้ว ในขณะที่ท่านกำลังเสด็จโปรดเวไนยสัตว์อยู่ที่ภูฏาคาร ป่ามหาวัน ใกล้เมืองเวสาลี  . ที่นั้น  พระพุทธองค์ก็ได้สดับข่าวการประชวรของพระบิดาคือพระเจ้าสุทโธทนะผู้ได้เข้าสู่วัยชราแล้ว   พระพุทธองค์จึงทรงเสด็จจากกรุงเวสาลีมุ่งสู่กรุงกบิลพัสดิ์ทันทีเพื่อดูแลพระบิดา ในยามเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น ย่อมเป็นธรรมดาที่คนเราต้องการอยู่ใกล้คนที่เรารัก แน่นอนพระเจ้าสุทโธทนะย่อมคิดถึงพระโอรสคือเจ้าชายสิตธัตถะซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นจอมแห่งมุนีเป็นผู้นำแห่งธรรมที่ยิ่งใหญ่ไปเสียแล้ว พระนันทะซึ่งเป็นพระโอรสเกิดกับพระนางมหาปชาบดีโฆตมี พระนัดดาคือพระราหุล รวมทั้งพระอานนท์ แต่อนิจจา คนสนิทเหล่านี้ก็ล้วนออกบวชตามพระพุทธองค์ไปเสียแล้ว เมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับมาเยี่ยมบ้านราวสี่ปีก่อนหน้านั้น เมื่อพระพุทธองค์พร้อมสาวกนับร้อยเสด็จกลับมาถึง ท่านก็ดูแลพระบิดาด้วยตนเองโดยการป้อนข้าวป้อนน้ำ เช็ดถูพระวรกายให้เหมือนกับลูกที่ดีทุกคนที่จะทำให้แก่พ่อแม่ตนเองได้ในยามที่ท่านเจ็บไข้ได้ป่วย แต่พระพุทธเจ้ามารถทำได้มากกว่านั้นคือ ท่านสามารถปลอบประโลมพระบิดาด้วยพระธรรมจนท่านสามารถคลายจากความทุกข์เห็นธรรมและบรรลุพระอรหันต์ได้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รับการอุปสมบท ในที่สุด เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะเข้าสู่ปรินิพพานแล้ว พระพุทธเจ้าก็ได้จัดงานพระศพถวายพระเพลิงให้กับพระบิดาอย่างสมเกียรติ ท่านได้ทำหน้าที่ของบุตรที่ดีอย่างสมบูรณ์ ธรรมใดที่ท่านตรัสสอนพระภิกษุและคฤหัสถ์แล้ว ท่านย่อมประพฤติธรรมนั้นได้เมื่อโอกาสอำนวยดังเช่นการดูแลพระบิดา มิใช่สอนเป็นอย่างเดียว พระองค์ทรงชี้แนะเสมอให้สาวกเห็นคุณของบิดามารดาและพยายามหาโอกาสตอบแทนท่าน เพราะท่านเป็นผู้อนุเคราะห์บุตรที่เกิดมาแล้วด้วยจิตที่อ่อนโยนยิ่ง บิดามารดาจึงเปรียบเสมือนพระพรหมของบุตร เป็นครูบาอาจารย์คนแรกของบุตรและเป็นบุคคลที่บุตรควรจะเคารพบูชา ภิกษุบางรูปที่ต้องการสึกออกไปเลี้ยงดูมารดาบิดานั้น พระพุทธองค์ตรัสว่าแม้เป็นภิกษุก็ดูแลบิดามารดาได้ ทำกิจที่บุตรควรทำได้ เช่น ซักผ้าให้ อาบน้ำให้ และให้อาหาร โดยปกติ มีพุทธบัญญัติว่า ภิกษุไม่สามารถให้อาหารบิณฑบาตรแก่คฤหัสถ์ก่อน จะให้ได้ก็ต่อเมื่อตนได้ฉันเสร็จแล้วเท่านั้น ถ้าให้แก่คฤหัสถ์ก่อนจะได้ชื่อว่าทำของที่เขาให้ด้วยศรัทธาให้ตกไป แต่สำหรับกับมารดาบิดานั้น ทรงพระพุทธานุญาติพิเศษ คือภิกษุสามารถแบ่งอาหารบิณฑบาตรให้แก่บิดามารดาได้ก่อนโดยไม่ได้ชื่อว่าทำของที่เขาให้ด้วยศรัทธาให้ตกไป[3]

 

การเลี้ยงดูบิดามารดา

ลูกหลานไทยจีนจะได้รับการอบรมสั่งสอนมีความรับผิดชอบต่อพ่อแม่พี่น้องของตนเอง เมื่อลูกหาเงินได้แล้ว ลูกที่ดีจะรู้หน้าที่ว่า ต้องให้เงินส่วนหนึ่งแก่พ่อแม่ใช้ โดยเฉพาะครอบครัวที่ยากจนแล้ว พี่ ๆ มักต้องเป็นผู้เสียสละโดยการออกจากโรงเรียนก่อนกำหนดเพื่อช่วยพ่อแม่ทำงานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวและจุนเจือน้อง ๆ ให้ได้รับการศึกษา ชาวชนบทที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพมากมายนั้นล้วนแต่มีจิตสำนึกที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ ทำงานเก็บเงินเพื่อส่งไปให้พ่อแม่ใช้ เพื่อสร้างบ้านให้พ่อแม่อยู่ หญิงไทยที่แต่งงานกับฝรั่งนั้น บางครั้งเมื่อมีเรื่องอื้อฉาวถึงขนาดลงหนังสือพิมพ์แล้วละก็ การเสนอข่าวของฝรั่งก็มักจะตราหน้าหญิงไทยว่าไม่ได้แต่งกับคนของเขาด้วยความรัก แต่แต่งเพราะต้องการหนีความยากจนมาอยู่อย่างสุขสบายมากกว่า พูดง่าย ๆ คือ เห็นแก่เงินของเขาเท่านั้น  จะจริงหรือไม่นั้นมิได้เป็นจุดที่ดิฉันต้องการพูดถึงในที่นี้เพราะถ้าพูดแล้วเป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบไปถึงเรื่องการเมือง และ เศรษฐกิจ  มันเป็นปัญหาปากท้องที่ฝรั่งมหาอำนาจเองก็ทำในอีกรูปแบบหนึ่งที่แนบเนียนกว่า ถึงแม้ฝรั่งจะไม่ได้ออกไปล่าอาณานิคมหรือไปเอาคนผิวดำมาเป็นทาสแบบสมัยก่อน แต่เขาก็มีวิธีการดูดซับเอาทรัพยากรจากประเทศที่ด้อยกว่ามากองไว้ที่บ้านเมืองเขาเพื่อให้คนของเขาได้อยู่อย่างสุขสบาย การเป็นหนี้เป็นสิน IMF ของประเทศยากจนนั้นก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เห็นกันได้ชัด จุดที่ดิฉันต้องการพูดถึงคือถึงแม้หญิงไทยเราจะถูกตราหน้าว่าเห็นแก่เงินก็ตาม ดิฉันก็ยังเห็นว่าหญิงไทยและคนเอเซียเรามีคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่ฝรั่งไม่มี นั่นคือ การรับผิดชอบดูแลบิดามารดาญาติพี่น้อง หัวข้อหนึ่งที่พูดกันในหมู่คนไทยที่อยู่ต่างแดนคือ การส่งเงินกลับบ้านเพื่อจุนเจือพ่อแม่พี่น้องที่ยังขาดแคลนและลำบากอยู่ หลังจากที่เศรษฐกิจไทยล้มเหลวในปี ๒๕๔๐ นั้น มีคนไทยเป็นจำนวนมากที่เข้ามาอังกฤษอย่างผิดกฏหมายเพื่อหางานทำ ดิฉันได้รู้จักหญิงไทยสองคนเป็นส่วนตัว เธอทั้งสองต้องเสียสละความสุขส่วนตัวโดยการจากลูกที่ยังเล็กมากมาทำงานเก็บเงินเพื่อส่งเงินกลับไปใช้หนี้สินและจุนเจือครอบครัวให้อยู่รอด ดิฉันกลับเห็นว่านี่เป็นคุณสมบัติที่คนไทยและคนเอเซียเรามีเหนือกว่าฝรั่ง 

 

ปัญหาที่เปรียบเหมือนงูกินหาง

อย่างไรก็ตาม ความสับสนกำลังเกิดขึ้นในสังคมยุคใหม่ เพราะการบีบคั้นของสภาวะเศรษฐกิจในยุคบริโภคนิยมนี้ทำให้คนส่วนมากจะต้องเอาตัวเองไว้ก่อน คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น ประจวบกับผู้ใหญ่บางคนสมัยนี้ก็ไม่ได้ทำตนเองให้เป็นที่เคารพของผู้น้อย ประเพณีที่ดีงามต่าง ๆ ก็กำลังถูกทำลายลงไปเพราะความเห็นแก่ตัวของผู้คน การมีลูกเพียงคนหรือสองคนก็ทำให้สภาพสังคมไทยเราเริ่มเหมือนของฝรั่งมากขึ้น พ่อแม่มักถูกทอดทิ้งไว้ตามสถานเลี้ยงดูคนชราซึ่งเดี๋ยวนี้กลายเป็นธุรกิจที่ทำเงินได้มากในสังคมไทย ในที่สุดก็ต้องมาลงที่ความเสื่อมโทรมของสถาบันศาสนาที่ไม่สามารถถ่ายทอดภูมิปัญญาที่ถูกต้องและดีงามให้แก่สมาชิกของสังคม การรักษาประเพณีอันดีงามให้คงอยู่ต่อไปได้นั้น หมายความว่าสมาชิกของสังคมต้องมีหลักธรรมพอสมควร พอมาถึงจุดนี้แล้วเป็นปัญหาของงูกินหางที่ดูจะแก้ได้ยาก

 

สรุป

ตัวอย่างวัฒนธรรมอันเกี่ยวเนื่องกับศีลที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงส่วนน้อยนิดของวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามที่สังคมไทยเรายังมีอยู่ ดิฉันไม่มีความรู้มากพอที่จะพูดอะไรในวงกว้างได้ เพียงแต่ต้องการชี้ให้ผู้อ่านเห็นถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการรักษาศีลว่ามันประสานกับเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิตได้อย่างไร เพื่อว่าสมาชิกของสังคมจะได้ช่วยกันรักษาวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามเหล่านี้ ดิฉันอยากจะย้ำอีกว่า วัฒนธรรมของชาวพุทธนั้นเป็นวัฒนธรรมที่ร่ำรวยและเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางจิตใจ เพราะเป็นเรื่องการเตรียมผู้คนให้กะเทาะสิ่งที่หยาบออกจากจิตใจและพร้อมที่จะรับรู้ในสิ่งที่ละเอียดและประเสริฐ์กว่าอันจะนำมาซึ่งความสุขทั้งแก่ตนเองและสังคมโดยส่วนรวม จึงเป็นวัฒนธรรมที่คนไทยเราต้องพยายามรักษาไว้ให้ดี  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 



[1] ความบ้าชั้นแรกหรือชั้นพื้นฐานคือการเห็นผิดจากที่พระพุทธเจ้าเห็น คือเห็นทุกอย่าง (ธรรม) ว่ามีตัวตนเราเขา บ้าอย่างซับซ้อน คือคนที่บ้าเพิ่มขึ้นจากความบ้าพื้นฐานที่มีอยู่แล้ว แทนที่จะทำมาหากินเหมือนคนบ้าแบบปกติ แต่ไม่ทำ กลับไปทำอะไรที่คนบ้าขั้นพื้นฐานเขาไม่ทำกัน เช่น จี้ ปล้น ข่มขืน ฆ่า เป็นต้น การกระทำเหล่านี้เป็นความบ้าที่ซ้อนความบ้าขั้นพื้นฐานที่มีกันอยู่แล้ว

 

[2] ความรู้สึกที่มีตัวตน ภาษาพระมีคำเรียกเช่น สักกายทิฏฐิ  และ อัสมิมานะ ทิ้งสองสิ่งนี้อยู่ในสังโยชน์ ๑๐ อย่างที่นักปฏิบัติจะต้องละให้ได้หากต้องการการหลุดพ้น

[3] จากเรื่องพุทธจริยา โดย วศิน อินทสระ