บทที่สิบสาม

 

วัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับสมาธิ

 

ในขณะที่การรักษาศีลเป็นการเอาความหยาบกระด้างของจิตออกไปนั้น การทำสมาธิก็เท่ากับการทำให้จิตของคนละเอียดมากขึ้น ทำไมจึงต้องทำจิตให้ละเอียด คำตอบคือเพื่อให้เกิดปัญญา สามารถเห็นธรรมได้ และนำไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิงได้ในที่สุด การทำสมาธิที่ไม่มีปัญญาแห่งการหลุดพ้นควบคุมอยู่นั้นจะทำให้หลงทางได้ง่าย ถ้าเปรียบการรักษาศีลเหมือนกับเรือ การทำสมาธิจะเปรียบเหมือนการแจวเรือเป็น เมื่อมีทั้งเรือและรู้วิธีการแจวเรือแล้ว ผู้แจวยังต้องรู้ว่า จะแจวเรือลำนี้ไปไหน การรู้ที่ไปอย่างถูกต้องนี่แหละคือ ปัญญาเรื่องการหลุดพ้น หรือ มีสัมมาทิฏฐิ ถ้าขาดเป้าหมายที่ถูกต้องแล้ว เรือลำนี้จะไปไหนก็ได้ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ (สังสารวัฏ) ซึ่งยังเป็นเรื่องการหลงทางอยู่

 

ฉะนั้น เมื่อพูดถึงวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับสมาธิแล้วนั้น จะต้องหมายถึงสัมมาสมาธิแห่งองค์มรรคที่มีสัมมาทิฏฐิหรือความเห็นชอบนำหน้าอยู่ มิได้หมายถึงการทำสมาธิที่นำไปสู่เรื่องไสยศาสตร์ สามารถอ่านใจคนหรือทำอิธิปาฏิหารย์ได้ หรือแม้แต่สมาธิที่เน้นการผ่อนคลายจิตใจ relaxation ซึ่งทำกันอย่างเกลื่อนกลาดในสังคมตะวันตก สมาธิเหล่านี้มิได้จัดเป็นสมาธิในองค์มรรค ยังเป็นสมาธิที่หลงทางอยู่ ชาวพุทธต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า การฝึกสมาธิหรือสมถะภาวนานั้นเป็นเรื่องที่มีอยู่อย่างแพร่หลายก่อนการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แม้ท่านเองในขณะที่แสวงหาทางหลุดพ้นอยู่นั้น ท่านก็เข้าไปสู่กระแสของวัฒนธรรมแห่งสมถะภาวนาจนสามารถทำได้หมดทุกอย่าง แต่นั่นก็มิใช่เป็นทางแห่งความหลุดพ้นที่แท้จริง เพราะสมถะภาวนาเมื่อมาถึงจุดหนึ่งแล้วจะพบทางตัน ไม่สามารถทำให้หลุดจากการกงล้อของสังสารวัฏได้ การปฏิบัติที่ใหม่เอี่ยมที่เกิดขึ้นหลังจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าคือ วิปัสนาภาวนาหรือเรื่องสติปัฏฐานสี่นั่นเอง แต่การจะเข้าสู่วิปัสนาภาวนาโดยไม่มีพื้นฐานของสมถภาวนานั้นก็เป็นเรื่องที่ยากอยู่ นอกจากผู้มีอินทรีย์แก่กล้าเท่านั้นที่สามารถข้ามขั้นตอนการปฏิบัติเข้าสู่วิปัสนาญานและสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ทันที ซึ่งก็มีแต่พุทธสาวกในครั้งที่พระพุทธองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่เท่านั้น เช่น ยสกุลบุตร พระองคุลีมาร ท่านพาหิยะ เป็นต้น บุคคลเหลานี้ล้วนแต่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทันทีที่ฟังธรรมของพระพุทธองค์จบโดยที่ไม่ต้องฝึกอะไรทั้งนั้น แต่โดยส่วนมากแล้ว ผู้ปฏิบัติจะต้องผ่านขั้นตอนการฝึกสมถภาวนาเพื่อให้จิตสงบลงเสียก่อนจึงจะสามารถเข้าสู่วิปัสนาได้ ฉะนั้น จึงขอให้ชาวพุทธเข้าใจให้ถูกต้องว่าวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับสมาธินั้นหมายถึงสมาธิที่มีเป้าหมายของพระนิพพานเป็นหลักเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วจะสับสนกับสมาธิที่เน้นเรื่องอื่นดังที่ได้กล่าวแล้ว

 

มุทรา

ชาวพุทธบางคนอาจจะได้ยินคำว่า “มุทรา” มาก่อนแล้ว ดิฉันได้ยินคำ ๆ นี้จากอาจารย์โกวิทเป็นครั้งแรก แต่ไม่สามารถประสานอะไรได้มากนัก มาบัดนี้ความเข้าใจเริ่มชัดมากขึ้น ที่จริงแล้ว ผู้ที่ฝึกสมาธิจนกลายเป็น นิสัย บุคคลเหล่านั้นจะมีท่าทางอากัปกิริยาเป็นมุทรา คือ เดินเหินเคลื่อนไหวด้วยอาการที่เชื่องช้า เนิบนาบ อ่อนนุ่ม มีสติ ในขณะเดียวกันจะหนักแน่น มั่นคง และมั่นใจ เพราะนี่เป็นอาการของคนมีสติสัมปชัญญะ ตัวสัมปชัญญะนี่แหละที่กำหนดอาการมุทรา การเคลื่อนไหวเช่นนี้คืออากัปกิริยาของพระพุทธเจ้าและสาวกของท่านคือพระสงฆ์ผู้รักษาศีลและฝึกสมาธิ  ศีล ๒๒๗ ข้อนั้นเป็นสิ่งที่พยายามจะตะล่อมให้บุคคลนั้นมีสติสัมปัชัญญะเพื่อเกิดสมาธิและปัญญา สติ-สมาธิ-ปัญญา จะเกิดต่อกันเป็นลูกโซ่ ฉะนั้นผู้ที่ฝึกสติและมีสมาธิแล้ว การเคลื่อนไหวของผู้นั้นจะตรงกันข้ามกับผู้ไม่ได้ฝึกซึ่งมักจะมีอาการเร่งรีบ หยาบ กระโดกกระเดกนอกจากคนที่มีอาการสงบตามธรรมชาติหรือโดยนิสัยเท่านั้น

 

เมื่อเข้าใจว่าท่ามุทรามาได้อย่างไรแล้ว คนไทยโบราณก็ได้นำสิ่งนี้เข้ามาสู่กระแสวัฒนธรรมแล้วโดยการฝึกบุตรหลานให้เดินเหินด้วยท่าทางมุทรา คืออ่อนช้อย เชื่องช้า เนิบนาบ และบวกกับความเคารพยำเกรง โดยการต้องก้มโค้ง หรือเดินบนเข่าเมื่อผ่านผู้ใหญ่ หากขึ้นบนเรือนแล้ว ผู้ใหญ่กำลังนอนอยู่เด็ก ๆ ก็ต้องหัดเดินให้เงียบที่สุด การฟ้อนรำแบบไทยเดิมต่างๆ ก็ยังอยู่บนหลักของการฝึกท่ามุทรา สิ่งเหล่านี้จึงได้ซ่อนองค์คุณที่สำคัญมากที่สุดไว้ คือมีทั้งเรื่องศีล เรื่องการฝึกสติเพื่อให้ได้มาซึ่งสมาธิ การที่สิ่งเหล่านี้อยู่ในกระแสวัฒนธรรมนั้นทำให้เด็ก ๆ ตกเข้าไปในร่องทางของการฝึกสติโดยที่ตนเองก็ไม่รู้ตัว แต่ทุกครั้งที่เด็กจำเป็นต้องเดินด้วยอาการที่เชื่องช้าต่อหน้าผู้ใหญ่นั้น เขาจำเป็นต้องมีสติ ไม่เช่นนั้นเขาจะทำไม่ได้ ฉะนั้น จิตที่วุ่นวายจะได้รับการรวบให้สงบลงทุกครั้ง สิ่งเหล่านี้เท่ากับเป็นการฝึกสติปัฏฐานไปในตัว ในอนาคตหากเขาสนใจเรื่องศาสนธรรมแล้วไซร้ เด็กเหล่านี้ก็เหมือนกับได้ถูกเตรียมตัวมาแล้วครึ่งทาง อีกครึ่งทางก็อยู่ที่ความวิริยะอุตสาหะ ท่าทางมุทราเหล่านี้ พูดไปแล้วเป็นลักษณะของหญิงไทยโบราณ อาการมุทราเหล่านี้กำลังหายไปจากคนไทยโดยเฉพาะหญิงไทยด้วยความเร็วที่น่าใจหาย เพราะการรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาเต็มที่

 

วัฒนธรรมของการกราบไหว้

 

ในบรรดาวัฒนธรรมที่พบปะกันทั้งหลาย การยกมือขึ้นพนมไว้ที่อกนั้นเป็นสัญญลักษณ์ที่ทำกันอยู๋หลายชาติในหมู่ชาวพุทธรวมทั้งชาวอินเดีย แต่ดิฉันต้องยอมรับว่าคนไทยเราสามารถทำอาการไหว้ได้สวยงามกว่าชาติ อื่น ๆ ที่ทำกัน  การไหว้ที่ถูกต้องนั้น ควรจะต้องทำด้วยอาการที่เนิบนาบ เชื่องช้า ไม่รีบร้อน หากเป็นผู้น้อยไหว้ผู้ใหญ่ก็ต้องมีการก้มศรีษะลงตามลำดับของความอาวุโส หากทำได้อย่างถูกต้องเช่นนี้แล้ว การกระทำนั้นจะได้รับคุณค่าที่ซ่อนเร้นอยู่อันเนื่องกับการเดินทางเพื่อให้ถึงเป้าหมายชีวิตคือ การทำลายมานะทิฏฐิของตนเอง สิ่งนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก คนที่มีความหยิ่งยโสนั้น ไม่สามารถจะก้มหัวให้ใครได้ง่าย ๆ ฉะนั้น การก้มหัวให้คนทุกครั้งที่มีการพบปะกันถึงแม้จะไม่ใช่เป็นการปฏิบัติธรรมโดยตรง แต่เป็นการทำโดยอ้อม ก้มหัวไปบ่อย ๆ จิตใจก็จะอ่อนโยนซึ่งเป็นองค์คุณที่สำคัญต่อการเข้าถึงธรรม ชาวญี่ปุ่นก็เป็นอีกชาติหนึ่งที่ต้อนรับกันโดยการต้องก้มหัวให้แก่กันซึ่งแฝงเร้นคุณค่าแห่งการทำลายตัวตนเช่นกัน เด็ก ๆ สมัยใหม่ มักจะไหว้ผู้ใหญ่ด้วยความเร่งรีบ ไม่ก้มหัว และแบบขอไปที ซึ่งทำให้องค์คุณที่ควรจะมีด้อยลงไปมากจนอาจจะไม่เหลืออะไรเลย

 

เมื่อเปรียบเทียบกับการพบปะด้วยการจับมือกันซึ่งเป็นวัฒนธรรมสากลที่คนทำกันมากกว่าครึ่งโลกนั้น จะมีคุณค่าน้อยกว่ามาก การสัมผัสมือกันสามารถแสดงออกถึงความจริงใจและไมตรีจิต ในขณะที่การกอดกันหรือจูบกันเมื่อพบปะนั้นแสดงออกถึงความอบอุ่นที่ฝ่ายหนึ่งให้อีกฝ่ายหนึ่ง แต่จะไม่มีคุณค่าของการทำลายมานะทิฏฐิซ่อนอยู่ คือ ไม่สามารถเอาความรู้สึกแห่งความมีตัวตนออกจากจิตใจเหมือนอย่างการไหว้ด้วยท่าทางมุทรา

 

การไหว้เมื่อพบปะกันนั้นเป็นวัฒนธรรมของชาวพุทธโดยตรง  เพราะเป็นการกระทำที่แปรรูปมาจากการกราบพระพุทธรูปและกราบพระอันเป็นวัฒนธรรมสติปัฏฐานโดยตรง การกราบไหว้พระพุทธรูปด้วยท่าเบญจางคประดิษฐ์แบบไทยหรือแบบธิเบตนั้นเป็นองค์คุณที่สำคัญมาก แน่นอน การกระทำเช่นนี้ย่อมเป็นผลสืบเนื่องมาจากครั้งพุทธกาล เพราะการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดแก่มนุษยชาติมาก่อนแลย จึงเป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มากอย่างใหญ่หลวง อันเป็นผลให้พุทธสาวกก้มลงกราบพระพุทธองค์ด้วยความหมดสงสัยในตัวท่าน เป็นการแสดงออกถึงการยอมให้ท่านเป็นผู้นำทางจิตวิญญานเพื่อท่านจะได้นำเราไปสู่เป้าหมายอันสูงสุดของชีวิตที่ท่านได้ค้นพบแล้ว ความหมดสงสัยในตัวพระพุทธเจ้าและการยอมให้ท่านนำชีวิตนี่แหละคือองค์คุณที่ซ่อนเร้นอยู่ในการกราบพระพุทธรูปทุกครั้ง ผู้ที่สามารถกราบพระพุทธรูปได้อย่างงดงามด้วยท่าทางมุทรา และกราบไหว้บุคคลที่ควรกราบไหว้นั้น ชาวพุทธเราถือว่าเป็นมงคลอันสูงส่ง เพราะเป็นการค่อย ๆ สะสมองค์คุณที่สำคัญอันจะเกื้อกูลให้บุคคลนั้นเห็นธรรมได้ง่ายขึ้นในกาลข้างหน้า

 

จัณฑาลี

ในพระสุตตนตปิฏก ขุทฑกนิกาย วิมานวัตถุ ได้บันทึกเรื่องราวของหญิงชราคนหนึ่งชื่อ จัณฑาลี ผู้ได้ไปถึงสวรรค์เพราะการกราบไหว้ เรื่องมีอยู่ว่า[1]

 

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ. พระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ครั้นใกล้รุ่งอรุณพระพุทธองค์ได้ทรงเล็งพระญานเห็นหญิงชราผู้หนึ่งชื่อว่า จัณฑาลี อยู่ในหมู่บ้านจันฑาละ กำลังจะสิ้นอายุขัยไปจุติในนรก จึงทรงดำริว่า “เราจะให้หญิงชรานี้ทำบุญเพื่อจะได้ไปจุติในสวรรค์”

 

พอรุ่งเช้าพระพุทธองค์พร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์เป็นจำนวนมากเสด็จเข้าไปบิณฑบาตรในกรุงราชคฤห์ ขณะนั้น ยายจันฑาลีเดินถือไม้เท้าออกมาสู่นอกเมือง พบพระพุทธองค์พร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์กำลังเสด็จดำเนินมา ยายจัณฑาลีจึงหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ของพระพุทธองค์ ลำดับนั้น พระโมคคัลลานะรู้ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาเพื่อโปรดหญิงชราผู้นี้โดยเฉพาะ จึงกล่าวกับหญิงชราว่า

“ดูก่อน ยายจัณฑาลี ท่านจงถวายบังคมพระบาทยุคลของพระโคดมผู้มีพระเกียรติยศเถิด พระโคดมผู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สี่ ประทับยืนเพื่ออนุเคราะห์ท่านคนเดียว ท่านจงทำจิตให้เลื่อมใสยิ่งในพระองค์ผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้คงที่แล้ว จงรีบประคองอัญชลีถวายบังคมเถิด ชีวิตของท่านน้อยเต็มที”

 

ยายจันฑาลีเมื่อรับฟังพระเถระกล่าวดังนี้แล้วเกิดสลดใจว่า ตนเองกำลังจะสิ้นอายุแล้ว นางจึงได้ก้มลงกราบถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเบญจางคประดิษฐ์ พร้อมจิตใจที่เต็มไปด้วยปีติเลื่อมใสในพระพุทธองค์ ส่วนพระพุทธองค์นั้นเมื่อเห็นยายจันฑาลีได้ทำเช่นนั้นแล้ว จึงเสด็จผ่านไป เพราะทรงเห็นว่าเท่านี้เป็นอันสมควรแล้วแก่หญิงชรา ขณะที่ยายจันฑาลีกำลังยืนอยู่ด้วยใจที่อิ่มเอิบผ่องใสในพระพุทธคุณนั่นเอง มีโคแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่ง ได้วิ่งมาขวิดยายจันฑทลีถึงแก่ความตายทันทีแล้วไปจุติในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีนางอัปสรหนึ่งพันเป็นบริวาร  ครั้นไปจุติในสวรรค์แล้ว จัณฑทลีเทพธิดาได้ลงจากสวรรค์พร้อมทั้งวิมานมาหาพระโมคคัลลานะ แล้วลงจากวิมานเข้าไปกราบพระเถระแล้วกล่าวว่า “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้มีอานุภาพมาก ข้าพเจ้าขอกราบไหว้ท่าน” พระเถระจึงถามว่า “ดูก่อนเทพธิดา ! ท่านเป็นใคร ทำบุญอะไรไว้ถึงได้มีอานุภาพมาก ?”  จัณฑาลีเทพธิดาตอบพระเถระว่า “ข้าพเจ้าคือยายจัณฑาลี หญิงชราที่พระผู้เป็นเจ้าได้แนะนำให้กราบไหว้พระพุทธองค์ ครั้นข้าพเจ้าได้กราบไหว้พระพุทธองค์แล้วก็ตายจากกำเนิดคนจัณฑาล ได้ไปเกิดเป็นเทพธิดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดีงส์มีนางอัปสรหนึ่งพันเป็นบริวาร ข้าพเจ้ามาในเวลานี้ เพื่อประสงค์จะกราบไหว้ระลึกถึงพระคุณของพระผู้เป็นเจ้า” เมื่อได้กล่าวดังนี้แล้ว นางได้กราบลาพระเถระกลับคืนสู่สวรรค์ดังเดิม

 

เช้าวันรุ่งขึ้นพระเถระจึงเข้าไปกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ทรงยกขึ้นมาแสดงให้แก่สาธุชนทั้งหลายฟังว่า การกราบไหว้แสดงความเคารพผู้ที่ควรกราบไหว้ มีพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้า ตลอดถึงบิดามารดา ปู่ย่าตายาย ผู้มีพระคุณ ผู้มีอุปการะคุณนั้น ย่อมให้ผลเป็นอัศจรรย์  ดังได้ทรงพระคาถาไว้ว่า “คาระโว จะ นิวาโต จะ” การเคารพนบนอบเป็นมงคลอันสูงส่ง คือเป็นความเจริญอย่างสูง

 

จะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมที่มีการกราบไหว้นั้นจะได้เปรียบกว่าวัฒนธรรมที่ไม่มีการกราบไหว้อย่างลิบลับ นี่คือวัฒนธรรมสติปัฏฐานที่ควรต้องดูแลรักษาไว้ให้ดีโดยการสอนให้เยวชนทำอย่างถูกต้อง

 

 

นั่งขัดสมาธิ

 

ท่านั่งขัดสมาธินั้นต้องจัดว่าเป็นวัฒนธรรมสติปัฏฐานโดยตรง การนั่งสมาธิเป็นปัจจัยที่สำคัญมากต่อการเข้าถึงธรรมและเห็นธรรม การนั่งสมาธิที่จะได้ผลนั้น หากสามารถนั่งขัดสมาธิได้อย่างสบายโดยไม่เจ็บปวดมากนัก ก็จะเกิดสมาธิได้ง่าย เมื่อมีสมาธิก็จะมีปัญญา  คนตะวันออกจะถูกฝึกให้นั่งท่านี้มาตั้งแต่เด็ก ในขณะที่คนตะวันตกจะไม่ชินกับการนั่งท่าเช่นนี้เลย เมื่อมาถึงจุดที่สนใจศาสนธรรมและต้องฝึกสมาธิ ถึงแม้จะสนใจมากแค่ไหน แต่หากนั่งแล้วไม่สบายเพราะความเจ็บปวดละก็ สมาธิย่อมเกิดยากและปัญญาจะไม่เกิด วัดในสังคมตะวันตกมักจะต้องมีหมอนรองนั่งหรือเก้าอี้ทรงประหลาดที่จะให้ฝรั่งผู้มีขายาวนั่งได้สบาย หลายคนอาจจะเลิกล้มความตั้งใจเพราะนั่งนานไม่ได้ เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้ว จะรู้ว่าคนตะวันออกได้เปรียบกว่ามากเพราะมีวัฒนธรรมการนั่งกับพื้น หากการนั่งกับพื้นถูกแทนที่ด้วยการนั่งบนเก้าอี้แล้ว องค์คุณที่สำคัญเพื่อให้คนเข้าถึงธรรมก็จะค่อย ๆ หายไป 

 

ไท้เก็ก-โยคะ

 

การออกกำลังกายแบบไท้เก็กและโยคะนั้นก็จัดเป็นวัฒนธรรมสติปัฏฐานได้โดยตรง หากครูผู้สอนเข้าใจเรื่องสติปัฏฐานแล้วไซร้ จะสามารถโยงการออกกำลังกายทั้งสองชนิดนี้เข้าสู่การฝึกสติได้อย่างง่ายดายและจะเป็นประโยชน์แก่คนหมู่มาก โยคะนั้นที่จริงแล้วก็คือเรื่องอานาปานสติโดยตรงที่เพิ่มเรื่องการบริหารกายเข้าไปด้วย ส่วนความหมายของไท้เก็กคุ้ง tai chi chuan นั้น ที่จริงแล้วเชื่อมโยงกับเรื่องของจิตวิญญานโดยตรง  คำว่า ไท้เก็ก คือสภาวะที่ยิ่งใหญ่อันหนึ่งที่ไม่มีสิ่งใดสามารถไปเหนือกว่านั้นได้อีกแล้ว จะเรียกว่า เต๋า ก็ไม่ผิด คำว่าคุ้ง คือ อาการเคลื่อนไหว เมื่อรวมความหมายเข้าแล้ว คือ การเคลื่อนไหวที่นำบุคคลให้เข้าถึงสภาวะสูงสุดนั้น ฉะนั้น การเคลื่อนไหวแบบไท้เก้กคือ การเคลื่อนอย่างมีสติสัมปชัญญะนั่นเองจึงจะสามารถเข้าสู่สภาวะสูงสุดได้ การที่คนไม่เข้าใจความหมายที่เกี่ยวเนื่องกับจิตวิญญานและไม่มีความรู้เรื่องสมาธิ การสอนไท้เก็กจึงไม่สามารถโยงเข้าสู่เรื่องสติปัฏฐานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อวิชานี้มาถึงสังคมตะวันตก ไท้เก็กถูกเน้นไปที่การเดินพลังหรือขี่ Qi เพื่อผลประโยชน์แก่ร่างกาย ครูที่ถนัดเรื่องวิชาป้องกันตัวด้วยก็โยงเรื่องไท้เก็กกับขี่ไปในรูปแบบของการป้องกันตัว martial art ครูที่ไม่สนใจเรื่องป้องกันตัวก็โยงเรื่องพลังขี่เพื่อความแข็งแรงของร่างกายและเน้นเพียงตื้น ๆ ว่าเป็นการพักผ่อนทางจิตใจ relaxation เท่านั้น นี่คือสิ่งที่ดิฉันได้พยายามปลุกปล้ำอยู่คนเดียวเป็นเวลาถึง ๑๐ ปีที่จะทำให้ไท้เก็กเป็นเรื่องของสติปัฏฐานโดยการเปิดเผยความหมายของไท้เก็กว่าเป็นสภาวะสัจธรรมอันสูงสุดซึ่งจะเข้าถึงได้โดยการเคลื่อนไหวอย่างมีสติ  ความคิดนี้เพิ่งจะมาชัดเจนในช่วงเกือบสามปีนี่เองหลังจากที่เข้าใจเรื่องธรรมานุปัสนาอย่างถ่องแท้ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นทำให้ความคิดความเข้าใจต่าง ๆ ชัดขึ้นมากและสามารถโยงเรื่องต่างๆ ได้ดีขึ้น และความชัดก็มีมากยิ่งขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่านไป  เมื่อความเข้าใจในเรื่องสติปัฏฐานชัดมากเท่าไร ย่อมหมายความว่าดิฉันสามารถเกณฑ์ให้คนมาฝึกสติปัฏฐานได้โดยที่ไม่ต้องพูดเรื่องศาสนาพุทธก็ได้ มันเป็นผลดีต่อดิฉันเพราะเป็นสิ่งที่ดิฉันจำเป็นต้องทำเสียด้วย เพราะถึงแม้ดิฉันจะเข้าใจศาสนาพุทธมากพอที่จะสอนฝรั่งได้ แต่รูปแบบของดิฉันไม่อำนวย เพราะไม่ได้อยู่ในเพศนักบวช และทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้จ้างดิฉันไปสอนศาสนาพุทธ แต่จ้างดิฉันไปสอนไท้เก็ก Tai chi ฉะนั้น คนที่เข้ามาเรียนไท้เก็กกับดิฉันนั้นเขามาเพื่อต้องการออกกำลังกาย ไม่ใช่มาเพื่อเรียนศาสนาพุทธกับดิฉัน พูดง่าย ๆ ว่าดิฉันต้องแอบสอนหรือสอนแบบที่ไม่ให้เขารู้ว่ากำลังสอนศาสนาพุทธ ก็เป็นเหมือนการหลอกล่อให้คนหนุ่มสาวที่นี่มาฝึกสติปัฏฐาน แต่เป็นการหลอกล่อด้วยความหวังดีและมีเจตนาดีที่อยากให้เขาได้เห็นธรรม จึงเกิดความคิดที่พยายามจะโยงไท้เก็กเข้าสู่เรื่องสติปัฏฐาน ในช่วงปีแรก ๆ ก็ขลุกขลักมากเพราะปัญญามีแต่ไม่ชัด มาทำได้ดีขึ้นก็ในช่วงสองสามปีหลังนี่เอง จนเดี๋ยวนี้นักศึกษาของดิฉันมองไท้เก็กว่าเป็นเรื่องที่สามารถช่วยแก้ปัญหาทางจิตใจของเขาได้ ที่แก้ได้เป็นเพราะนักศึกษาเหล่านั้นมีส่วนในการฝึกสติปัฏฐานกับดิฉันทุกครั้งที่เขาเข้ามาเรียนไท้เก็กกับดิฉัน การพยายามผลิตงานเขียนออกมาให้นักศึกษาของดิฉันก็เท่ากับบอกความจริงกับเขาว่า สิ่งที่ช่วยเขาจริง ๆ นั้น คือ ธรรมะของพระพุทธเจ้านั่นเอง ไท้เก็กเป็นเพียงเครื่องมือที่ดิฉันปรับเอามาใช้ให้เหมาะสมกับจริตและความต้องการของเขาเท่านั้น

 

ฉะนั้น ไท้เก้ก และ โยคะจึงสามารถจัดเป็นวัฒนธรรมสติปัฏฐานได้โดยตรงหากครูผู้สอนเข้าใจเรื่องสติปัฏฐานเพียงพอและพยายามโยงเข้าหาเรื่องสมาธิวิปัสสนา เพราะมันเป็นเมล็ดพันธุ์ที่สามารถเตรียมคนให้เข้าถึงธรรมอันสูงสุดได้ เป็นวัฒนธรรมที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับสังคมที่มิได้มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ หากสังคมใดสามารถทำให้คนฝึกไท้เก็กได้มาก คนกลุ่มใหญ่ก็จะได้รับเมล็ดพันธุ์แห่งความรู้แจ้งโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าได้ครูที่สามารถเข้าใจศาสนาพุทธได้อย่างถึงแก่นและเปิดเผยเรื่องอิสระภาพของจิตวิญญานได้แล้วไซร้ โยคะและไท้เก็กจะกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญยิ่งต่อการแพร่เมล็ดพันธุ์แห่งความรู้แจ้งให้แก่มวลมนุษย์โดยเฉพาะในยุคนี้ที่ผู้คนส่วนมากในสังคมตะวันตกปฏิเสธศาสนา เพราะเป็นวิธีการที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องอิงศาสนา a non-religious method. จากการปลุกปล้ำทำงานนี้อยู่คนเดียวถึง ๑๒ ปี ดิฉันเริ่มเห็นผลเป็นรูปเป็นร่างว่ามันทำได้จริง คือ สามารถทำให้คนรู้แจ้งได้โดยไม่ต้องเข้าวัดหรือมีส่วนร่วมในศาสนพิธี หากนี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากทำ

 

วัฒนธรรมการดูพระ

 

เรื่องนี้ได้ยินจากอาจารย์เขมานันทะเล่าว่า สมัยก่อนคนทางใต้จะมีประเพณีเดินทางไปดูพระที่นครศรีธรรมราช โดยที่ชาวบ้านจะพากันพกข้าวห่อไปเพื่อจะได้ปักหลักกันนั่งชมพระ นี่เป็นสิ่งที่ดิฉันไม่เคยเห็นมากับตาตนเอง แต่ครั้นได้ยินอาจารย์พูดถึงแล้วก็ทำให้เกิดปีติขึ้นมาได้ทันที ดิฉันไม่แน่ใจว่าประเพณีนี้ยังทำสืบทอดกันอยู่หรือไม่ในปัจจุบันนี้ การได้มีโอกาสนั่งดูพระพักตร์ของพระพุทธรูปองค์โปรดนั้นเป็นการเจริญพุทธานุสติที่สามารถก่อให้เกิดปีติและจิตเป็นสมาธิได้ง่าย

 

ที่จริงแล้ว คนไทยเราหรือชาวพุทธโดยทั่วไปก็มักทำกิจนี้เป็นส่วนตัวกันอยู่ไม่น้อย ใครที่รู้สึกไม่สบายใจ หากมีโอกาสได้ไปทำบุญหรือนั่งต่อหน้าพระพุทธรูปองค์โปรดแล้ว ความทุกข์ใจก็จะคลายไป  ดิฉันยังจำวันที่ตนเองเดินเข้าไปในวัดพระแก้วเมื่อ ๒๖ ปีที่ผ่านมาได้แม่นยำ มันเป็นช่วงปลายปีของ ๒๕๑๖ ดิฉันเป็นนักศึกษาปีที่หนึ่งและได้ผ่านเหตการณ์ ๑๖ ตุลาคม มาหยก ๆ หัวใจเต็มไปด้วยความทุกข์อันเนื่องจากมีคำถามมากมายเกี่ยวกับชีวิตที่ดิฉันตอบตนเองไม่ได้ ครูบาอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยก็ช่วยดิฉันไม่ได้ ไม่มีใครช่วยดิฉันได้ ดิฉันทราบแต่ว่าพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยดิฉันได้ จึงเดินเข้าวัด แต่เมื่อไปนั่งในโบสถ์ของวัดพระแก้วและเฝ้ามององค์พระแก้วมรกตแล้ว ดิฉันก็ยังไม่ทราบว่า พระพุทธเจ้าจะช่วยดิฉันได้อย่างไร ดิฉันรู้สึกมืดแปดด้าน แต่นั่น ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ดิฉันเริ่มอ่านหนังสือศาสนาพุทธ จนกระทั่งมีรุ่นพี่แนะนำหนังสือของท่านอาจารย์พุทธทาสให้ จึงสามารถเข้าใจได้ในที่สุด การเข้าถึงธรรมได้ของดิฉันนั้นต้องนับว่าเป็นผลจากการที่ได้เกิดและเติบโตขึ้นมาในกระแสของวัฒนธรรมชาวพุทธอย่างแท้จริง

 

การชงชา จัดดอกไม้ และจัดสวน

 

 วัฒนธรรมการชงชา การจัดดอกไม้ และจัดสวนแบบญี่ปุ่นนั้น สามารถจัดเข้าเป็นวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับฝ่ายสมาธิ เป็นวัฒนธรรมที่พระในนิกายเซ็นได้นำเข้ามาจากประเทศจีน เชื่อกันว่า ก่อนทำสมาธิหรือทำซาเซ็นนั้นเพื่อป้องกันมิให้ผู้ปฏิบัติง่วงนอน อาจารย์เซ็นจะชงชาสดที่บดจนเป็นผงสีเขียวอ่อนให้กับลูกศิษย์ได้ดื่ม สารคาเฟอินในชาจะทำให้ผู้ดื่มรู้สึกตื่นและไม่ง่วงนอน แต่พิธีการชงชานั้นก็กระทำอย่างเป็นระบบทำด้วยอาการที่เปี่ยมไปด้วยสติและสัมปชัญญะมีสมาธิจิตควบคุมอย่างเต็มที่ จัดเป็นอาการมุทราแบบญี่ปุ่น

 

การมีโอกาสได้ไปญี่ปุ่นเมื่อกลางปีที่ผ่านมานี้ ทำให้ทราบข้อเท็จจริงว่า ถึงแม้พิธีการชงชาจะเป็นเรื่องของสมาธิก็ตาม แต่มิใช่เป็นสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นในยุคนี้ทำกันเป็นกิจวัตรประจำวัน มันได้กลายเป็นเรื่องการเสริมสถานะของคนในสังคมชั้นสูงมากกว่า มิได้เป็นเรื่องของชาวบ้านธรรมดาแต่อย่างใด เป็นเรื่องของหญิงที่กำลังจะเป็นเจ้าสาวต้องเรียนรู้เอาไว้เหมือนการเรียนทำกับข้าวให้เป็น แต่เมื่อแต่งแล้วอาจจะไม่ได้ใช้เลย เด็กสาวสมัยใหม่ให้ความสนใจน้อยมากทั้ง ๆ ที่มีสอนกันตามโรงเรียน การจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่นอาจจะมีการทำกันมากกว่าในหมู่หญิงชาวญี่ปุ่น เพราะไม่เป็นเรื่องยุ่งยากเท่ากับการชงชา การจัดสวนแบบญี่ปุ่นก็เป็นสิ่งที่เขาคำนึงถึงความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ

 

สรุป

 

ดิฉันยกตัวอย่างวัฒนธรรมอันเกี่ยวเนื่องกับสมาธิไว้ในที่นี้น้อยมาก ดังที่บอกแล้วว่าความรู้ในเรื่องวัฒนธรรมไทยของดิฉันยังแคบมากไม่กว้างขวางเพราะขาดประสบการณ์  แต่ที่เขียนมานี้เพื่อต้องการให้ผู้อ่านเข้าใจวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับสมาธิว่ามีเหตุผลเบื้องหลังอย่างไร

 

 

 

 

 

 

 

 

 



[1] คัดจากนิตยสารธรรมะสว่างใจ ฉบับที่ ๒๘ / กรกฏาคม-กันยายน ๒๕๔๑ จัดพิมพ์โดย มูลนิธิพุทธอเนกประสงค์ วัดสังฆทาน