บทที่สิบสี่

วัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับปัญญา

 

วัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับปัญญาคือวัฒนธรรมที่ชี้ไปสู่เรื่องเป้าหมายของชีวิตอันเป็นเนื้อหาของวัฒนธรรมชาวพุทธนั่นเอง ชาวพุทธ(โบราณ)จะเติบโตขึ้นมาด้วยความรู้ว่า ชีวิตนั้นมีเป้าหมายอันสูงสุด คือการไปให้ถึงพระนิพพาน ฉะนั้น การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้จำเป็นที่จะต้องสร้างบารมีของตนให้แก่กล้าเพื่อว่าชาติหนึ่งในอานาคตจะได้ถึงฝั่งแห่งพระนิพพาน ถึงแม้ว่าความคิดนี้ได้จืดจางไปมากแล้วในสังคมไทยเรา เพราะความหย่อนยานของสถาบันสงฆ์และเจ้าหน้าที่ทางศาสนา พระสงฆ์ในสมัยนี้มักจะยุ่งอยู่กับพิธีกรรมและการสร้างวัตถุ จึงไม่มีเวลาให้กับการปฏิบัติอย่างแท้จริงจึงถดถอยในด้านคุณภาพ เมื่อถึงเวลาสอนชาวบ้านก็จะสอนตามตำราเสียมากกว่าที่จะออกมาจากจิตใจตนเอง  เมื่อพระสงฆ์เองไม่ได้เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริง จึงได้ทำเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องยาก พระนิพพานซึ่งอยู่แค่ตรงหน้าของคนทุกคนกลับถูกบิดเบือนจนกลายเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับคนหมู่มากอีกต่อไป ในความเห็นของดิฉันนั้น การแบ่งพุทธรรมออกเป็นโลกียธรรมและโลกุตรธรรมนั้นมีความเสียหายเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อแบ่งแล้ว และเมื่อตัวผู้สอนเองคือพระยังไม่ได้รู้แจ้งเห็นจริงจึงสอนเพียงให้ผู้คนพอใจอยู่แค่การปฏิบัติในระดับโลกียธรรมเท่านั้น  ซึ่งไม่ถูกต้อง การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นก็เพื่อช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์เหมือนกันหมด การที่พระพุทธเจ้าแบ่งดอกบัวออกเป็นสี่เหล่าและตรัสว่าดอกบัวสามเหล่าแรกนั้นคือคนที่สามารถเห็นธรรมได้ จะช้าหรือเร็วเท่านั้น นี่ย่อมหมายความว่า คนส่วนมากสามารถเห็นธรรมและบรรลุธรรมได้  การเห็นธรรมและการพ้นทุกข์เป็นเรื่องเดียวกันและเป็นเรื่องโลกกุตระเท่านั้น คำว่าเหนือโลก ก็ทำให้คนเข้าใจผิดได้มากมายว่ามันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับโลกที่เขาอยู่ ที่จริงคำว่าเหนือโลก นั้นไม่ได้หมายถึงการจากโลกนี้ไปไหนเลย พระนิพพานเป็นเรื่องที่ใกล้ชิดสนิทคลุกเคล้ากับโลกที่เราอยู่อย่างมากที่สุด มากจนคนส่วนมากมองข้ามไปอย่างถนัด เพราะเป็นเรื่องเส้นผมบังภูเขา  อย่างไรก็ตาม ความอยู่รอดของภูมิปัญญาในเรื่องพระนิพพานในสังคมไทยเราทุกวันนี้เป็นผลงานโดยตรงของพระกลุ่มน้อยที่รู้แจ้งเห็นจริงจนสามารถสอนให้คนกลุ่มหนึ่งรู้ตามท่านได้ ถึงแม้พระผู้รู้แจ้งจะมีเพียงหยิบมือเดียว แต่ผลงานของพระสุปฏิปัณโณเหล่านี้ก็มีมากมายพอที่จะกอบกู้และยั้งความหายนะของสถาบันศาสนาพุทธไว้ได้ แต่จะนานได้แค่ไหนนั้นเป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก เพราะฝ่ายที่มุ่งทำลายล้างศาสนาก็สามารถทำได้ดีมากจนน่าใจหาย

 

ชาวพุทธยังมีโอกาสมากกว่า

อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงวัฒนธรรมที่บอกทางให้คนรู้เป้าหมายชีวิตนั้น คนตะวันออกในวัฒนธรรมของชาวพุทธนั้นจะได้เปรียบกว่าสังคมตะวันตกมากนัก เพราะอย่างน้อยคนเอเซียในสังคมชาวพุทธโดยเฉพาะฝ่ายเถรวาทยังได้ยินได้ฟังคำว่าธรรมะ พระนิพพาน การดับทุกข์ พระอริยเจ้า และพระอรหันต์ และทราบว่าคำเหล่านี้เนื่องกับสิ่งที่ประเสิรฐ์ของชีวิต ถึงแม้ตนเองจะไม่ใช่ชาววัดและไม่สนใจธรรมะก็ตามแต่ แต่ก็ยกไว้เป็นของสูง ไม่กล้าคิดระราน หรือ คิดนำมาคลุกเคล้ากับของต่ำทราม นี่เป็นองค์คุณอันประเสริฐ์และเป็นผลของวัฒนธรรมชาวพุทธอย่างแท้จริง แน่นอน คนเลวมากถึงขนาดตัดพระเศียรพระพุทธรูปไปขายก็ต้องมีอันเป็นข้อยกเว้น แต่คนเช่นนั้นก็ต้องนับว่าน้อยมาก

     ในขณะที่สังคมตะวันออกรู้คุณค่าของคำอันประเสิรฐ์เหล่านั้น คนตะวันตกกลับเอาคำว่า พระนิพพาน หรือ Nirvana มาตั้งเป็นวงดนตรีป๊อป คำว่า ธรรมะ มากลายเป็นชื่อของตัวแสดงละคร เอาคำว่าพระพุทธเจ้า Buddha มาตั้งชื่อบาร์ดังที่มีอยู่แล้วในกรุงปารีส เอาพระพุทธรูปมาทำเป็นเครื่องประดับบ้าน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความตีบตันและมืดมนของภูมิปัญญาแห่งความหลุดพ้น ไม่มีใครที่สามารถขึ้นมาพูดต่อต้านว่านี่เป็นสิ่งที่ผิดและไม่ควรทำ โดยเฉพาะคำว่า Buddha’s bar นั้น ดิฉันมีความไม่พอใจมากที่สุด และเห็นแต่ความถ่อยในจิตใจของคนที่บังอาจเอาบุคคลอันเป็นที่เคารพบูชาไว้อย่างสูงสุดของชาวพุทธมาเป็นชื่อของสถานที่อันต่ำทรามคลุกเคล้าไปด้วยกิเลส ดิฉันเห็นว่าชาวพุทธควรจะประท้วงเพื่อให้เจ้าของบาร์ที่โง่เขลาเบาปัญญารู้ว่าการเอาพระพุทธเจ้ามาตั้งชื่อบาร์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง และควรให้เกียรติแก่ชาวพุทธบ้าง

 

นี่เป็นสิ่งที่ชาวพุทธไม่สามารถทำต่อศาสนิกอื่นได้ ถึงแม้คนไทยจะไม่เชื่อถือพระเจ้าและไม่นับถือในพระเยซูหรือพระอะเลาะห์ ดิฉันก็ไม่เคยเห็นคนไทย(ซึ่งดิฉันเชื่อแน่ว่าต้องรวมถึงชาวพุทธชาติอื่นด้วย) ระราน ดูหมิ่น เหยียดหยามองค์พระศาสดาและพระเจ้าของศาสนิกอื่นโดยเฉพาะศาสนาคริสต์ ชาวพุทธไม่เคยเอารูปพระคริสต์หรือรูปไม้กางเขนมาทำมิดีมิร้าย ในทางตรงกันข้าม ดิฉันเห็นว่าชาวพุทธเราระวังและให้เกียรติพระคริสต์ว่าเป็นพระศาสดา การกระทำเช่นนี้ก็ยังต้องนับว่าเป็นอิธิพลโดยตรงของวัฒนธรรมชาวพุทธอีกเช่นกัน เพราะเราทำตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า ควรให้การเคารพแก่บุคคลที่ควรเคารพ ถึงแม้เราจะไม่ได้เคารพในองค์พระคริสต์อย่างชาวคริสต์เสียทีเดียว แต่เราก็ยกท่านไว้สูงโดยการไม่กล้าคิด พูด หรือกระทำการใด ๆ ที่อาจหมิ่นท่านได้ เพราะความกลัวบาป เมื่อเทียบกับสิ่งที่ชาวตะวันตกทำต่อพระพุทธเจ้าและศาสนาของเราแล้ว มันห่างไกลกันลิบลับ ดิฉันจึงย้ำเสมอในบทนี้ว่า ชาวพุทธเรายังมีโอกาสที่จะเข้าใจธรรมได้เร็วกว่าชาวตะวันตกมากนัก เพราะสิ่งกีดขวางของเขามีมากเหลือเกิน

 

สังคมตะวันตกกำลังหลงทางอย่างสุดเหวี่ยง

สังคมตะวันตกในขณะนี้ไม่ผิดอะไรกับอันเดียในยุคก่อนการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ต่างกันหน่อยตรงที่ว่าคนยุคนี้หลงทางลึกกว่า คือเป็นช่วงเวลาของการแสวงหาทางพ้นทุกข์อย่างมืดมนและสะเปะสะปะ ไม่รู้แน่ชัดว่าอะไรคือทางหลุดพ้นอย่างแท้จริง ความเสื่อมโทรมของสถาบันคริสตจักรทำให้คนหมู่มากไม่มีที่พึ่งทางใจอีกต่อไป  ความคิดเรื่องพระเจ้าเริ่มถูกท้าทายตั้งแต่ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา และถูกรุกรานอย่างมากที่สุดดังที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์เมื่อโลกเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้การค้นพบทางวิทยาศาสตร์และการพัฒนาเทคโนโลยี่ต่าง ๆ กระโดดไปไกลด้วยความเร็วที่น่าใจหาย ประจวบกับความไม่ชัดเจนของพระคัมภีร์ไบเบิลที่ไม่สามารถบอกวิถีทางแห่งการเข้าถึงพระเจ้า (ธรรม หรือพระนิพพาน) อย่างเด่นชัดดังที่ดิฉันได้วิเคราะห์ไว้แล้วในบทที่หกและเจ็ดของหนังสือเล่มนี้ ความศรัทธาในพระเจ้าของชาวคริสต์ชึ่งตั้งอยู่บนฐานที่คลอนแคลนมากอยู่แล้ว จึงไม่สามารถรับแรงกดดัน pressure ของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ได้ การค้นพบไดโนเสาร์และพิสูจน์ได้ว่าสัตว์มหึมาเหล่านี้เคยอยู่บนโลกนี้มาก่อนเท่ากับการลบล้างสิ่งที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและสร้างมนุษย์คู่แรกขึ้นมาด้วยน้ำมือของท่านเอง ข้อเท็จจริงเรื่องการเยี่ยมเยียนของมนุษย์ต่างดาวก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลของประเทศมหาอำนาจโดยเฉพาะอเมริกาต้องปกปิด ถึงแม้จะมีคนพยายามขุดคุ้ย แต่ก็ยังไม่มีการยอมรับอย่างแน่ชัด เพราะนี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถคิดควบคู่ไปกับคัมภีร์ไบเบิลได้ ศาสนาคริสต์จึงอยู่ในสภาวะที่ถูกต้อนเข้ามุมและไม่มีทางสู้แต่อย่างใด  นอกจากนั้นก็ยังมีแรงกดดันจากความแตกแยกในระหว่างสถาบันชาวคริสต์เอง ระหว่างกลุ่มแคทอลิคกับโปรแตสแตนท์จนถึงกับต้องรบราฆ่าฟันกัน และระหว่างศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลามอันก่อให้เกิดสงครามในคาบสมุทนบอลข่านมาตลอด ผู้คนรู้สึกเอือมระอาต่อศาสนา เพราะเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่สร้างปัญหามากกว่าที่จะสร้างสันติภาพระหว่างมนุษย์ สถาบันศาสนาคริสต์จึงล้มอย่างระเนระนาด จำนวนคนที่เข้าโบสถ์น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศ ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวคริสต์ที่ยังเหลืออยู่นั้นเป็นผลโดยตรงของความรุ่งเรืองของสถาบันคริสตจักรในอดีต เช่น การฉลอง วันเกิดของพระคริสต์หรือคริสมาสนั้นเป็นเทศกาลที่ชาวคริสต์ทั่วโลกยังคงทำกันเป็นประเพณีอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้เนื้อหาจะด้อยลงไปมากเพราะผู้คนเน้นไปที่การหาซื้อของขวัญแลกเปลี่ยนกันเสียมากกว่า แม้กระนั้น ก็ยังดีในแง่ที่ว่า อย่างน้อยก็มีวันหนึ่งในปีหนึ่งที่ผู้คนคิดถึงพระคริสต์ว่าท่านเกิดมาเพื่อถ่ายบาปให้แก่มนุษย์ ดิฉันได้มีโอกาสนั่งดูโทรทัศน์บีบีซีซึ่งได้ถ่ายทอดการฉลองปีคริสตศักราช ๒๐๐๐ millenium ซึ่งชาวโลกไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดต่างให้การต้อนรับการเข้าสู่คริสตศตวรรษที่ ๒๑ อย่างต่อเนื่องทันทีที่เวลาเที่ยงคืนได้มาถึงประเทศของตน จากหมู่เกาะคิริบาติในมหาสมุทรแปซิฟิคซึ่งเป็นประเทศแรกที่ต้อนรับปีคริสตศักราช ๒๐๐๐ สู่นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย เอเซีย ยุโรป อเมริกา จนถึงหมู่เกาะซามัวอันเป็นประเทศสุดท้าย มันเป็นเวลา๒๕ชั่วโมงที่ชาวโลกสามารถรวมตัวกันได้โดยการต้อนรับและฉลองในสิ่งเดียวกันได้อย่างยิ่งใหญ่โดยที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติมนุษยชาติ ถึงแม้สิ่งที่ฉลองนั้นจะเป็นเพียงเวลาที่สมมุติขึ้นก็ตาม แต่ก็เป็นสิ่งที่สัมพันกับองค์พระศาสดาเยซู คริสต์โดยตรง[1]

 

ในขณะที่ผู้คนให้ความสนใจต่อเทศกาลคริสมาสนั้น ความหมายของอีสเตอร์กลับน้อยลงไปมาก อีสเตอร์ควรจะมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าคริสมาสหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะเป็นวันที่พระคริสต์ถูกตรึงบนกางเขนเพื่อถ่ายบาปให้แก่มวลมนุษย์และฟื้นคืนชีพ resurrection ภายในสามวัน เด็ก ๆ รุ่นใหม่จะไม่ทราบว่าอีสเตอร์นั้นมีความสำคัญอย่างไร เพราะประเพณีแห่งการฉลองเทศกาลอีสเตอร์ได้จืดจางลงนั่นเอง ที่อังกฤษถึงแม้อีสเตอร์เป็นวันหยุดราชการ แต่ร้านรวงต่าง ๆ ก็เปิดขายของตามธรรมดาไม่มีอะไรผิดปกติซึ่งผิดกับคริสมาสที่ทุกอย่างปิดหมด เด็ก ๆ จึงไม่สามารถเรียนรู้จากขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกันมา จะรู้เพียงว่าอีสเตอร์หมายถึงเขาจะได้กินช๊อกโกเลตที่ทำเป็นรูปไข่ Easter egg แต่ความหมายว่าทำไมจึงต้องเป็นไข่นั้นไม่ได้รับการถ่ายทอดอย่างถูกต้องจากเจ้าหน้าที่ทางศาสนา ซึ่งที่จริงแล้ว การเกิดใหม่ resurrection ของพระคริสต์สามารถตีความว่าเป็นการเห็นธรรมหรือบรรลุธรรม (ซึ่งอาจจะเป็นพระอริยเจ้าในขั้นตอนไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องหมายถึงพระอรหันต์เสมอไป)ซึ่งเปรียบเหมือนกับการเกิดใหม่อันเป็นที่มาของสัญญลักษณ์ไข่อีสเตอร์ Easter Egg 

 

การคิดแบบเทียบเคียง Realativism

วิกฤตกาลของโบสถ์ก่อให้เกิดการขาดภูมิปัญญาในเรื่องพระเจ้าหรือพระสัจธรรม เจ้าหน้าที่ทางศาสนาจึงไม่มีความสามารถที่จะอธิบายได้ว่าทำไมคนจึงต้องประพฤติศีลธรรมและไม่สามารถปกป้องศีลธรรมและจริยธรรมได้อีกต่อไป เพราะถ้าภูมิปัญญาในเรื่องสัจธรรมชัดเจนแล้วไซร้ เจ้าหน้าที่ทางศาสนาจะเข้าใจได้ว่าศีลธรรมก็คือบันไดหรือวิธีการที่จะช่วยคนไต่ต้าวไปให้ถึงพระเจ้าหรือเห็นสัจธรรมอันสูงสุด  อิทธิพลของทฤษฎีสัมพันธภาพได้สร้างครรลองการคิดใหม่ว่าไม่มีระบบศีลธรรมไหนที่มีความเด็ดขาดในตนเอง there is no moral absolute เรื่องดีชั่ว บาปบุญนั้นเป็นเรื่องของการเทียบเคียง relativism เท่านั้น เพราะไม่มีอะไรที่เป็นอมตะหรือแน่นิ่งอย่างเด็ดขาด There is no absolute element in nature. ที่จะสามารถอ้างอิงไปถึงได้ นี่เป็นครรลองการคิดอันเป็นผลโดยตรงของทฤษฎีสัมพันธภาพของไอนสไตน์ The theory of Relativity.  และที่เป็นเช่นนั้นเพราะตัวไอนสไตน์เองก็ไม่รู้ว่าสัจธรรมที่แท้จริงหรือพระเจ้านั้นที่แท้แล้วก็คือธาตุอมตะ the absolute element ที่เขาต้องการค้นให้พบนั่นเอง ธาตุอมตะนี้คือสิ่งเดียวกับนิพพานธาตุ หรือ อสังขตธาตุ อันเป็นธาตุหรือสภาวะที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้ เป็นสภาวะที่คงที่ และนี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ค้นพบในคืนที่ท่านตรัสรู้ แต่เมื่อขาดเครื่องมือหรือการปฏิบัติอย่างถูกต้อง คนก็จะไม่เข้าใจแม้ตัวไอนสไตน์เอง จึงรีบด่วนสรุปอย่างผิด ๆ ว่าในจักรวาลนี้ไม่มีธาตุอมตะ ที่จริงมี แต่เขาไม่รู้  ข้อสรุปที่ผิดพลาดอย่างมหันต์นี้ได้เป็นตัวผลักดันที่สำคัญให้เกิดการคิดแบบเทียบเคียง relativism ขึ้น เรื่องดีเรื่องชั่วจึงเป็นเรื่องเทียบเคียง เช่น อ๊อดดูจะเป็นคนดีกว่าอู๊ดเพราะอ๊อดไม่กินเหล้าสูบบุหรี่แต่อู๊ดทั้งดื่มทั้งสูบจึงเป็นคนเลวกว่าอ๊อด แต่ถ้าเอาอ๊อดไปเทียบกับโอ๋ อ๊อดก็จะดูเลวกว่าโอ๋ เพราะโอ๋นอกจากไม่กินเหล้าสูบบุหรี่แล้ว โอ๋ยังชอบเข้าวัดฟังธรรมทำสมาธิ ในขณะที่อ๊อดชอบเดินห้างและเข้าโรงหนัง อู๊ดนั้นถึงแม้จะเลวเมื่อเทียบกับอ๊อดและโอ๋ เขากลับกลายเป็นคนดีมากเมื่อเทียบกับป้อม เพราะป้อมเป็นคนลักขโมยด้วย ป้อมก็ยังเป็นคนดีได้เมื่อไปเทียบกับเสือหนุ่ย เพราะเสือหนุ่ยปล้นฆ่าและสูบเฮโลอิน การคิดเทียบเคียงเช่นนี้จะไม่มีวันสิ้นสุดและสรุปอะไรไม่ได้หากไม่ได้พูดถึงอมตะธาตุ

  การคิดดังกล่าวจึงก่อให้เกิดยุคที่คนเชื่อในเรื่องเสรีภาพอย่างไร้ขอบเขต unlimited freedom โดยไม่ต้องพูดถึงหน้าที่ duty และก่อให้เกิดระบบประชาธิปไตยที่รัฐบาลเน้นเรื่องหลัก ๆ อยู่เพียงสองเรื่อง คือการหาความสุขให้แก่ประชาชนให้มากที่สุด maximise pleasure ซึ่งเป็นเรื่องของกามสุขทั้งสิ้น และบรรเทาความเจ็บปวดทางร่างกายโดยการเน้นเรื่องการรักษาพยาบาล นี่คือระบบประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสให้กิเลสของคนสามารถเบ่งบานได้อย่างสุดเหวี่ยง อย่างน้อยคนที่ปฏิบัติกามสุขัลลิกานุโยคในครั้งพุทธกาลนั้น เขาคิดว่าเมื่อเสพกามได้อิ่มแล้ว เขาจะเบื่อไปเองและสามารถเห็นธรรมได้ ซึ่งต่างจากการเสพกามของคนในยุคนี้ที่เสพอย่างเดียวและเสพอย่างมืดมน  การคิดอย่างเทียบเคียงนั้นทำให้คนสามารถหาเหตุผลที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง เพราะเมื่อไปเทียบกับคนที่เลวกว่าตนแล้ว ก็สามารถคิดเข้าข้างตนเองได้ว่ายังมีความดีกว่า ศีลธรรมจึงถูกย่ำยีอย่างป่นปี้เพราะคนไม่เข้าใจว่าจะต้องไปฝืนตัวเองทำไมให้มากเรื่อง

 

ฉะนั้น จะเห็นได้ว่า เพียงการเข้าใจในสัจธรรมอันสูงสุด พระนิพพาน หรือพระเจ้าอย่างถูกต้องซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับการค้นพบธาตุอมตะ the state of the absolute เท่านั้น ศีลธรรมจะกลายเป็นเรื่องที่มีเหตุผลขึ้นมาทันทีดังที่ได้อธิบายไปแล้ว คนจะเข้าใจเสรีภาพของจิตใจหรือวิมุตติสุขที่อยู่ในขอบเขตของหน้าที่ที่มีต่อศีลธรรม

 

วิทยาศาสตร์ยิ่งเจริญศีลธรรมก็ยิ่งถูกทำลาย

ความเจริญก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่นั้นได้ก่อให้เกิดภาวะที่ศีลธรรมและจริยธรรมถูกท้าทาย moral dilemma อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ  การค้นพบการทำงานของยีน gene และ DNA นั้นได้ก่อให้เกิดเทคโนโลยี่ที่สามารถสร้างมนุษย์ขึ้นมาตามคุณภาพที่ต้องการเหมือนกับการเลือกแบบแฟชั่นของเสื้อผ้าจากแคตตาล๊อคจนมีศัพท์ใหม่ว่า designer baby ซึ่งวิธีการนี้ได้ทำการกันอย่างแพร่หลายแล้วในหมู่คนมีเงินในสังคมตะวันตก สิ่งเหล่านี้ที่ดูเหมือนเป็นความก้าวหน้าและความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ ที่จริงแล้วมันคือระเบิดเวลาที่น่ากลัวที่สุดเพราะเราจะไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะพัฒนาไปทางใดในอีก ๕๐ ถึง ๑๐๐ ปีข้างหน้า  แต่ก็ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่ทางศาสนาไม่สามารถตัดสินความผิดถูกได้อย่างชัดเจน นั่นคือไม่สามารถหาเหตุผลออกมาต้านนักวิทยาศาสตร์ได้เพราะขาดภูมิปัญญาในเรื่องพระเจ้า (พระนิพพาน)ที่แท้จริง

 

ปัญหารักร่วมเพศ

นอกจากานั้น นักการศาสนายังไม่มีปัญญาพอที่จะตัดสินปัญหาง่าย ๆ อันเกี่ยวเนื่องกับจริยธรรมได้อีกต่อไป อย่างเช่นปัญหาเรื่องรักร่วมเพศ homosexuality ซึ่งต้องนับว่าเป็นเรื่องผิดปกติของธรรมชาติ ซึ่งในอดีตนั้นเป็นเรื่องที่คนต้องปกปิด มาบัดนี้โดยเฉพาะในสังคมตะวันตกสังคมของคนรักร่วมเพศขยายออกไปใหญ่โตมาก และพยายามเรียกร้องสิทธิให้กับตนเองมากยิ่งขึ้น ประจวบกับมีทั้งนักการเมือง นักร้องตลอดจนถึงนักแสดงที่ดังระดับโลกก็เป็นลักเพศ gay ด้วย ผลคือ ทั้งนักการเมืองและนักการศาสนาจึงเริ่มเปิดไฟเขียวให้กับสังคมลักเพศทำอะไรได้อย่างเปิดเผยและเป็นเชิงบีบบังคับให้คนปกติต้องยอมรับความประพฤติของคนรักร่วมเพศด้วย เจ้าหน้าที่ทางศาสนาได้ยอมรับให้คนรักร่วมเพศสามารถเป็นพระและสอนคนได้ แม้แต่พระราชินีอังกฤษก็จะเริ่มออกบัตรเชิญให้แก่คู่รักร่วมเพศมาในงานน้ำชาที่จัดปีละครั้งในสวนของพระราชวังบัคกิ้งแฮมได้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะบอกว่าห้ามพรอดรักกันอย่างโจ๋งครึ่มเป็นอันขาด ซึ่งแสดงว่าแม้ราชินีก็ไม่เห็นด้วย แต่ทนความกดดันของสังคมไม่ได้จนในที่สุดต้องเปิดไฟเขียวเหมือนที่สถาบันอื่น ๆ ทำกัน ลูกชายอายุ๑๕ของดิฉันไปดูละครที่ลอนดอนกับโรงเรียน กลับมาเล่าให้แม่ฟังว่าตนเองดูละครไม่สนุกเลยเพราะมีผู้ชายสองคนกอดจูบและพรอดรักกันอยู่ข้างหน้าเขา แม้ครูของเด็ก ๆ ก็ได้เตือนชายทั้งสองแล้วว่ามีเด็กนักเรียนกลุ่มใหญ่นั่งอยู่ด้วย ขอให้เกรงใจกันบ้าง แต่ชายทั้งสองก็ไม่สนใจและพรอดรักกันต่อไป 

 

ที่พูดมานี้ มิได้หมายความว่าดิฉันตั้งป้อมที่จะจงเกลียดจงชังบุคคลที่รักร่วมเพศ มิใช่เช่นนั้นเลย แต่ดิฉันเห็นว่ามันต้องมีขอบเขตกันบ้าง และต้องพูดอะไรกันตามเนื้อผ้า ท่านดาไลลามะได้พูดออกมาตรง ๆ เลยว่าการรักร่วมเพศเป็นสิ่งผิดปกติที่ไม่ควรสนับสนุนอย่างเปิดเผย ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับสังคมของผู้รักร่วมเพศเป็นอย่างมาก  แต่ดิฉันเห็นว่านี่คือความแตกต่างระหว่างผู้รู้จริงกับผู้รู้ไม่จริง บุคคลที่เข้าถึงธรรมหรือพระเจ้าอย่างแท้จริงนั้นจะมีบุคคลิกที่กล้าหาญ และกล้าที่จะยืนหยัดอยู่ฝ่ายศีลธรรมและจริยธรรมอันดีงาม ถึงแม้จะต้องพูดอะไรที่คนหมู่มากไม่อยากฟัง การพูดให้คนทำตามกิเลสนั้นย่อมเป็นเรื่องง่ายเพราะคนชอบฟัง แต่การพูดให้คนฝืนกิเลสย่อมเป็นเรื่องยากเพราะคนไม่อยากฟัง คนเห็นพระเจ้าอย่างแท้จริงนั้นจะไม่กลัวการต่อต้าน แต่คนที่ไม่เห็นพระเจ้าจะกลัว และจะไม่กล้าพูดอะไรที่ขัดใจคนหมู่มาก นี่คือความแตกต่างระหว่างนักการเมืองที่เก่งแต่พูดเพื่อเอาใจคน กับนักการศาสนาที่เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริงและพยายามจะยืนอยู่ฝ่ายธรรมซึ่งนับวันยิ่งจะมีน้อยมาก ถ้าไม่มีบุคคลเช่นนี้แล้ว เด็ก ๆ จะไปเอาตัวอย่างดี ๆ ที่ไหนมาประพฤติและสังคมจะอยู่รอดได้อย่างไร ขอให้ดูปัญหาเรื่องการเปิดไฟเขียวให้สังคมรักร่วมเพศกันต่อไป ในอังกฤษมีโบสถ์ที่ยอมทำพิธีแต่งงานให้กับคู่รักร่วมเพศ และคนเหล่านี้ก็ขอสิทธิให้กับตนเองมากขึ้นถึงขนาดต้องการมีลูก ความก้าวหน้าของวิทยาการทางแพทย์ในสมัยนี้ก็สามารถช่วยให้คนมีลูกได้ง่ายขึ้น คู่รักร่วมเพศที่เป็นหญิงนั้นก็สามารถไปทำลูกให้กับตนเองได้ ในขณะที่คู่รักร่วมเพศชายหากมีเงินหน่อยก็ไปจ้างหญิงที่ยอมอุ้มครรภ์ให้ซึ่งมีมาแล้วในอังกฤษ นี่ยังไม่ได้พูดรวมถึงเด็กจำนวนมากมายในสังคมตะวันตกที่เติบโตขึ้นมากับคู่รักร่วมเพศ เด็กเหล่านี้เกิดมาในครอบครัวปกติที่มีทั้งพ่อและแม่ แต่ภายหลังพ่อแม่แยกทางกันเพราะฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นรักร่วมเพศ ฉะนั้น หากพ่อเป็นเกย์ก็แยกไปอยู่กับคู่รักที่เป็นชาย หากแม่เป็นเกย์ก็แยกไปอยู่กับคู่รักที่เป็นหญิง ลูกเล็กก็ต้องเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่ผิดธรรมชาติเช่นนั้น นี่ก็เป็นอิทธิพลของการเปิดไฟเขียวให้กับสังคมรักร่วมเพศอีกเช่นกัน ซึ่งหากเป็นอดีตเขาก็จำเป็นต้องทนไป เพราะสังคมไม่ยอมรับ

 

สิ่งเหล่านี้จะสร้างความสับสนวิปริตและผิดธรรมชาติให้กับสังคมในอานาคตเหมือนกับการวางระเบิดเวลา ซึ่งระเบิดเวลาบางอันก็ได้ระเบิดออกมาแล้ว โรคเอดส์ที่ได้ปลิดชีวิตของคนเร็วแบบใบไม้ร่วงนั้นมิใช่เริ่มต้นจากความวิปริตในเรื่องพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ดอกหรือ นี่เป็นสิ่งที่ธรรมชาติพยายามจะบอกมนุษย์ว่าทำไม่ได้ ถ้าทำแล้วผลจะเป็นอย่างนี้ และเด็ก ๆ ที่กำลังเติบโตขึ้นมาในครอบครัวของคู่รักร่วมเพศนั้นจะมีจิตใจที่ปกติได้อย่างไร  ความสับสนวุ่นวายเหล่านี้เป็นผลโดยตรงของสังคมที่ขาดภูมิปัญญาแห่งความหลุดพ้นหรือสัจจธรรมอันสูงสุดนั่นเอง เป็นสังคมที่กำลังรอความหายนะให้เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่นักการเมืองและนักการศึกษาไทยจะต้องพยายามปกป้องและไม่ให้เกิดในสังคมไทยเรา

 

เป็นยุคที่จะเชื่ออะไรก็ได้

 วิกฤตกาลที่เกิดขึ้นกับโบสถ์และความไม่เชื่อถือในพระเจ้านั้น มิได้หมายความว่าคนไม่ต้องการที่พึ่งทางใจและไม่เชื่ออะไรเลย นี่เป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก ที่จริงแล้วเป็นการเปิดทางให้คนเชื่ออะไรก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมากกว่า  

การเชื่ออะไรก็ได้นั้น ในแง่บุคคลซึ่งคนเคยเชื่อพระหรือเจ้าหน้าที่ทางศาสนาเพราะคนเหล่านี้เป็นตัวแทนพระเจ้า เมื่อศาสนาล้ม คนจึงหันมาเชื่อนักการเมือง นักร้อง นักแสดง นักกีฬา หรือใครก็ได้ที่มีชื่อเสียงและรวย ๆ  เด็ก ๆ ก็เชื่อในตัวการ์ตูนที่เขาชอบเช่น Bart Simpson เป็นต้น คนเหล่านี้ถึงแม้จะดังและรวยแต่ประวัติส่วนตัวอาจจะเหลวแหลกซึ่งไม่สำคัญมากสำหรับยุคนี้ ชาวอเมริกันให้ความสนใจต่อใครก็ได้ที่ดังไม่จำเป็นต้องดี เช่นคุณมอนิก้า ลูวินสกี้ ในยุคที่พยายามจะเอาประธานาธิบดีคลินตันขึ้นศาลนั้น ลูวินสกี้ได้กลายเป็นคนดังที่สุดของโลกไปและได้รับการต้อนรับในระดับประเทศ

 

นอกจากการเชื่อในบุคคลที่อาจจะมีแต่ความเหลวแหลก คนยังเชื่อในเรื่องวัตถุอย่างโงหัวไม่ขึ้น เงินตรานั้นได้กลายเป็นสิ่งศักด์สิทธิ์มากกว่าพระเจ้าบนสวรรค์มานานมากแล้ว เพราะสามารถหาซื้อความสุขแบบง่าย ๆ ที่ชาวโลกรู้จักกันดี การเชื่อสิ่งที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่หยิบยื่นให้นั้นเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว บ้านของคนยุคใหม่จะเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยจนทำให้วิถีชีวิตของคนเปลี่ยนไป เช่นการมีเครื่องซักผ้า ไมโครเวฟ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เนท โทรศัพท์มือถือ สิ่งเหล่านี้ได้สร้างวิถีชีวิตแบบใหม่ที่ต่างไปจากเพียง ๒๐ ปีก่อนอย่างลิบลับ ความสุขสบายแบบโลก ๆ นั้นต้องมีอย่างแน่นอน แต่ในขณะเดียวกันคนก็มิได้มีความสุขทางใจมากขึ้นแต่อย่างใด การรับรู้ข่าวสารมากและเร็วขึ้นนี้ข้อดีนั้นไม่ต้องพูดถึง แต่ข้อเสียคือทำให้คนทุกข์ใจได้มากและเร็วขึ้นเช่นกัน  ก่อนที่โทรศัพท์มือถือจะระบาด คนที่เข้าวัดปฏิบัติธรรมก็ยังพอมีโอกาสเห็นสภาวะของจิตว่างจากความคิดบ้าง เพราะไม่ต้องไปรับรู้เรื่องภายนอกให้วุ่นวายใจเปล่า ๆ บางทีรู้แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้ทันทีก็หาไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้การไม่รู้เสียเลยจะดีกว่า แต่เดี๋ยวนี้ คนเข้าวัดปฏิบัติธรรมก็ยังอดเอามือถือเข้าไปไม่ได้ แล้วจิตจะสงบได้อย่างไร แม้พระสงฆ์องค์เจ้าเองก็ยังทิ้งมือถือไม่ได้เพราะกลัวว่าหากใครมีเรื่องด่วนจะติดต่อไม่ได้ ดิฉันบอกได้เลยว่า ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะต้องรีบด่วนมากเท่ากับการเห็นธรรมและไปให้ถึงพระนิพพาน

 

การเชื่ออะไรก็ได้นั้น  คนยังเชื่อว่ายาเสพติดก็สามารถแก้ปัญหาให้เขาได้เช่นกัน ฝรั่งไม่น้อยเชื่อว่า ถ้าอยากรู้ว่าพระนิพพานเป็นอย่างไรก็ลองสูบ LSD ดู ประสบการณ์นั้นคือพระนิพพานอย่างไรก็อย่างนั้น ซึ่งเป็นการพูดออกจากสมองที่ฝ่อและปัญญาที่ตีบตันแต่อวดฉลาด และเป็นอันตรายต่อคนอื่นที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่ใหญ่มากในสังคมตะวันตก สถิติของเด็กตั้งแต่วัย ๑๒ ขวบขึ้นไปที่เริ่มกินเหล้า สูบบุหรี่และทดลองยาเสพติดนั้นมีมากขึ้นอย่างน่าใจหาย ยาเสพติดได้กลายเป็นรากเง่าของปัญหาสังคมอื่นที่ตามมาอีกมากมายนับไม่ถ้วนโดยเฉพาะอาชญกรรม ความเชื่อในการหาความสุขทางเพศก็ได้กลายเป็นเรื่องที่สร้างปัญหาให้กับสังคมมากขึ้นทุกวัน เดี๋ยวนี้เด็กผู้หญิงมีลูกเร็วขึ้น อายุ ๑๔ หรือ ๑๕ ปีก็ตั้งครรภ์แล้ว ตลอดไปจนถึงความเชื่อในวิธีการแก้ปัญหาโดยใช้ความรุนแรง ปัญหาจึงเกิดขึ้นโดยทั่วไปจากครอบครัวไปสู่สังคมและไปสู่ระดับโลก ผู้นำประเทศมหาอำนาจเลือกใช้สงครามเป็นวิธีการแก้ปัญหาดังที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในยูโกสลาเวียหรือบอสเนียขณะนี้ ระบบประชาธิปไตยได้กลายเป็นว่าใครอยากทำอะไรก็ทำได้ กิเลสมนุษย์จึงมีโอกาสได้เจริญเติบโตอย่างเต็มที่

 

ขบวนการศาสนายุคใหม่

นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของหายนธรรม disasterisation ที่กำลังระบาดอยู่ทุกหย่อมหญ้าในสังคมตะวันตก   ไม่มีใครรู้คำตอบของชีวิตที่แน่นอน สภาวะที่จิตใจคนกำลังหลงทางอย่างสุดเหวี่ยงเช่นนี้ ก็ได้เปิดโอกาสให้แก่ขบวนการศาสนายุคใหม่ cult movement หยิบยื่นทางรอดให้แก่จิตวิญญาน ขบวนการเหล่านี้มักจะลงเอยด้วยการที่ผู้นำ cult leader  ฉ้อฉล และหลอกลวงคนของตนเอง และบางกลุ่มก็ถึงขั้นที่ต้องเสียชีวิตกันเป็นหมู่ด้วยการฆ่าตัวตายบ้างหรือถูกฆ่าบ้าง ยุคนี้จึงเป็นยุคที่สังคมตะวันตกอ้าแขนรับเอาปรัชญาชีวิตของฝ่ายตะวันออกเข้ามาอย่างมากมายรวมทั้งศาสนาพุทธด้วย คนหันมาสนใจเรื่องฮวงจุ้ย feng shui เรื่องโชคชะตาราศีก็มีมากขึ้น หนังสือที่เกี่ยวกับการผ่อนคลายจิตและรักษาสุขภาพจิต healing and relaxation ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

 

วัดของพุทธศาสนาเริ่มมีมากขึ้นในสังคมตะวันตกอันเป็นผลพลอยได้จากการที่คนเอเซียโยกย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในประเทศตะวันตกมากขึ้น ท่านดาไลลามะได้นำศาสนาแบบธิเบตมาเผยแพร่อย่างกว้างขวางในสังคมตะวันตก วัดพม่า ลังกา จีน ญี่ปุ่นก็มีโดยทั่วไป วัดไทยก็มีจำนวนไม่น้อยในอเมริกา ยุโรป และออสเตรเลียซึ่งส่วนมากจะเป็นสายของหลวงพ่อชา ท่านอาจารย์สุเมโท ลูกศิยษ์คนสำคัญของหลวงพ่อชาก็สามารถมาสร้างวัดและเผยแพร่การปฏิบัติธรรมให้แก่ชาวอังกฤษและชาวยุโรปได้อย่างมาก ซึ่งพลอยทำให้ชาวตะวันตกมีโอกาสเข้ามาศึกษาปรัชญาชีวิตของชาวตะวันออกมากขึ้น 

 

แต่การที่จะด่วนสรุปว่าศาสนาพุทธกำลังรุ่งเรืองในสังคมตะวันตกนั้น ดิฉันยังไม่เห็นด้วยเพราะจริงอยู่ที่ว่ามีชาวตะวันตกเข้าวัดและสนใจศาสนาพุทธมากขึ้น แต่นับจำนวนแล้วก็ยังเป็นเปอร์เซนต์ที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมด มันอาจจะมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ ๒๐ ปีก่อนนั้นต้องจริงแน่ นอกจากนั้น การจะรีบสรุปว่าคนตะวันตกเข้าใจศาสนาพุทธมากขึ้นก็ไม่ได้อีกเช่นกัน ที่จริงแล้วต้องถามให้แน่ชัดว่าเข้าใจในระดับไหนมากกว่า  เพราะดิฉันทราบว่าการเข้าถึงธรรมและเห็นธรรมนั้นมิใช่เป็นเรื่องง่าย แม้เราชาวพุทธกันเองที่เติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมอันเอื้ออำนวยก็ยังรู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องยากมาก และจะเอาอะไรกับคนที่ไม่ได้เติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมที่เอื้ออำนวยให้เขาปฏิบัติธรรม ดิฉันไม่ได้พูดดูถูกชาวตะวันตก แต่พูดกันตามข้อเท็จจริงในฐานะที่ตนเองก็ได้คลุกคลีกับงานเช่นนี้อยู่ถึง ๑๒ ปี  เมื่อปีที่แล้วนี่เอง ดิฉันได้พานักศึกษากลุ่มหนึ่งจำนวน ๒๗ คนไปปฏิบัติธรรมที่พุทธวิหารแอสตันเป็นเวลา สามวันกับสองคืน ปฏิกิริยาจากนักศึกษาก็นับว่าดี เขายอมรับว่าได้เรียนรู้มากเกี่ยวกับศาสนาพุทธ สองวันต่อมาดิฉันก็กลับไปสอนไท้เก็กที่มหาวิทยาลัยตามเดิม นักศึกษาหญิงคนหนึ่งซึ่งได้ไปวัดปฏิบัติกับดิฉันด้วยก็เดินมาขอบคุณดิฉันที่ช่วยให้เขาเข้าใจการปฏิบัติสมาธิได้มากขึ้น และขอแสดงความคิดเห็นนิดหน่อย เธอบอกว่า เธอเห็นด้วยกับหลักการใหญ่ ๆ ของศาสนาพุทธและการปฏิบัติสมาธิเพื่อผ่อนคลาย แต่เธอไม่สามารถเห็นด้วยกับอีกหลายสิ่งโดยเฉพาะเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเพราะพิสูจน์ไม่ได้ ดิฉันตอบเธออย่างยิ้มแย้มว่า ขอให้ปฏิบัติในสิ่งที่เธอสามารถเห็นด้วยได้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปห่วงเรื่องที่ไม่เห็นด้วยหรอก

 

การที่ไม่ได้เจริญเติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมของปรัชญาชีวิตตะวันออกนั้น คนตะวันตกก็เรียนรู้ปรัชญาตะวันออกด้วยวิถีทางของคนตะวันตก คือเป็นเรื่องของการอ่าน ขบคิด ถกเถียงกันในเชิงปรัชญา และหยิบเอาส่วนที่เขาต้องการใช้จริง ๆ ออกมาเท่านั้น เช่น การฝึกสมาธิเพื่อผ่อนคลายแรงกดดัน การคิดและการใช้ชีวิตแบบชาวเอเซียซึ่งเติบโตขึ้นมาในกระแสวัฒนธรรมของพุทธนั้นยังไกลอยู่มาก ดิฉันเห็นว่าการเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด reincarnation นั้นเป็นพื้นฐานที่สำคัญของชาวพุทธ นี่เป็นเรื่องของสัมมาทิฏฐิ ดิฉันจะไม่แปลกใจเลยหากมีชาวตะวันตกที่เข้าวัดทำสมาธิประกาศตนเองพุทธมามกะ แต่หากต้องพูดเรื่องเวียนว่ายตายเกิด นรก สวรรค์แล้ว เขาจะลังเล

แม้ทัศนคติเช่นนี้ก็ได้เกิดขึ้นกับชาวพุทธที่รับการศึกษาและคิดแบบชาวตะวันตก หากไปถามนิสิตนักศึกษาไทยว่าเชื่อเรื่องนรกสวรรค์หรือไม่ ดิฉันเชื่อแน่ว่ามีไม่น้อยที่บอกว่าไม่เชื่อ ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งในอดีตที่ไม่เชื่อ  ในขณะที่ชาวบ้านธรรมดาที่เติบโตขึ้นมาอย่างสนิทแนบแน่นกับวัดและพระสงฆ์นั้นจะไม่มีความสงสัยในเรื่องนรก สวรรค์และการสร้างบารมีเพื่อไปให้ถึงพระนิพพานแต่อย่างใด นี่คือความแตกต่างระหว่างคนที่เติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมกับผู้ที่ไม่ได้เติบโต ฉะนั้น การที่ดิฉันพยายามคิดจะประสานศาสนาโดยให้ชาวตะวันตกสามารถเจริญสติปัฏฐานในความอบอุ่นของวัฒนธรรมคริสต์ที่เขามีอยู่แล้วนั้น จึงเป็นสิ่งที่น่าจะทำได้ง่ายกว่าการให้เขามารับเอาวัฒนธรรมของชาวพุทธไปทั้งดุ้นซึ่งเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในความเห็นของดิฉัน

 

   นี่แหละคือความสับสนวุ่นวายของสังคมตะวันตกในขณะนี้ ฉะนั้น เมื่อพูดถึงวัฒนธรรมอันเกี่ยวเนื่องกับปัญญาแล้วไซร้ ในความเห็นของดิฉันแล้ว เห็นว่าถึงแม้สังคมไทยจะหย่อนยานในเรื่องพระนิพพานมากมายสักแค่ไหน แต่ก็ยังมีความร่ำรวยกว่าสังคมตะวันตกมากนัก อย่างน้อยชาวพุทธเราก็ยังมีวัฒนธรรมที่บอกให้คนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงเป็นสิ่งที่ชาวพุทธเราต้องดูแลรักษาไว้ให้ดี

 

สระน้ำนาฬิเกร์

 

 ความรู้เรื่องพระนิพพานในยุคโบราณนั้นจะต้องมีมากถึงขนาดที่ชาวบ้านเอามาผูกเป็นเพลงกล่อมเด็กดังเพลงมะพร้าวนาฬิเกร์ที่ท่านอาจารย์พุทธทาสได้เอามาเปิดเผย จนกระทั่งได้สร้างสระน้ำนาฬิเกร์ไว้ที่สวนโมกข์เป็นการย้ำให้คนรุ่นหลังได้รู้ถึงเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต เนื้อหาของเพลงมีดังนี้คือ

มะพร้าวนาฬิเกร์   ต้นเดียวโนเน อยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกก็ไม่ต้อง ฟ้าร้องก็ไม่ถึง กลางทะเลขี้ผึ้ง คือฝั่งพระนิพพานเอย ฯ

จากการเปิดเผยของอาจารย์เขมานันทะ บทดอกสร้อยชื่อ แม่งูเอ๋ย ที่เด็ก ๆ ร้องกันและเอามาเล่นกันนั้นก็ได้ซ่อนแก่นของการปฏิบัติที่จะเข้าถึงธรรมอันสูงสุดเช่นกัน ในประโยคท้ายสุดของดอกสร้อยนั้นมีว่า กินหัวหรือกินหาง กินกลางตลอดตัว แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติที่จะให้เข้าถึงความว่างอันปราศจากทั้งผู้มองและผู้ถูกมอง เจ้าของความคิดนั้นจะต้องกินตัวเองอย่างหมดจดจนไม่มีอะไรเหลือ

บทดอกสร้อยนี้สอดคล้องกับเรื่องกิ้งก่าตัวสุดท้ายของโลกที่เราได้ยินจากอาจารย์เขมานันทะเช่นกัน ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้นน้ำท่วมโลก สัตว์โลกทั้งหลายจมน้ำตาย เหลือแต่กิ้งก่าตัวสุดท้ายของโลกซึ่งหนีน้ำมาอยู่ในที่สูงแห่งหนึ่ง อาหารก็หมดแล้ว กิ้งก่าตัวนี้จำต้องกินเนื้อตัวเองเพื่อยังชีพ ฉะนั้น เขาจะหันหัวไปกินหางของเขานิดหนึ่งทุกวัน และกินขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงวันสุดท้ายก็เหลือแต่หัวเท่านั้น ในที่สุด กิ้งก่าก็เขมือบหัวตัวเอง และโลกนี้ก็ไม่มีอะไรเหลืออีกเลย นิทานเรื่องนี้ก็เน้นถึงเนื้อหาของการดูความคิดนั่นเอง ในที่สุด ผู้ปฏิบัติจะต้องรู้จักเขมือบความคิดสุดท้ายของตนเองอันเป็นเรื่องจิตตานุปัสนา เมื่อเขมือบความคิดสุดท้ายได้แล้วก็จะเข้าถึงตัวธรรมที่พูดไม่ออกบอกไม่ได้หรือธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน

 

ตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น ได้แสดงให้เห็นว่าคนไทยโบราณสามารถเข้าถึงศาสนธรรมได้อย่างแท้จริง ชี้ให้เห็นว่าย่าทวดไทยสามารถเข้าใจเรื่องสติปัฏฐานสี่ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และพยายามที่จะส่งทอดความรู้ที่สำคัญเหล่านี้ให้แก่ลูกหลานไทยต่อไป เพื่อให้ลูกหลานได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึงกัน ย่าทวดไทยจึงได้สร้างเป็นวิถีชีวิต เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม และวัฒนธรรมเหล่านี้ก็ได้สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ จึงเป็นสิ่งที่ลูกหลานไทยควรจะดูแลวัฒนธรรมอันดีงามเหล่านี้ต่อไป

 

  

ปัญหาวนแบบงูกินหาง

จะทำอย่างไรจึงจะรักษาความร่ำรวยของวัฒนธรรมชาวพุทธไว้ได้นั้นเป็นเรื่องใหญ่มากทีเดียว วิถีทางเดียวที่ทำได้คือ ผู้เป็นเจ้าของวัฒนธรรมจะต้องปฏิบัติธรรมนั่นเอง  เมื่อคนในสังคมสามารถเห็นธรรมได้มากขึ้น ก็จะสามารถรักษาวัฒนธรรมที่ดีงามไว้ได้ แต่ปัญหาเริ่มจะวน  การปฏิบัติธรรมคืออะไรเล่า ปฏิบัติเพื่ออะไร ปฏิบัติทำไม ปฏิบัติอย่างไร ควรจะเข้าหาใคร จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นพระจริงและไม่ถูกหลอก ความปั่นป่วนและแตกแยกของสถาบันสงฆ์ในเมืองไทยขณะนี้ ทำให้คนไม่แน่ใจว่าอะไรคือการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง การปฏิบัติธรรมหมายถึงการรักษาศีลอย่างเคร่งครัด ต้องกินอาหารมังสวิรัติ หรือการนั่งหลับตาเพ่งท้องตนเองจนเห็นลูกแก้วและองค์พระในลูกแก้ว หรือการบริกรรมพุทธโธ หรือยุบหนอพองหนอ หรืออานาปานสติ หรือมุ่งแต่ทำบุญเอาเงินเอาทองเอาดอลลาห์มากอบกู้ชาติเพื่อไปสวรรค์ หรืออะไรกันแน่ นี่คือปัญหาของผู้เริ่มจะปฏิบัติธรรม ยิ่งยุคนี้หลังจากการพังทลายของระบบเศรษฐกิจฟองสบู่แล้ว ดิฉันแน่ใจว่าคนที่อยากจะปฏิบัติธรรมเพื่อหาความสงบทางใจนั้นมีมากนัก ดิฉันเชื่ออีกว่า แม้คนที่ปฏิเสธศาสนาในยุคปัจจุบันนี้ก็เป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าศาสนามีอะไรเกี่ยวข้องกับชีวิตเขา เพราะหากเขาเข้าใจเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่าเกี่ยวข้องกับเขาโดยตรงแล้ว เขาอาจจะให้ความสนใจก็ได้ แต่จะให้คนเหล่านี้เริ่มอย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่แม้แต่ดิฉันเองก็ยังขนหัวลุกเมื่อคิดถึงตนเองว่าต้องอยู่ในสถานะนั้น การเริ่มต้นนั้นเป็นจุดที่ยากที่สุด ความไม่รู้หรือความมืดแห่งอวิชชานั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับคนที่รู้แล้ว เพราะเมื่อดิฉันมองย้อนหลังไปก่อนที่จะพบสวนโมกข์ ชีวิตช่างมืดมนและทุกข์อย่างแสนสาหัส ถึงแม้จะรู้ทั้งรู้ว่าพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยดิฉันได้ แต่ก็มืดแปดด้านเพราะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าท่านจะช่วยดิฉันได้อย่างไร และแม้กระทั่งพบท่านอาจารย์พุทธทาส อาจารย์เขมานันทะ และหลวงพ่อเทียนแล้ว ความสับสนวุ่นวายที่พยายามจะจับหลักอะไรสักอย่างหนึ่งให้ได้เพื่อให้จิตหยุดซัดส่ายนั้น ช่างเป็นสิ่งที่ยากเย็นเสียนี่กระไร การไปเยี่ยมเยียนหลายวัดวาและเรียนรู้การสอนที่แตกต่างของแต่ละครูบาอาจารย์ก็ยิ่งสร้างความสับสนให้มีมากขึ้น ดิฉันจึงเข้าใจความรู้สึกของคนในยุคนี้ดีว่ามันสับสนวุ่นวายแค่ไหน ความรู้สึกเช่นนี้เป็นความทุกข์อย่างยิ่ง และเป็นปัญหาที่วนเหมือนงูกินหาง ไป ๆ มา ๆ ก็คงต้องโยนให้กับเรื่องของบารมี ใครที่สร้างบารมีมามากก็จะมีเหตุปัจจัยที่ทำให้พบผู้รู้จนได้

 

 ไม่มีใครบอกใครได้ว่าวิถีทางไหนที่ดีที่สุดสำหรับคนผู้นั้น ปัจจัยที่สำคัญที่สุดจะต้องมาลงที่กัลยาณมิตร หากใครโชคดีที่ยังมีบุญบารมีอยู่บ้างก็จะได้พบกัลยาณมิตรหรือครูบาอาจารย์ที่มีบุคคลิกเหมาะสมกับตน  ครูกับศิษย์นั้นเหมือนกับสลักเกลียวสองตัวที่เกลียวเข้าหากันได้อย่างเหมาะเจาะ ครูบางท่านอาจจะรู้จริง แต่วิธีการสอนอาจจะไม่เหมาะกับผู้รับ ทำให้เกิดการลักลั่นไม่สามารถที่จะเกลียวเข้าหากันได้อย่างสนิท อย่างไรก็ตาม การได้พบครูที่สามารถนำทางให้ตนได้นั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญมากเพราะเป็นจุดที่ก่อให้เกิดศรัทธา เมื่อศรัทธาเกิด สิ่งต่อไปคือความวิริยะ อุตสาหะ ความพยายามที่จะเดินตามทางที่ครูบาอาจารย์แนะไว้ก็จะตามมา

 

ความฝันอันสูงสุด

 

ความคิดเรื่องการกอบกู้วัฒนธรรมสติปัฏฐานได้มารุกรานดิฉันอยู่หลายปีมาก ดิฉันมักจะต่อสู้กับตัวเองที่จะให้หยุดคิด เพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้  เป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่จะมาขบคิดอยู่คนเดียว การคิดและทำคนเดียวเป็นสิ่งที่ดิฉันทำมาแล้ว ๑๒ ปีโดยไม่มีใครคุยหรือปรึกษาด้วยเพราะสถานภาพบีบบังคับ สามีไม่เคยอ่านงานของดิฉันอย่างจริงจังและไม่เข้าใจว่าดิฉันทำอะไรมากไปกว่าการสอนไท้เก็ก บางครั้งดิฉันว้าเหว่มากโดยเฉพาะเมื่อมาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจทำอะไรลงไป แต่เงื่อนไขที่ต้องจำยอมเช่นนี้กลับทำให้ดิฉันต้องเกาะแน่นอยู่กับหลักธรรมเพื่อความอยู่รอดทางใจของตนเองและเพื่อขอคำตอบที่ถูกต้องจากพระธรรม  หลายครั้งที่อยากจะยอมแพ้ต่อตนเองผู้มีสถานะเป็นเพศหญิงเป็นแม่ของลูกสามคนซึ่งงานของแม่บ้านก็ล้นมืออยู่แล้ว และเป็นชาวต่างด้าวที่มาอาศัยบ้านเมืองคนอื่นอยู่ คิดเพียงว่าใครจะมาสนใจในสิ่งที่ดิฉันพูดไปโดยเฉพาะเป็นเรื่องที่สวนกระแสของวัฒนธรรมบริโภคอย่างรุนแรงเช่นนี้ อดคิดไม่ได้ว่าดิฉันบ้าอยู่คนเดียวและเพ้อฝันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ การพูดอะไรให้ฝรั่งยอมรับฟังนั้น ชาวเอเซียที่มาอยู่ประเทศในตะวันตกจะรู้ดีกันทั้งนั้นว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ชนเผ่าอารยัน (ฝรั่ง) นั้นมีความหยิ่งในเชื้อสายตนเองอยู่แล้ว ยิ่งมาเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกด้วยแล้ว ความหยิ่งและทะนงในตนเองย่อมมีมากเป็นธรรมดา ความรู้สึกนี้จะมีอยู่เองตามธรรมชาติโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว คนที่รู้ตัวคือ ชาวต่างชาติจากประเทศทั้งที่กำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาและต้องมาอาศัยบ้านเมืองเขาอยู่ การที่จะทำให้ฝรั่งยอมรับและยอมฟังชาวต่างชาตินั้น คนเอเซียจะต้องรู้ว่าเขาฟังไม่ใช่เพราะคนนี้มาจากประเทศไทย จีน สิงคโปร์ อินเดีย บาหลี เคนยา อันเป็นประเทศที่เขาให้เกียรติอย่างสูง ประเทศทางเอเซียที่ฝรั่งพอให้เกียรติบ้างก็มีเพียงญี่ปุ่นเท่านั้น ประเทศไทยนั้นได้กลายเป็นแหล่งของมุขตลกต่าง ๆ ที่ฝรั่งมักจะยกขึ้นมาพูดเยาะเย้ยโดยเฉพาะเรื่องโสเภณี จะให้เกียรติบ้างก็เรื่องอาหารไทยเท่านั้น ฉะนั้น ใครที่สามารถทำให้ฝรั่งยอมได้ คนผู้นั้นจะต้องมีความสามารถอะไรสักอย่างที่เด่นออกมาอย่างแท้จริงอันเป็นเรื่องปัจเจกของคนผู้นั้น พูดง่าย ๆ ว่าจะต้องมีของจริงหรือของแข็งจริง ๆ เช่น ในวงการพระ ก็มีหลวงพ่อชา ท่านอาจารย์พุทธทาส ในวงการกีฬาก็มี คุณเจมส์ วัฒนา   คุณไทเกอร์ วู๊ด ซึ่งที่จริงเขาก็เป็นอเมริกันที่มีแม่ไทย   แม้ผู้มีความรู้ทางด้านวิชาการและอาชีพอันเป็นที่ยอมรับของสังคม เช่น หมอ นั้นล้วนแต่ต้องต่อสู้ไม่น้อยเป็นส่วนตัวเพื่อให้ฝรั่งยอมรับตนเข้ามาในสังคมเขา นี่คือสิ่งที่ดิฉันต้องต่อสู้มาตลอดเพื่อให้ฝรั่งยอมฟังคำพูดของดิฉัน โลกนี้เป็นโลกของผู้ชาย ความเป็นผู้หญิงหมายความว่าดิฉันจะต้องทำงานมากกว่าผู้ชายหลายเท่านักที่จะให้สังคมยอมรับ ยิ่งเป็นผู้หญิงเอเซียในสังคมตะวันตกด้วยแล้ว ความยากย่อมมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ ทุกครั้งที่ดิฉันยืนต่อหน้านักศึกษาซึ่งบางคนก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่า ผู้หญิงเอเซียคนนี้จะสามารถสอนอะไรเขาได้หรือ หากดิฉันเลือกสอนแต่ท่ารำไท้เก็กอน่างเดียว มันก็คงจะไม่หนักหนาอะไร แต่ดิฉันก็ไม่เคยพอใจเพียงเท่านั้น คิดอยู่เสมอว่าจะทำอย่างไรจึงสามารถให้เขาเข้าใจธรรมะและมีส่วนในการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ด้วย การพูดตามหลักธรรมก็คือการพูดด้วยเหตุผลที่เป็นไปตามความเป็นจริง การพูดความจริงของดิฉันจึงเปรียบเหมือนกับอยู่ในถ้ำเสือแล้วยังดันเอาไม้มาแหย่เสือให้โกรธอีก นั่นคือ ยืนต่อหน้าปัญญาชนฝรั่งแถมยังตำหนิระบบการศึกษาและวิถีชีวิตของฝรั่ง ทุกครั้งที่ดิฉันพูดเรื่องความตายซึ่งเป็นเรื่องบอบบางมากสำหรับฝรั่ง อาทิตย์หนึ่งต่อมา จำนวนคนที่กลับมานั้นน้อยลงอย่างถนัดตา บางชั้น นักศึกษาหายเกือบหมด กิจภายในของดิฉันยังไม่หมด ความเจ็บปวดในหัวใจย่อมมีเป็นธรรมดา ความมั่นใจในตนเองถดถอยและไม่อยากกลับไปสู้หน้าเขาอีก เหตุการณ์เช่นนี้เกิดบ่อยมากโดยเฉพาะในช่วง ๗ ปีแรกของการสอน ต้องเลียแผลให้ตนเองอยู่เสมอเพราะไม่สามารถเข้าหาใครได้ ไม่มีหมู่กลุ่มที่จะคอยพูดเพื่อให้กำลังใจ บางครั้งดิฉันอยากคิดว่า ที่รอดมาได้เพราะการช่วยเหลือของเทวดาสัมมาทิฏฐิมากกว่าที่เฝ้ามากระซิบที่หูว่าขอให้เอาเมตตากรุณาเป็นธรรมเดินหน้า ช่วยเพียงคนเดียวได้ก็พอแล้ว หากไม่มีใครยอมให้ดิฉันสอนละก็ ก็ยังมีตนเองให้สอน และต้องพยายามสอนตัวเองให้พ้นทุกข์ จะไปกลัวอะไร  เมื่อคิดได้เช่นนี้ ดิฉันจึงค่อย ๆ เก็บและรวบรวมกำลังใจที่ตกหล่นให้กลับขึ้นมาอีก งานสอนของดิฉันจึงอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้

 

 การพยายามพูดเพื่อกอบกู้วัฒนธรรมสติปัฏฐานนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ดิฉันอดคิดไม่ได้ว่าคนจะหัวเราะเยาะดิฉันเพราะเป็นเรื่องสวนกระแสความคิดของคนในยุคนี้อย่างมาก แต่ถึงแม้ได้พยายามผลักไสความคิดเหล่านั้นออกไปมากสักเพียงใดก็ตาม ความคิดเช่นนี้ก็มักจะวนเวียนกลับมาอีกเสมอและรุนแรงมากขึ้น ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานอยู่นาน ๆ แล้วนั้น จะสังเกตออกว่าความคิดประเภทไหนจัดเป็นกลุ่มขยะที่ควรขจัดและประเภทไหนเป็นกลุ่มของปัญญาที่ควรสางต่อ หลังจากที่พิจารณาความคิดกลุ่มนี้อยู่หลายปี ทำให้เริ่มเห็นชัดขึ้นว่า ความคิดกลุ่มนี้มิใช่เรื่องที่ไร้สาระเสียทีเดียว แต่จะเป็นเมล็ดพันธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อชนรุ่นหลังที่จะสางต่อได้  หากมีการเขียนรวบรวมเอาไว้เป็นชิ้นเป็นอัน มันจะเป็นประโยชน์แก่คนหมู่มาก และอาจจะนำไปสู่การสร้างสรรค์ที่ดีงามในอนาคตก็ได้ หากมีความฝันใดที่ยังเหลืออยู่แล้วละก็  มันคือ การได้มีส่วนร่วมในการกอบกู้เอาวัฒนธรรมสติปัฏฐานที่มีอยู่แล้วกลับคืนมารวมทั้งการสร้างวัฒนธรรมสติปัฏฐานใหม่ ๆ ให้กับสังคมใดที่ไม่มีพื้นฐานของวัฒนธรรมเช่นนี้ การสร้างวัฒนธรรมที่ถูกต้องให้กับชาวโลกเป็นสิ่งที่แรกที่ต้องทำ  หนังสือเล่มนี้คือจุดเริ่มต้นของการกระทำนั้น

 

วัฒนธรรมสติปัฏฐานที่ดิฉันได้พูดถึงในหนังสือเล่มนี้เป็นเพียงตัวอย่างนิดเดียวที่ดิฉันต้องยอมรับว่ามีความรู้น้อยมากเพราะขาดประสบการณ์  มันเป็นงานที่ต้องการความรู้ความสามารถของบุคคลต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะผู้เจนจัดในเรื่องวัฒนธรรมไทย  เรื่องเหล่านี้ ผู้ที่จะให้ความรู้ได้ดียิ่งคือท่านอาจารย์โกวิท เขามานันทะ เพราะนอกจากท่านจะเป็นผู้รู้แล้วท่านยังเป็นพหูสูตที่มีความรู้ด้านวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างกว้างขวาง ดิฉันแน่ใจว่าผู้คนและองค์กรที่ทำอยู่แล้วต้องมี แต่การมาอยู่อังกฤษทำให้ดิฉันไม่รู้จักคนมากนักและไม่สามารถประสานงานกับคนอื่นได้ จึงยังไม่สามารถทำงานนี้ได้อย่างสมบูรณ์เต็มที่

 

ดิฉันจึงขอฝากความฝันอันสูงสุดนี้ไว้ให้กับผู้อ่าน เพื่อเราจะได้ช่วยเหลือกันที่จะทำให้ความฝันนี้ใกล้ความจริงขึ้นมาได้บ้าง ดิฉันได้ปวารณานากับตนเองแล้วว่า จะขอใช้ชีวิตในอีก ๒๐ ถึง ๓๐ ปีข้างหน้านี้ทุ่มเทให้กับงานชิ้นนี้เพื่อประโยชน์และความสุขของคนหมู่มาก  งานนี้จะไม่มีวันบรรลุถึงจุดมุ่งหมายในชั่วชีวิตของดิฉันอย่างแน่นอน แต่มันก็สามารถเป็นเชื้อ stepping stone ที่ชนรุ่นหลังจะสามารถสางต่อได้ จึงเห็นแต่ความจำเป็นที่ต้องพูด

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 



[1] เมื่อหนังสือเล่มนี้ตีพิพม์ออกมาอาจจะมีชาวพุทธที่ไม่เห็นด้วยกับดิฉันที่พูดยกย่องพระเยซู คริสต์มากจนเกินไป ดิฉันไม่เคยตัดสินว่าพระคริสต์เป็นพระอรหันต์อย่างที่บางท่านเข้าใจ เพราะเหตุผลง่าย ๆ คือดิฉันไม่ทราบ และไม่มีทางจะทราบได้ด้วย แต่ดิฉันแน่ใจว่าท่านจะต้องเป็นพระอริยบุคคลในระดับหนึ่งที่แม้แต่ชาวพุทธก็สมควรให้การเคารพท่าน ดิฉันไม่คิดว่าการยกย่องพระคริสต์นั้นเป็นการไม่สมควรแต่อย่างใด เพราะหากดิฉันมีความเมตตากรุณาอย่างแท้จริงต่อชาวตะวันตกซึ่งเขาเหล่านั้นก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายของดิฉันด้วยและถ้าดิฉันต้องการช่วยให้เขามีดวงตาเห็นธรรมอย่างแท้จริงแล้วไซร้ ดิฉันจำเป็นต้องยกย่องพระคริสต์เพราะท่านยังเป็นศาสดาที่มีบทบาทต่อชาวโลกอย่างแนบแน่น ฉะนั้น แทนที่พยายามจะให้ชาวตะวันตกอ้าแขนรับศาสนาและวัฒนธรรมของชาวพุทธนั้น ดิฉันเห็นว่ามันจะทำได้ยากกว่าการพยายามให้ชาวคริสต์เข้าใจในพระเจ้าและพระคริสต์ และพยายามประสานในสิ่งที่สามารถเข้ากันได้ ซึ่งดิฉันเห็นว่ามันน่าจะทำได้ง่ายกว่า ดิฉันจึงใคร่ขอร้องให้ชาวพุทธคิดอย่างเป็นธรรม และพยายามเอาเมตตากรุณาเป็นธรรมนำหน้า