ทำไมผลจึงมาก่อนเหตุ?
บทที่แล้ว
ดิฉันได้เล่านิทานเพื่อให้เห็นภาพพจน์ที่ชัดเจนว่า
พระพุทธเจ้ามาบอกข่าวดีกับมนุษย์ว่าที่จริงแล้วพวกเราไม่ได้เป็นเสือ
แต่เป็นคนที่ถูกฤาษีแปลงร่างมาเป็นเสือ
ฉะนั้นเป้าหมายของมนุษย์เราคือการแสวงหาทางที่จะกลับกลายไปสู่ความเป็นธรรมชาติธรรมดาของชีวิต
หรือความเป็นพระอรหันต์
ในบทนี้ ดิฉันจะเน้นเรื่องเป้าหมาย (ผล) กับหนทาง (มรรค)
การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น หมายความว่า ท่านได้
เห็นผลก่อนที่จะเห็นทางหรือมรรค
นี่เป็นจุดสำคัญมากที่ปัญญาชนควรทำความเข้าใจให้ถ่องแท้เพื่อจะได้เห็นแก่นแท้ของศาสนาพุทธมากขึ้น
นิทานเรื่องนี้อาจจะทำให้เห็นภาพพจน์ชัดขึ้น ชายคนหนึ่งหลงทางในป่า
ด้วยความบังเอิญ จู่ ๆ ก็พลัดมาเจอสระน้ำอมฤตดื่มแล้วสามารถมีชีวิตอมตะ
เมื่อรู้ว่าน้ำนี้มีประโยชน์ต่อมนุษย์ จึงค่อย ๆ
ออกมาสำรวจทางเข้าสระน้ำอมฤตว่าพอมีทางไหนเข้าไปได้บ้าง เขาทำแผนที่เอาไว้อย่างเด่นชัดและถี่ยิบ เมื่อออกจากป่าได้แล้ว
เขาก็เริ่มบอกคนอื่นเกี่ยวกับสระน้ำอมฤตนี้
และแจกแผนที่บอกทางให้กับผู้ที่อยากไป
ก่อนการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น
สังคมมนุษย์อยู่อย่างมืดบอด ไม่มีใครรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร
สัจธรรมคืออะไร การหมดทุกข์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร
พระพุทธเจ้าเกิดมาในยุคที่สังคมอินเดียกำลังค้นหาสัจธรรมกันอย่างสะเปะสะปะ
เสพกามบ้าง ทรมานตัวเองบ้าง ติดในความสงบขององค์ฌานบ้าง
แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป้าหมายของชีวิตจริง ๆ คือ อะไรแน่นอน เจ้าชายสิทธัตถะก็เข้าร่วมวัฒนธรรมแห่งการแสวงหาสัจธรรมนั้นด้วยเป็นเวลาถึงหกปี
ลองผิดลองถูกตามวิธีการที่มีอยู่ในยุคนั้นจนตนเองเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ปรากฏการณ์ของสังคม (social landscape) อินเดียในยุคนั้นเปรียบเทียบเหมือนกับชายหลงป่าที่หาทางออกจากป่าไม่ได้
จะด้วยเหตุผลประการใดก็แล้วแต่[1]
การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นก็เปรียบเหมือนกับชายหลงป่าเจอสระน้ำอมฤตด้วยความบังเอิญ หรือค้นพบความจริงว่า
ที่แท้เสือตัวนี้ไม่ได้เป็นเสือแต่เป็นคนธรรมดาดี ๆ นี่เอง
การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าหมายความว่า
ท่านได้พบสัจธรรมอันสูงสุดของธรรมชาติ เป็นธรรมที่เด็ดขาด (absolute หรือ ultimate) อันไม่มีสิ่งใดไปพ้นจากนั้นได้
ซึ่งท่านเรียกว่า พระนิพพาน
และธรรมนี้เกี่ยวข้องกับมนุษย์ในแง่ที่ว่ามันเป็นเป้าหมายของชีวิตทุกชีวิตในสังสารวัฏนี้ด้วย
เป้าหมายนี้เป็นเรื่องเดียวกับการหมดความทุกข์อย่างสิ้นเชิง ก่อนหน้านั้นไม่มีใครรู้ว่าตนเองเป็นเสือที่ถูกฤาษีแปลงร่างมาจากคน
สภาวะแห่งพระนิพพานหรือสัจธรรมอันสูงสุดนี้เป็นสภาวะที่มีอยู่แล้วไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะเกิดมาหรือไม่ก็ตาม
มันก็อยู่ของมันอย่างนั้นและจะอยู่ตลอดไปอย่างนั้น เพียงแต่ไม่มีใครเห็น
เปรียบเหมือนกับสระน้ำอมฤตที่มีอยู่แล้วในป่าแต่ไม่มีใครพบ
นี่แหละคือความโดดเด่นของพระพุทธเจ้าที่เข้าไปเจอสิ่ง ๆ
หนึ่งที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อน
จุดนี้เป็นสิ่งที่ปัญญาชนต้องทำความเข้าใจให้ดีว่า
การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นมิใช่หมายความว่าท่านมาสร้างแนวความคิดใหม่ที่แตกต่างจากนักคิดคนอื่น
การเห็นสภาวะของพระนิพพานนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการคิดนึกแต่อย่างใดทั้งสิ้น
การใช้ความคิดของท่านนั้นมาทีหลังเมื่อท่านเริ่มสอน ในขณะนั้นมีแต่เพียง ธรรมนิยาม
หมายความว่า การรับรู้(acknowledgement)ต่อสภาวะนั้นของธรรมชาติที่พูดไม่ออกบอกไม่ได้
ว่ามันมีอยู่
คำว่า พระนิพพาน
อาจจะยังไม่เกิดขึ้นก็ได้ในขณะที่ท่านกำลังเสวยวิมุติสุขอยู่เพราะท่านยังไม่ได้สอนใคร
หลังจากที่พระพุทธองค์เห็นสภาวะแห่งพระนิพพานและได้เสวยวิมุติสุขเป็นเวลา
๔๙ วันแล้ว ท่านก็เริ่มคิดว่าควรจะบอกให้คนรู้ในสิ่งที่ท่านเห็นหรือไม่
ตอนแรกท่านดำริที่จะไม่สอนเพราะเห็นว่ามันยากมากมิใช่เป็นวิสัยของคนธรรมดาสามัญจะเข้าใจได้
แต่หลังจากที่ครุ่นคิดแล้วจึงเห็นว่าคนเรานั้นมีปัญญาที่แตกต่างกัน
คนที่มีธุลีในดวงตาแต่น้อยอาจจะเห็นได้ ด้วยความเมตตากรุณาอย่างมหันต์
ท่านจึงดำริที่จะสอน หลังจากที่รู้ด้วยญานว่าอาจารย์ทั้งสองท่านเพิ่งเสียชีวิตไป
จึงคิดจะโปรดปัญจวัคคีย์
ในขณะที่ท่านเดินทางจากต้นพระศรีมหาโพธิ์มุ่งสู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันนั้น
พระพุทธองค์ได้เดินผ่านอาชีวกคนหนึ่งชื่อ อุปกะ
เขาเห็นผิวพรรณของนักพรตผู้ที่เพิ่งเดินผ่านไปผ่องใสนัก
อาการเยื้องย่างของท่านก็ดูสงบและสง่างามผิดจากนักพรตส่วนมากที่เขาเห็นมา
ด้วยความอยากรู้จึงเดินกลับไปถามนักบวชหนุ่มผู้นั้นว่า
ท่านนักพรต
ฉวีวรรณของท่านหมดจด ขาวผ่อง อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก ท่านบวชในสำนักของใคร
ใครเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน ? หรือว่าท่านนิยมคำสอนของใคร
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบอาชีวกผู้นั้นอย่างซื่อ
ๆ ตรงไปตรงมาตามที่เป็นจริงว่า
เราคือสยัมภู
เป็นผู้ครอบงำได้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นใหญ่ในตนเองเต็มที่ เราเป็นผู้รู้จบหมด
ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในสิ่งทั้งหลาย ละได้แล้วซึ่งสิ่งทั้งปวง
หลุดพ้นแล้วเพราะสิ้นตัณหา เราหักกงกรรมแห่งสังสารจักรอันเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดด้วยตนเองแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ จะพึงอ้างใครเล่าว่าเป็นศาสดา อาจารย์ของเราไม่มี
ผู้ที่เป็นเหมือนเราไม่มี ผู้จะเปรียบกับเราก็ไม่มี เราเป็นอรหันต์ในโลก
เราเป็นครูไม่มีใครยิ่งกว่า เราผู้เดียวเป็นสัมมาสัมพุทธะ เป็นผู้ดับแล้วเย็นสนิท
จะไปสู่เมืองแห่งชาวกาสีเพื่อแผ่พระธรรมจักร จะไปตีกลองแห่งอมตธรรมให้กึกก้องขึ้น[2]
อุปกะชีวกฟังพระพุทธเจ้าตรัสด้วยสายตาที่มิได้แสดงความยกย่องแต่อย่างใดและกล่าวว่า
อาวุโส
ท่านเป็นผู้ชนะอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและใหญ่โตปานนั้นเชียวหรือ
พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า
เราพูดตามความเป็นจริง
คงเป็นไปได้นะ
อาวุโส คนที่รู้อะไร ๆ ได้เองโดยไม่มีครูอาจารย์ ท่านวิเศษเกินไปเสียแล้ว
อุปกะชีวกพูดอย่างเย้ยหยัน
แลบลิ้น ส่ายศรีษะ แล้วก็เดินหลีกไปด้วยความคิดว่าท่านโอ้อวดตัวเอง
ที่จริงแล้วพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสอะไรเกินความจริงเลย
สยัมภู หมายถึง พระผู้เป็นเอง คือ ตรัสรู้ได้เองโดยไม่มีใครสั่งสอน
คำว่าพุทธะก็คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ซึ่งก็เป็นลักษณะหรือคุณสมบัติที่แท้จริงของท่าน อย่างไรก็ตาม
การบอกเล่าของพระพุทธองค์อันเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่ท่านรู้ในครั้งนั้นต้องนับว่าเป็นสิ่งที่ขาดประสบการณ์มากกว่าจะเรียกว่าล้มเหลว
เหตุการณ์ครั้งนั้นคงจะทำให้พระพุทธเจ้าต้องคิดถึงวิธีการสอนที่จะให้คนรู้ตามท่านได้
นี่แหละจึงมาถึงขั้นตอนที่ท่านเริ่มใช้ความคิดว่าควรจะพูดอย่างไร
และใช้วิธีการอะไรอย่างไรจึงจะสามารถทำให้คนเห็นสภาวะนั้นในธรรมชาติได้
หากไม่ได้พบอุปกะชีวกก่อน ท่านอาจจะไม่ได้คิดวางแผนอะไรทั้งสิ้น
ท่านอาจจะตรัสกับปัญจวัคคีย์เหมือนที่ท่านตรัสกับอุปกชีวกก็ได้ อย่างไรก็ตาม
ท่านเริ่มเรียนรู้จากความผิดพลาดทันที
การวางแผนการสอนของท่านนั้น ฝรั่งจะเรียกว่าเป็นการสร้าง strategy นี่เหมือนกับขั้นตอนที่ชายในป่าออกมาเขียนแผนที่ที่จะให้คนเข้าไปถึงสระน้ำอมฤตได้ ฉะนั้น
คำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้าก็คือแผนที่บอกทางที่จะให้คนเห็นสภาวะของพระนิพพานหรือสัจธรรมอันสูงสุดตามท่านนั่นเอง
จะต่างกันหน่อยก็คือ นี่เป็นแผนที่ชีวิต และแผนที่ฉบับแรกของท่านคือ
ธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร ซึ่งท่านจะต้องคิดวางแผนและเรียบเรียงการพูดหลังจากที่แยกทางกับอุปกะชีวกและก่อนที่จะพบกับปัญจวัคคีย์
การรู้สภาวะแห่งการหลุดพ้นซึ่งเหมือนกับรู้ว่าสระน้ำอมฤตอยู่ที่ไหนนั้น
การจะบอกทางผู้อื่นให้รู้ตามนั้นจำเป็นต้องบอกบริเวณกว้างก่อนแล้วค่อย ๆ แคบลงมา
เหมือนกับบอกคนว่าถ้าจะไปวัดธารน้ำไหลแล้ว ต้องไปทิศใต้ก่อน จังหวัดสุราษฏ์ธานี
ไปให้ถึงอำเภอไชยา
จากไชยาก็ไปตามถนนสายตะวันออกอีกหกกิโลก็จะเห็นวัดธารน้ำไหลอยู่ขวามือ หรือ
เหมือนกับชายคนนั้นต้องบอกให้คนรู้ว่าสระน้ำอมฤตอยู่ทางทิศตะวันออกของป่า ฉะนั้น
อย่าเดินไปทางทิศตะวันตก เหนือ หรือใต้
เพราะถ้าหลงทิศแล้วละก็จะเสียเวลามากถึงแม้จะวกกลับมาได้ทีหลังก็ตาม ฉะนั้น ในบทธรรมจักรกัปปวัตตนสูตรนั้น ก่อนที่ท่านจะเข้าสู่เรื่องอริยสัจสี่นั้น ท่านเริ่มเตือนก่อนว่า
ทางแห่งความสุดโต่งทั้งสองทางนั้นไม่ถูกต้อง คือการทรมานตนกับการเสพที่เกินความจำเป็น
นี่เท่ากับบอกทิศก่อน ว่าพระนิพพานอยู่ทิศไหน
และบอกต่อว่าทางที่ถูกต้องต้องเป็นทางสายกลาง ซึ่งไม่ใช่หมายความว่าเดินตรงกลาง
แต่หมายถึงทางแห่งอริยมรรคมีองค์แปดประการที่เริ่มต้นด้วยสัมมาทิฏฐิและจบลงด้วยสัมมาสมาธิ
พอท่านพูดเรื่องกว้างแล้ว ท่านจึงเข้าสู่เรื่องอริยสัจสี่
ซึ่งเป็นขั้นตอนการบอกทางที่เริ่มแคบเข้ามาอีกหน่อยหนึ่ง
เพราะว่าคนในยุคนั้นต่างต้องการรู้ว่าจะเอาชนะความเกิด แก่ เจ็บ ตาย
หรือความทุกข์ได้อย่างไร ฉะนั้น เรื่องอริยสัจสี่
จึงเป็นขั้นตอนของการเรียกความสนใจในสิ่งที่คนอยากรู้จริง ๆ ในยุคนั้น
เพราะท่านได้เรียนรู้จากอุปกชีวกแล้วว่า หากไม่พูดเรื่องในสิ่งที่คนสนใจแล้ว
เขาอาจจะเดินหนีอีกก็ได้ ท่านจึงเอาจุดที่คนสนใจขึ้นมาพูด ฉะนั้น
เรื่องทุกข์และสาเหตุแห่งทุกข์นั้น เท่ากับเป็นการเกริ่นเรียกความสนใจ ซึ่งรายละเอียดนั้นท่านก็เริ่มจากวงกว้างอีกคือพูดเรื่องเกิด
แก่เจ็บตายเป็นทุกข์
จนในที่สุดพูดเรื่องอุปาทานขันธ์ทั้งห้าก็เป็นทุกข์ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดมากขึ้น
พอมาถึงอริยสัจข้อที่สามหรือนิโรธสัจนั้นพระพุทธองค์ก็นำเข้าเรื่องสัจธรรมที่ท่านพบทันที
การเห็นสัจธรรมอันสูงสุดนั้นหมายถึงการสามารถประสานกับเรื่องทุกเรื่องของจักรวาล
ฉะนั้น ท่านจึงสามารถพูดให้สอดคล้องกับเรื่องทุกข์ที่เกริ่นมาตั้งแต่ต้น
โดยบอกว่าสภาวะแห่งการดับทุกข์นั้นมีอยู่ซึ่งก็เป็นสภาวะเดียวกับสัจธรรมอันสูงสุดนั่นเอง
หลังจากนั้นก็ย้ำเรื่องวิถีทางที่จะให้ถึงการดับทุกข์นั้นอีกครั้งหนึ่งอันเป็นอริยสัจข้อที่สี่
คืออริยมรรคมีองค์แปด
ในอริยสัจสี่นั้น
จะเห็นชัดว่าท่านวางผลมาก่อนเหตุ
อริยสัจข้อที่สามคือนิโรธมาก่อนอริยสัจข้อที่สี่คือ มรรค
ซึ่งดูแล้วเหมือนกับผิดหลักวิทยาศาสตร์ที่เหตุจะต้องมาก่อนผล
มันจะผิดไม่ได้เพราะนี่เป็นประสบการณ์ของคน ๆ แรก (ชายหลงป่าพบสระน้ำอมฤต)
เพราะถ้าไม่มีคนแรกที่ไปรู้ความจริงว่าเรามิใช่เป็นเสือแล้ว การบอกทางจะไม่มี เราก็อยู่อย่างเสือ ๆและโง่ ๆ มืด ๆ
ต่อไปตราบนานเท่านาน ท่านเห็นผลก่อน การบอกทางที่จะไปสู่ผลจึงเกิดตามมา ฉะนั้น
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีคนแรกที่บอกความจริงกับเราว่าเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิตคืออะไรกันแน่
และพระพุทธเจ้าคือบุคคลแรกที่มาบอกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชีวิตไม่เพียงแต่มนุษย์เราเท่านั้นแต่คลุมไปถึงชีวิตที่เกิดในภพภูมอื่นในสังสารวัฏนี้ด้วย
การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจึงกระเทือนไปทั่วสามโลก คือ โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และ
ยมโลก ฉะนั้น บทธรรมจักรกัปปวัตตนสูตรนั้นนับว่าเป็นแผนการ strategy หรือแผนที่ชีวิตฉบับแรกที่เริ่มวางหลักบอกทางให้คนรู้และเข้าถึงสิ่งที่ท่านได้พบ
นี่เป็นขั้นตอนที่ท่านต้องใช้ความคิด ความสามารถของนักปราชญ์
คือจะต้องรู้ว่าคนต้องการอะไร จะรับได้อย่างไร หลังจากแผนที่ฉบับแรกนั้นแล้ว
พระพุทธเจ้าก็เขียนแผนที่ของท่านเรื่อยมาจนในช่วงหลังนั้นท่านสามารถสร้างแผนที่ที่ละเอียดถี่ยิบเพื่อกันให้คนหลงทางได้น้อยที่สุด
แผนที่ชีวิตที่นับว่ามีความละเอียดมากที่สุดคือเรื่องมหาสติปัฏฐานสี่
ฉะนั้น เมื่อยอมรับการตรัสรู้ของพระพุทธองค์แล้ว
ขั้นตอนของผู้รู้ตามจะต้องสาวจากเหตุไปหาผล
เปรียบเสมือนการเดินตามแผนที่ที่ชายหลงป่าบอกเพื่อไปให้ถึงสระน้ำอมฤต
ชาวพุทธจึงต้องเดินตามทางแห่งอริยมรรคมีองค์แปดซึ่งเป็นแผนที่ชีวิตเพื่อไปให้ถึงพระนิพพาน
ฉะนั้น สำหรับสาวกของพระพุทธเจ้าแล้วจะต้องเป็นเรื่องของ มรรค ผล นิพพาน คือ
เดินตามองค์มรรค เพื่อไปสู่ผล
ผู้ที่มีปัญญาและมีธุลีในดวงตาเพียงเล็กน้อยจะเข้าใจทันทีว่าการเกิดมาของพระพุทธเจ้านั้นมีความสำคัญต่อชีวิตทุกชีวิตมากเพียงไหน
หากไม่ใช่เป็นความเมตตากรุณาอย่างมหันต์ของพระพุทธองค์ที่ดำริจะสอนแล้วไชร้ ชีวิตทุกชีวิตในสังสารวัฏนี้ก็ต้องอยู่อย่างมืดมนต่อไปอีกนานแสนนาน
ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากสำหรับคนเข้าใจเพราะเราจะต้องทนทุกข์ต่อไปอีกนานมาก
มีคำพูดที่คนไทยมักจะฟังจนเฝือและไม่เข้าใจคือ พระมักจะบอกว่า
การเกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนานั้นมันยากแสนยาก หากไม่สนใจการปฏิบัติธรรมแล้วก็จะเสียชาติเกิด ซึ่งเป็นความจริงอย่างมาก
แต่คนส่วนมากก็ไม่เข้าใจว่าทำไม
การจะเข้าถึงสัจธรรมได้อย่างไรนั้น
ในอริยมรรคมีองค์แปดเริ่มต้นด้วยความเห็นชอบคือต้องเห็นและยอมรับว่าพระพุทธเจ้าพบสิ่งหนึ่งที่เรายังไม่รู้ไม่เห็น
และจำเป็นที่จะต้องฟังคำแนะนำของท่านว่าต้องเดินทางอย่างไรจึงจะถึงเป้าหมายนั้น
ถ้าหากไม่ยอมรับในเรื่องที่พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วก็เป็นอันหมดเรื่องพูด
เหมือนกับคนที่ไม่ยอมเชื่อว่าเราไม่ใช่เป็นเสือนะแต่เป็นคน
ถ้าไม่เชื่อก็ยินดีในความเป็นเสือต่อไป
คนฉลาดฟังแล้วจะรีบขวนขวายหาความรู้ ผู้ที่อยากถึงเป้าหมายจริง ๆ
ต้องสนใจเรื่องสมาธิวิปัสสนาภาวนาให้มากโดยเฉพาะเรื่องสติปัฏฐานสี่
ซึ่งเป็นแผนที่บอกทางที่พระพุทธเจ้าสร้างขึ้นในระยะหลัง
หลังจากที่มีประสบการณ์ในการสอนมากขึ้น จึงสามารถบอกทางที่ลัดสั้นที่สุดได้
สติปัฏฐานสี่คือทางลัดและเป็นทางเอกที่จะไปถึงพระนิพพานได้เร็ว
ในช่วงหลังของพุทธกาลนั้น พระพุทธเจ้าจะเน้นเรื่องสติปัฏฐานสี่มากกว่าเรื่องอื่น
ๆ
ผู้ที่มีบุญบารมีอยู่บ้างจะสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมตนเองจึงโชคดีที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา
ควรจะเร่งรีบหาพระหรือผู้ที่สามารถสอนเรื่องสติปัฏฐานสี่ให้ได้และพยายามเร่งรีบปฏิบัติจนบรรลุเป้าหมายอันสูงสุดโดยเร็ว
ผู้ที่ยังนิ่งนอนใจและคิดว่าตนเองไม่จำเป็นต้องศึกษาพุทธศาสนาเพราะไม่มีปัญหาชีวิต
ก็ต้องจัดอยู่ในประเภทที่น่าสมเพทและน่าสงสาร
พระพุทธองค์เรียกสังสารวัฏนี้ว่าวัฏสงสาร คือการเวียนว่ายตายเกิดนี้มันเป็นสิ่งที่น่าสงสารมาก
เพราะคนเหล่านี้ถึงแม้ตอนนี้จะไม่ถูกความทุกข์รบกวน
ที่จริงถูกความทุกข์รบกวนแล้วแต่ด้วยความโง่จึงไม่รู้
จึงใช้ชีวิตอย่างมืดมนดิ้นรนหาเลี้ยงชีพเหมือนความเป็นอยู่อย่างเสือ ไร้สาระ
ขาดแก่นสาร เป็นบุคคลที่เรียกว่า เสียชาติเกิด เพราะชาติหน้าอาจจะไม่โชคดีมาเจอศาสนาพุทธอีกก็ได้
จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างไม่จบไม่สิ้น
ผู้ที่พอเข้าใจเรื่องนี้ได้จึงไม่ควรประมาท ควรเร่งรีบศึกษาและปฏิบัติทันที
หากไม่เข้าใจสัจธรรมที่พระพุทธองค์ค้นพบแล้ว
คนเราจะไม่มีวันเข้าใจอะไรได้เลยถึงแม้จะได้ปริญญาทางโลกมากมาย
[1] เหตุผลที่แท้จริงแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าคือ
การที่ท่านได้สั่งสมบารมีที่ปราถนาจะเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้ามาแล้วอย่างมากมายนับชาติไม่ถ้วน
จนกระทั่งชาติสุดท้ายได้เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
บารมีที่ปราถนาพุทธภูมิได้ถึงความสุกงอมจนเป็นเหตุปัจจัยที่นำไปสู่การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
[2] คัดลอกจากนิยายธรรมะเรื่อง
พุทธจริยา ของวศิน อินทศระ