สัจธรรมอันสูงสุดอยู่ที่ไหน ?
หากพระนิพพานอยู่ตรงหน้าเราเหมือนกับภาพสามมิติที่ซ่อนเร้นอยู่แล้วละก็
สัจธรรมอันสูงสุดก็อยู่ที่เดียวกันกับพระนิพพาน เพราะเป็นสิ่งเดียวกัน
การจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ง่ายนั้น ผู้อ่านจะต้องไม่ลืมเรื่องเส้นผมบังภูเขา สิ่งแรกสุดที่ต้องทำเพื่อง่ายต่อการเข้าใจคือ
การเปลี่ยนคำจาก สัจธรรม เป็น ความจริง ฝรั่งใช้คำว่า truth หรือ reality และจะขอสงวนคำว่า อันสูงสุด เอาไว้ก่อน
จะพูดเรื่องความจริงเฉย ๆ
ในขณะนี้ขอผู้อ่านอย่าเพิ่งคิดไกลจนเลยเถิดไปถึงเรื่องสภาพความเป็นจริงของสังคมอันเนื่องกับปัญหาต่าง ๆ หรือ การค้นพบความจริงทางวิทยาศาสตร์ หรือ การพูดความจริงอะไรทำนองนั้น ขอให้ทุกคนมองให้ใกล้กว่านั้น ใกล้ถึงขนาดว่า ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ใครจะทำอะไรอยู่ที่ไหนก็ตาม ไม่สำคัญ ขอให้ทุกคนมองไปรอบ ๆ ตัว สิ่งที่เราเห็นที่นี่ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ คือความเป็นจริงใช่หรือไม่ มันจริงเพราะเป็นสิ่งที่เห็น ๆ กับตานี่แหละ มันจะมีอะไรที่จริงมากว่านี้หรือไม่ แต่คนเราไม่ใช่สามารถเห็นอย่างเดียว นอกจากเห็นลักษณะของรูปและสีสรรค์ต่าง ๆ แล้ว คนเรายังสามารถได้ยินเสียงต่าง ๆ ดมกลิ่นต่าง ๆ ชิมรสต่าง ๆ และยังได้รสสัมผัสต่าง ๆ ในขณะเดียวกัน ใช่หรือไม่ ฉะนั้น รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส ที่เรามีอยู่ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ คือความเป็นจริงที่เราสามารถสัมผัสได้จริง ๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องการคิดนึกหรือเพ้อฝันใด ๆ ทั้งสิ้น หากเรากำลังยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งที่เต็มไปด้วยดอกทิวลิปสีแดงอร่ามสวยงามเต็มทุ่ง และมีคนมาบอกว่า นี่มิใช่เป็นทิวลิป แต่เป็นลูกหมาพันธุ์ปักกิ่งขนปุกปุยนั่งกันเต็มทุ่ง เราก็รู้ว่า ไม่จำเป็นต้องมานั่งเถียงกับคนบ้า เพราะเห็น ๆ กันอยู่ว่ามันคืออะไรกันแน่ หรือ เรากำลังนั่งฟังเพลงโปรดของเรา มีคนมาบอกว่านี่มิใช่เสียงเพลงแต่เป็นเสียงเครื่องบิน เราก็รู้อีกว่าไม่ต้องเถียง หรือ เรากำลังลูบไล้ความอ่อนนุ่มของเสื้อไหมพรมตัวใหม่ แต่มีคนมาบอกว่าสัมผัสแล้วมันลื่นเหมือนพลาสติค เราก็รู้อีกเช่นกันว่า ไม่ต้องเถียงให้เสียเวลา
ฉะนั้น
โลกที่อยู่ข้างหน้าเราที่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้งห้านี่แหละคือ
โลกแห่งความเป็นจริง ใช่หรือไม่ สิ่งที่เราสัมผัสไม่ได้จึงยังไม่ใช่ความจริง เช่น
เรากำลังอยู่ในห้องน้ำทำธุรกิจส่วนตัว ความเป็นจริงคือ
สิ่งที่เราสัมผัสได้ด้วยประสาททั้งห้าที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราที่นี่ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้
คือ เห็นกำแพงสามด้านพร้อมประตูหนึ่งบาน อ่างอาบน้ำ ตุ่มใส่น้ำ ฝักบัว โถส้วม
กระจก ฯลฯ สิ่งที่ดมได้ในขณะนั้นคือกลิ่น เช่นกลิ่นสบู่ กลิ่นของแชมพูสระผม
กลื่นน้ำหอม กลิ่นปัสสวะหรืออุจจาระ เป็นต้น เสียงในขณะนั้นคือเสียงของน้ำฝักบัว
หรือ เสียงการตักน้ำจากตุ่มราดตัว ใครมีวิทยุก็รวมเสียงเหล่านั้น เป็นต้น
รสในขณะนั้นก็คงเป็นแต่รสของน้ำลาย ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก
นอกจากว่าใครเอาของเข้าไปกินในห้องน้ำด้วย
ส่วนความรู้สึกจากกการสัมผัสก็เกี่ยวเนื่องกับน้ำที่รดตัวบ้าง
เนื่องกับการถูสบู่บ้าง เนื่องกับการเอาผ้าเช็ดตัวบ้าง และที่แน่นอนคือ
ความรู้สึกของฝ่าเท้าที่ยืนบนพื้นของห้องน้ำ เป็นต้น
ประสบการณ์เหล่านี้อันเนื่องกับประสาทสัมผัสทั้งห้านั้นคือโลกแห่งความเป็นจริง truth หรือ reality ของเราในขณะนั้น ๆ
สิ่งที่นอกเหนือจากนั้นเป็นความคิดทั้งสิ้น
ความคิดเหล่านั้นถึงแม้จะเป็นข้อเท็จจริง
fact สักแค่ไหนก็ไม่นับว่าเป็นความจริง
truth หรือ reality ในความหมายที่กำลังพูดถึงนี้
จุดนี้เป็นเรื่องเส้นผมบังภูเขาที่ทุกคนต้องพยายามเข้าใจอย่างถ่องแท้หากต้องการเข้าใจเรื่องสัจธรรมอันสูงสุดหรือพระนิพพาน
ฉะนั้น ข้อเท็จจริง fact
ที่ว่า
มีห้องนอนอยู่ติดห้องน้ำ มีห้องนั่งเล่นอยู่ข้างล่าง มีลูกกำลังดูโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น
ถึงแม้จะเป็นเหตุการณ์ในขณะนั้น เดี๋ยวนั้นก็ตาม นั้นมิใช่เป็นความจริง truth หรือ reality ที่สัมผัสได้ด้วยประสาททั้งห้าเสียแล้ว
แต่เป็นข้อเท็จจริง fact
ที่เกิดจากการคิดจากความทรงจำซึ่งอาจจะคลาดเคลื่อนได้
คือ อาจจะเป็นเท็จ false หรือ จริง true ก็ได้ ในขณะที่เราอยู่ในห้องน้ำ
ลูกเราอาจจะอยู่ในครัวกินขนมและไม่ได้ดูโทรทัศน์อย่างที่เราคิด ฉะนั้น
การคิดเรื่องที่ไกลออกไปอีก เช่น คิดถึงลูกที่อยู่โรงเรียน
คิดถึงเหตุการณ์เมื่อวานนี้หรือเมื่อกี้นี้ หรือคิดว่าพรุ่งนี้จะทำอะไร คิดว่าคนอื่นกำลังทำอะไรคิดอะไร
โดยเฉพาะการนั่งคิดใคร่ครวญถึงความรู้ต่าง ๆ ในตำรับตำรา เช่น คิดถึง
ระบบสุริยจักรวาล พระอาทิตย์ พระจันท์ ดาวพระเคาระห์ต่างๆ อุกาบาต ดาวหาง
ตลอดจนถึงแกแลกซี่อื่น ๆ
สิ่งเหล่านี้ถึงแม้จะเป็นข้อเท็จจริงแต่มันไม่ใช่เป็นความจริง truth หรือ reality ในความหมายที่กำลังพูดถึงนี้ทั้งสิ้น
มันไม่จริงเพราะเราไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้งห้าที่นี่ในขณะนี้และเดี๋ยวนี้
ผู้ที่อยากจะเข้าใจความจริงอันสูงสุดที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว
จะต้องสามารถมองความหมายของความจริงในระดับนี้ให้ออกก่อน จะเห็นว่ามันเป็นเรื่องหญ้าปากคอก
ใกล้ตัวและง่ายที่สุดจนเรานึกไม่ถึงว่ามันแค่นี้เอง เป็นเรื่องเส้นผมบังภูเขาจริง
ๆ คนที่มองออกจะรู้และเข้าใจว่า ความจริงในความหมายนี้คือ
ความจริงที่เคลื่อนไปกับตัวเราตลอดเวลา หรือพูดให้ชัดเข้าไปอีก
คือความจริงที่เคลื่อนไปกับประสาทสัมผัสทั้งห้านั่นเอง
การมีตัวเราก็คือการมีประสาทสัมผัสทั้งห้า มิเช่นนั้นแล้วจะไม่เป็นที่นี่ขณะนี้และเดี๋ยวนี้
เมื่อเราออกจากห้องน้ำ เข้าห้องนอนแต่งตัว เรื่องราวในห้องน้ำเมื่อกี้นี้
ถึงแม้จะจริงอย่างไรก็ตาม ก็ไม่นับว่าเป็นจริงเสียแล้ว
เพราะไม่ได้อยู่ตรงหน้าเราในขณะนี้และเดี๋ยวนี้ ความจริงตรงหน้าเราเปลี่ยนอีกแล้ว
มันคือห้องนอน และทุกอย่างในห้องนอนที่เราสัมผัสได้ด้วยประสาททั้งห้า
เมื่อเราออกจากห้องนอน เดินลงกระได ห้องนอนจึงเป็นอดีตที่เพ้อฝันไปแล้ว
ไม่ใช่ความจริงเสียแล้ว สิ่งที่จริงก็คือสิ่งที่เราเห็นสัมผัสได้ในขณะที่ลงกระได
นี่แหละคือความจริงที่เคลื่อนไปกับตัวเราที่อยู่ในปัจจุบันขณะนั้น ๆ นอกเหนือจากนั้นไม่ใช่เป็นความจริง ฉะนั้น
ปัจจุบันขณะจะเปลี่ยนหรือเคลื่อนไปเรื่อยอย่างไม่หยุดยั้งเหมือนกับเข็มวินาทีของนาฬิกาแบบที่ไม่มีการหยุดเลย
เมื่อเข้าใจความจริงในระดับพื้นฐานนั้นแล้ว ก็จะสามารถโยงสู่คำว่า รูป Rupa ของพระพุทธเจ้าได้ ขอให้เข้าใจว่า
รูป
ในความหมายของพระพุทธเจ้าไม่ได้หมายแค่กายเนื้อของเราเท่านั้นแต่รวมถึงทุกอย่างอันเป็นสิ่งต่อเนื่องที่กายเนื้อนี้สัมผัสได้ด้วยประสาททั้งห้า
ตา หู จมูก ลิ้น และ กายนั้น เป็นเหมือนสะพานที่เชื่อมจักรวาลภายในคือใจกับจักรวาลภายนอก
คือ รูป[1] เสียง กลิ่น รส และสัมผัส ความหมายของคำว่า
รูป โลก จักรวาล มหาสมุทร ของพระพุทธเจ้านั้นมีความหมายเหมือนกันหมด คือ
รูปหรือภาพและสีทุกอย่างที่เห็นได้ด้วยตา เสียงทุกเสียงที่ได้ยินด้วยหู
กลิ่นทุกกลิ่นที่ดมได้ด้วยจมูก รสทุกรสที่ลิ้มได้ด้วยลิ้น
และสัมผัสทุกอย่างที่สัมผัสได้ทางผิวหนัง นี่คือความหมายของคำว่า รูป
ของพระพุทธเจ้าที่ครอบคลุมทุกอย่างในจักรวาล ไม่มีอะไรเล็ดรอดไปได้ ฉะนั้น
มหาสมุทรที่เป็นห้วงน้ำอันมหึมา หรือจักรวาลที่มีดวงดาวระยิบระยับจึงเป็นเพียงรูปหนึ่ง
sight ในรูปอันหลากหลายนับไม่ถ้วนที่เราสัมผัสได้ด้วยตาเท่านั้น
สิ่งที่เราสัมผัสได้ด้วยประสาททั้งห้าเหล่านี้นี่แหละคือที่ประกอบขึ้นมาเป็นโลกหรือจักรวาลที่อยู่หน้าเรา
ฉะนั้น คำว่ารูป โลกกับจักรวาลของพระพุทธเจ้า[2]จึงมีความหมายเหมือนกันซึ่งพระพุทธเจ้าได้ใช้แทนกันในบางโอกาส ฉะนั้น
เมื่อเอาความหมายของรูปหรือจักรวาลมาต่อเนื่องกับความจริงที่พูดถึงเบื้องต้นแล้ว
เราจะเห็นตัวร่วม คือ ความจริง truth หรือ reality ในความหมายที่อธิบายเบื้องต้นนั้นมี
ความหมายเดียวกับคำว่า รูป โลก หรือ จักรวาลของพระพุทธเจ้านั่นเอง ฉะนั้น บางครั้งพระพุทธเจ้าจะตรัสแก่สาวกของท่านว่า
หากเข้าใจ รูป เท่านั้นก็จะเข้าใจพระนิพพาน
ฉะนั้น วลีที่ว่า
ความจริงของจักรวาร
พระพุทธเจ้าจึงมิได้หมายถึงการนั่งจรวดขึ้นไปในท้องฟ้าเพื่อออกไปค้นหาความจริงอย่างที่นักวิทยาศาสตร์ทำกันจนเกร่อ
ความจริงของจักรวาลคือทุกสิ่งที่เรากำลังเห็นและสัมผัสได้ด้วยประสาททั้งห้าของเราที่นี่ในขณะนี้เดี๋ยวนี้นี่แหละ
ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำ กระได ห้องครัว ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ หรือสวนเล็กๆ ของเรา
สิ่งที่อยู่ข้างหน้าเราในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ คือ ความจริงของจักรวาล
ความจริงของจักรวาล เมื่อเราสามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันได้แล้ว
เราก็เอาคำว่า อันสูงสุด มาเติมเข้าไป
หากความจริงของจักรวาลอยู่ตรงหน้าเรานี่เอง ความจริงอันสูงสุดของจักรวาล
หรือสัจธรรมอันสูงสุดก็ต้องอยู่ตรงหน้าเรานี่เองเหมือนกัน มันจะไปอยู่ที่อื่นไม่ได้ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้อาจจะทำให้ผู้ที่มีธุลีในดวงตาแต่น้อยเข้าใจเรื่องสัจธรรมอันสูงสุดได้ทันที
อาจารย์โกวิท เขมานันทะซึ่งเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณอันใหญ่หลวงต่อดิฉัน
ในสมัยที่ท่านยังเป็นพระภิกษุอยู่ที่เกาะหาดทรายแก้ว จังหวัดสงขลานั้น
มีเด็กชายคนหนึ่งอายุราว๗-๘ ขวบ มาถามท่านอาจารย์ว่า หลวงลุง
ทำไมทุกอย่างจึงมีชื่อเล่าครับ
บางท่านฟังดูแล้วอาจจะเห็นเป็นคำถามซื่อ ๆ ของเด็ก ๆที่ไร้เดียงสา
จึงเป็นคำถามที่ไร้สาระ บางคนอาจจะคิดเลยเถิดไปว่า ถามอะไรโง่ ๆ เช่นนั้น
ทุกอย่างมันก็ต้องมีชื่อเรียก
ที่จริงแล้วคำถามซื่อ ๆ โง่ ๆ ของเด็กชายคนนี้กลับกลายเป็นคำตอบที่เป็นแก่นแท้ของศาสนาพุทธ
พูดให้ตรงจุดคือ เด็กคนนี้สามารถเห็นสัจธรรมอันสูงสุดของจักรวาลได้
เขาเห็นทุกอย่างตามที่มันเป็นจริง
เมื่อใครสามารถเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงได้แล้ว เขาจะไม่เห็น ชื่อ อันเป็นสิ่งสมมุติขึ้นมาใช้เพื่อการสื่อสาร
และนี่คือประสบการณ์ที่เด็กคนนี้ได้พบ คือความที่ทุกอย่างไม่มีชื่อในตัวของมัน
เขาจึงแปลกใจว่าทำไมผู้ใหญ่จึงตั้งชื่อให้กับทุกอย่างเพราะสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันไม่มีชื่อ เด็กคนนี้เห็นความจริงของธรรมชาติหรือ
ธรรมสัจจะ นั่นคือความเป็นอย่างนั้นเอง หรือ ตถตา ความที่ไม่มีอะไรผิดจากความเป็นอย่างนั้นเอง
อนัญถตา
ความจริงในระดับนี้แหละที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า ปรมัตถสัจจะ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เด็กคนนี้จะเห็นสัจธรรมอันสูงสุด
แต่มิได้หมายความว่าเขารู้ว่ามันคืออะไร
เปรียบเหมือนกับชาวป่าที่ไม่เคยเข้าเมืองและไม่รู้คุณค่าของทอง ถึงแม้เขาจะกินนอนอยู่บนผืนดินที่เต็มไปด้วยทอง
ทั้ง ๆ ที่เขาเห็น แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ฉันใดก็ฉันนั้น การเห็นกับการรู้ว่าอะไรเป็นอะไรเป็นสองขั้นตอนที่แตกต่างกัน
เมื่อเห็นแล้วจะต้องมีญานที่มาบอกให้รู้ว่านี่คือสัจธรรมอันสูงสุด
ญานนี้จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีการเดินตามแห่งองค์อริยมรรคอันเริ่มต้นด้วยความเห็นชอบและจบลงด้วยการทำสมาธิ
ดังนั้น ถึงแม้เด็กคนนี้เห็นสัจจธรรมอันสูงสุด
แต่เป็นการเห็นที่ยังอยู่ในแวดวงของความไม่รู้หรืออวิชชา เมื่อไม่รู้
เขาจึงไม่รู้จักรักษาสิ่งที่เขาเห็น เมื่อโตขึ้น เรียนรู้ทางโลกมากขึ้น ความคิดเริ่มซับซ้อน
และสิ่งที่เขาเคยเห็นคือสภาวะที่ทุกอย่างไม่มีชื่อนั้นก็ค่อย ๆ
จืดจางและหายไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม
ประสบการณ์ของเด็กชายผู้นี้คล้ายคลึงหรือจะเรียกว่าเหมือนก็ไม่ผิดนักกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนแก่พาหิยะเมื่อครั้งที่พาหิยะรู้สึกรีบร้อนใคร่อยากรู้แก่นธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นที่สุดทั้ง
ๆ ที่ท่านบอกให้พาหิยะคอยก่อนถึงสองครั้งเพราะท่านกำลังนำสาวกเดินบิณฑบาตรอยู่
แต่ในที่สุด พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พาหิยะว่า
พาหิยะ ขอให้เธอทำอย่างนี้นะ เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน เมื้อได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น เมื่อลิ้มรสก็สักแต่ว่ารู้รส เมื่อสัมผัสก็สักแต่ว่ารู้สัมผัส เมื่อเธอทำสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว พระนิพพานจะอยู่ไม่ไกลจากเธอเลย
พาหิยะเมื่อฟังจบก็ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ทันทีเพราะเกิดญาน ฉะนั้น
ถึงแม้เด็กคนนี้จะเห็นสัจธรรมอันสูงสุด แต่เขาก็มิได้เป็นพระอริยบุคคลแต่อย่างใดเพราะความรู้ยังไม่เกิด
ที่เล่าเรื่องนี้เพราะดิฉันต้องการให้ผู้อ่านเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่า
สัจธรรมอันสูงสุดเป็นสิ่งที่คนธรรมดาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ
สามารถเห็นได้เหมือนกับที่เด็กคนนี้ได้เห็นมาแล้ว นี่แหละที่ดิฉันได้อธิบายในบทก่อนว่าเหมือนกับภาพสามมิติที่ซ่อนอยู่ในภาพสองมิติ
แต่คนส่วนมากก็มองไม่เห็น เด็กคนนี้สามารถเห็นได้
เพราะความคิดความทรงจำของเด็กมีน้อยและไม่ซับซ้อนมากเท่ากับผู้ใหญ่
เขาจึงสามารถเห็นความไม่มีชื่อของสรรพสิ่งได้ง่าย
คือเห็นทุกอย่างตามที่มันเป็นอยู่เท่านั้น ในขณะที่ผู้ใหญ่เมื่อเห็นอะไรแล้ว
สมองแล่นก่อนและเร็วมากจึงเห็นทุกสิ่งทุกอย่างติดมากับชื่อ
และไม่ใช่ชื่ออย่างเดียว สมองยังบอกอีกว่าชื่อนั้นมันมีคุณค่าอะไรติดมาด้วย
พอรู้คุณค่าแล้ว ก็จะคิดเลยเถิดไปถึงเรื่องได้เรื่องเสีย
ยิ่งคนเรียนมากรู้มากหัวสมองยิ่งซับซ้อนเต็มไปด้วยความคิดความจำและคุณค่าที่ติดมากับมันด้วยแล้ว
จะกลายเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงต่อการเห็นอย่างซื่อ ๆ คนที่คิดแต่เรื่องได้เรื่องเสียมากเท่าไร
ก็จะยิ่งไม่มีวันเห็นสัจธรรมอันสูงสุดนี้ได้เลย อย่างไรก็ตาม
สัจธรรมอันสูงสุดหรือพระนิพพานก็คือ การสามารถเข้าถึงสภาวะที่ไม่มีชื่อของจักรวาลหรือของสิ่งต่าง
ๆ ที่เรากำลังเห็นอยู่สัมผัสอยู่ในขณะนี้นั่นเอง
ในที่สุดก็ต้องวกมาสู่เรื่องเดียวที่จำเป็นต้องรู้ต้องฝึก
คือ จะทำอย่างไรจึงจะเห็นสัจธรรมอันสูงสุดนี้ได้ คำตอบคือ
เราต้องมานั่งฝึกเรื่องสติปัฏฐานสี่หรือวิปัสสนาภาวนา คำว่า วิ แปลว่า แจ้ง หรือ
ทะลุ ปัสนา มาจาก ทัสนา คือ การเห็น รวมแล้ว แปลว่าเห็นแจ้ง
เห็นทะลุตามความเป็นจริงของมัน คือเห็นความเป็นอย่างนั้นเอง (ตถตา)
ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับเห็นความไม่มีชื่อของสรรพสิ่ง สติปัฏฐานสี่จึงเป็นขั้นตอนของการพยายามลดความซับซ้อนของการคิดการจำให้น้อยลง
การลดความซับซ้อนของจิตคือการเอาขยะออกจากจิตที่ติดมากับความคิดและความรู้สึก
เช่นขยะเกี่ยวกับเรื่องได้เรื่องเสีย
ความโกรธ อิจฉาริษยา ขยะเหล่านี้จะเอาออกไปได้ก็ด้วยการฝึกสติปัฏฐานสี่
เมื่อเอาขยะออกจากจิตได้พอสมควรแล้ว จิตจะมีความบริสุทธิ์มากขึ้นหรือบางทีเรียกว่าจิตว่างก็ได้
ความบริสุทธิ์หรือความว่างของจิตจะทำให้สามารถเห็นความบริสุทธิ์หรือความว่าง
(อนัตตา) ของสรรพสิ่ง
ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับการเห็นความไม่มีชื่อของสรรพสิ่งทั้งปวงด้วย
ผู้ที่อยากเห็นสัจธรรมอันสูงสุดควรจะเร่งรีบหาผู้รู้สอนให้ การเห็นสัจธรรมอันสูงสุดก็คือการเห็นพระนิพพานและเห็นการสิ้นทุกข์ของตนเองด้วย.
[1] รูป
ในที่นี้ใช้ในความหมายย่อย คือหมายถึงเฉพาะภาพทุกภาพที่เห็นได้ด้วยตาเท่านั้น
ฝรั่งเรียกว่า sight หรือvision ซึ่งมีความหมายต่างจาก รูป ในความหมายใหญ่ซึ่งรวม รูป
(ในความหมายย่อย) เสียง กลิ่น รส และสัมผัส
[2] ขอให้ผู้อ่านเข้าใจว่าดิฉันได้อ่านความหมายของคำว่า
รุป โลก จักรวาล มหาสมุทร ในพระไตรปิฏกมาก่อน
และเข้าใจถึงความหมายที่พระพุทธเจ้าต้องการจะสื่อ เมื่อเขียนมาถึงจุดนี้
ดิฉันจึงพูดอย่างเอาใจความและเพื่อสื่อความหมายที่ถูกต้องเท่านั้น
จึงไม่สามารถอ้างว่าอ่านจากพระไตรปิฏกเล่มไหน เพราะไม่มีเวลาที่จะค้น