บทที่หก

สัจธรรมอันสูงสุดเป็นสากล

 

การที่ดิฉันได้ค้นพบสวนโมกข์และท่านอาจารย์พุทธทาสนั้นเหมือนกับการค้นพบคบเพลิงแห่งปัญญาอันสามารถทำให้ดิฉันเข้าใจชีวิตภายในซึ่งไม่เคยรู้สึกมาก่อนหน้านั้นเลย สิ่งหนึ่งที่ท่านอาจารย์พุทธทาสได้ทิ้งเมล็ดพันธ์ไว้ในจิตใจของดิฉันคือ การพูดประสานระหว่างศาสนาโดยบอกว่าพระนิพพานนั้นที่จริงแล้วก็คือพระเจ้า (GOD) หรือต้นไม้แห่งชีวิต (the tree of life) ของศาสนาคริสต์นั่นเองและก็เป็นสิ่งเดียวกับคำว่าเต๋า (Tao) ด้วย ดิฉันต้องยอมรับว่า ดิฉันไม่เข้าใจและสงสัยเป็นอย่างมากว่าเป้าหมายของศาสนาพุทธกับศาสนาคริสต์จะไปเหมือนกันได้อย่างไร ในความเห็นของดิฉันขณะนั้นมีความไม่เชื่อมากกว่าเชื่อ ดิฉันแน่ใจว่าในหมู่ชาวพุทธในเมืองไทยอีกมากมายก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน แต่การเป็นคนไทยในวัฒนธรรมไทย การค้านผู้ใหญ่โดยเฉพาะครูบาอาจารย์เป็นสิ่งที่ไม่สมควร โดยเฉพาะอาจารย์ผู้นั้นคือท่านอาจารย์พุทธทาสผู้มีชื่อเสียงระบือไปทั่วโลก

 

วันเวลาผ่านพ้นไปพร้อมกับการเจริญเติบโตของภูมิปัญญาในตัวของดิฉันเอง ประจวบกับเหตุปัจจัยที่สำคัญคือการที่ต้องมาใช้ชีวิตครอบครัวอยู่ในอังกฤษเป็นเวลาถึง ๑๘ ปีและได้ทำงานโดยการเป็นครูสอนไท้เก็กให้กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เมล็ดพันธ์ที่ท่านอาจารย์พุทธทาสกับอาจารย์โกวิท เขมานันทะทิ้งไว้ให้ก็ได้เจริญเติบโตตามไปด้วย มาถึงบัดนี้ดิฉันไม่มีความสงสัยเหลือแม้แต่น้อยนิดว่าเป้าหมายอันสูงสุดของศาสนาพุทธกับศาสนาคริสต์นั้นต้องเหมือนกันแน่ ความมั่นใจอันเกิดจากการเห็นสัจธรรมอันสูงสุดที่อยู่เบื้องหน้านั้น ทำให้ดิฉันเกิดความกล้าหาญที่จะพูดในสิ่งที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มากทั้ง ๆ ที่มิใช่เป็นเรื่องง่ายเพราะไม่ใช่เป็นเรื่องที่คนอยากฟังเสมอไป การมาอยู่ในสังคมชาวคริสต์ทำให้ทราบว่าความคิดเรื่องการประสานศาสนาของท่านอาจารย์พุทธทาสและของอาจารย์เขมานันทะนั้นไม่ได้เป็นที่ยอมรับในสังคมส่วนกว้างของชาวคริสต์เลย การได้เห็นสังคมตะวันตกที่ดำเนินมาสู่ยุคที่สับสนเต็มไปด้วยผู้คนที่เจ็บป่วยทางจิตใจ ดิฉันจึงเห็นว่าหากสามารถทำให้ชาวตะวันตกเห็นเป้าหมายร่วมของศาสนาได้ ก็จะเป็นประโยชน์แก่เขา

 

ดิฉันคงไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้ใหม่เกินกว่าสิ่งที่อาจารย์ทั้งสองท่านได้พูดไปแล้วว่า หากมีสัจธรรมอันสูงสุดที่แท้จริงแล้ว จะต้องมีหนึ่งเดียว จะมีสองหรือสามไม่ได้ จะมาบอกว่าสัจธรรมของชาวพุทธนั้นต่างจากสัจธรรมอันสูงสุดของชาวคริสต์หรือแม้แต่ของศาสนาอื่น ๆ ไม่ได้ หากว่ามีการอ้างถึงสัจธรรมอันสูงสุดแล้วไซร้ ผู้รู้จริงเห็นจริงจะต้องเห็นในสัจธรรมอันสูงสุดเดียวกันนั้นซึ่งมีลักษณะของความเป็นสากล universal มาถึงบัดนี้ ดิฉันไม่สงสัยเลยว่า พระพุทธเจ้า ผู้เขียนบทแรกของพระคัมภีร์เก่าที่ชื่อว่า เจนนีสิส (the book of Genesis) โดยพูดเรื่อง ต้นไม้แห่งความรู้ (the tree of knowledge) และต้นไม้แห่งชีวิต (the tree of life) พระคริสต์ รวมถึงท่านเหลาจื้อ บุคคลเหล่านี้ล้วนแต่เห็นสภาวะของสัจธรรมอันสูงสุดทั้งสิ้น ไม่มีอะไรที่น่าสงสัยเลย ศาสดาเหล่านี้จึงสามารถอ้างได้เหมือนกันว่าการเกิดมาของเขาเหล่านั้นเพื่อมาปลดปล่อยให้มนุษยชาติพ้นจากการเป็นทาสของความมืดแห่งอวิชชา สิ่งที่ดิฉันสามารถให้เพิ่มเติมนอกเหนือจากที่ครูบาอาจารย์ได้ทิ้งไว้คือ พูดถึงวิธีการที่จะเข้าถึงสัจธรรมอันสูงสุดนั้น

 

การบอกทางให้คนรู้เพื่อว่าเขาจะไปได้ถึงจุดหมายที่ต้องการนั้นเป็นที่สิ่งสำคัญมากพอ ๆ กับการรู้ว่าเป้าหมายที่จะไปคืออะไร ถึงแม้จะรู้ว่าเป้าหมายอยู่ทิศนั้น ๆ แต่ถ้าคนบอกทางไม่สามารถบอกทางไปอย่างชัดเจนแล้วไซร้ คนที่อยากไปก็อาจไปไม่ถึงก็เป็นได้เพราะหลงทางเสียก่อน

 

ในบทที่แล้ว ดิฉันได้วาดรูปสามเหลี่ยมด้านเท่าซึ่งเป็นของโครงสร้างชีวิตอันแสดงให้เห็นชัดถึงเป้าหมายที่สูงสุดของชีวิตรวมถึงวิถีทางที่จะเดินไปสู่เป้าหมายนั้น จะเห็นได้ว่าโครงสร้างของชีวิตนั้นไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องเป็นของชาวพุทธเท่านั้น แต่เป็นของชีวิตทุกชีวิตในสังสารวัฏนี้ โครงสร้างของชีวิตนี้จะทำให้เห็นความแตกต่างในความสามารถของศาสดาแต่ละท่าน จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นพระคัมภีร์ไบเบิลทั้งเก่าและใหม่ หรือคัมภีร์เต๋าเต็กเก็งของท่านเหลาจื้อ ทั้งสองคัมภีร์ได้พยายามพูดเรื่องของปัญญาไว้มาก หมายความว่าได้พยายามบอกให้ผู้คนรู้ว่าในธรรมชาตินั้นมีสภาวะหนึ่งที่เป็นอมตะ ที่ภาษาพูดไม่สามารถเจาะเข้าถึงได้ คำพูดแรกในเต๋าเต็กเก็งบอกว่า “เต๋าเป็นสิ่งที่ไม่มีชื่อ สิ่งที่มีชื่อนั้นไม่ใช่เต๋า” ในบทแรกของพระคัมภีร์เก่า พระเจ้ารีบเตือนมนุษย์สองคนแรกในโลกว่า อย่าไปกินผลไม้จากต้นไม้แห่งความรู้เข้า ถ้าจะกินก็ขอให้กินจากต้นไม้แห่งชีวิต ในคัมภีร์เก่าซาม Psalms 46:10 ได้เขียนว่า “นิ่ง ๆ ไว้ และรู้ว่าฉันคือพระเจ้า” (Be still and know that I am God) ส่วนพระเยซูคริสต์นั้นถึงขนาดออกมาประกาศตนเองว่าเป็นบุตรของพระเจ้า the son of god และถ้าใครอยากจะรู้จักพระเจ้านั้นจะต้องรู้ผ่านท่าน และเน้นให้คนรักพระเจ้ามากกว่าสิ่งอื่นใด ความกล้าหาญที่โดดเด่นในระดับนี้จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อได้เห็นสัจธรรมอันสูงสุดที่แท้จริงเท่านั้น[1] การที่สัจธรรมอันสูงสุดเป็นสิ่งที่พูดไม่ได้และไม่มีภาษาพูดเข้าถึง จึงทำให้สัจธรรมนั้นสามารถคงความเป็นสากล (universal) จึงเป็นสิ่งที่ไม่แปลกเลยที่ทำไมพระศาสดาเหล่านั้นที่เกิดมาในยุคต่างกันและมาจากคนละถิ่นจะเห็นเหมือนกันไม่ได้ คำพูดของพระศาสดาในต่างยุคต่างสมัยกันเช่นนี้เท่ากับเป็นการเน้นว่าสัจธรรมอันสูงสุดต้องมีอยู่จริง ฉะนั้น คำพูดต่าง ๆ ทั้งในพระคัมภีร์ไบเบิลและเต๋าเต็กเก็งล้วนแต่จะบอกให้คนรู้ว่ามีสิ่งนั้นอยู่โดยแน่นอน แต่ความที่ภาษาเข้าถึงสัจธรรมอันสูงสุดไม่ได้ การบอกทางอย่างเด่นชัดเพื่อให้คนเข้าถึงเป้าหมายนั้นจึงมิใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะนี่เป็นการบอกทางเดินของจิตใจ ความยากจึงเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ

 

จุดนี้แหละที่พระพุทธเจ้าจึงเด่นออกมา ในขณะที่เนื้อหาของคัมภร์เต๋าเต็กเก็งเริ่มพลัดออกไปสู่ปรัชญาชีวิตที่แนบเนื่องกับธรรมชาติ เพราะสัจธรรมอันสูงสุดก็อยู่ในธรรมชาติรอบตัวเรานี่เอง และพระเยซูคริสต์ก็เน้นออกมาทางด้านศีลธรรมอันเป็นศีลธรรมในระดับที่พยายามผลักให้คนละกิเลสได้ทีละมาก ๆ เช่นเรื่องการตบแก้มซ้ายและยื่นแก้มขวาแถมไปด้วย หรือใครอยากเอาเสื้อก็แถมกางเกงไปด้วย หรือการบอกให้คนรักเพื่อนบ้านและศัตรูเหมือนกับรักตนเองนั้น สิ่งเหล่านี้มิใช่เป็นศีลธรรมระดับธรรมดา ไม่จำเป็นต้องพูดถึงการรักศัตรูหรือรักเพื่อนบ้านปากปลาร้าแต่อย่างใด จะมีคนสักกี่คนในโลกนี้ที่สามารถรักเพื่อนบ้านที่ดีพอใช้ได้เหมือนกับรักตนเอง ยิ่งในสังคมสมัยนี้ด้วยแล้ว คนอยู่บ้านติดกันอาจจะไม่ได้พูดหรือรู้จักกันเลยก็เป็นได้ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดามาก ฉะนั้น คนที่จะปฏิบัติตามศีลธรรมของพระเยซูคริสต์ได้นั้นจะต้องเป็นคนที่มีศักยภาพในตนเองหรือมีคุณธรรมสูงมากอยู่แล้วโดยธรรมชาติ เมื่อทำเช่นนั้นได้ เขาก็จะสามารถเข้าใกล้พระเจ้าได้เช่นกัน เมื่อหันกลับมาดูลักษณะของรูปสามเหลี่ยมด้านเท่าแล้ว คัมภีร์เต๋าเต็กเก็งจะเน้นที่ลูกศรกลางคือปัญญาในขณะที่คัมภีร์ไบเบิลเน้นที่ลูกศรกลางคือปัญญากับลูกศรซ้ายมือคือการใช้ศีลธรรมเพื่อให้เข้าถึงเป้าหมายสูงสุดของชีวิต   ผลจึงออกมาว่าการบอกทางที่จะให้ถึงเป้าหมายนั้นไม่ได้สัดส่วนที่พอดี การที่ไม่ได้สัดส่วนนี้จะทำให้หลงทิศได้ง่าย โดยเฉพาะผู้ที่คิดว่าจะเข้าถึงสัจธรรมโดยวิถีแห่งเต๋านั้น จะกลับกลายเป็นเรื่องเพ้อฝันและเลื่อนลอยได้อย่างง่ายดาย จะเป็นเหมือนกับเรื่องจิตว่างอันธพาลไปโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นสิ่งที่ผู้นิยมวิถีแห่งเต๋าต้องระวังอย่างมากที่สุด เพราะเต๋าเต็กเก็งไม่ได้พูดถึงวิถีทางที่จะช่วยให้คนเข้าถึงสภาวะแห่งเต๋าที่ชัดเจนแต่อย่างใด ในขณะที่การบอกทางของพระพุทธเจ้านั้นมีทั้งปัญญา ศีล และสมาธิที่ได้สัดส่วนกัน สิ่งสำคัญคือ หากสัจธรรมอันสูงสุดไม่ได้เกิดจากการเห็นสภาวะที่แท้จริงแล้วไซร้ ความคลาดเคลื่อนและผิดพลาดจะเกิดได้ง่ายมาก จะทำอย่างไรจึงจะไม่กินผลไม้จากต้นไม้แห่งความรู้และกินแต่ผลไม้แห่งชีวิต หรือจะอยู่อย่างกลมกลืนกับพระเจ้าได้อย่างไรนั้น ไม่มีคำอธิบายที่แน่ชัดว่าจะทำอย่างไร นี่คือจุดอ่อนของพระคัมภีร์ไบเบิลกับเต๋าเต็กเก็ง และจะทำให้ง่ายต่อการเข้าถึงสภาวะสูงสุดด้วยวิธีการอันธพาลคือคิดนึกเอาเอง การประพฤติศีลธรรมก็เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งเดียวเท่านั้นหาใช่ทั่งหมดไม่   การจะเห็นสัจธรรมอันสูงสุดอย่างแท้จริงได้จะต้องเกิดจากการปฏิบัติสมาธิภาวนาโดยเฉพาะวิปัสนาภาวนาจนกระทั่งผู้ปฏิบัติสามารถเข้าใจเรื่องจิตตานุปัสนาและธรรมานุปัสนาได้อย่างถ่องแท้อันเป็นผลจากการปฏิบ้ติ เมื่อจิตหยุดการซัดส่ายแล้วนั่นแหละจึงจะสามารถเห็นสภาวะของสัจธรรมที่แท้จริงได้อย่างไม่คลางแคลงและสงสัยอีกต่อไป

 

จะเห็นได้ว่าการปฏิบัติวิปัสนาภาวนาหรือสติปัฏฐานสี่นั้นไม่มีอยู่ในคัมภีร์เต๋าเต็กเก็งและคัมภีร์ไบเบิลหรือคัมภีร์อื่นใดในโลกนี้ การบอกทางเพื่อให้ถึงเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิตจากพระคัมภีร์เล่มอื่น ๆ จึงไม่เด่นชัด เมื่อแผนที่ชีวิตไม่ชัดแล้ว คนจึงหลงทางได้ง่าย และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับสถาบันคริสตจักรในขณะนี้ ความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์มีมากเท่าใดความเชื่อในเรื่องพระเจ้าก็ได้ถูกทำลายมากเท่านั้น

 

หากใครจะไปวัดสนามในที่จังหวัดนนทบุรีและไม่มีแผนที่ดี ๆ แล้ว ยังต้องหากันตาย การเดินทางของจิตใจที่จะให้เห็นสัจธรรมอันสูงสุดจึงยากยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวนักและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแผนที่ที่ละเอียดและถี่ยิบ พระพุทธเจ้าจึงเป็นศาสดาที่โดดเด่นออกมาเพราะสามารถบอกทางได้อย่างละเอียดถี่ยิบ โดยการให้คนเดินตามทางแห่งสติปัฏฐานสี่ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่นำให้คนเดินทางทางจิตใจอย่างมีกฏเกณฑ์ หากคนที่เดินตามทางของสติปัฏฐานแล้ว เขาจะสามารถเดินทางมาถึงปากประตูแห่งภูมิปัญญาอันลึกล้ำ เมื่อประตูแห่งภูมิปัญญาถูกเปิดออกแล้ว การพึ่งแผนที่หรือพระคัมภีร์ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เมื่อได้สำรวจดูประสบการณ์ของตนเองแล้ว ดิฉันสามารถบอกได้อย่างเดียวว่า หากปราศจากแผนที่ชีวิตโดยเฉพาะเรื่องสติปัฏฐานสี่ของพระพุทธเจ้าแล้วไซร้ ดิฉันคงไม่มีวันที่จะมายืนอยู่ตรงหน้าประตูแห่งภูมิปัญญานี้แน่นอน

 

 

 



[1]                มีผู้ได้ทักท้วงดิฉันว่าได้ยกย่องพระคริสต์มากเกินไปราวกับว่าท่านเป็นพระอรหันต์ การพูดเช่นนี้ ดิฉันไม่ได้หมายความว่า พระเยซู คริสต์ เป็นพระอรหันต์ พระคริสต์ได้เป็นพระอรหันต์หรือไม่นั้น ดิฉันไม่ทราบ และไม่คิดว่าจะมีใครทราบด้วยนอกจากตัวพระคริสต์เองเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเห็นสภาวะของสัจจธรรมอันสูดสุดนั้น มิได้จำกัดอยู่แต่พระอรหันต์เท่านั้น พระเสขะบุคคลในระดับชั้นสกิทาคามีและโดยเฉพาะพระอนาคามีนั้น ก็สามารถเห็นสภาวะพระนิพพานหรือสัจธรรมอันสูงสุดได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าเห็นได้ไม่ถาวรเท่านั้น ความเป็นพระอรหันต์นั้นเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นเองเมื่อเหตุปัจจัยสุกงอมเต็มที่ จะไปเร่งหรือยั้งก็ไม่ได้  คำตรัสของพระคริสต์นั้น หากผู้ใดเห็นสภาวะของสัจธรรมอันสูงสุดแล้วไซร้ จะไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าท่านนั้นต้องเห็นสภาวะของสัจธรรมอันเป็นสภาวะที่เป็นสากล ถึงแม้ท่านจะใช้ภาษาและคำพูดที่แตกต่างจากของพระพุทธเจ้าก็ตามแต่

                จุดที่ดิฉันอยากขอร้องให้ผู้อ่านที่เป็นชาวพุทธเข้าใจคือ ดิฉันกำลังอยู่อาศัยในบ้านเมืองที่ถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมชองชาวคริสต์ ถึงแม้วัฒนธรรมเหล่านี้ได้มาถึงจุดเสื่อมอย่างมากมายก็ตาม มันก็ยังเป็นสิ่งที่เขาสามารถเข้าใจและประสานได้ง่ายกว่า ข้อเท็จจริงที่ต้องยอมรับคือ พระคริสต์นั้นมีบทบาทต่อชีวิตจิตใจของคนกว่าค่อนโลก การนำจุดเด่นของพระคริสต์ขึ้นมาประกาศเพื่อให้ชาวคริสต์สามารถเชื่อมโยงกับการปฏิบติในเรื่องสติปัฏฐานสี่นั้น ย่อมมีคุณค่าแก่คนหมู่มากอย่างทันตาเห็น หากผู้ใดมีความปราถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์โดยไม่เลือกเผ่าพันธุ์เชื้อชาติและสีผิวแล้วไซร้ เขาผู้นั้นก็จะต้องพยายามช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในทุกวิถีทาง

            เมื่อดิฉันได้มองสังคมตะวันตกในยุคนี้แล้ว ดิฉันเห็นว่า การพยายามประกาศสัจธรรมโดยอ้างอิงอยู่กับวัฒนธรรมทางศาสนานั้น จะทำให้คนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ของสังคมขาดประโยชน์ไปอย่างน่าเสียดาย เพราะคนกลุ่มนี้ไม่สนใจที่จะเข้าหาศาสนาอยู่แล้ว จุดนี้เอง จึงทำให้ดิฉันคิดว่า การออกกำลังกายไท้เก็กซึ่งดิฉันพอมีความรู้อยู่บ้าง จะสามารถใช้เป็นพาหนะของคนยุคใหม่โดยเฉพาะในสังคมตะวันตกที่จะทำให้เขาเข้ามาฝึกสติปัฏฐานได้โดยไม่ต้องยักเยื้องและถกเถียงกันมากนัก การสอนของดิฉันนั้นนับตั้งแต่ชั้วโมงแรกที่นักศึกษาเข้ามาในห้องเรียน (dojo) ของดิฉันนั้น ดิฉันจะนำพวกเขาฝึกสติตามแนวสติปัฏฐานโดยที่เขาเหล่านั้นไม่รู้ตัวเลย หลังจากที่ทำงานนี้มา๑๒ ปีดิฉันเองก็เพิ่งเริ่มจะตระหนักว่าตนเองได้สร้างสิ่งใหม่ให้กับสังคมตะวันตกถึงแม้จะเป็นกลุ่มเล็กมากก็ตาม ลูกศิษย์ส่วนมากของดิฉันจะเข้าใจว่า เขาสามารถเข้าใจชีวิตมากขึ้นและเป็นสุขสงบขึ้นเพราะเขามาฝึกไท้เก็ก ไม่ใช่เพราะเขาเข้าใจศาสนาพุทธ ต่อเมื่อเขามาอ่านงานเขียนของดิฉัน เขาจึงทราบว่า สิ่งที่ดิฉันถ่ายทอดให้เขานั้นเป็นภูมิปัญญาของพระพุทธโดยตรง และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นนั้นเป็นเพราะเขาได้มาฝึกสติในแนวสติปัฏฐาน และไท้เก็กก็เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น ฉะนั้น การที่เขาสามารถเชื่อมโยงเรื่องพุทธธรรมและคริสต์ธรรมได้นั้นจะเป็นประโยชน์แก่เขามาก

             วิธีการของดิฉันได้ทำให้ดิฉันกำลังยืนอยู่คนเดียวอย่างโดด ๆ และเป็นเป้าเปิด (open target) ให้แก่ทั้งาวพุทธและชาวคริสต์ที่ไม่เห็นด้วยกับคำพูดและวิธีการของดิฉัน ดิฉันใคร่ขอร้องให้ศาสนิกทุกฝ่ายพยายามเปิดหัวใจตนเองให้กว้างและพยายามเข้าใจในจุดยืนของดิฉันว่าทำเพื่ออะไรและเพื่อใคร