การที่ดิฉันได้ค้นพบสวนโมกข์และท่านอาจารย์พุทธทาสนั้นเหมือนกับการค้นพบคบเพลิงแห่งปัญญาอันสามารถทำให้ดิฉันเข้าใจชีวิตภายในซึ่งไม่เคยรู้สึกมาก่อนหน้านั้นเลย
สิ่งหนึ่งที่ท่านอาจารย์พุทธทาสได้ทิ้งเมล็ดพันธ์ไว้ในจิตใจของดิฉันคือ
การพูดประสานระหว่างศาสนาโดยบอกว่าพระนิพพานนั้นที่จริงแล้วก็คือพระเจ้า (GOD) หรือต้นไม้แห่งชีวิต (the tree of life) ของศาสนาคริสต์นั่นเองและก็เป็นสิ่งเดียวกับคำว่าเต๋า
(Tao) ด้วย ดิฉันต้องยอมรับว่า
ดิฉันไม่เข้าใจและสงสัยเป็นอย่างมากว่าเป้าหมายของศาสนาพุทธกับศาสนาคริสต์จะไปเหมือนกันได้อย่างไร
ในความเห็นของดิฉันขณะนั้นมีความไม่เชื่อมากกว่าเชื่อ
ดิฉันแน่ใจว่าในหมู่ชาวพุทธในเมืองไทยอีกมากมายก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน
แต่การเป็นคนไทยในวัฒนธรรมไทย
การค้านผู้ใหญ่โดยเฉพาะครูบาอาจารย์เป็นสิ่งที่ไม่สมควร โดยเฉพาะอาจารย์ผู้นั้นคือท่านอาจารย์พุทธทาสผู้มีชื่อเสียงระบือไปทั่วโลก
วันเวลาผ่านพ้นไปพร้อมกับการเจริญเติบโตของภูมิปัญญาในตัวของดิฉันเอง
ประจวบกับเหตุปัจจัยที่สำคัญคือการที่ต้องมาใช้ชีวิตครอบครัวอยู่ในอังกฤษเป็นเวลาถึง
๑๘ ปีและได้ทำงานโดยการเป็นครูสอนไท้เก็กให้กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัย
เมล็ดพันธ์ที่ท่านอาจารย์พุทธทาสกับอาจารย์โกวิท
เขมานันทะทิ้งไว้ให้ก็ได้เจริญเติบโตตามไปด้วย
มาถึงบัดนี้ดิฉันไม่มีความสงสัยเหลือแม้แต่น้อยนิดว่าเป้าหมายอันสูงสุดของศาสนาพุทธกับศาสนาคริสต์นั้นต้องเหมือนกันแน่
ความมั่นใจอันเกิดจากการเห็นสัจธรรมอันสูงสุดที่อยู่เบื้องหน้านั้น
ทำให้ดิฉันเกิดความกล้าหาญที่จะพูดในสิ่งที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มากทั้ง
ๆ ที่มิใช่เป็นเรื่องง่ายเพราะไม่ใช่เป็นเรื่องที่คนอยากฟังเสมอไป
การมาอยู่ในสังคมชาวคริสต์ทำให้ทราบว่าความคิดเรื่องการประสานศาสนาของท่านอาจารย์พุทธทาสและของอาจารย์เขมานันทะนั้นไม่ได้เป็นที่ยอมรับในสังคมส่วนกว้างของชาวคริสต์เลย
การได้เห็นสังคมตะวันตกที่ดำเนินมาสู่ยุคที่สับสนเต็มไปด้วยผู้คนที่เจ็บป่วยทางจิตใจ
ดิฉันจึงเห็นว่าหากสามารถทำให้ชาวตะวันตกเห็นเป้าหมายร่วมของศาสนาได้
ก็จะเป็นประโยชน์แก่เขา
ดิฉันคงไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้ใหม่เกินกว่าสิ่งที่อาจารย์ทั้งสองท่านได้พูดไปแล้วว่า
หากมีสัจธรรมอันสูงสุดที่แท้จริงแล้ว จะต้องมีหนึ่งเดียว จะมีสองหรือสามไม่ได้ จะมาบอกว่าสัจธรรมของชาวพุทธนั้นต่างจากสัจธรรมอันสูงสุดของชาวคริสต์หรือแม้แต่ของศาสนาอื่น
ๆ ไม่ได้ หากว่ามีการอ้างถึงสัจธรรมอันสูงสุดแล้วไซร้
ผู้รู้จริงเห็นจริงจะต้องเห็นในสัจธรรมอันสูงสุดเดียวกันนั้นซึ่งมีลักษณะของความเป็นสากล
universal มาถึงบัดนี้
ดิฉันไม่สงสัยเลยว่า พระพุทธเจ้า ผู้เขียนบทแรกของพระคัมภีร์เก่าที่ชื่อว่า
เจนนีสิส (the book of Genesis) โดยพูดเรื่อง ต้นไม้แห่งความรู้ (the tree of knowledge) และต้นไม้แห่งชีวิต (the tree of life) พระคริสต์ รวมถึงท่านเหลาจื้อ
บุคคลเหล่านี้ล้วนแต่เห็นสภาวะของสัจธรรมอันสูงสุดทั้งสิ้น
ไม่มีอะไรที่น่าสงสัยเลย ศาสดาเหล่านี้จึงสามารถอ้างได้เหมือนกันว่าการเกิดมาของเขาเหล่านั้นเพื่อมาปลดปล่อยให้มนุษยชาติพ้นจากการเป็นทาสของความมืดแห่งอวิชชา
สิ่งที่ดิฉันสามารถให้เพิ่มเติมนอกเหนือจากที่ครูบาอาจารย์ได้ทิ้งไว้คือ
พูดถึงวิธีการที่จะเข้าถึงสัจธรรมอันสูงสุดนั้น
การบอกทางให้คนรู้เพื่อว่าเขาจะไปได้ถึงจุดหมายที่ต้องการนั้นเป็นที่สิ่งสำคัญมากพอ
ๆ กับการรู้ว่าเป้าหมายที่จะไปคืออะไร ถึงแม้จะรู้ว่าเป้าหมายอยู่ทิศนั้น ๆ
แต่ถ้าคนบอกทางไม่สามารถบอกทางไปอย่างชัดเจนแล้วไซร้
คนที่อยากไปก็อาจไปไม่ถึงก็เป็นได้เพราะหลงทางเสียก่อน
ในบทที่แล้ว ดิฉันได้วาดรูปสามเหลี่ยมด้านเท่าซึ่งเป็นของโครงสร้างชีวิตอันแสดงให้เห็นชัดถึงเป้าหมายที่สูงสุดของชีวิตรวมถึงวิถีทางที่จะเดินไปสู่เป้าหมายนั้น
จะเห็นได้ว่าโครงสร้างของชีวิตนั้นไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องเป็นของชาวพุทธเท่านั้น
แต่เป็นของชีวิตทุกชีวิตในสังสารวัฏนี้
โครงสร้างของชีวิตนี้จะทำให้เห็นความแตกต่างในความสามารถของศาสดาแต่ละท่าน
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นพระคัมภีร์ไบเบิลทั้งเก่าและใหม่
หรือคัมภีร์เต๋าเต็กเก็งของท่านเหลาจื้อ
ทั้งสองคัมภีร์ได้พยายามพูดเรื่องของปัญญาไว้มาก
หมายความว่าได้พยายามบอกให้ผู้คนรู้ว่าในธรรมชาตินั้นมีสภาวะหนึ่งที่เป็นอมตะ
ที่ภาษาพูดไม่สามารถเจาะเข้าถึงได้ คำพูดแรกในเต๋าเต็กเก็งบอกว่า เต๋าเป็นสิ่งที่ไม่มีชื่อ
สิ่งที่มีชื่อนั้นไม่ใช่เต๋า ในบทแรกของพระคัมภีร์เก่า
พระเจ้ารีบเตือนมนุษย์สองคนแรกในโลกว่า อย่าไปกินผลไม้จากต้นไม้แห่งความรู้เข้า
ถ้าจะกินก็ขอให้กินจากต้นไม้แห่งชีวิต ในคัมภีร์เก่าซาม Psalms 46:10 ได้เขียนว่า นิ่ง ๆ
ไว้ และรู้ว่าฉันคือพระเจ้า (Be still and
know that I am God) ส่วนพระเยซูคริสต์นั้นถึงขนาดออกมาประกาศตนเองว่าเป็นบุตรของพระเจ้า the
son of god และถ้าใครอยากจะรู้จักพระเจ้านั้นจะต้องรู้ผ่านท่าน
และเน้นให้คนรักพระเจ้ามากกว่าสิ่งอื่นใด
ความกล้าหาญที่โดดเด่นในระดับนี้จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อได้เห็นสัจธรรมอันสูงสุดที่แท้จริงเท่านั้น[1]
การที่สัจธรรมอันสูงสุดเป็นสิ่งที่พูดไม่ได้และไม่มีภาษาพูดเข้าถึง
จึงทำให้สัจธรรมนั้นสามารถคงความเป็นสากล (universal) จึงเป็นสิ่งที่ไม่แปลกเลยที่ทำไมพระศาสดาเหล่านั้นที่เกิดมาในยุคต่างกันและมาจากคนละถิ่นจะเห็นเหมือนกันไม่ได้
คำพูดของพระศาสดาในต่างยุคต่างสมัยกันเช่นนี้เท่ากับเป็นการเน้นว่าสัจธรรมอันสูงสุดต้องมีอยู่จริง
ฉะนั้น คำพูดต่าง ๆ
ทั้งในพระคัมภีร์ไบเบิลและเต๋าเต็กเก็งล้วนแต่จะบอกให้คนรู้ว่ามีสิ่งนั้นอยู่โดยแน่นอน
แต่ความที่ภาษาเข้าถึงสัจธรรมอันสูงสุดไม่ได้
การบอกทางอย่างเด่นชัดเพื่อให้คนเข้าถึงเป้าหมายนั้นจึงมิใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะนี่เป็นการบอกทางเดินของจิตใจ
ความยากจึงเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ
จุดนี้แหละที่พระพุทธเจ้าจึงเด่นออกมา ในขณะที่เนื้อหาของคัมภร์เต๋าเต็กเก็งเริ่มพลัดออกไปสู่ปรัชญาชีวิตที่แนบเนื่องกับธรรมชาติ
เพราะสัจธรรมอันสูงสุดก็อยู่ในธรรมชาติรอบตัวเรานี่เอง
และพระเยซูคริสต์ก็เน้นออกมาทางด้านศีลธรรมอันเป็นศีลธรรมในระดับที่พยายามผลักให้คนละกิเลสได้ทีละมาก
ๆ เช่นเรื่องการตบแก้มซ้ายและยื่นแก้มขวาแถมไปด้วย
หรือใครอยากเอาเสื้อก็แถมกางเกงไปด้วย
หรือการบอกให้คนรักเพื่อนบ้านและศัตรูเหมือนกับรักตนเองนั้น
สิ่งเหล่านี้มิใช่เป็นศีลธรรมระดับธรรมดา
ไม่จำเป็นต้องพูดถึงการรักศัตรูหรือรักเพื่อนบ้านปากปลาร้าแต่อย่างใด
จะมีคนสักกี่คนในโลกนี้ที่สามารถรักเพื่อนบ้านที่ดีพอใช้ได้เหมือนกับรักตนเอง
ยิ่งในสังคมสมัยนี้ด้วยแล้ว
คนอยู่บ้านติดกันอาจจะไม่ได้พูดหรือรู้จักกันเลยก็เป็นได้ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดามาก
ฉะนั้น
คนที่จะปฏิบัติตามศีลธรรมของพระเยซูคริสต์ได้นั้นจะต้องเป็นคนที่มีศักยภาพในตนเองหรือมีคุณธรรมสูงมากอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
เมื่อทำเช่นนั้นได้ เขาก็จะสามารถเข้าใกล้พระเจ้าได้เช่นกัน
เมื่อหันกลับมาดูลักษณะของรูปสามเหลี่ยมด้านเท่าแล้ว
คัมภีร์เต๋าเต็กเก็งจะเน้นที่ลูกศรกลางคือปัญญาในขณะที่คัมภีร์ไบเบิลเน้นที่ลูกศรกลางคือปัญญากับลูกศรซ้ายมือคือการใช้ศีลธรรมเพื่อให้เข้าถึงเป้าหมายสูงสุดของชีวิต
ผลจึงออกมาว่าการบอกทางที่จะให้ถึงเป้าหมายนั้นไม่ได้สัดส่วนที่พอดี
การที่ไม่ได้สัดส่วนนี้จะทำให้หลงทิศได้ง่าย
โดยเฉพาะผู้ที่คิดว่าจะเข้าถึงสัจธรรมโดยวิถีแห่งเต๋านั้น จะกลับกลายเป็นเรื่องเพ้อฝันและเลื่อนลอยได้อย่างง่ายดาย
จะเป็นเหมือนกับเรื่องจิตว่างอันธพาลไปโดยไม่รู้ตัว
นี่เป็นสิ่งที่ผู้นิยมวิถีแห่งเต๋าต้องระวังอย่างมากที่สุด
เพราะเต๋าเต็กเก็งไม่ได้พูดถึงวิถีทางที่จะช่วยให้คนเข้าถึงสภาวะแห่งเต๋าที่ชัดเจนแต่อย่างใด
ในขณะที่การบอกทางของพระพุทธเจ้านั้นมีทั้งปัญญา ศีล และสมาธิที่ได้สัดส่วนกัน
สิ่งสำคัญคือ หากสัจธรรมอันสูงสุดไม่ได้เกิดจากการเห็นสภาวะที่แท้จริงแล้วไซร้
ความคลาดเคลื่อนและผิดพลาดจะเกิดได้ง่ายมาก
จะทำอย่างไรจึงจะไม่กินผลไม้จากต้นไม้แห่งความรู้และกินแต่ผลไม้แห่งชีวิต
หรือจะอยู่อย่างกลมกลืนกับพระเจ้าได้อย่างไรนั้น ไม่มีคำอธิบายที่แน่ชัดว่าจะทำอย่างไร
นี่คือจุดอ่อนของพระคัมภีร์ไบเบิลกับเต๋าเต็กเก็ง
และจะทำให้ง่ายต่อการเข้าถึงสภาวะสูงสุดด้วยวิธีการอันธพาลคือคิดนึกเอาเอง
การประพฤติศีลธรรมก็เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งเดียวเท่านั้นหาใช่ทั่งหมดไม่
การจะเห็นสัจธรรมอันสูงสุดอย่างแท้จริงได้จะต้องเกิดจากการปฏิบัติสมาธิภาวนาโดยเฉพาะวิปัสนาภาวนาจนกระทั่งผู้ปฏิบัติสามารถเข้าใจเรื่องจิตตานุปัสนาและธรรมานุปัสนาได้อย่างถ่องแท้อันเป็นผลจากการปฏิบ้ติ
เมื่อจิตหยุดการซัดส่ายแล้วนั่นแหละจึงจะสามารถเห็นสภาวะของสัจธรรมที่แท้จริงได้อย่างไม่คลางแคลงและสงสัยอีกต่อไป
จะเห็นได้ว่าการปฏิบัติวิปัสนาภาวนาหรือสติปัฏฐานสี่นั้นไม่มีอยู่ในคัมภีร์เต๋าเต็กเก็งและคัมภีร์ไบเบิลหรือคัมภีร์อื่นใดในโลกนี้ การบอกทางเพื่อให้ถึงเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิตจากพระคัมภีร์เล่มอื่น ๆ จึงไม่เด่นชัด เมื่อแผนที่ชีวิตไม่ชัดแล้ว คนจึงหลงทางได้ง่าย และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับสถาบันคริสตจักรในขณะนี้ ความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์มีมากเท่าใดความเชื่อในเรื่องพระเจ้าก็ได้ถูกทำลายมากเท่านั้น
หากใครจะไปวัดสนามในที่จังหวัดนนทบุรีและไม่มีแผนที่ดี ๆ แล้ว ยังต้องหากันตาย
การเดินทางของจิตใจที่จะให้เห็นสัจธรรมอันสูงสุดจึงยากยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวนักและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแผนที่ที่ละเอียดและถี่ยิบ
พระพุทธเจ้าจึงเป็นศาสดาที่โดดเด่นออกมาเพราะสามารถบอกทางได้อย่างละเอียดถี่ยิบ
โดยการให้คนเดินตามทางแห่งสติปัฏฐานสี่ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่นำให้คนเดินทางทางจิตใจอย่างมีกฏเกณฑ์
หากคนที่เดินตามทางของสติปัฏฐานแล้ว
เขาจะสามารถเดินทางมาถึงปากประตูแห่งภูมิปัญญาอันลึกล้ำ
เมื่อประตูแห่งภูมิปัญญาถูกเปิดออกแล้ว
การพึ่งแผนที่หรือพระคัมภีร์ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป
เมื่อได้สำรวจดูประสบการณ์ของตนเองแล้ว ดิฉันสามารถบอกได้อย่างเดียวว่า
หากปราศจากแผนที่ชีวิตโดยเฉพาะเรื่องสติปัฏฐานสี่ของพระพุทธเจ้าแล้วไซร้
ดิฉันคงไม่มีวันที่จะมายืนอยู่ตรงหน้าประตูแห่งภูมิปัญญานี้แน่นอน
[1] มีผู้ได้ทักท้วงดิฉันว่าได้ยกย่องพระคริสต์มากเกินไปราวกับว่าท่านเป็นพระอรหันต์
การพูดเช่นนี้ ดิฉันไม่ได้หมายความว่า พระเยซู คริสต์ เป็นพระอรหันต์
พระคริสต์ได้เป็นพระอรหันต์หรือไม่นั้น ดิฉันไม่ทราบ
และไม่คิดว่าจะมีใครทราบด้วยนอกจากตัวพระคริสต์เองเท่านั้น อย่างไรก็ตาม
การเห็นสภาวะของสัจจธรรมอันสูดสุดนั้น มิได้จำกัดอยู่แต่พระอรหันต์เท่านั้น
พระเสขะบุคคลในระดับชั้นสกิทาคามีและโดยเฉพาะพระอนาคามีนั้น
ก็สามารถเห็นสภาวะพระนิพพานหรือสัจธรรมอันสูงสุดได้เช่นกัน
เพียงแต่ว่าเห็นได้ไม่ถาวรเท่านั้น
ความเป็นพระอรหันต์นั้นเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นเองเมื่อเหตุปัจจัยสุกงอมเต็มที่
จะไปเร่งหรือยั้งก็ไม่ได้
คำตรัสของพระคริสต์นั้น หากผู้ใดเห็นสภาวะของสัจธรรมอันสูงสุดแล้วไซร้
จะไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าท่านนั้นต้องเห็นสภาวะของสัจธรรมอันเป็นสภาวะที่เป็นสากล
ถึงแม้ท่านจะใช้ภาษาและคำพูดที่แตกต่างจากของพระพุทธเจ้าก็ตามแต่
จุดที่ดิฉันอยากขอร้องให้ผู้อ่านที่เป็นชาวพุทธเข้าใจคือ
ดิฉันกำลังอยู่อาศัยในบ้านเมืองที่ถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมชองชาวคริสต์
ถึงแม้วัฒนธรรมเหล่านี้ได้มาถึงจุดเสื่อมอย่างมากมายก็ตาม
มันก็ยังเป็นสิ่งที่เขาสามารถเข้าใจและประสานได้ง่ายกว่า
ข้อเท็จจริงที่ต้องยอมรับคือ พระคริสต์นั้นมีบทบาทต่อชีวิตจิตใจของคนกว่าค่อนโลก
การนำจุดเด่นของพระคริสต์ขึ้นมาประกาศเพื่อให้ชาวคริสต์สามารถเชื่อมโยงกับการปฏิบติในเรื่องสติปัฏฐานสี่นั้น
ย่อมมีคุณค่าแก่คนหมู่มากอย่างทันตาเห็น
หากผู้ใดมีความปราถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์โดยไม่เลือกเผ่าพันธุ์เชื้อชาติและสีผิวแล้วไซร้
เขาผู้นั้นก็จะต้องพยายามช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในทุกวิถีทาง
เมื่อดิฉันได้มองสังคมตะวันตกในยุคนี้แล้ว ดิฉันเห็นว่า
การพยายามประกาศสัจธรรมโดยอ้างอิงอยู่กับวัฒนธรรมทางศาสนานั้น
จะทำให้คนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ของสังคมขาดประโยชน์ไปอย่างน่าเสียดาย
เพราะคนกลุ่มนี้ไม่สนใจที่จะเข้าหาศาสนาอยู่แล้ว จุดนี้เอง จึงทำให้ดิฉันคิดว่า
การออกกำลังกายไท้เก็กซึ่งดิฉันพอมีความรู้อยู่บ้าง
จะสามารถใช้เป็นพาหนะของคนยุคใหม่โดยเฉพาะในสังคมตะวันตกที่จะทำให้เขาเข้ามาฝึกสติปัฏฐานได้โดยไม่ต้องยักเยื้องและถกเถียงกันมากนัก
การสอนของดิฉันนั้นนับตั้งแต่ชั้วโมงแรกที่นักศึกษาเข้ามาในห้องเรียน (dojo) ของดิฉันนั้น
ดิฉันจะนำพวกเขาฝึกสติตามแนวสติปัฏฐานโดยที่เขาเหล่านั้นไม่รู้ตัวเลย
หลังจากที่ทำงานนี้มา๑๒
ปีดิฉันเองก็เพิ่งเริ่มจะตระหนักว่าตนเองได้สร้างสิ่งใหม่ให้กับสังคมตะวันตกถึงแม้จะเป็นกลุ่มเล็กมากก็ตาม
ลูกศิษย์ส่วนมากของดิฉันจะเข้าใจว่า
เขาสามารถเข้าใจชีวิตมากขึ้นและเป็นสุขสงบขึ้นเพราะเขามาฝึกไท้เก็ก
ไม่ใช่เพราะเขาเข้าใจศาสนาพุทธ ต่อเมื่อเขามาอ่านงานเขียนของดิฉัน เขาจึงทราบว่า
สิ่งที่ดิฉันถ่ายทอดให้เขานั้นเป็นภูมิปัญญาของพระพุทธโดยตรง และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นนั้นเป็นเพราะเขาได้มาฝึกสติในแนวสติปัฏฐาน
และไท้เก็กก็เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น ฉะนั้น
การที่เขาสามารถเชื่อมโยงเรื่องพุทธธรรมและคริสต์ธรรมได้นั้นจะเป็นประโยชน์แก่เขามาก
วิธีการของดิฉันได้ทำให้ดิฉันกำลังยืนอยู่คนเดียวอย่างโดด ๆ
และเป็นเป้าเปิด (open
target) ให้แก่ทั้งชาวพุทธและชาวคริสต์ที่ไม่เห็นด้วยกับคำพูดและวิธีการของดิฉัน
ดิฉันใคร่ขอร้องให้ศาสนิกทุกฝ่ายพยายามเปิดหัวใจตนเองให้กว้างและพยายามเข้าใจในจุดยืนของดิฉันว่าทำเพื่ออะไรและเพื่อใคร