ชาวโลกกำลังเตรียมการใหญ่โตที่จะอำลาวันสุดท้ายของศตวรรษที่
๒๐
สองพันปีกำลังจะผ่านพ้นไปหลังจากที่พระศาสดาเอกองค์หนึ่งของโลกคือ
พระคริสต์ได้เกิดมาและยอมตายเพื่อถ่ายบาปให้แก่มนุษย์ทุกคนในโลกนี้
หากท่านฟื้นคืนชีพกลับมาได้
ท่านคงจะตกใจว่าการพลีชีพของท่านนั้นมีผลน้อยมากต่อคนในยุคนี้
สถาบันคริสตจักรได้มาถึงจุดที่ผุกร่อนจนเห็นได้ชัดและไม่ได้เป็นผู้นำของสังคมดังที่ควรจะเป็นอีกต่อไป
ผู้คนปฏิเสธพระเจ้าองค์ที่พระคริสต์พยายามจะนำไปถึง
และแสวงหาพระเจ้าองค์ใหม่ที่มีอำนาจในการซื้อ
การพองตัวของลัทธิบริโภคนิยมและยุคข่าวสารนี้ได้ทำลายขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของท้องถิ่นอันสั่งสมกันมาแต่โบราณกาล
สถาบันครอบครัวอันเป็นสถาบันหลักที่ยึดเหนี่ยวสังคมไว้กำลังระส่ำระสาย สถาบันศาสนาซึ่งควรจะเป็นที่พึ่งทางใจโดยตรงของผู้คนได้ถูกปฏิเสธและท้าทายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
จิตใจของมนุษย์ในทุกวันนี้จึงสับสนวุ่นวายและหลงทางเป็นอย่างมาก
เมื่อไม่รู้จะพึ่งอะไรก็กลับเข้าหาการเสพกามอีกจนติดอยู่ในวงกลมอันเลวร้าย (vicious circle)
ความเจ็บป่วยทางจิตใจได้ผลักดันให้คนกลุ่มหนึ่งแม้จะเป็นส่วนน้อยในสังคมตะวันตกสรรหาการอยู่รอดของจิตวิญญานอันเป็นสาเหตุให้พุทธศาสนาเริ่มเบ่งบานในสังคมตะวันตก
แต่การที่คนตะวันตกจะเจาะเข้าไปในภูมิธรรมของตะวันออกได้ลึกแค่ไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เพราะแม้แต่คนที่เติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมของชาวพุทธแล้ว
ยังรู้ว่าการเข้าถึงธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง ฉะนั้น การที่คนตะวันตกที่มิได้เติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมที่เอื้ออำนวย
จู่ ๆ
ก็จะให้เขามารับเอาความคิดและการปฏิบัติของชาวพุทธไปและจะให้เขาทำได้ดีนั้นย่อมไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย
สิ่งที่ดิฉันเห็นว่าน่าจะทำได้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมตะวันตกที่ห่อหุ้มด้วยวัฒนธรรมของคริสตศาสนาคือ
ทำให้คนสามารถเข้าใจศาสนาคริสต์ได้อย่างแท้จริง ดิฉันเห็นว่าสิ่งนี้น่าจะมีประโยชน์มากกว่า
ในความเห็นของดิฉันนั้น
ศาสนาคริสต์เป็นเพชรงามเม็ดหนึ่งที่ยังขาดการเจรนัยอย่างเต็มที่
ดังที่ดิฉันได้อธิบายในบทก่อนว่า ปัญญาในส่วนที่บอกถึงเป้าหมายของชีวิตนั้นได้มีอยู่แล้วในพระคัมภีร์ไบเบิล
ตั้งแต่ครั้งพระคัมภีร์เก่า
ผู้รู้ก็ได้บอกทางแก่มนุษย์ไว้แล้วว่าเป้าหมายของชีวิตหรือชีวิตอมตะ (eternal life) คือการกลับไปสู่อ้อมอกของพระเจ้าหรือการได้กินผลไม้จากต้นไม้แห่งชีวิต
(the tree of life) การเกิดมาของพระเยซู
คริสต์ก็เท่ากับมาตอกย้ำในเจตนารมณ์ดั้งเดิมนั้นโดยการสอนให้ทุกคนรักพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจมากกว่าสิ่งอื่นใด
สิ่งที่น่าเสียดายคือ
คำพูดอันเป็นบุคลาธิษฐานเหล่านี้ไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน
ผู้เห็นสภาวะของสัจธรรมอันสูงสุดอย่างแท้จริงและอย่างรอบคอบแล้ว
จะรู้ว่าวิถีทางที่จะเข้าสู่สภาวะธรรมที่เป็นกลาง ๆ ของธรรมชาติ (อพยากตธรรม)
นั้นยากมาก
จะต้องมีการสร้างพื้นฐานจนกระทั่งสามารถวางจิตให้เหมาะเจาะหรือมีโยนิโสมนสิการ
จึงจะสามารถหลุดเข้าสู่สภาวะธรรมที่เป็นกลางนั้นได้
ในหัวใจของดิฉันขณะนี้ไม่มีข้อสงสัยเลยว่า
สภาวะที่เป็นอพยากฤตที่ไม่มีภาษาทะลุทะลวงได้นั้นคือสภาวะเดียวกับที่ผู้รู้ทั้งหลายในคัมภีร์ไบเบิลได้รู้ได้เห็นรวมทั้งพระคริสต์ด้วย
สภาวะนี้เองที่เขาเรียกว่า พระเจ้า (God) ดังในคัมภีร์เก่าซาม
Psalms 46:10 ได้เขียนว่า นิ่ง ๆ ไว้ และรู้ว่าฉันคือพระเจ้า Be still and know that I am God ซึ่งเป็นคำพูดที่ชัดมากว่าพระเจ้าคือสภาวะจิตที่นิ่งและไม่ซัดส่าย
ปัญหาอยู่ที่ว่า
ถึงแม้เป้าหมายอันสูงสุดได้บ่งบอกอย่างเด่นชัดสักแค่ไหนก็ตาม
แต่ก็เป็นความชัดเจนในหมู่ผู้รู้จริงเท่านั้น
ผู้ไม่รู้นั้นจะไม่เข้าใจว่าพระเจ้าคืออะไรแน่นอน ฉะนั้นถึงแม้ภูมิปัญญาจะมีอยู่
แต่เมื่อวิถีทางเข้าถึงเป้าหมายไม่ชัดเจนแล้วก็มีประโยชน์น้อยมากเช่นกัน
นี่คือจุดอ่อนของศาสนาคริสต์ วิถีทางเดียวที่จะเข้าถึงพระเจ้าได้คือ
การทุ่มเทศรัทธาและเชื่อในความมีอยู่เป็นอยู่ของพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ แต่ความเชื่อในพระเจ้ากับการเห็นพระเจ้าในฐานะที่เป็นสัจธรรมอันสูงสุดนั้นต่างกันอย่างที่เปรียบเทียบกันไม่ได้
ความล้มเหลวของสถาบันคริสตจักรจึงเกิดขึ้นเพราะเหตุผลนี้คือ
ไม่สามารถทนต่อการพิสูจน์ของวิทยาศาสตร์ได้ เมื่อฐานคือศรัทธาเริ่มสั่นคลอน
โครงสร้างทั้งหมดของศาสนาคริสต์ก็พลอยล้มไปด้วย
เมื่อวิถีทางเข้าสู่อ้อมอกของพระเจ้าไม่ชัดแล้ว
ผู้คนจึงสร้างพระเจ้าขึ้นจากความคิดและจินตนาการของตนเอง คัมภีร์ไบเบิลจึงถูกแปล
ตีความและใช้เพื่อให้เข้ากับความต้องการของแต่ละกลุ่ม ผลคือ
ศาสนาคริสต์ซึ่งควรจะเป็นหนึ่งเดียวคือการเดินตามรอยพระบาทของพระคริสต์นั้นกลับแตกแยกออกเป็นเสี่ยง
ๆ จนกลายเป็นความขัดแย้งอย่างมากมายที่บางกลุ่มลามปามถึงขั้นการทำสงคราม
ซึ่งดูแล้วยากยิ่งที่จะกลับมารวมกันได้อีก อย่างไรก็ตาม ทางออกก็ยังมีอยู่บ้าง
ทางออกของปัญหานี้คือ
ควรนำเพชรงามเม็ดนี้มาเจรนัยอีกครั้งหนึ่งโดยการหาวิธีการที่ชาวคริสต์สามารถเข้าหาพระเจ้าได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปรับวัฒนธรรมที่ต่างออกไป
หากว่าในโลกนี้ได้มีภูมิปัญญาที่สามารถบอกทางไปสู่พระเจ้าได้อย่างลัดที่สุดและเร็วที่สุดแล้ว
จำเป็นอีกหรือไม่ที่จะไปเลือกเดินทางอ้อมให้เสียเวลาและเสี่ยงต่อการหลงทางที่อาจจะกู่ไม่กลับอีกเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีเวลาน้อยมากอย่างมนุษย์เราทุกวันนี้
วิถีทางที่ลัดที่สุดและเร็วที่สุดนั้นคือ
เรื่องการฝึกสติปัฏฐานสี่หรือวิปัสสนาภาวนา
นี่เป็นวิถีทางเดียวที่จะทำให้ชาวคริสต์เห็นพระเจ้าในฐานะที่เป็นอมตะเป็นทั้งแสงสว่างและความจริงอันสูงสุด
วิถีทางนี้จะเป็นคำตอบโดยตรงที่จะอธิบายได้ว่า
ทำอย่างไรจึงจะไม่กินผลไม้จากต้นไม้แห่งความรู้ (the
tree of knowledge) สติปัฏฐานที่สามหรือจิตตานุปัสนาสติปัฏฐานนั้น
เมื่อใครปฏิบัติได้แล้วจะรู้ว่าเป็นขั้นตอนแห่งการสำรอกและคายออกของความรู้ทั้งหลายที่หมักหมมมาในรูปของความคิดและความทรงจำ
เมื่อสามารถอาเจียนเอาบรรดาความรู้เก่า ๆ ออกจากหัวใจและสมองได้แล้วไซร้
สภาวะจิตจะหยุดการซัดส่าย และนิ่งพอที่จะเห็นโลกแห่งความบริสุทธิ์ (innocent world) หรือโลกของพระเจ้าได้
การสังเกตเห็นโลกแห่งความบริสุทธิ์นี้แหละคือสติปัฏฐานที่สี่ หรือ
ธรรมานุปัสนาสติปัฏฐาน ฐานนี้แหละที่สามารถเข้ากับความหมายของคำพูดง่าย ๆ ที่ว่า นิ่ง ๆ
ไว้ และรู้ว่าฉันคือพระเจ้า สติปัฏฐานที่สามและที่สี่คือวิธีการที่จะรักพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ
ฐานที่สี้นี้แหละที่ผู้ปฏิบัติจะสามารถกินผลไม้จากต้นไม้แห่งชีวิต (the tree of life) ได้อันจะมีผลโดยการได้ชีวิตอมตะกลับคืนมา
หรือสามารถกลับมาอยู่อย่างรื่นรมย์ในสวนอีเดน (the
garden of Eden) ของพระเจ้าได้อีก
ดิฉันเชื่อมั่นว่า
หากชาวคริสต์สามารถที่จะเดินทางจิตใจโดยใช้แผนที่ชีวิตบอกทางของสติปัฏฐานสี่แล้วไซร้
เขาจะต้องหาพระเจ้าของเขาพบแน่นอนซึ่งเป็นพระเจ้าองค์เดียวกับพระนิพพานอันเป็นสัจธรรมอันสูงสุดนั้นเอง
ดิฉันเข้าใจดีว่า ความคิดนี้คงจะยากแก่การยอมรับในหมู่ชาวคริสต์และแม้แต่ในหมู่ชาวพุทธเองก็ตาม หากพระคริสต์สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าพระพุทธเจ้าแล้วไซร้ การบอกทางของท่านที่จะช่วยให้คนหาพระเจ้าพบนั้นอาจจะออกมาได้ตรงกับสติปัฏฐานสี่ก็ได้ ดิฉันเคยรับฟังจากอาจารย์โกวิท เขมานันทะ ว่ามีวัดแห่งหนึ่งในธิเบตได้มีคำจาลึกไว้ว่า เคยมีเด็กชายคนหนึ่งชื่อเยซูมาพักและเรียนรู้เรื่องสมาธิ เมื่อเขากลับไปสู่บ้านเมืองของเขาแล้วต่อมาก็ถูกตรึงบนกางเขนจนตายไป นักเทวะวิทยา (theologian) ชาวเยอรมันชื่อ โฮล์เจอร์ เคิสเตอรน์ (Holger Kerstern) ก็ได้พูดถึงการไปตะวันออกของพระคริสต์เช่นกัน ดิฉันได้อ่านพบในหนังสือพิพม์เดลี่ เมล์ (Daily Mail) ซึ่งตีพิพม์ในอังกฤษอันมีคอลัมน์หนึ่งที่เจ้าของคอลัมน์จะสรรหาคำตอบให้แก่ผู้ถามมา มีคนหนึ่งถามว่า บัณฑิตสามคน นั้นเดินทางมาจากประเทศไหน ? From which eastern country did the three wise men travel ?
เจ้าของคอลัมน์จึงตอบว่า ตามทฤษฏีของนักเทวะวิทยาดังกล่าวข้างต้นนั้นเชื่อว่า
บัณฑิตสามคนนั้นเป็นพระของศาสนาพุทธจากแคชเมีย อินเดีย พยายามที่จะค้นหาครูอันเป็นผู้นำทางจิตวิญาณที่ได้กลับมาเกิดใหม่ซึ่งปรากฏว่าเป็นพระเยซู
พระเยซูได้เดินทางไปอินเดียในขณะที่ท่านอายุได้ ๑๓ ปี
และกลับสู่ดินแดนปาเลสไตน์เมื่ออายุราว๒๐ปี
ซึ่งท่านก็ได้เริ่มสอนและรวบรวมสาวกเข้าด้วยกันจนถึงจุดที่ท่านถูกตรึงบนกางเขน โดยความเห็นของพระศาสดาโมฮัมเหม็ดนั้นเชื่อว่าพระคริสต์มีชีวิตรอดและได้กลับคืนสู่อินเดีย
และมีชีวิตอยู่จนกระทั่งอายุ ๑๒๐ ปี หลุมฝังศพของท่านยังคงอยู่ที่นั้น
German Theologian Holger Kersterns theory about the three wise men is that they were Buddhist monks from Kashmir, India, seeking the reincarnation of a Buddhist spiritual master, who turned out to be Jesus. Later at the age of 13, Jesus traveled to India before returning to Palestine in his late 20s, where he gathered and taught his disciples until his crucifixtion. He survived this and returned to India, spending the rest of his life there until he died at the age of 120, according to the prophet Mohammed. His tomb remains there still.
ดิฉันก็ไม่ทราบว่าสิ่งเหล่านี้จะมีข้อเท็จจริงมากเพียงใด เพราะก็เป็นเพียงทฤษฎีหนึ่งเท่านั้น หากมีมูลความจริงแล้วละก็ นี่เป็นจุดที่สามารถทำให้สองศาสนาหลักของโลกประสานกันได้อย่างกลมกลืน ดิฉันใคร่ขอร้องมา ณ. ที่นี้ว่า หากใครสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่จะเน้นข้อเท็จจริงของประวัติศาสตร์นี้ได้แล้ว จะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อชาวคริสต์
ในความเห็นส่วนตัวของดิฉันแล้ว
ไม่รู้สึกแปลกใจเลยหากมีใครบอกว่าพระคริสต์ได้รับอิทธิพลการสอนจากศาสนาพุทธ
ข้อเท็จจริงคือ
มิใช่เป็นเรื่องง่ายที่จะมานั่งพิสูจน์ถึงความเป็นมาและเป็นไปของพระคริสต์ในแง่ประวัติศาสตร์
จะสามารถตัดสินกันได้ก็จากพระคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้น เมื่อไม่นานมานี้
ดิฉันได้มีโอกาสดูรายการโทรทัศน์ของบีบีซี๒
ซึ่งเขาถกเถียงกันเรื่องของศาสนาคริสต์ในยุคที่จะเข้าสู่ปีคริสศักราช ๒๐๐๐ (millenium) ดิฉันรู้สึกแปลกใจมากที่มีคนไม่น้อยคิดว่าคัมภีร์ไบเบิลนั้นเชื่อถือไม่ได้ (unreliable) ความคิดนี้เป็นที่ยอมรับกันในคนหมู่มาก
คนจำนวนมากทีเดียวที่ไม่เชื่อในพระคัมภีร์เก่า (the
old testament) มีหนังสือมากมายที่เขียนออกมาเพื่อสนับสนุนความคิดเหล่านั้น
ดิฉันเห็นว่าหากชาวคริสต์ยังมานั่งถกเถียงกันถึงความจริงหรือไม่จริงของพระคัมภีร์ไบเบิลละก็
นับว่าเขายังอยู่ห่างไกลมากจากสัจธรรมอันสูงสุดหรือพระเจ้า
ดิฉันไม่ใช่เป็นชาวคริสต์โดยกำเนิดและยังไม่มีโอกาสได้อ่านพระคัมภีร์ไบเบิลจนหมดเล่ม
แต่ทุกครั้งที่ดิฉันเปิดอ่านพระคัมภีร์ไบเบิลนั้น ดิฉันเห็นแต่คำพูดที่พยายามชี้ให้ผู้อ่านเห็นสัจจะ
เราจะมานั่งสงสัย (doubt) ในบุคคลที่เขียนพระคัมภีร์เก่าโดยเฉพาะในบทเจนีสิส
(the book 0f Genesis) ที่พูดเรื่อง
ต้นไม้แห่งชีวิตและต้นไม้แห่งความรู้ได้อย่างไร
บุคคลผู้นั้นได้พยายามบอกชาวโลกว่ามีภูเขาที่ใหญ่และสูงมากอยู่ข้างหน้าเรานี่เอง
แต่เป็นเพราะว่ามนุษย์เราตัวเล็กมากและโง่มากจนเกินไปจนไม่สามารถเห็นภูเขาใหญ่โตที่อยู่เบื้องหน้า
แล้วจะมาหาว่าผู้พูดโกหกนั้นดูจะไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย การเถียงข้าง ๆ
คูว่าไม่มีภูเขาเป็นสิ่งที่ส่อให้เห็นถึงความโง่เขลาของมนุษย์เอง
ดิฉันอยากจะบอกว่าดิฉันไม่สงสัยในพระคัมภีร์ไบเบิลแต่อย่างใด
ดิฉันไม่สงสัยเพราะดิฉันได้เห็นสัจธรรมหรือได้เห็นภูเขามหึมาที่อยู่ข้างหน้านี้ด้วยตนเอง
พระคัมภีร์ไบเบิลได้เน้นและตอกย้ำแก่ดิฉันว่าสัจธรรมนั้นมีอยู่อย่างแน่นอน
ผู้คนไม่ควรสับสนที่จะยึดเอาพระคัมภีร์เป็นเป้าหมายในตัวมันเอง พระคัมภีร์ไบเบิลและพระไตรปิฏกนั้นเป็นเหมือนแผนที่บอกทางที่ชี้ไปสู่เป้าหมายเท่านั้น
มันไม่ใช่เป็นเป้าหมายในตัวของมันเอง
ผู้ที่จะเห็นสัจธรรมอันสูงสุดหรือพระเจ้าได้นั้น
เขาเหล่านั้นจะต้องเป็นอิสระจากพระคัมภีร์อย่างสิ้นเชิงเสียก่อน
การมีความศรัทธาในพระเจ้ากับการเห็นพระเจ้านั้นเป็นประสบการณ์สองสิ่งที่แตกต่างกันมาก
หากใครยังมีความศัรทธาในพระเจ้าหมายความว่าเขายังไม่ได้เห็นพระเจ้าองค์จริงแต่อย่างใด
หากผู้ใดได้เห็นพระเจ้าองค์จริงแล้วไซร้
เขาไม่จำเป็นต้องมีศรัทธาในพระเจ้าอีกต่อไป เขาสามารถพูดถึงสัจธรรมได้ด้วยตนเอง
เพราะเขาได้เห็นสัจธรรมนั้นแล้ว สิ่งที่ผู้คนต้องการมากที่สุดในขณะนี้คือ วิธีการ (know-how)
ที่จะช่วยให้ผู้คนสามารถค้นหาพระเจ้าองค์จริงพบ
ผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าแล้วจะเอาการปฏิบัติของชาวพุทธไปให้แก่ชาวคริสต์ได้อย่างไร
นี่คือจุดที่สำคัญของบทนี้ ผู้ปฏิบัติจะรู้ดีว่าเรื่องสติปัฏฐานนั้นเป็นเรื่องของการสร้างนิสัยใหม่ให้แก่จิต (create new mental
habit)
ที่เกื้อกูลให้คนเห็นสภาวธรรมที่เป็นกลางได้ง่ายขึ้น
ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความเป็นสากล (universal) อย่างยิ่งเหมือนกับการเรียนขับรถ
ว่ายน้ำหรือทำอาหาร ไม่ว่าจะเป็นคนชาติอะไร นับถือศาสนาอะไร
เขาก็สามารถเรียนขับรถหรือว่ายน้ำได้ การสร้างนิสัยใหม่ให้แก่จิตนั้นจึง
ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาเรื่องพิธีกรรมทางศาสนาเข้ามาพัวพันเลยก็ได้ ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นชาวคริสต์หรือชาวไหน ๆ
แม้แต่ผู้ที่ปฏิเสธศาสนาก็ตามสามารถที่จะฝึกสติปัฏฐานสี่ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องรู้ว่านี่คือเรื่องวิปัสนาภาวนาด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ยังต้องการบรรยากาศของศาสนาแล้วไซร้
ชาวคริสต์จะสามารถปรับเรื่องสติปัฏฐานเข้ากับบรรยากาศของโบสถ์และของวัฒนธรรมอันอบอุ่นที่เขาเติบโตขึ้นมาซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ยังมีความศรัทธาในพระเจ้าของตนเอง
แต่หมายความว่า วิธีการทำจะต้องชัดมากขึ้นในหมู่ครูผู้สอนก่อน
ดิฉันต้องขอเน้นเสียก่อนว่าดิฉันไม่ได้พูดเรื่องนี้จากจินตนาการอย่างเพ้อฝันและเลื่อนลอย
นี่เป็นความคิดที่ดิฉันได้ทดลองทำมาแล้วจึงเห็นความเป็นไปได้ที่สูงมาก
การสอนไท้เก็กในมหาวิทยาลัยของดิฉันนั้นเป็นการหลอกล่อให้หนุ่มสาวตะวันตกมาฝึกเรื่องสติปัฏฐานสี่โดยไม่ได้บอกให้เขารู้
ดิฉันได้ทำงานนี้คนเดียวมาสิบปีแล้ว
ปลุกปล้ำกับตนเองลองผิดลองถูกจนความคิดเหล่านี้เริ่มชัดออกมาเป็นรูปธรรมที่ดิฉันมั่นใจว่าเป็นสิ่งที่ทำได้
จึงมีความกล้าหาญพอที่จะนำเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอย่างจริงจัง
หากผู้นำทางศาสนาทั้งฝ่ายพุทธและคริสต์สามารถให้ความสนใจแก่เรื่องนี้ได้
ดิฉันเชื่อมั่นว่าคนหมู่มากจะต้องได้รับประโยชน์จากวิธีการนี้อย่างแน่นอน
แน่นอน
มันย่อมหมายความว่าทุกฝ่ายจะต้องลดทิฏฐิมานะของตนเองก่อนทั้งฝ่ายคริสต์และฝ่ายพุทธ
การพูดของดิฉันในบทนี้อาจจะทำให้ทั้งชาวพุทธและชาวคริสต์เกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ดิฉันใคร่ขอร้องให้ผู้อ่านพยายามเข้าใจในจุดยืนของดิฉัน
ดิฉันไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้เลยก็ได้เพราะเท่ากับหาเหามาใส่หัวตนเองให้ยุ่งยากเปล่า
ๆ แต่ที่ทำนั้นเพราะความปราถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์และเพื่อตอบแทนบุญคุณของพระพุทธเจ้าที่อุตส่าห์ออกมาประกาศสัจธรรมเพื่อความสุขสงบของสัตว์ทั้งหลาย
โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้วย่อมต้องการคิดว่าศาสนาของตนดีกว่าของคนอื่นอยู่ร่ำไป
ผู้มีความคิดดังกล่าวจะเจออุปสรรคในการเห็นสภาวะสัจธรรมอันสูงสุด
การพูดความจริงไม่จำเป็นว่าจะเป็นที่พอใจของคนเสมอไป
ดิฉันใคร่ขอร้องให้ทุกฝ่ายใช้สติปัญญาของตนพิจารณาเอาเอง
ดิฉันคิดว่ามนุษย์ได้เดินทางมาถึงยุคสมัยที่โลกแคบเกินกว่าที่จะแบ่งเขาแบ่งเราเสียแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โลกใบนี้กำลังถูกปัญหาและภัยต่าง ๆ คุกคามจนมนุษย์หาความสงบไม่ได้อีกต่อไป
หากมีทางใดที่สามารถประสานเพื่อช่วยเหลือแม้คนกลุ่มน้อยให้เขาได้เห็นธรรมอันประเสริฐ์ได้ก็น่าจะทำ
หากกิเลสมนุษย์สามารถที่จะปั่นให้คนทั้งโลกมาบูชาลัทธิบริโภคนิยมได้เหมือนกันหมดจนแมคโดนัลสามารถอยู่ได้ทุกหย่อมหญ้าทั่วโลกแล้ว
ทำไมคนจะมาประสานกันบนวิถีทางของสติปัฏฐานที่จะนำไปสู่สัจธรรมอันสูงสุดไม่ได้เชียวหรือ
ดิฉันเชื่อมั่นว่าผู้รู้จริงไม่ว่าจะอยู่ในศาสนาใดจะเห็นด้วยกับการพูดเพื่อประสาน
แต่ผู้ไม่รู้จริงจะมีทิฏฐิมานะถึงแม้จะไม่พูดให้แตกแยก แต่ก็ไม่ยอมรับง่าย ๆ ดิฉันได้อ่านข่าวว่า Pope John
Paul แห่งกรุงวาติกัน
องค์ปัจจุบันเห็นศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่กำลังขมขู่และบุกกรุกศาสนาคริสต์อยู่
ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากที่ท่านคิดเช่นนี้
ดิฉันไม่คิดว่าสิ่งที่พูดมาทั้งหมดนี้เป็นการข่มขู่ศาสนาคริสต์แต่อย่างใด
หากเป็นการนำเอาส่วนดีที่สุดของศาสนาคริสต์ออกมาเปิดเผยให้คนรู้ต่างหาก
เพราะหากพุทธกับคริสต์สามารถพบกันได้บนวิถีทางของสติปัฏฐานแล้วไซร้
โลกนี้จะได้เพชรเม็ดงามที่เจรนัยแล้วถึงสองเม็ดที่ผู้คนสามารถรับประโยชน์จากมันได้
ถึงแวลาแล้วที่ผู้รู้จะต้องร่วมมือกันเอาภูมิปัญญาอันเป็นแก่นแท้ที่จะนำไปสู่สัจธรรมอันสูงสุดมารวบรวมไว้
เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ผู้มีธุลีในดวงตาแต่น้อยให้เห็นพระเจ้าอันเป็นสัจธรรมที่สูงสุดได้อย่างทั่วถึงกัน.