บทที่เก้า

สติปัฏฐานสี่

 

 

 

ในแปดบทที่ผ่านมานั้น ไม่ว่าจะพูดจากแง่มุมไหนก็ตาม ดิฉันได้โยงเข้าสู่เรื่องเดียวกันหมดคือ การฝึกสติปัฎฐานสี่หรือวิปัสสนาภาวนา เพื่อผู้อ่านจะสามารถประสานเรื่องหลัก ๆ อันเกี่ยวเนื่องกับศาสนาพุทธ และสามารถเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นว่ามันเกี่ยวโยงกันอย่างไร ฉะนั้น ในบทนี้จะเป็นการพูดถึงการฝึกสติปัฏฐานสี่ซึ่งดิฉันจะเขียนจากประสบการณ์การฝึกฝนของตนเอง

 

สัมมาสติ-มิจฉาสติ

 

เมื่อพูดถึงเรื่องการฝึกสมาธินั้น หลายคนอาจจะบอกว่าตนเองมีสมาธิจิตดีโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องฝึกก็ได้ และเช่นเดียวกับการฝึกสติ  หลายคนอาจจะค้านว่าตนเองก็ไม่ได้ขาดสติแต่อย่างใด เพราะยังมีความตื่นและก็รู้เห็นอะไรต่อมิอะไรเหมือนคนธรรมดาทั่วไป จะต้องฝึกอะไรกันอีกเล่า ฉะนั้น จำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ดีว่า การมีสติของคนธรรมดาสามัญนั้นยังไม่ได้จัดเข้าเป็นสัมมาสติที่อยู่ในองค์มรรค  สติและสมาธิของคนหมู่มากในโลกนี้มีอยู่ก็จริงแต่เป็นสติที่แนบสนิทอยู่กับการแสวงหาวัตถุ material awareness  เกียรติยศ ชื่อเสียง เรื่องได้เรื่องเสีย และทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับการได้มาซึ่งสิ่งเหล่านั้น หากไม่ใช่เป็นสติที่เป็นไปเพื่อการแสวงหาวัตถุแล้ว คนยุคนี้ก็มีการทำสมาธิเพื่อให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย relaxation เป็นวิธีการรักษาโรคทางกายและจิตอย่างหนึ่ง ซึ่งคนตะวันตกทำกันมากและแม้คนตะวันออกในขณะนี้ก็นิยมเช่นกัน เช่นพูดเรื่องพลังจักรวาล เรื่องโยเร เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ก็แนบเนื่องกับการฝึกสติเพื่อให้มีสมาธิจิตเช่นกัน คนบางคนอาจจะคิดว่านี่ก็คงเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธกระมัง จุดนี้เองที่ดิฉันได้กล่าวไว้ในบทที่ห้าของหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับเรื่องการหลงทาง หากเป้าหมายของชีวิตไม่ชัดเจนในระดับต้นแล้ว วิธีการ(การรักษาศีลและการฝึกสมาธิ) หรือการแจวเรือเพื่อให้ถึงเกาะนั้นจะหลงทางได้ง่าย  เป็นสิ่งที่ต้องระวังให้ดี[1]

 

 การฝึกสติเพื่อให้ได้สมาธิจิตที่อิงกับเรื่องของโลกเช่นนี้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า มิจฉาสติ กับ มิจฉาสมาธิ คำว่า มิจฉา ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นเรื่องร้ายเสมอไป คนที่ทำงานใช้สมอง นักเขียน นักแสดง หมอผ่าตัด นักกีฬาที่ต้องฝึกฝนเตรียมตนเองเป็นปีเพื่อเข้าแข่งขันในเหตุการณ์ใหญ่ ๆ เช่นโอลิมปิค ทหารที่เฝ้าประตูพระราชวังที่ต้องยืนนิ่ง ๆ คนเหล่านี้ต้องมีสติและมีสมาธิจิตเป็นยอดเยี่ยม แต่ก็ยังจัดเป็นมิจฉาสติและมิจฉาสมาธิ นอกเสียจากว่าคนเหล่านี้กำลังฝึกสติในองค์มรรคก็อีกเรื่องหนึ่ง ที่ใช้คำว่า”มิจฉา”เพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงการเดินผิดทิศทางเท่านั้น  ในขณะที่สัมมาสติกับสัมมาสมาธิในองค์มรรคจะต้องมีความเห็นชอบเป็นเบื้องต้นกำกับอยู่ด้วยเสมอ คือมีทิศทางไปที่แน่นอน เป็นการฝึกสติที่มีจุดประสงค์เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต คือการหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิง เข้าสู่พระนิพพาน หรือเข้าสู่ความเป็นธรรมดาของชีวิต ดังคำตรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า

 

 “หนทางเป็นที่ไปอันเอกเพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ เพื่อก้าวล่วงความโศก ความคร่ำครวญ เพื่อให้ความทุกข์กายทุกข์ใจตั้งอยู่ไม่ได้ เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน คือการตั้งสติสี่อย่าง….อันจะเป็นเหตุให้ได้บรรลุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ บรรลุอรหัตผลในปัจจุบัน ถ้ายังมีเชื้อเหลือ ก็จะได้บรรลุความเป็นพระอนาคามี (ผู้ไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีก) ภายใน ๗ ปี หรือลดลงมาโดยลำดับถึงภายใน ๗ วัน”

 

ฉะนั้น ผู้ที่พร้อมจะฝึกสติปัฏฐานสี่แล้วไซร้ อย่างน้อยจะต้องมีศรัทธาที่ไม่คลอนแคลนและไม่สงสัยในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก่อนถึงแม้จะเป็นเพียงการคิดตามก็ตาม สิ่งนี้จะเป็นองค์คุณที่สำคัญมากที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติหมดสงสัยโดยการเห็นจริงตามพระพุทธเจ้าได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เคยฝึกสติและสมาธิเพื่อผลประโยชน์ต่อร่างกายหรือผู้ที่มีสมาธิจิตดีโดยธรรมชาตินั้น หากมาฝึกสติปัฏฐานแล้วไซร้ จะมีความก้าวหน้าได้เร็วกว่าผู้ที่ไม่ประสีประสาต่อเรื่องสมาธิเลย เพราะมีนิสัยแห่งจิตที่เอื้ออำนวยอยู่แล้ว

 

สติปัฏฐานคือเครื่องมือจับความเร็วของความคิด

 

ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ที่ว่า ความคิดนั้นวิ่งเข้ามาในหัวเราด้วยอัตราความเร็วสูงมากจนไม่มีเครื่องมือไหนวัดได้นอกจากปัญญาของพระพุทธเจ้า  ฉะนั้น การที่จู่ ๆ จะมานั่งดูความคิดตนเองเหมือนกับการนั่งดูรถไฟเข้าออกบนชานชาลานั้นอาจจะเป็นเรื่องยาก และผิดวิสัยของปุถุชนธรรมดาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ จะทำกันได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนทำได้ คนที่ทำได้ในครั้งพุทธกาลมีมาแล้ว เช่น พระยสะ พาหิยะ องคุลีมาร ปฏจารา และอำมาตย์ผู้ยังไม่สร่างเมา บุคคลเหล่านี้เมื่อพระพุทธเจ้าบอกทางให้แล้วก็สามารถนั่งบนชานชาลาและเห็นการเข้าออกของรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วสูงได้ทันที คือสามารถที่จะหลุดออกจากการครอบงำของความคิดได้ทันทีทันใด  ด้วยความเมตตาของพระพุทธเจ้าที่พยายามจะโปรดสัตว์โลกผู้มีความสามารถในระดับที่แตกต่างกันและโอบอุ้มจนถึงผู้ที่มีความสามารถน้อยที่สุด  ท่านจึงวางขั้นตอนให้คนได้ไต่เต้าจากเรื่องง่ายไปหายาก

 

การคิดฟุ้งและเหม่อลอยไปกับความคิดนั้นในทางศาสนาพุทธแล้วถือว่าเป็นลักษณะของการขาดสติอย่างยิ่ง นี่คือความเสียนิสัยของจิตที่จะต้องดัดและฝึกกันใหม่ และนี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหาทุกอย่างในโลกนี้ จะอธิบายอีกอย่างหนึ่งก็ได้ว่า การเหม่อลอยของจิตนั้นเกิดจากการที่ความคิดแล่นเข้ามาในจิตด้วยอัตราความเร็วที่สูงมากจนเจ้าของความคิดเห็นไม่ทัน  เมื่อเปรียบเทียบกับการวิ่งของรถไฟแล้ว คงจะไม่ใช่เป็นแค่สายด่วนธรรมดา แต่เป็นสายด่วนจี๋แบบจรวดมากกว่า  เมื่อจับมันไม่ทันก็ไม่สามารถที่จะบอกให้มันหยุดได้ การจับต้นตอของความคิดไม่ทันคือตัวอวิชชาชึ่งเป็นเหตุให้เกิดสังขาร คือลักษณะอาการที่ความคิดถูกปรุงขึ้นมาจนเกิดอาการเหม่อลอยและฟุ้งซ่าน (อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร) ฉะนั้นการจะเห็นความคิดได้นั้น จำเป็นต้องสร้างเครื่องมือที่เหมาะสมที่มีความสามารถในการจับความคิดที่วิ่งด้วยอัตราความเร็วสูงนั้นได้ หรือพยายามตัดช่วงการปรุงแต่งของสังขารให้สั้นลง การสร้างเครื่องมือให้เหมาะสมนั้นแหละคือเรื่องเดียวกับการฝึกนิสัยใหม่ที่ดีให้กับจิต นั่นคือ การฝึกสติปัฏฐานสี่

 

กายานุปัสนาสติปัฏฐาน

 

สติปัฏฐานที่หนึ่งหรือการยานุปัสนาสติปัฏฐานนั้นเป็นขั้นตอนของการเรียกสัมมาสติพื้นฐานที่ง่าย ๆ กลับคืนมาเหมือนกับที่ผู้ใหญ่เตือนสติเด็กไม่ให้กัดนิ้ว เช่น หัดให้รู้ตัวอยู่กับ ลมหายใจ หรือเรียกว่าการฝึกอานาปานสติ  หัดให้รู้สึกตัวในขณะที่เดิน หรือเรียกว่าเดินจงกรม  และการฝึกให้รู้สึกตัวในอิริยาบทย่อยในขณะที่เคลื่อนไหวไปมา เช่น การก้ม เงย เหยียด คู้ ยื่น หดแขน และมืออกไปจับโน่นถือนี่ หากรู้สึกตัวได้เฉย ๆ ก็จัดอยู่ในฐานนี้เช่นกัน การออกกำลังกายไท้เก้กก็สามารถจัดเข้าเป็นเรื่องของสติปัฏฐานที่หนึ่งนี้หากผู้สอนเข้าใจเรื่องการฝึกสติและรู้จักเน้นให้ถูกจุด สิ่งที่สำคัญในขั้นตอนนี้คือ ผู้ฝึกจะต้องหาวิธีการที่เหมาะกับจริตนิสัยของตนเอง บางคนนั่งหลับตาดูลมหายใจแล้วจะฟุ้งซ่านหรือง่วงนอนง่าย แต่เมื่อเดินจงกรมแล้วจะทำได้ดีขึ้น แต่ถึงแม้ผู้ฝึกจะให้เวลากับการนั่งหลับตาหรือเดินจงกรมวันละหนึ่งชั่วโมงก็ตามแต่ ผู้ฝึกก็ควรพยายามฝึกสติในอิริยาบทย่อยในขณะที่ใช้ชีวิตประจำวันไปด้วย โดยเฉพาะการทำงานบ้านที่ไม่ต้องใช้ความคิดมากนัก แทนที่จะปล่อยให้ความคิดเหม่อลอยเป็นการสร้างนิสัยเสียให้จิต ผู้ปฏิบัติก็ควรฝึกสติคือให้รู้ตัวกับอาการเคลื่อนไหวของตนเองไป  เมื่อทำได้เช่นนี้ จะมีความก้าวหน้าเร็วขึ้น  สิ่งเหล่านี้เป็นการปฏิบัติขั้นพื้นฐานของการสร้างนิสัยใหม่ให้กับจิตซึ่งจัดเป็นขั้นตอนที่ง่ายอยู่ แต่ผู้ปฏิบัติใหม่ ๆ จะรู้สึกว่ายากมากเพราะความคิดยังเข้ามารังควานและพาเอาจิตร่องรอยไปกับมันด้วยเสมอ กว่าจะรู้ตัวก็เหมือนกับว่าสายเสียแล้ว จุดนี้ ผู้ฝึกไม่ควรตำหนิตนเองและรู้สึกท้อถอย เพราะที่จริงแล้ว แม้ผู้ฝึกใหม่จะเหม่อลอยบ้าง บางครั้งอาจจะเหม่อลอยกับความคิดนานเกินไปในความเห็นของตนเอง แต่ที่จริงการดัดนิสัยเริ่มเกิดแล้ว สิ่งสำคัญคือทุกครั้งที่รู้ตัวว่าเหม่อลอย จะต้องหยุดกระแสความคิดนั้นทันที เมื่อทำเช่นนี้บ่อยเข้า การดัดนิสัยของจิตจะได้ผลเร็ว เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ได้ฝึกและไม่รู้เรื่องสติปัฏฐานเลย คนเหล่านั้นจะไม่รู้ตัวเอาเลย เปรียบเหมือนกับการนั่งรถไฟไปจนสุดสาย ในขณะที่ผู้ฝึกใหม่อาจจะนั่งเลยไปหลายสถานีหน่อย แต่พอรู้ตัวก็รีบลงจากรถไฟทันที  เมื่อฝึกไปนาน ๆ เข้า การนั่งเลยไปหลายสถานีจะเริ่มน้อยลง คือ การเหม่อลอยจะสั้นลง ปัจจัยที่สำคัญคือ ผู้ฝึกต้องมีศรัทธาในสิ่งที่ตนเองทำอยู่คือเชื่อว่าจะต้องได้ผลตามที่พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ เมื่อมีศรัทธาหรือมีกำลังใจแล้ว ความอุตสาหะ วิริยะ ก็จะเกิดตามมาเอง จะมีความพยายามมากขึ้น ไม่เหยาะแหยะ และแล้วความมีสติก็จะตามมาเองเป็นลูกโซ่ เมื่อมีสติก็จะมีสมาธิ และเกิดปัญญา 

 

การถกเถียงในหมู่นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายนั้นมักจะเนื่องกับฐานที่หนึ่งนี้ เพราะเป็นฐานที่มีการสอนอย่างเป็นหลักแหล่งตามวัดวาต่าง ๆ แล้วแต่ว่าผู้สอนนั้นได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้จากอาจารย์คนไหน วิธีการที่เด่น ๆ และมีคนทำกันมากคือ วิธีการแบบอานาานสติคือการดูลมหายใจ ซึ่งก็ยังมีส่วนรายละเอียดปลีกย่อย ครูบางคนก็บอกให้นับตัวเลข หนึ่ง สอง สาม ในขณะที่หายใจเข้าออก ครูบางคนก็ให้ท่องบริกรรม พุทธโธ เช่น หายใจเข้า ก็ท่องพุทธ หายใจออกก็ท่องโธ เป็นต้น  อีกวิธีการหนึ่งที่แพร่หลายคือ การดูเข้าไปที่ท้องในขณะที่หายใจ ซึ่งจะเห็นอาการพองยุบของท้อง วิธีการนี้ ครูผู้สอนมักจะเน้นให้บริกรรมไปด้วย โดยท่องว่ายุบหนอ พองหนอ ตามอาการที่เห็นการเคลื่อนไหวของท้อง  การเดินจงกรมก็เช่นกัน บางกลุ่มก็เดินเฉย ๆ เงียบ ๆ บางกลุ่มก็ต้องบริกรรม ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ เป็นต้น เป็นการยากยิ่งที่จะบอกว่า วิธีการไหนดีที่สุด เพราะผู้สอนก็ต้องสอนในสิ่งที่ตนรู้และถนัดเท่านั้น และจริตนิสัยของแต่ละคนก็แตกต่างกัน สิ่งที่จะพูดได้ในขณะนี้คือ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใดก็ตาม ฐานที่หนึ่งนี้เป็นเพียงบันไดที่จะก้าวไปสู่ฐานที่สูงขึ้นไป  หากการปฏิบัติไม่มีความก้าวหน้าแล้ว คือ ทำหลายปีแต่ก็ยังสับสน สงสัยอยู่ อาจจะเป็นไปได้ว่า ฐานที่หนึ่งที่ผู้ฝึกกำลังทำอยู่นั้นอาจจะไม่เหมาะสมกับจริตนิสัยก็ได้ ดิฉันจะวกกลับมาพูดเรื่องนี้อีกเมื่อเข้าสู่การพูดถึงฐานที่สามหรือสี่ เพราะจะเป็นเครื่องกำหนดว่า วิธีการไหนที่เหมาะสมกว่า

 

เวทนานุปัสนาสติปัฏฐาน

 

ฐานที่สองหรือเวทนานุปัสนาสติปัฏฐานจะเริ่มละเอียดขึ้น นั่นคือผู้ฝึกจะเริ่มสังเกตความรู้สึกของกายและใจซึ่งเป็นนามธรรมแล้ว คือไม่สามารถเห็นได้แต่รู้สึกได้ ความรู้สึกของกายนั้นก็เกี่ยวเนื่องกับ ร้อน เย็น หนาว อ่อน แข็ง เจ็บ ปวด เป็นต้น นอกจากนั้น เรายังมีความรู้สึกของใจ[2] ซึ่งแบ่งลักษณะกว้าง ๆ เป็นความรู้สึก สุข ทุกข์ และเฉย ๆ ดังที่เรามักได้ยินเสมอ แต่เมื่อผู้ฝึกหัดมองจริง ๆแล้ว  ความรู้สึกในจิตใจนั้นมีหน้าตามากมายซึ่งยากที่จะอธิบายให้คนรู้และเข้าใจได้ลึกซึ้งและเป็นเรื่องส่วนตัวของใครก็ของเขาอย่างแท้จริง  ฉะนั้น ถ้าเราไม่พยายามทำความเข้าใจกับความรู้สึกเหล่านี้โดยการฝึกสติแล้วละก็ เป็นการยากมากที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจเราได้เมื่อมีปัญหา   การฝึกมองความรู้สึกของใจนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้นเพราะผู้ฝึกจะเริ่มเห็นความกระวนกระวาย ความเจ็บปวดและการดิ้นรนของจิตในลักษณะที่ไม่เคยเห็นมาก่อน  และเห็นว่าความรู้สึกเหล่านี้มันไป ๆ มา ๆ  เมื่อไปทำอะไรที่สนุกตื่นเต้น ความรู้สึกก็จะฟูขึ้น หากไปพบหรือพูดกับใครที่เขาเก่งกว่าดีกว่า ก็จะเห็นความรู้สึกหดหู่ อิจฉา เป็นต้น  มันเป็นการเห็นหรือมองในลักษณะที่เหมือนกับมองดูแผลในมือตนเองเช่นนั้น คือ เริ่มมีผู้มอง (observer) กับผู้ถูกมอง (observed) แต่แผลที่ดูเป็นแผลในใจ ซึ่งไม่สามารถจะเอายาแดงหรือทิงเจอร์ใส่เหมือนกับแผลในมือ อย่างไรก็ตาม ความอดทนที่จะดูแผลสดของใจนั้น ที่จริงแล้วคือวิธีการเยียวยานั่นเอง ซึ่งในตอนแรกผู้ฝึกจะไม่รู้สึกเช่นนั้นเลย เพราะยิ่งดูก็ยิ่งเห็นความทุกข์และเห็นกิเลสตนเองมากขึ้นจนเหมือนกับว่าตนเองล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง นี่เป็นขั้นตอนที่ผู้ฝึกจะต้องเดินผ่านและมิใช่เป็นความล้มเหลวแต่อย่างใด แต่เป็นความก้าวหน้าที่ผู้ปฏิบัติจะไม่ทราบจนเมื่อผ่านขั้นตอนนั้นไปแล้ว ฉะนั้นจึงจำเป็นที่ผู้ปฏิบัติจะต้องอดทนและเชื่อมั่นว่าวิธีการพระพุทธเจ้าต้องช่วยเราได้แน่

 

เมื่อผู้ฝึกสามารถสังเกตความรู้สึกของกายและใจได้มากขึ้นแสดงว่ามีความก้าวหน้าในการฝึกฐานที่หนึ่ง ซึ่งถึงแม้กำลังฝึกฐานที่สองอยู่ ก็ไม่ได้หมายความว่าตนเองได้ละทิ้งฐานที่หนึ่งอย่างสิ้นเชิง เพียงแต่ว่าผู้ฝึกมีความไวมากขึ้นที่จะทำทั้งสองฐานแล้วแต่ความเหมาะสมของโอกาสและเหตุการณ์ เช่น กำลังนั่งดูลมหายใจตนเองอยู่ แต่ยุงมากัด รู้สึกคัน ก็ย้ายจิตมากำหนดที่ความคัน เมื่อคันหายไปแล้ว จึงหันมากำหนดที่ลมหายใจอีกทันที เป็นต้น  สองฐานแรกนี้สำคัญมากเพราะเป็นบันไดไต่เต้าไปสู่ฐานที่สาม ใครทำได้แสดงว่าจิตเริ่มละเอียดขึ้นหรือการดัดนิสัยใหม่ให้กับจิตประสบความสำเร็จมากขึ้นแต่ก็ยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก หลังจากที่ฝึกสองฐานแรกอย่างขะมักเขม้นและเอาจริงเอาจังแล้ว ด้วยความที่จิตละเอียดมากขึ้นจึงสามารถกำหนดฐานที่หนึ่งและสองได้เป็นธรรมชาติมากขึ้นจนไม่รู้สึกเหมือนกับว่าต้องฝืนมาก เพราะอะไรก็ตามที่ทำจนเป็นนิสัยแล้วจะกลายเป็นเรื่องง่าย เปรียบเหมือนกับการเรียนภาษา ฝึกพูดบ่อย ๆก็จะพูดได้เป็นธรรมชาติเอง ฉะนั้น ขอให้เข้าใจว่าแม้ผู้ฝึกกำลังจะเข้าสู่ฐานที่สามแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าได้ทิ้งฐานที่หนึ่งและสองไปแต่อย่างใด

 

รู้จักขบวนรถไฟได้สองวิธี

 

ความยุ่งยากของการฝึกฐานที่สองนี้เนื่องมาจากว่าสิ่งที่ต้องกำหนดนั้นอยู่ภายในร่างกายและไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเนื้อ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจของผู้ปฏิบัติที่เป็นปัญญาชน ดิฉันจะขอสมมุติให้ความรู้สึก (feelings and emotion) เป็น ขบวนรถไฟ และ ตัวเรา อันเป็นผู้มอง (observer) ซึ่งที่จริงแล้วคือธาตุรู้ หรือวิญญานธาตุ (consciousness or knowing nature) อันเป็นขันธ์หนึ่งในห้าขันธ์ที่ประกอบเป็นคน ๆหนึ่ง

 

คนที่ไม่เคยปฏิบัติสติปัฏฐานนั้น เขาอาจจะบอกว่าเขารู้เห็นความรู้สึกของตนเอง แต่ที่จริงการรู้เห็นของเขานั้นเปรียบเหมือนกับการขึ้นไปนั่งบนขบวนรถไฟ และเดินทางไปกับมัน มันเหมือนกับว่าเขารู้ แต่เป็นการรู้แบบมืด ๆ เหมือนนั่งในขบวนรถไฟอย่างไรก็อย่างนั้น แต่การรู้ของนักปฏิบัตินั้นจะต่างกัน คือ ผู้ฝึกจะหัดนั่งอยู่บนชานชาลาของสถานีและเฝ้าดูรถไฟวิ่งเข้าออกจากชานชาลา ฉะนั้น การรู้เห็นของนักปฏิบัตินั้นจะรู้เห็นในลักษณะที่มีผู้มอง (ธาตุรู้หรือวิญญานธาตุทำหน้าที่เป็นผู้มอง) กับ ผู้ถูกมอง (เวทนาธาตุ หรือ ความรู้สึก) การรู้เห็นของนักปฏบัติจะก่อให้เกิดปัญญาในภายหลัง เพราะมีการเห็นธรรมชาติที่เกิดดับของความรู้สึก เหมือนกับการเห็นรถไฟที่วิ่งเข้าออกจากสถานี การเห็นเช่นนี้จะสามารถทำให้เข้าใจชีวิตภายในอันเกี่ยวเนื่องกับความไม่เที่ยงของสิ่งทั้งหลาย. 

 

 



[1] ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าคนไม่ควรฝึกสิ่งเหล่านั้น หากโยเรมีประโยชน์ในแง่การรักษาโรคทางกายโดยไม่ต้องพึ่งยาแผนปัจจุบันก็น่าสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง

[2]  เมื่อพูดถึงการมองความรู้สึกจำเป็นที่จะต้องดูความรู้สึกของกายและใจควบคู่กันไป ที่จริงแล้ว ในความเห็นของดิฉันนั้น การดูความรู้สึกของใจนั้นอยากจะจัดเข้าเป็นฐานที่สามมากกว่า เพราะสถานที่ดูนั้นเป็นที่เดียวกับความคิดคือ จิตหรือใจเรานั่นเอง อย่างไรก็ตาม การเริ่มสังเกตเห็นความรู้สึกอย่าง หยาบ ๆ ของใจก็น่าจะจัดอยู่ในฐานนี้ได้เช่นกัน