เขียนโดย
ด๊อกเตอร์ไมเคิล ทอมมัส
แปลโดย ศุภวรรณ
กรีน
ผมได้พบคุณศุภวรรณครั้งแรกเมื่อปี ๑๙๙๑/๒๕๓๔ ตอนนั้น
ผมกำลังศึกษาปริญญาโทในสาขาความรู้ศาสตร์ Cognitive Science ที่มหาวิทยาลัยเบอร์มิ่งแฮม
ผมมีความสนใจในปรัชญาตะวันออกอยู่แล้ว ผมคิดว่าปรัชญาตะวันออกเป็นความเข้าใจที่แตกต่างออกไปจากความรู้ของชาวตะวันตก
(รวมทั้งวิธีการชงชาที่แสนจะเจ็บปวดด้วย!) วันหนึ่ง
ผมพยายามหาอะไรบางอย่างที่จะช่วยผ่อนคลายความเครียดจากการสะสมของความรู้ในวิชาที่ผมเรียนอยู่
และแล้ว ผมก็มาอยู่ในชั้นไท้เก็กของคุณศุภวรรณ เรียนรู้ท่ารำที่เชื่องช้าอย่างละเอียดลออ
และถูกคะยั้นคะยอให้เฝ้าดูอาการของจิต
มันช่างเป็นงานที่ยากเย็นแสนเข็ญเสียนี่กระไร! ผมคงจะมีจิตที่สามารถกระโดดไปโน่นนี่ได้เร็วกว่าใครอื่นเป็นแน่
แค่เฝ้าดูมันเท่านั้นผมก็เหนื่อยแทบจะขาดใจเพราะมันเคลื่อนเร็วเหลือเกิน
ผมได้ใช้เวลามากมายพยายามที่จะให้จิตของผมกระโดดไปในแนวทางที่ถูกต้อง
หลังจากปีหนึ่งที่เบอร์มิ่งแฮม ผมได้ย้ายไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอรด์
ซึ่งผมได้ทำปริญญาเอกในสาขาจิตวิทยาทดลอง Experimental Psychology หลังจากที่ผมได้ทำงานสอนวิชาจิตวิทยาอยู่พักหนึ่ง
ขณะนี้ผมได้เป็นนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์และกำลังค้นคว้าเรื่องความผิดปกติในด้านการพัฒนาของเด็ก
ในช่วงนี้เองที่คุณศุภวรรณได้ขอร้องให้ผมเขียนคำนำให้แก่หนังสือของเธอ
ซึ่งเธอได้เน้นให้ผมเขียนจากแง่มุมคิดของนักวิทยาศาสตร์และนักการศึกษา
ผมยินดีตอบรับในฐานะที่เธอได้ทำให้ผมเข้ามาอยู่ในวิถีทางที่ผมสามารถเฝ้าดูความคิดของตนเองได้
ในฐานะที่ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ ผมยอมรับว่าอดที่จะปกป้องวิทยาศาสตร์ไม่ได้
เพราะมันเป็นวิธีการที่สามารถทำให้เราค้นพบเพนนิซิลินไปจนถึงการสร้างระเบิดนิวเคลียร์
ณ.จุดนี้เองที่ผมคิดว่ามันจะต้องมีเส้นแบ่งเขตดังที่คุณศุภวรรณได้เขียนบอกไว้ในหนังสือของเธอ
เธอบอกว่าเราไม่ควรทำสมาธิโดยไม่คำนึงถึงเรื่องศีลธรรมและปัญญา ในทำนองเดียวกัน
ผมคิดว่าเราไม่ควรเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยไม่คำนึงถึงเรื่องศีลธรรมเช่นกัน
คุณศุภวรรณอาจจะแปลกใจก็ได้
เมื่อผมพูดว่าที่จริงแล้วเธอได้ถ่ายทอดความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ในงานเขียนของเธอ
ผมเชื่อว่าหากพระนิพพานสามารถไปถึงได้ด้วยการปฏิบัติโดยใช้เทคนิคทางร่างกายและจิตใจแล้วไซร้
วิธีการดังกล่าวไม่ได้อยู่นอกขอบข่ายของวิทยาศาสตร์เลย นั่นคือ
วิทยาศาสตร์อาจจะเป็นสิ่งที่เข้ากันได้และเป็นสิ่งเกื้อหนุนต่อการที่จะเข้าถึงการตรัสรู้
ก่อนอื่น จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้อ่านจะต้องเข้าใจถึงบทบาทของวิทยาศาสตร์
เป้าหมายของวิทยาศาสตร์คือความสามารถที่จะอธิบายถึงโครงสร้างของโลกโดยที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน
แต่ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานั้น วิทยาศาสตร์ได้เล่นแต่บทบาทของการทำนาย
และควบคุมสภาพแวดล้อมเพื่อว่ามนุษย์สามารถจะอยู่กันได้ง่ายขึ้น
จิตวิทยายุคใหม่เป็นวิทยาศาสตร์ของชีวิตในส่วนจิตใจ
เป็นที่น่าสนใจว่าจุดกำเนิดของการศึกษาวิชานี้เน้นไปที่ประสบการณ์ภายใน internal
experience เป็นอย่างมาก
ในปัจจุบันนี้เรียกว่า
ศาสตร์แห่งการคิดใคร่ครวญ Introspectionism ซึ่งเป็นความคิดที่เริ่มเบ่งบานเมื่อราวต้นศตวรรษที่แล้ว
(๑๙๐๐) จุดประสงค์ของวิชานี้คือต้องการสร้างวิทยาศาสตร์ของจิตใจ a science
of the mind ที่สามารถเรียนรู้ได้ในวิธีการเดียวกันกับการศึกษาวิชาเคมี
นั่นคือ จำเป็นต้องหาโครงสร้างของชีวิตภายใน แทนที่จะหาโครงสร้างของสสารที่เป็นวัตถุ
นั่นคือ นักจิตศาสตร์ต้องการค้นหาธาตุพื้นฐานที่ก่อให้เกิดประสบการณ์ เช่น
การรู้รสของมะนาว การเห็นสีของดอกกุหลาบ เป็นต้น นอกจากนั้น
เขายังต้องการค้นหาว่าจะมีกฏธรรมชาติอะไรหรือไม่ที่สามารถทำให้ธาตุเหล่านี้รวมตัวกันได้และสร้างประสบการณ์ที่ซับซ้อนมากขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตามวิชานี้ (Introspectionism) จำเป็นต้องล้มพับไปเพียงยี่สิบปีหลังจากนั้น
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? เหตุผลนั้นมีอยู่ข้อเดียวคือ
เพราะไม่มีทางที่จะตกลงกันได้ว่าประสบการณ์นั้น ๆ เป็นอย่างไร
เพราะประสบการณ์ของแต่ละคนก็เป็นของคน ๆ นั้น
มันไม่สามารถที่จะนำออกมาพิสูจน์ได้อย่างเปิดเผย ฉะนั้น
จึงไม่มีทางที่จะตัดสินได้ว่า การอธิบายประสบการณ์ของใครที่ถูกต้องอย่างแท้จริง
หลังจากนั้น นักวิทยาศาสตร์แห่งจิตใจจึงตกลงกันว่าหลักฐานต่าง ๆ
ที่จะเอามาใช้ในทฤษฎีของเขานั้นจะต้องเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของคนทุกคนเท่านั้น
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา วิชาจิตวิทยาจึงหันมาเน้นเรื่องพฤติกรรมของมนุษย์
เมื่อไม่นานมานี้เอง
ได้มีการค้นพบเทคโนโลยี่ที่ทำให้เราสามารถมองเห็นการทำงานของสมองในขณะที่กำลังใช้ความคิดอยู่
วิยาการนี้จึงได้กลายเป็นแหล่งที่นักจิตวิทยาสามารถหาหลักฐานมายืนยันกันได้
ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จึงมองดูจิตใจด้วยการคิดจากภายนอก ทุกวันนี้
เราจึงดูสมองเป็นเสมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่ง
และจิตใจเป็นเหมือนกับโปรแกรมที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์นี้ทำงาน และแล้ว
เราก็ตั้งคำถามในทำนองว่า โปรแกรม (จิตใจ) นี้ได้ทำให้คนประพฤติอย่างไรในแง่ของกายภาพและสังคมที่เขากำลังประสบอยู่
และ การวิวัฒนาการ evolution สามารถสร้างคอมพิเตอร์
(สมอง) ได้อย่างไร เป็นต้น เมื่อผมได้อ่านเรื่องสติปัฏฐานสี่นั้น
ความคิดสองอย่างที่น่าสนใจได้เกิดขึ้นในจิตใจของผม คือ ๑)
ถึงแม้ว่าการรู้แจ้งเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล
แต่ที่จริงแล้วมันสามารถพิสูจน์ได้ในแง่ที่ว่าหากทุกคนสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องแล้วไซร้
เขาก็จะบรรลุถึงเป้าหมายนั้นเหมือนกันหมด
ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็ได้เกิดขึ้นจริงในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา ฉะนั้น
ถ้าพูดกันในแง่นี้แล้ว การรู้แจ้งเห็นจริงหรือการตรัสรู้ enlightenment จึงเป็นวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง ๒)
เรื่องสติปัฏฐานสี่ชี้ให้ผมเห็นถึงความแตกต่างในเป้าประสงค์ระหว่างวิทยาศาสตร์กับการปฏิบัติของชาวพุทธ
มันอาจจะชัดมากขึ้นหากผมพูดเสียใหม่ว่า วิทยาศาสตร์จะบอกว่า
เครื่องคอมพิวเตอร์นี้มีกลไกการทำงานได้อย่างไร
ในขณะที่คำสอนของศาสนาพุทธจะบอกว่าเราควรจะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์นี้ให้เป็นไปเพื่อความถูกต้องได้อย่างไร
ในฐานะที่ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง
ผมสามารถที่จะเข้าใจได้ว่าการตรัสรู้หรือการรู้แจ้งเห็นจริงเกิดขึ้นได้อย่างไรโดยมองในแง่การทำงานของสมอง
วิทยาศาสตร์สามารถยอมรับความคิดที่ว่า ความรู้นั้นสามารถมาในรูปของทักษะ skill
แทนที่จะเป็นเพียงข้อเท็จจริงของคำพูด
และเราก็พอใจที่รู้ว่า ทักษะนั้นสามารถที่จะเรียนรู้ได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ
จากความรู้ที่อ้างอิงอยู่กับข้อเท็จจริง ตลอดจนถึงการปฏิบัติที่ถูกถ่ายทอดกันต่อมา
เมื่อพิจารณาในแง่ของการฝึกสมาธิแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของการปฏิบัติก็คือการฝึกความตั้งใจมั่นเพื่อการรู้และการควบคุมไม่ให้จิตฟุ้งซ่าน
คำพูดที่ว่า ความคิดเป็นสาเหตุให้เกิดความรู้สึก
นั้น
ที่จริงวิทยาศาสตร์ก็ได้พยายามแยกแยะออกมาแล้วว่า มันเป็นปฏิกิริยาของสมองระหว่างส่วนที่เจนจัดที่สามารถผลิตเหตุผลกับส่วนพื้นฐานที่สร้างประสบการณ์แห่งอารมณ์ความรู้สึก
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองจากสถานะที่ผมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง
ผมก็มองไม่ออกเหมือนกันว่าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่อธิบายถึงการทำงานของสมองเหล่านี้จะสามารถช่วยให้ผมใช้จิตใจและสมองของผมให้ดีที่สุดได้อย่างไร
ข้อมูลที่ซับซ้อนเหล่านั้นไม่สามารถบอกผมได้ว่าเป้าหมายของชีวิตควรเป็นอะไร
นี่แหละ คือจุดที่คุณศุภวรรณสามารถหยิบยื่นสิ่งที่สำคัญมากให้แก่เรา
เธอได้แนะแนวทางที่ไขความลับและบอกให้เรารู้ว่าเราจะใช้จิตใจของเราได้อย่างไรและเพื่ออะไร
บ่อยครั้งที่ผมรู้สึกท้อใจต่องานเขียนทางพุทธศาสนาที่มักจะใช้คำศัพท์ที่ผมรู้สึกว่าเข้าถึงไม่ได้
นอกจากนั้น
ผมยังประสบความยุ่งยากในการแยกแยะระหว่างแก่นแท้ของศาสนาพุทธกับพิธีกรรมต่าง ๆ
ที่แฝงเร้นอยู่ในกระแสวัฒนธรรม ในหนังสือเล่มนี้ ผมสามารถจับแก่นแท้ของศาสนาพุทธได้ตลอดจนถึงการเปรียบเทียบที่เป็นประโยชน์ที่สามารถทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้น
จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ ผมสามารถสรุปได้ว่าเป้าหมายของชีวิตคือการทำจิตให้นิ่ง
(จิตว่าง) และวิธีการทำจิตให้หยุดนิ่งโดยไม่ซัดส่ายนั้น ๕๐%เป็นเรื่องของศีลธรรม และอีก ๕๐%เป็นเรื่องของสมาธิ
ผมได้คำตอบอีกว่าสติปัฏฐานสี่คือวิธีการที่จะทำจิตให้หยุดนิ่ง นั่นคือ
๑) ต้องมีสติอยู่กับประสบการณ์อันเกิดจากผัสสะ
๒) ต้องมีสติอยู่กับประสบการณ์ทางจิต (อารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ผู้แปล)
๓) ต้องเฝ้าดูความคิดโดยที่ไม่ตามมัน
๔) ต้องเฝ้าดูความว่างที่เกิดขึ้นระหว่างความคิด
(แต่ต้องไม่ใช่ความคิดที่เกี่ยวกับความว่าง!)
การปฏิบัติที่วางไว้อย่างชัดเจนนี้จะนำไปสู่การรู้แจ้งเห็นจริงหรือการตรัสรู้
แต่ภาคปฏิบัติช่างยากเหลือเกิน
เพราะว่าความคิดกับความรู้สึกนั้นมันเกิดต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็วมาก เร็วจนกระทั่งมันสามารถสร้างภาพลวงให้เกิดในจิตใจโดยที่ไม่สามารถจะหักมันได้เหมือนกับสายริบบิ้นที่ยาวออกไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
และแล้ว คุณศุภวรรณก็ได้หยิบยื่นกรรไกนั้นให้แก่เรา!
หนังสือเล่มนี้ยังมีอะไรอื่นอีกมากมาย เช่น ได้รู้ถึงอันตรายของขบวนการศาสนายุคใหม่ และองค์คุณจากวิธีการทักทายที่แตกต่างกัน รวมถึงภาระที่ชาวตะวันตกผู้มีขายาวจะต้องแบกรับ!
ใบไม้กำมือเดียว เล่มนี้
คุณศุภวรรณได้บอกให้พวกเราทราบถึงความฝันของเธอที่ต้องการจะสร้างหลักการปฏิบัติอันไม่ต้องอิงศาสนา
อันเป็นวิธีการสากลที่สามารถช่วยให้คนรู้แจ้งเห็นจริงได้อย่างทั่วถึงกัน
ซึ่งผมให้การสนับสนุนเธออย่างเต็มที่ และหวังว่า
สักวันหนึ่งวิทยาศาสตร์คงจะสามารถช่วยเหลือให้เธอบรรลุถึงเป้าหมายนั้นได้
ไมเคิล ทอมมัส, BSc, MSc, D.Phil (Oxford).[1]
[1] ในจำนวนนักศึกษาที่มาเรียนไท้เก็กกับดิฉันนั้น
มีน้อยคนมากที่ยังติดต่อกับดิฉันเป็นส่วนตัวหลังจากที่จบออกไปแล้ว
ไมเคิลเป็นคนหนึ่งที่ดิฉันไม่เคยคิดว่าจะยังคงติดต่อกับดิฉันอยู่หลังจากที่จบไปแล้วเป็นเวลา
๙ ปี ในปีที่ไมเคิลมาเรียนไท้เก็กกับดิฉันนั้น
เป็นปีที่ดิฉันได้พานักศึกษากลุ่มหนึ่งราว ๑๘
คนไปปฏิบัติธรรมที่วัดอมราวดีหลังจากการสอบในภาคฤดูร้อนก่อนที่จะแยกย้ายกันไป
ซึ่งไมเคิลก็เป็นหนึ่งในจำนวนนักศึกษากลุ่มนั้น
จึงทำให้ดิฉันได้มีโอกาสพูดคุยกับเขามากขึ้น ตอนนั้น
ดิฉันได้เริ่มเขียนงานภาษาอังกฤษแล้ว และทยอยส่งให้นักศึกษาอ่านกันเป็นบท ๆ
ไปโดยการถ่ายเอกสารให้เขา ก่อนที่พวกเราจะแยกย้ายกันไปหลังจากการปฏิบัติธรรมได้เสร็จสิ้นลงที่วัดอมราวดีนั้น
ไมเคิลได้บอกดิฉันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มว่า เขากำลังอ่านงานเขียนของดิฉันอยู่
เขาเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจและเขาสัญญาว่าจะเขียนบอกดิฉันว่ามันน่าสนใจอย่างไร
พร้อมกับสำทับว่าเขายินดีจะแก้ภาษาอังกฤษให้หากดิฉันต้องการความช่วยเหลือ
ดิฉันดีใจมากที่ไมเคิลเสนอเช่นนั้น เพราะไม่ใช่ทุกคนที่อยากทำงานนี้ หลังจากนั้น
ไมเคิลก็ไปเรียนต่อปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด
และเขาก็ได้ช่วยแก้ไขงานเขียนภาษาอังกฤษของดิฉันตลอดจนให้แง่คิดจากมุมมองของปัญญาชนชาวตะวันตกซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญต่องานเขียนของดิฉันมาก
ไมเคิลได้ทำให้ดิฉันเข้าใจว่านักวิทยาศาสตร์คิดอย่างไรต่อจุดต่างๆ ที่ดิฉันเขียน
ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ดิฉันต้องเข้าใจอย่างถูกต้อง
หนังสือเล่มแรกของดิฉันที่ชื่อ Dear Colin
What is the Meaning of Life? นั้นคงจะสำเร็จไม่ได้หากไม่ได้รับการช่วยเหลือของไมเคิล
เมื่อดิฉันเขียน A Handful of Leaves เสร็จ
ก็เป็นช่วงที่ไมเคิลได้ทำงานเป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยแล้ว ดิฉันเห็นว่า
หากเขาสามารถเขียนคำนำให้แก่หนังสือเล่มนี้ได้โดยพูดจากมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ก็จะเป็นประโยชน์ต่อปัญญาชนชาวตะวันตกไม่น้อย
ซึ่งเขาก็ตอบรับคำขอร้องของดิฉันด้วยความยินดี
ดิฉันจึงถือโอกาสนี้ขอบคุณด๊อกเตอร์ไมเคิล
ทอมมัส ที่ให้การสนับสนุนงานของดิฉันมาตลอด