คำนำ
เขียนโดย ท่านอาจารย์ด๊อกเตอร์เรวตะ ธัมมา
แปลโดย
ศุภวรรณ กรีน
คงจะเป็นเวลาสิบแปดปีล่วงมาแล้ว
ที่คุณโยมศุภวรรณได้มาที่วัดของอาตมาพร้อมกับสามีของเธอ
สำหรับคนที่มาจากประเทศในกลุ่มอาเซียตะวันออกเฉียงใต้นั้น
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ว่า
หากใครมีปัญหาก็จะไปหาพระเพื่อปรึกษาปัญหาและพูดคุยกับท่าน ตอนนั้น
เธอเพิ่งมาถึงประเทศอังกฤษ ดินแดนที่แปลกใหม่
และคงจะเป็นเพราะความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมที่ทำให้เธอต้องการพูดคุยกับพระ
และอาตมาก็เป็นพระสงฆ์องค์เดียวที่อยู่ในเมืองนี้ น่าเสียดายว่า
อาตมาเองไม่สามารถเข้าใจภาษาไทยได้
และเธอเองก็ยังไม่สามารถพูดถึงอารมณ์ความรู้สึกของเธอเป็นภาษาอังกฤษได้ดีพอ ฉะนั้น
เราจึงไม่ได้พูดคุยกันมาก
และเธอก็จากไปโดยที่ไม่สามารถบอกความคิดของเธอกับอาตมาได้
หลายปีต่อมา เมื่ออาตมาได้พบกับเธออีกในเบอร์มิ่งแฮม
เธอสามารถพูดและใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างดีและคล่องแคล่ว
เมื่อเธอมาเยี่ยมอาตมาในปีที่แล้ว
อาตมารู้สึกประทับใจมากต่อความก้าวหน้าของเธอทั้งในด้านภาษาอังกฤษและสถานะภาพทางอาชีพของเธอด้วย
อาตมาจึงทราบว่าเธอกำลังสอนไท้เก็กอยู่ที่มหาวิทยาลัยเบอร์มิ่งแฮมพร้อมกับได้เขียนหนังสือและบทความเป็นภาษาอังกฤษ
เมื่ออาตมาได้รับต้นฉบับเรื่อง A Handful of Leaves นั้น
อาตมาต้องรู้สึกแปลกใจมากที่ทราบว่าเธอมีความสามารถอย่างสูงในการเขียนเพื่อแสดงออกถึงความเข้าใจในทางธรรมของเธอ
คนมากมายสามารถที่จะพูดภาษาอังกฤษได้ และส่วนน้อยที่จะสามารถพูดต่อหน้าคนในที่สาธารณะได้
แต่การแสดงออกซึ่งความคิดและความรู้สึกด้วยการเขียนเป็นภาษาอังกฤษที่ชัดเจนนั้นเป็นเรื่องยาก
ในหนังสือเล่มนี้
คุณโยมศุภวรรณได้แสดงออกถึงความคิดของเธออย่างคล่องแคล่วหน้าแล้วหน้าเล่า
ต้องนับว่าเธอประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงสำหรับหญิงชาวเอเซียผู้เป็นทั้งแม่และทำงานด้วย
เมื่ออาตมาเริ่มอ่านต้นฉบับของหนังสือเล่มนี้ อาตมาก็รู้สึกแปลกใจที่ทราบว่าเธอได้เรียนรู้จากท่านอาจารย์พุทธทาสที่เมืองไทย สำหรับประเทศไทยแล้วอาจารย์พุทธทาสเป็นหนึ่งในครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดผู้หนึ่งของยุคสมัยนี้ คำสอนและความคิดของท่านนั้นเคยเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในหมู่ชาวพุทธโดยทั่วไป ประเทศไทยรวมทั้งประเทศอื่นที่นับถือศาสนาพุทธฝ่ายเถรวาทนั้น ศาสนาพุทธได้หยั่งรากและคำสอนส่วนมากจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการแปลออกมาจากพระบาลีซึ่งทำกันจนเป็นประเพณีสืบทอดกันมา หากความคิดของใครที่ต่างออกไปจากการตีความตามประเพณีแล้วไซร้ ก็จะถูกวิจารณ์และกลายเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกัน อาจารย์พุทธทาสนั้นไม่มีความกลัวและไม่ลังเลที่จะแสดงออกถึงความคิดและความรู้สึกของตนเองอย่างเปิดเผย และท่านก็ไม่สนใจว่าผู้คนจะเห็นด้วยกับท่านหรือไม่ อย่างไรก็ตาม คำสอนของท่านนั้นได้เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในหมู่ปัญญาชนชาวไทย รวมทั้งผู้ที่อยู่นอกประเพณีของฝ่ายเถรวาทด้วย โดยส่วนตัวของอาตมาแล้วนั้น อาตมาซาบซึ้งในความคิดของท่านเพราะว่าการอธิบายธรรมของท่านอาจารย์พุทธทาสนั้นตรงไปตรงมา มีเหตุผล และง่ายต่อการเข้าใจ
ในหนังสือเล่มนี้
คุณโยมศุภวรรณได้อธิบายถึงคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาสด้วยภาษาที่ไม่สลับซับซ้อน
และง่ายต่อคนธรรมดาที่จะเข้าใจ คำอธิบายของเธอในเรื่องแก่นแท้ของศาสนาพุทธ
ธรรมชาติของพระนิพพาน และสัจธรรมอันสูงสุดนั้นมีความชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง อาตมารู้สึกประทับใจเป็นอย่างมากต่อความพยายามของเธอที่ถ่ายทอดคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาสด้วยภาษาที่เรียบง่ายและไม่เป็นวิชาการจนเกินไป
คุณโยมศุภวรรณได้เชื่อมโยงให้ผู้อ่านเห็นว่าสติปัฏฐานสี่นั้นเป็นวิธีการที่จะทำให้เข้าถึงพระนิพพานและหยั่งถึงสัจธรรมอันสูงสุด
ในบางบทนั้น
เธอได้แสดงออกถึงความเห็นส่วนตัวที่เกี่ยวกับสภาวะอันถดถอยของสถาบันศาสนาในเมืองไทย
วัฒนธรรมตะวันตก ตลอดจนถึง คริสต์ศาสนา เป็นต้น
ถึงแม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเต็มไปด้วยความคิดที่ท้าทายต่อผู้อ่าน
แต่ก็เป็นหนังสือที่สามารถช่วยให้คนไทยเข้าใจศาสนาและวัฒนธรรมของตนเองได้ดีขึ้น
หนังสือเล่มนี้ยังมีประโยชน์ต่อผู้อื่นที่ต้องการเข้าใจศาสนาพุทธโดยการมองจากแง่คิดสมัยใหม่ของคนเอเซีย
อาตมาคาดการณ์ว่าหนังสือเล่มนี้จะประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง
และหวังว่าเธอจะประสบความสำเร็จในเป้าหมายที่เธอได้ตั้งไว้ นั่นคือ
การเผยแผ่คำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาส อาตมาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
หนังสือเล่มนี้จะสามารถช่วยแก้ไขสถานการณ์อันเลวร้ายในขณะนี้ที่เกิดขึ้นกับสถาบันศาสนาพุทธในเมืองไทยและวัฒนธรรมไทยซึ่งเป็นสิ่งที่เธอห่วงใยเป็นอย่างมาก
อาจารย์ด๊อกเตอร์เรวตะ ธัมมา (M.A.,
PhD)[1]
ผู้แนะนำทางจิตวิญญาณ
วิหารชาวพุทธเบอร์มิ่งแฮม
สิงหาคม ๒๕๔๒
[1] อาจารย์ด๊อกเตอร์เรวตะ
ธัมมา เกิดที่ประเทศพม่าในปี ๒๔๗๒/๑๙๒๙ บวชเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ ๑๒ ปี
ได้แสดงออกถึงแววแห่งความเป็นนักปราชญ์ตั้งแต่ยังเยาว์วัย
ได้เดินทางไปศึกษากับพระที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น เรียนจบพระบาลีและได้รับประกาศนียบัตรในระดับสูงสุดเมื่ออายุเพียง
๒๓ ปี ได้รับตำแหน่ง Sasanadhaja Siripavara Dhammacariya จากประธานาธิบดีพม่าเมื่อปี
๑๙๕๓
สามปีต่อมาได้รับทุนจากรัฐบาลไปเรียนภาษาสันสกฤตและฮินดีที่มหาวิทยาลัยในเมืองพาราณสี
ประเทศอินเดีย ปี ๑๙๖๐ ได้รับปริญญาตรีในสาขา ศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน ปี ๑๙๖๔
ได้สำเร็จปริญญาโท ในสาขาภาษาสันสกฤตและปรัชญาอินเดีย และจบปริญญาเอกในปี ๑๙๖๗
ในสาขาเดียวกันนั้น ท่านได้สอนในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าบรรณาธิการเพื่อทำหนังสือปทานุกรมศัพท์ทางพุทธศาสนา
ท่านได้เขียนหนังสือหลายเล่มในภาษาบาลีและฮินดี
หนังสือของท่านถูกใช้เป็นตำราการสอนในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่อินเดีย
ท่านมาอยู่ที่เบอร์มิ่งแฮมเมื่อปี
๑๙๗๕ และได้กลายเป็นพระที่มีชื่อเสียงทั่วโลก
ได้รับเชิญไปสอนสมาธิวิปัสสนาทั่วยุโรปและอเมริกา
รวมทั้งบรรยายตามมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น Oxford,
Cambridge, Manchester, Lancaster, Zurich, Harvard, Columbia, Berkeley, Macomb และ Champagne. ปัจจุบันนี้
ท่านได้กลายเป็นพระที่ชาวโลกรู้จักในฐานะที่มุ่งส่งเสริมสันติภาพและสมานความสามัคคีปรองดองระหว่างมนุษยชาติ
คัดและแปลจากหนังสือเรื่อง
Dhamma Talaka Pagoda พิมพ์เมื่อปี ๑๙๙๘
ในโอกาสฉลองพระเจดีย์ที่สร้างใหม่ของวิหารชาวพุทธเบอร์มิ่งแฮม อังกฤษ
ดิฉันขอถือโอกาสนี้อนุโมทนาในงานอันเป็นบุญกุศลที่ท่านอาจารย์เรวตะ ธัมมา
ได้ทำอย่างเสียสละมาโดยตลอดและกราบขอบพระคุณท่านที่ให้ความเมตตาแก่ดิฉันโดยการเขียนคำนำให้แก่หนังสือเล่มนี้