เริ่มเรียนเขียนโปรแกรม: 8.4 Basic Dict: Checking Key Existence

8: Basic Dict

8-4: Checking Key Existence

** ถ้าใช้งานบนมือถือหรือ tablet แนะนำให้ใช้ Chrome หรือ Safari เท่านั้น **

แบบฝึกหัด 8-4 ข้อที่ 1

p1 และ p2 เป็นดิกเก็บคะแนนของนักเรียนที่เรียนวิชา 1 และ 2 ตามลำดับในรูปแบบ {เลขประจำตัว: คะแนน} จงเขียนฟังก์ชัน take_both(st_id, p1, p2) เพื่อหาว่านักเรียนที่มีเลขประจำตัว st_id เรียนทั้งสองวิชาหรือไม่


def take_both(st_id, p1, p2):


def take_both(st_id, p1, p2):
    return st_id in p1 and st_id in p2


q = "`"
fname = "take_both"
func = Ex().check_function_def(fname, missing_msg="ไม่พบฟังก์ชัน " + (q+fname+q))
func.has_equal_part_len('args', 'ฟังก์ชันนี้รับพารามิเตอร์สามตัว')
p1 = {33:3, 22:2, 44:4, 55:5}
p2 = {30:3, 20:2, 44:4, 50:5}
func.check_call(fname + "(44, " + str(p1) + "," + str(p2) + ")").\
    has_equal_value(incorrect_msg="มี แต่คืนว่าไม่มี")
func.check_call(fname + "(22, " + str(p1) + "," + str(p2) + ")").\
    has_equal_value(incorrect_msg="ไม่มี แต่คืนว่ามี")
func.check_call(fname + "(50, " + str(p1) + "," + str(p2) + ")").\
    has_equal_value(incorrect_msg="ไม่มี แต่คืนว่ามี")

ใช้ key in dict ในการค้น

แบบฝึกหัด 8-4 ข้อที่ 2

p1 และ p2 เป็นดิกเก็บคะแนนของนักเรียนที่เรียนวิชา 1 และ 2 ตามลำดับในรูปแบบ {เลขประจำตัว: คะแนน} จงเขียนฟังก์ชัน both(p1, p2) เพื่อคืนลิสต์ที่เก็บเลขประจำตัวนักเรียนเรียนทั้งสองวิชา โดยเรียงลำดับเลขประจำตัวนักเรียนในลิสต์จากน้อยไปมากด้วย


def both(p1, p2):


def both(p1, p2):
    result = []
    for sid in p1:
        if sid in p2:
            result.append(sid)
    result.sort()
    return result


q = "`"
fname = "both"
func = Ex().check_function_def(fname, missing_msg="ไม่พบฟังก์ชัน " + (q+fname+q))
func.has_equal_part_len('args', 'ฟังก์ชันนี้รับพารามิเตอร์สองตัว')
p1 = {33:3, 22:2, 44:4, 55:5}
p2 = {30:33, 22:12, 44:40, 50:53}
p3 = {444:2, 555:23}
func.check_call(fname + "(" + str(p1) + "," + str(p2) + ")").\
    has_equal_value(incorrect_msg="ได้ผลผิด")
func.check_call(fname + "(" + str(p1) + "," + str(p3) + ")").\
    has_equal_value(incorrect_msg="กรณีที่ควรได้ลิสต์ว่าง แต่ไม่ได้")

ใช้ for k in dict หนึ่ง ถ้า k มีในอีก dict ก็เก็บใส่ผลลัพธ์

แบบฝึกหัด 8-4 ข้อที่ 3

สตริง DNA เป็นสตริงที่มีตัวอักษรแค่ A, T, G และ C เท่านั้น จงเขียนฟังก์ชัน count_bases(dna) คืนดิกในรูปแบบ {เบส: จำนวน} เช่น count_bases("AAAATTTGG") ได้ {"A":4, "T":3, "G":2, "C":0}


def count_bases(dna):


def count_bases(dna):
    count = {"A":0, "T":0, "G":0, "C":0}
    for b in dna:
        count[b] += 1
    return count


def count_bases(dna):
    count = {"A":0, "T":0, "G":0, "C":0}
    for b in dna:
        count[b] += 1
    return count

import random
q = "`"
fname = "count_bases"
func = Ex().check_function_def(fname, missing_msg="ไม่พบฟังก์ชัน " + (q+fname+q))
func.has_equal_part_len('args', 'ฟังก์ชันนี้รับพารามิเตอร์sหนึ่งตัว')
dna1 = "'" + "A"*random.randint(0,4) + "T"*random.randint(0,4) + \
             "G"*random.randint(0,4) + "C"*random.randint(0,4) + "'"
for p in ["'AAAATTTT'", dna1, "''"]:
  fcall = fname + "(" + p + ")"
  func.check_call(fcall).has_equal_value(incorrect_msg = 
    (q+fcall+q) + " ต้องได้ " + str(eval(fcall)))

สร้างดิกเริ่มต้น {"A":0, "T":0, "G":0, "C":0} ก่อน จะทำให้นับง่ายขึ้น

แบบฝึกหัด 8-4 ข้อที่ 4

จงเขียนฟังก์ชัน count_chars(text) ที่นับว่าใน text มีอักขระอะไรเท่าไรบ้าง (โดยให้ตัวอักษรเล็กเหมือนใหญ่ เช่น count_chars("ABCabcZ") ได้ดิก {'A': 2, 'B': 2, 'C': 2, 'Z': 1} เป็นผลลัพธ์


def count_chars(text):
    count = {}
    for c in text:
        c = c.upper()
        if c in count:
            count[c] += 1
        else:
            count[c] = 1
    return count


def count_chars(text):
    c = {}
    for e in text.upper():
        if e not in c : c[e] = 0
        c[e] += 1
    return c
q = "`"
fname = "count_chars"
func = Ex().check_function_def(fname, missing_msg="ไม่พบฟังก์ชัน " + (q+fname+q))
func.has_equal_part_len('args', 'ฟังก์ชันนี้รับพารามิเตอร์ตัวเดียว')
import random
text = "'"
for i in range(5):
    c = chr(random.randint(65,65+25))
    text += c*random.randint(0,3) + c.lower()*random.randint(0,3)
text += "'"
for p in ["''", text, "'AaBbKkZzz'"]:
  fcall = fname + "(" + p + ")"
  func.check_call(fcall).has_equal_value(incorrect_msg = 
    (q+fcall+q) + " ต้องได้ " + str(eval(fcall)))

แบบฝึกหัด 8-4 ข้อที่ 5

income1 และ income2 เป็นดิกในรูปแบบ {รหัสสาขาร้าน: รายได้} ซึ่งเก็บรายรับของร้านอาหารสาขาต่าง ๆ จงเขียนฟังก์ชัน merge(income1, income2) ที่คืนดิกใหม่ในรูปแบบเดียวกัน แต่เก็บข้อมูลรวมจากทั้งสองดิกที่รับมา เช่น income1 = {"P100":100, "P200":200} และ income2 = {"P200":300, "P300":90} merge กันแล้วจะได้ดิกใหม่ {"P100":100, "P200":500, "P300":90}


def merge(income1, income2):


def merge(income1, income2):
    result = {}
    for k in income1:
        result[k] = income1[k]
    for k in income2:
        if k in result:
            result[k] += income2[k]
        else:
            result[k] = income2[k]
    return result


q = "`"
fname = "merge"
func = Ex().check_function_def(fname, missing_msg="ไม่พบฟังก์ชัน " + (q+fname+q))
func.has_equal_part_len('args', 'ฟังก์ชันนี้รับพารามิเตอร์สองตัว')
ic1 = {"A":10, "B":20, "C":30, "D":40}
ic2 = {"A":20, "X":20, "Y":30, "D":90}
func.check_call(fname + "(" + str(ic1) + "," + str(ic2) + ")").\
    has_equal_value(incorrect_msg="ได้ผลผิด")

copy income1 มาไว้ดิกผลลัพธ์ก่อน แล้วค่อยอ่านจาก income2 ว่าจะเพิ่มในสาขาที่มีอยู่ หรือใส่ใหม่เลย

แบบฝึกหัด 8-4 ข้อที่ 6

จงเขียนโปรแกรมอ่านบรรทัดแรกของอินพุตเป็นรายการของรหัสสินค้า บรรทัดที่สองเป็นรายการของราคา (มีจำนวนข้อมูลเท่ากับของบรรทัดแรก โดยสินค้าชิ้นที่ตำแหน่ง i ก็มีราคาที่ตำแหน่ง i) และอ่านบรรทัดถัด ๆ มา (จบด้วย end) ที่เป็นรหัสสินค้าที่ต้องการให้แสดงราคา ถ้าหาไม่พบให้แสดง Not found จากตัวอย่างจะแสดง 35.0, Not found และ 50.0 บรรทัดละราคา (หรือข้อความ)


___inp___ = ["A100 A200 A300 A400", "20.5 50.0 35.0 65.0", "A300", "A999", "A200", "end"]
def input():
    t = ___inp___.pop(0)
    ___inp___.append(t)
    return t


pids = input().split()
p = input().split()
prices = {}
for i in range(len(pids)):
    prices[pids[i]] = p[i]
#-------------------------
pid = input()
while pid != "end":
    if pid in prices:
        print(prices[pid])
    else:
        print("Not found")
    pid = input()


v = ["A B C D E F", "1.5 2.5 3.0 4.0 5.0 6.0", "A", "B", "X", "E", "end"]
Ex().has_equal_output(pre_code = "___inp___[:] = " + str(v),
    incorrect_msg = "แสดงผลไม่ถูกต้อง")

สร้างดิก {รหัสสินค้า: ราคา} จะทำให้หาราคาจากรหัสสินค้าได้ง่ายมาก ๆ

แบบฝึกหัด 8-4 ข้อที่ 7

ข้อมูลที่อ่านจากอินพุตเป็นบรรทัด ๆ ไปจนถึง end คือรายการการประมูลสินค้า แต่ละบรรทัดประกอบด้วย รหัสผู้ประมูล รหัสสินค้า ราคาประมูล เราต้องการสร้างดิกชื่อ bid = {รหัสสินค้า: [รหัสผู้ประมูลสูงสุด, ราคาประมูลสูงสุด]} คือ มีรหัสสินค้าเป็นคีย์ ส่วนค่าเป็นลิสต์สองช่องเก็บรหัสผู้ประมูลกับราคาประมูลสูงสุด จากตัวอย่างอินพุต จะได้ bid = {'P001': ['U102', 120], 'P002': ['U101', 150]}

จงเขียนคำสั่งอ่านข้อมูลการประมูลเพื่อสร้าง bid ให้ได้ตามที่ต้องการ


___inp___ = [
    "U101 P101 100",
    "U101 P102 100",
    "U102 P101 100",
    "U102 P102 200",
    "U102 P101 110",
    "U101 P101 120",
    "end"]
def input():
    t = ___inp___.pop(0)
    ___inp___.append(t)
    return t


bid = {}
x = input().split()
while x[0] != "end":



    x = input().split()


bid = {}
x = input().split()
while x[0] != "end":
    user = x[0]
    prod = x[1]
    price = int(x[2])
    if prod not in bid or price > bid[prod][1]:
        bid[prod] = [user, price]
    x = input().split()


var = "bid"
obj = Ex().check_object(var, missing_msg = "ไม่พบตัวแปร " + var)
obj.has_equal_value(expr_code="type("+var+")", incorrect_msg=var + " ต้องเป็น dict")
obj.has_equal_value(incorrect_msg = "ยังตั้งค่าในดิกไม่ถูกต้อง")

ถ้าไม่มีรหัสสินค้าใน bid หรือ ราคาประมูลใหม่มีราคาสูงกว่าที่เก็บไว้ ก็เปลี่ยนค่า value